Nichar love Beauty ^^ Beauty love Nichar
 
 

ท้าความเสียวด้วยโต๊ะอาหารลอยฟ้า

ท้าความเสียวด้วยโต๊ะอาหารลอยฟ้า
 


ถ้าใครกำลังมองหาประสบการณ์ทานอาหารแบบสุดโต่งไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารในที่มืดหรือในป่าก็ลองมาแล้ว วันนี้มาลองทานอาหารบนท้องฟ้ากันกับบริการที่มีชื่อว่า Dinner in the Sky


           การทานอาหารแบบนี้เค้าจะใช้เครนยกโต๊ะอาหารที่ออกแบบมาเป็นพิเศษขึ้นไปบนระดับความสูง 50 เมตรในอากาศ โต๊ะหนึ่งตัวสามารถรับรองแขกได้ 22 คน (ไม่รวมเชฟและพนักงาน) โดยอุปกรณ์ทั้งหมดดัดแปลงมาจากอุปกรณ์ของบันจี้จั้มพ์และเครื่องเล่นในสวนสนุก คุณสามารถเลือกได้ว่าจะทานอาหารเหนือผืนป่าอันเขียวขจี , ลอยอยู่เหนือหาดทรายตัดกับท้องทะเลท้องฟ้าสีคราม ,ลอยเหนือ landmarks ที่ท่องเที่ยวที่สำคัญหรือเมืองในฝันของหลายๆคนอย่างลาสเวกัส บาร์เซโลนา ปารีส โมนาโคและโตเกียว เพื่อมุมมองที่ต่างไป แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน รับรองว่าคุณจะได้ประสบการณ์ทานอาหารที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ

นอกจากอาหารที่รสชาติเยี่ยมจากเชฟชื่อดังและบรรยากาศที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครแล้ว เค้าก็ยังคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย แขกที่มาร่วมทานอาหารทุกคนจะได้นั่งบนก้าอี้ที่คล้ายกับเก้าอี้รถไฟเหาะตีลังกา มีเข็มขัดรัดเอวอย่างแน่นหนา โดยความสูงของโต๊ะที่ถูกเครนยกนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความแรงลมของวันนั้นๆ โดยมีความสูงสุดไม่เกิน 50 เมตร

สนนราคาเค้าคิดเป็นรายหัวค่ะ หัวละ 250 ยูโรหรือ 11,000 บาท แต่ขออย่างเดียวขึ้นไปแล้วอย่าทำช้อนส้อมตกนะเพราะไม่มีใครลงไปเก็บให้ เดี๋ยวอดทานมื้ออร่อยกันพอดี


 by: dailygizmo





 

Create Date : 25 มิถุนายน 2555   
Last Update : 25 มิถุนายน 2555 19:46:31 น.   
Counter : 587 Pageviews.  


น่ากินป่ะ…มันฝรั่งทอดที่คุณต้องทึ่ง

น่ากินป่ะ…มันฝรั่งทอดที่คุณต้องทึ่ง
 

ถ้าดูเผินๆรูปด้านล่างก็เหมือนแผ่นกระจกอะไรสักอย่าง แต่คุณคงต้องอ้าปากค้างถ้าได้รู้ว่าจริงๆแล้วมันคือมันฝรั่งทอดแบบโปร่งใส เห็นแล้วอยากทานสุดๆล่ะสิ

นี่คือเมนูที่สร้างสรรค์ขึ้นโดย Hamid Salimian เชฟสาวชื่อดังแห่งร้าน the Met และนี่อาจจะเป็นมันฝรั่งทอดที่หลายคนเห็นแล้วอยากลิ้มลองรสชาติมากที่สุด

เมื่อเรามองดูมันใกล้ๆแล้วจะพบว่าแผ่นมันฝรั่งทอดชิ้นนี้ทำมาจากแป้งมันฝรั่งและ potato stock เท่านั้นจึงทำให้มันโปร่งใสได้

ถ้าคุณสนใจอยากลองทำด้วยตัวเอง เค้าก็ได้โพสต์สูตรและขั้นตอนการทำทั้งหมดไว้ ที่นี่ แล้วค่ะ

Written by: dailygizmo

teenee.com




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2555   
Last Update : 25 มิถุนายน 2555 19:39:22 น.   
Counter : 1793 Pageviews.  


เคล็ดลับเลือกอาหารว่างให้เด็ก กินดีไม่อ้วน

เคล็ดลับเลือกอาหารว่างให้เด็ก กินดีไม่อ้วน
 
ภาพจาก เดลินิวส์
ภาพจาก เดลินิวส์

เด็กกับอาหารว่างหรือขนมของกินเล่นจุบจิบ ดูจะเป็นของคู่กัน ดังนั้น พ่อ แม่ ผู้ปกครองจึงต้องรู้หลักเลือกอาหารว่างที่ถูกต้องให้ลูกกิน หากเลือกได้เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงลูกเป็นโรคอ้วน เบาหวาน ขาดสารอาหาร และภูมิแพ้ได้

หลักเลือกอาหารว่างที่ดีสำหรับเด็ก ครั้งนี้ขอโฟกัสไปที่เด็กอายุระหว่าง 6-12 ปี หรือระดับประถมศึกษา วัยที่กำลังเจริญเติบโตที่ควรวางรากฐานโภชนาการให้ดี โดยสุมนมาลย์ ดวงสูงเนิน ผจก.ฝ่ายการตลาดธุรกิจไอศกรีมเนสท์เล่ บอกว่าอาหารว่างที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ ควร "หวานกำลังดี" มีน้ำตาลเป็นส่วนประผสมไม่เกิน 3 ช้อนชา หรือ 12 กรัม "ใช้สีธรรมชาติ" หรือใส่สีผสมอาหารจากธรรมชาติที่ปลอดภัยผ่านการรับรองจากอย. และ "โภชนาการเหมาะสม" คือ ให้พลังงานน้อยกว่า 150 กิโลแคลอรี

ส่วนคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แนะว่า เด็กวัยดังกล่าว ควรกินอาหารว่างไม่เกินวันละ 2 มื้อ แต่ละมื้อของอาหารว่างควรให้พลังงานไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ต้องการในแต่ละวัน หรือ 100-150 กิโลแคลอรี (ความต้องการพลังงานของเด็กวัยนี้ คือ 1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน)

ด้านเภสัชกรทวีทรัพย์ เหลืองนทีเทพ ผจก.ฝ่ายโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี บอกอีกว่า เด็กวัยกำลังโตนี้ ร่างกายของพวกเขามีความต้องการพลังงานและ

โภชนาการที่เหมาะสมเพื่อใช้สำหรับการทำกิจกรรมและการเรียนรู้ ดังนั้น การกินอาหารแค่ 3 มื้อหลักอาจไม่เพียงพอ จึงไม่ควรห้ามเด็กๆ กินขนมหรือของว่าง เพราะเด็กกระเพาะเล็ก แต่หิวบ่อย เนื่องจากใช้พลังงานเยอะ การห้ามของว่างแล้วให้เน้นกินมื้อหลักมากๆ กลับทำให้กระเพาะคราก เสี่ยงอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังไม่ควรปลูกฝังให้เด็กกินอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสหวาน เพราะเป็นปัจจัยทำให้เป็นโรคอ้วน เบาหวาน และภูมิแพ้ได้

หนึ่งในเมนูอาหารว่างที่เด็กส่วนใหญ่ชอบกิน หนีไม่พ้นน้ำแข็งใส ซึ่งเภสัชกรทวีทรัพย์ บอกว่า ถ้าพ่อแม่ทำให้ลูกกินเองควรคุมความหวาน อย่าให้หวานมาก และควรเติมผลไม้ที่ลูกชอบเข้าไปด้วย ส่วนที่ซื้อจากร้านค้า อาจต้องซื้อในขนาดที่เล็ก ถ้าจะให้ดีควรชิมก่อน หากหวานมากควรเลี่ยง

อีกเมนูอาหารยอดฮิตก็คือ แซนวิช เภสัชกรทวีทรัพย์ แนะให้เลือกใช้ขนมปังโฮลเกรนแทนขนมปังขาว เพื่อให้ได้เส้นใยอาหารเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย ส่วนเนื้อสัตว์ใส่เพื่อให้ได้โปรตีนก็เลือกที่ติดมันน้อย ขณะที่ผักก็ควรใส่ แต่ไม่ควรใช้ผักออกรสขมชัด เช่น ผักกาด เนื่องจากเด็กรับรสขมได้ดี แนะนำเป็นแครอทลวกสุก ดีกว่าแครอทสด เพราะแบบสุกร่างกายจะดูดซึมสารอาหารจากแครอทได้ดีกว่า

ไม่อยากทำลายสุขภาพเด็กทางอ้อม อย่ามองข้ามการเลือกอาหารว่างที่เหมาะสมให้กับเขา.

teenee.com




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2555   
Last Update : 22 มิถุนายน 2555 13:01:56 น.   
Counter : 1246 Pageviews.  


มะเขือเทศออร์แกนิค ดีกว่าหรือไม่?

มะเขือเทศออร์แกนิค ดีกว่าหรือไม่?
 
ผลการวิจัยได้แนะนำว่า การรับประทานมะเขือเทศอินทรีย์ (ที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี) นั้นทั้งมีรสชาติดีกว่าและยังดีต่อสุขภาพมากกว่าแบบที่ไม่ใช่อินทรีย์

คนส่วนมากยังคงยอมรับว่า ท่ามกลางผักอินทรีย์ต่างๆ (แม้มะเขือเทศในทางทฤษฎีจะเป็นผลไม้ก็ตาม!) มะเขือเทศอินทรีย์มีรสชาติดีกว่าจริงๆ

จากการวิจัยที่ทำเป็นอย่างดีในสหรัฐอเมริกาได้เปรยไว้ว่า มะเขือเทศอินทรีย์อาจมีคุณค่าทางอาหารที่สูงกว่าด้วย มี งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์การอาหารและเกษตรกรรม (Journal of Science of Food and Agriculture) ทำการทดสอบระดับของสารเควอซีติน (Quercetin) และแคมเฟอรอล (Kaempferol) ในกลุ่มตัวอย่างมะเขือเทศแห้ง ตลอดช่วงเวลา 10 ปี พบว่า

มะเขือเทศ (แห้ง) ที่ปลูกแบบอินทรีย์ พบว่ามีสารเควอซีตินมากกว่าถึงร้อยละ 79 สารเควอซีตินนี้เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำงานในเซลล์ของร่างกายโดยตรงและหยุด เซลล์ไม่ให้หลั่งสารฮิสตามีน (ที่หลั่งออกมาเวลาเกิดภูมิแพ้) นอกจากนี้ยังพบว่ามีแคมเฟอรอลมากกว่าถึงร้อยละ 97 ซึ่งแคมเฟอรอลเป็นฟลาโวนอยด์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ


เหตุผลที่นักวิจัยเชื่อก็คือ มะเขือเทศที่ปลูกตามวิธีปกติธรรมดา มักได้รับปุ๋ย (เคมี) จำนวนมาก ซึ่งต่างจาก จำนวนมาก ซึ่งต่างจากมะเขือเทศอินทรีย์ (ที่ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี)
จึงกระตุ้นให้มันสร้างสารฟลาโวนอยด์ในระดับที่สูงกว่า

"การผลิตสารฟลาโวนอยด์เป็นกลไกการป้องกัน ของพืชเพื่อตอบสนองต่อการขาดสารอาหาร" Stephen Daniells จาก NutraIngredients ได้อธิบายตอบต่อการวิจัยนี้ และเพิ่มเติมว่า"ในการปลูกพืชแบบอินทรีย์นั้นการไม่ใส่ปุ๋ย ทำให้ค่าปุ๋ยในดินลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นโดยการเพิ่มระดับของสารฟลาโวนอยด์เมื่อเวลาผ่านไป"

เช่นเดียวกับที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้สรุปว่า
"การเพิ่มขึ้นนี้ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับปริมาณที่เพิ่มขึ้นของดินอินทรีย์ที่ สะสมในแปลงพืชอินทรีย์ แต่ยังทำให้ลดอัตราการใช้ปุ๋ยลงเมื่อดินในระบบอินทรีย์ถึงระดับสมดุลอีกด้วย"

teenee.com




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2555   
Last Update : 20 มิถุนายน 2555 17:53:33 น.   
Counter : 507 Pageviews.  


การเคี้ยวอาหาร สำคัญไฉน !!

การเคี้ยวอาหาร สำคัญไฉน !!
 
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

เคี้ยวอาหารประมาณ 30 ครั้ง ในแต่ละมื้อเป็นอย่างน้อย จะช่วยให้เหงือกแข็งแรงและช่วยรักษาอาการอารมณ์หงุดหงิด เครียด และโมโหง่าย

เคี้ยว 50 ครั้ง จะช่วยลดความวิตกกังวลของอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากินอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่มากเกินความจำเป็นดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

เคี้ยว 60 ครั้ง เหมาะสำหรับการเคี้ยวอาหารที่มีกากใยมากเกินไป ช่วยลดอาการท้องผูก การทำงานของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เคี้ยว 80 ครั้ง ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น มีความจำดีขึ้น สามารถจดจำและจำแนกรสชาติของอาหารทั้งจากธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษ ต่อร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

เคี้ยว 100 ครั้ง ทำให้คุณจัดการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว สงบ เยือกเย็น กินน้อยลง แต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก อีกทั้งช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ

เคี้ยว 150 ครั้ง ระบบการทำงานกระเพาะและลำไส้ดีขึ้น และช่วยควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ

เคี้ยว 200 ครั้ง ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อ จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว

เคี้ยวอาหารให้ช้าลง ระบบการย่อยอาหารก็จะทำงานน้อยและช้าลง ยิ่งเคี้ยวเร็วกลืนเร็วมากเท่าไหร่ สุขภาพของคุณสาวๆ ก็จะยิ่งแย่ลงเท่านั้นนะจร๊าาา ^^

teenee.com




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2555   
Last Update : 20 มิถุนายน 2555 17:52:17 น.   
Counter : 557 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

chiza_love
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add chiza_love's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com