จากข่าวที่ สำนักงานใหญ่ดังกิ้น โดนัท ออกมาขอโทษต่อสาธารณะในกรณีที่โฆษณาดังกิ้น โดนัท รสชาติใหม่ "ชาร์โคล โดนัท" ของประเทศไทย ถูกองค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ระบุว่า โฆษณาชิ้นดังกล่าวเหยียดผิว ซึ่งชวนให้นึกถึงทัศนคติของชาวอเมริกันที่รังเกียจคนผิวสีในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20
และเมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตในแวดวงโฆษณาของอเมริกัน เราจะเห็นอคติตรงนี้ได้ชัดเจนผ่านใบปิดโฆษณาซึ่งมักจะแฝงอยู่ในภาพเหมารวมของคนผิวสีว่าต้องทำงานเป็นคนรับใช้ อย่างเช่นแผ่นปิดโฆษณาขนมพุดดิ้ง Jell-O ในปี 1922,โฆษณาเบียร์บัดไวเซอร์ในปี 1934, โฆษณาหัวเทียนเอซี ในปี ทศวรรษที่ 40, โฆษณาของบัลเลนไทน์ เอล เบียร์ ในปี 1948, โฆษณาเหล้าเคนตั๊กกี้ เบอร์เบิ้น ในทศวรรษที่ 50, โฆษณากาแฟแบรนด์แมกซ์เวล เฮ้าส์ ในทศวรรษที่ 50
หรืออย่าง บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์การเกษตรยักษ์ใหญ่อย่าง มอนซานโต้ ครั้งหนึ่งในช่วงทศวรรษที่ 50 ก็เคยมีใบปิดโฆษณารูปคนผิวสีทำงานในไร่ฝ้าย
นอกจากจะมองเป็นคนรับใช้แล้ว ผิวสีก็ถูกเปรียบเปรยในเรื่องความสะอาดผ่านผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย ที่หากได้ขัดสีฉวีวรรณแล้วจะทำให้สะอาดแบบคนขาว อย่างเช่นโฆษณาสบู่เพิร์ลส ในทศวรรษที่ 20 หรือโฆษณาสบู่แฟร์รี่ ในทศวรรษที่ 40 ก็เต็มไปด้วยอคติของสีผิวเช่นเดียวกัน
กรณีคลาสิกสุดๆก็คงเป็นกรณีของยาสีฟันดาร์กี้ ซึ่งตอนแรกแปลตามความหมายว่า ยาสีฟันของคนผิวสี แต่ด้วยนัยยะที่เหยียดสีผิว ดาร์กี้ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นดาร์ลีในที่สุด
ปัจุจบันก็ยังเห็นบริษัทเอเจนซีที่ทำโฆษณาแล้วมีนัยยะการเหยียดผิวโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แฝงอยู่ อย่างเช่น โฆษณาครีมอาบน้ำโดฟเป็นต้น
เมื่อมองย้อนกลับไปที่โฆษณาดังกิ้น โดนัท แม้ที่บ้านเรา หลายคนอาจจะมองด้วยความรู้สึกธรรมดา แต่หากเป็นประเทศอื่นที่มีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ต่างจากเรา นี่อาจจะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวไม่น้อยเลยทีเดียวนะคะ ทีมข่าวบันเทิงมติชนทีวี รายงาน