Nichar love Beauty ^^ Beauty love Nichar
 
 

ฝรั่งปิ๊งไอเดีย! ยกบรรยากาศร้านข้าวต้มริมถนนเมืองไทย แจ้งเกิดกลางลอนดอน

ฝรั่งปิ๊งไอเดีย! ยกบรรยากาศร้านข้าวต้มริมถนนเมืองไทย แจ้งเกิดกลางลอนดอน
 

ใครที่เคยรับไม่ได้กับการกินข้าวตามร้านข้างถนน เห็นทีต้องเปลี่ยนใจเสียแล้ว


เพราะร้านอาหารสไตล์บ้านๆ เสียงดังโหวกเหวก ป้ายโฆษณาแขวนระเกะระกะ กำลังอินเทรนด์ในลอนดอน!

ร้านที่ว่านี้ ชื่อว่า "อีสต์ สตรีท" เป็นโปรเจ็คล่าสุดของ "นิกส์ เจฟฟรีส์" กับ "เดวิด ฟอกซ์" ผู้ก่อตั้งเชนร้านอาหาร "แทมโปโป้" (Tampopo) ได้รับแรงบันดาลใจจากการไปพบเจอร้านอาหารระหว่างเดินทางในเอเชียตะวันออก

โดยทั้งคู่ได้มอบหมายให้กลุ่ม "i-am" ช่วยพัฒนาและสร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ เพื่อเปิดตัว อีสต์ สตรีท ในลอนดอน ทั้งการตั้งชื่อ โลโก้ ลวดลายกราฟฟิก และการตกแต่งภายใน

เพื่อให้ร้าน อีสต์ สตรีท เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง ดูเป็นมิตรและอบอุ่น ดังนั้น ในทุกกระบวนการตั้งแต่การจัดหาพนักงาน การสร้างสรรค์เมนูต่างๆ ทั้งหมดล้วนสื่อถึงแบรนด์อาหารและการเดินทาง

"ทุกสิ่งล้วนได้แรงบันดาลใจจากการเดินทาง โดยเฉพาะในเอเชีย พวกเราต้องการจำลองบรรยากาศตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และร้านกาแฟข้างถนน เราต้องการรักษาบรรยากาศแบบดั้งเดิมไว้ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงประสบการณ์การนั่งอยู่ในตลาดริมถนน เก้าอี้และโต๊ะพลาสติกถูกสร้างขึ้นใหม่ เพื่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในร้านกาแฟยุ่งๆ ในฮ่องกงหรือเวียดนาม ซึ่งมีแสงไฟน้อยๆ ล้อมรอบไปด้วยป้ายไฟและเสียงจากในครัว"

"นิกส์ เจฟฟรีส์" กับ "เดวิด ฟอกซ์" แห่งร้านแทมโปโป้ บอกอีกว่า การเปิดร้านอาหารใหม่ในในลอนดอน ซึ่งมีร้านอาหารหนาแน่น คุณจำเป็นต้องแสดงให้เห็นความหลากหลายและสร้างความแตกต่างที่ชัดเจน สำหรับ อีสต์ สตรีท "i-am" ได้ช่วยเราสร้างเอกลักษณ์แบรนด์และมูลค่าซึ่งสร้างการจดจำได้ในทันทีเมื่อลูกค้าเข้ามาในร้าน


เห็นหน้าตาละม้ายคล้ายร้านอาหารในเอเชียแบบนี้ เชื่อหรือไม่ ร้านอาหารที่เห็นในรูปนี้ เป็นร้านอาหารใจกลางลอนดอนเลยนะ  และโปรดสังเกตุป้าย"โค้ก"ภาษาไทยกลางร้าน (ภาพบน)

ส่วนภาพด้านล่างเป็นส่วนหนึ่งในร้าน ละม้ายคล้ายร้านข้าวต้มโต้รุ่งริมถนนที่เราคุ้นตาในเมืองไทย  มีทั้งเก้าอี้พลาสติค และตู้โชว์สินค้าจากเมืองไทย เช่น น้ำปลาตราปลาหมึก ฯลฯ  


"อีสต์ สตรีท" เป็นผลงานการดีไซน์ของกลุ่ม "i-am" ร้านอาหารแห่งนี้ สว่างสไวไปด้วยป้ายโฆษณาที่แขวนอยู่บนเพดาน


ตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ขนาดยาว เก้าอี้สี่เหลี่ยมสีสันสดใส มีพวงเครื่องปรุงอาหารวางอยู่กลางโต๊ะ


ฝรั่งตาน้ำข้าวติดใจบรรยากาศ



ข้อมูลจากเว็บไซต์ dezeen.com/2012/03/18/east-street-by-i-am-associates/





 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2555   
Last Update : 24 พฤษภาคม 2555 18:54:58 น.   
Counter : 635 Pageviews.  


ภัยเงียบจากภาชนะ

ภัยเงียบจากภาชนะ
 


ปัจจุบันเรามีภาชนะบรรจุอาหารที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งภาชนะบรรจุอาหารแต่ละชนิด
 มีคุณสมบัติและส่วนประกอบของสารต่างๆ ที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ภาชนะบรรจุอาหารควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานและประเภทของอาหาร เพราะการใช้ภาชนะบรรจุอาหารผิดประเภทอาจนำอันตรายมาสู่เราอันเนื่องมาจากสารพิษเจือปนจากภาชนะได้ และหากมีสารสะสมในร่างกายเป็นเวลานานๆ อาจก่อให้เกิดเป็นโรคร้ายได้อีกด้วย เรามาดูตัวอย่างอันตรายจากภาชนะใกล้ๆ ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้


1.ภาชนะพลาสติก
         
ไม่ว่าจะอยู่ในรูปถุงพลาสติก, ถ้วยพลาสติก หรือฟิล์ม พลาสติกสำหรับห่ออาหาร ซึ่งนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ล้วนมีอันตรายหากนำมาใช้ผิดวิธีเพราะสารเคมีจากพลาสติกอาจละลายปนเปื้อนสู่อาหารและเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เราควรมีข้อระวังดังนี้
         
-ไม่ควรใช้บรรจุอาหารที่เป็นกรดหรือเปรี้ยวจัด เช่น ของหมักดอง น้ำส้มสายชู
         
-ถุงร้อนบางชนิดสามารถทนความร้อนได้ถึง 120 องศาเซลเซียส แต่อาหารที่ทอดใหม่ๆ อาจมีอุณหภูมิสูงกว่านี้ เพื่อความปลอดภัย จึงควรพักที่ตะแกรงให้อาหารคลายร้อนก่อนบรรจุใส่ถุง
         
-ไม่ควรใช้บรรจุอาหารที่ร้อนจัดหรือมีความมันมากๆ เป็นเวลานาน เนื่องจากพลาสติกสัมผัสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเหล่านี้อาจทำให้สารเคมีละลายปนเปื้อนสู่อาหารได้
         
-อย่าใช้ฟิล์มพลาสติกสัมผัสความร้อนโดยตรง ควรห่างกันอย่างน้อยประมาณ 1 นิ้ว เพราะหากฟิล์มได้รับความร้อนสูงอาจทำให้ละลายได้

         
อันตรายจากพลาสติก
         
การใช้ภาชนะพลาสติกผิดวิธีอาจทำให้มีการปนเปื้อนของสารเคมี ซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพได้ ตัวอย่างสารเคมีประกอบและผลกระทบต่อสุขภาพ
         
-สีที่ผสมในพลาสติก ส่วนมากเป็นสีสังเคราะห์ที่มีความบริสุทธิ์ต่ำ และมีโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว แคดเมียมเป็นส่วนประกอบ เมื่อรับประทานเข้าไปสะสมในร่างกายนานๆ อาจทำให้เกิดการก่อพิษเรื้อรัง
         
-สารพิษฟีนอล 60 (Bisphenol-A) เป็นสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการการทำพลาสติกบางชนิด จากการศึกษาวิจัยพบว่า สารชนิดนี้มีผลต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์ มีรายงานว่าทำให้หนูทดลองมีสารพันธุกรรมผิดปกติหลายลักษณะ ซึ่งนำไปสู่การก่อโรคมะเร็ง
         
-สารฟะทาเลต (Phthalate) เป็นสารที่ทำให้พลาสติกมีลักษณะนิ่ม จากรายงานวิจัยต่างประเทศระบุชัดว่าสาร Phthalate ในพลาสติกทุกประเภทเป็นตัวรบกวนฮอร์โมนในเพศชายอาจก่อให้เกิดอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศพบว่า มีความเสี่ยงต่อการเป็นหมัน รวมถึงทำให้อวัยวะเพศชายพิการ ผลิตอสุจิลดลง ส่วนเพศหญิงส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตเร็วผิดปกติเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูกได้
         
-อันตรายจากสารเคมีที่เจือปนในพลาสติก เช่น ไวนิล คลอไรด์มอนอเมอร์ (Vinyl Choride Monomer) สไตร์รีนมอนอเมอร์ (Styrene Monomer) ไดออกซิน (Dioxin) สารเหล่านี้ละลายปนเปื้อนสู่อาหารเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเป็นพิษอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดความผิดปกติทางระบบประสาทการทำงานของตับและก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้
         

2.ภาชนะเมลามีน
         
ชื่อเต็มว่า เมลามีนฟอร์มาลดีไฮด์ เป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา สวยงาม ตกไม่แตก แต่มีข้อระวังคือ
         
-ไม่ควรใช้บรรจุอาหารที่ร้อนจัดเกิด 100  องศาเซลเซียส เช่นน้ำเดือดหรือของทอดร้อนๆ
         
-ไม่ควรใช้บรรจุอาหารที่เป็นกรดหรืออาหารที่มีรสเปรี้ยว
         
-ห้ามนำเข้าเตาไมโครเวฟเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากเป็นพลาสติกชนิดที่ไม่ทนต่อความร้อนและพลังงานไมโครเวฟจะทำให้สารฟอร์มาลดีไฮด์ปนเปื้อนในอาหาร
         
-สำหรับโทษของสารฟอร์มาลดีไฮด์ หากมีการสะสมมากๆ ในระยะยาวทำให้เซลล์ในร่างกายเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดมะเร็งอวัยวะในระบบทางเดินหายใจและปอด

        
3.กล่องโฟมใส่อาหาร
         
ผลิตจากสารเคมีพอลิไตรีน ผ่านการอัดอากาศร้อยละ 90 จึงทำให้โฟมไม่ทนต่อความร้อน รวมทั้งอาหารที่ร้อนจัด หรืออุ่นในไมโครเวฟ สารดังกล่าวจะละลายได้ง่ายเมื่อถูกคราบมัน การละลายของกล่อมโฟมอาจทำให้มีสารเคมีชื่อสไตรีนออกมาปนเปื้อนอาหาร ซึ่งสารดังกล่าวก่อให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งและมีพิษต่อระบบประสาท



ขอบคุณ : หนังสืิอพิมพ์แนวหน้า




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2555   
Last Update : 24 พฤษภาคม 2555 18:38:23 น.   
Counter : 776 Pageviews.  


ความเชื่อผิด!ป่วยมะเร็งต้องกินแค่ผัก-ปลา

มะเร็ง โรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเป็น แต่เป็นแล้วใช่ว่าจะจบชีวิตลงทันทีเสียที่ไหน

หนทางรักษามีมากมาย ทั้งกินยา ผ่าตัด ฉายรังสี หรือยาเคมีบำบัด ซึ่งในช่วงการรักษาหรือตั้งแต่ที่ผู้ป่วยทราบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็ง ก็มักจะได้รับการบอกกล่าวและเชื่อตามกันมาว่า ต้องกินแต่ปลากับผักเท่านั้น เนื่องจากโปรตีนจากเนื้อสัตว์อื่นที่ไม่ใช่ปลาจะมีผลให้เซลล์มะเร็งเติบโต

นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ และอุปนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวระหว่างเสวนา "อาหารนั้นสำคัญไฉนในผู้ป่วยมะเร็ง" ว่า ความเชื่อดังกล่าว เป็นความเข้าใจที่ผิด! เพราะแม้ไม่กินอะไรเลย เซลล์มะเร็งก็ยังเจริญเติบโตได้อยู่ดี ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับสารอาหารหรือโปรตีนอย่างถูกต้องเพียงพอ จะทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร น้ำหนักตัวลดลง ร่างกายทนต่อการรักษาได้น้อยลง ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร

โดยเฉพาะช่วงหลังจากที่ป่วยผ่านการผ่าตัด ฉายรังสี หรือเคมีบำบัดไป ร่างกายยิ่งต้องการโปรตีนมากกว่าปกติ เพื่อรักษาเนื้อเยื่อในร่างกายและต่อสู้กับการติดเชื้ออักเสบ ดังนั้น การขาดโปรตีนจะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวช้า ความต้านทานการอักเสบต่ำ

ส่วน พญ.สิรกานต์ เตชะวนิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โภชนการ เผยว่า ผู้ป่วยมะเร็งต้องได้รับสารอาหารได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำ และวิตามินกับเกลือแร่ เพื่อต่อสู้กับมะเร็ง

โปรตีนที่ควรกินนั้น ประกอบด้วย เนื้อสัตว์ ปลา ไก่ ผลิตภัณฑ์จากนม ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วฝักแห้ง ถั่วฝักเมล็ดกลมหรือพี และถั่วเมล็ดแบนหรือเลนทิลส์ รวมถึงอาหารจากเต้าหู

ส่วนคาร์โบไฮเดรต อันเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ควรกินจากผัก ผลไม้ โฮลเกรนหรือธัญพืชเต็มเมล็ด ขณะที่ไขมันหรือน้ำมัน ควรเลือกที่ผลิตจากกรดไขมัน เว้นแต่ผู้ที่ปัญหาโรคหัวใจและคอเลสเตอรอลสูง ให้เลือกไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันพืช น้ำมันคาโนลา น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วพีนัท น้ำมันดอกทานตะวัน

สำหรับน้ำ ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เนื่องจากเป็นตัวช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น สุดท้ายวิตามินและเกลือแร่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและแข็งแรง ที่จำเป็นต้องได้รับ คือ วิตามิน A C และ E ธาตุเหล็ก แคลเซียม และโซเดียม

ทั้งนี้ ยังมีอาหารที่ควรจำกัด อย่ากินมาก คือ ประเภทไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ และอาหารที่ผ่านกระบวนการหมักเกลือ รมควัน ดอง ควรเลือกใช้วิธีอบหรือต้มในการปรุงอาหาร และที่สำคัญคือ งดดื่มแอลกอฮอล์

ทว่าผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดแล้วมีอาการข้างเคียงอย่างภาวะเม็ดเลือดต่ำ จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แนะให้งดอาหารไม่สุก ของหมักดอง เฉพาะกรณีที่เม็ดเลือดขาวต่ำ ให้งดผักและผลไม้สดไปชั่วคราว

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 16 กันยายน 2554   
Last Update : 16 กันยายน 2554 11:20:57 น.   
Counter : 527 Pageviews.  


พบมนุษย์แพ้อาหารเพิ่มขึ้น

สมัยก่อนเวลาเราจะเชิญแขกมารับประทานอาหารที่บ้านนับเป็นเรื่องง่าย แค่โทร.หาเพื่อน บอกว่าจะจัดงานเลี้ยง วันนี้ เวลานี้ ก็ได้แล้ว

แต่ปัจจุบัน รูปแบบการจัดงานเปลี่ยนไป เพราะต้องถามผู้ที่เราจะเชิญว่า คุณไม่รับประทานอาหารประเภทไหนบ้าง แพ้อาหารอะไรหรือเปล่า แขกหลายคนแพ้อาหารต่างชนิดกัน บางคนกินอันนี้ บางคนไม่กินอันโน้น สร้างความลำบากใจให้กับผู้ที่ทำอาหารเป็นอย่างยิ่ง จากการสำรวจคร่าวๆ พบว่า มีผู้แพ้อาหารมากขึ้น ชาวอเมริกัน 11 ล้านจาก 200 ล้านคน แพ้อาหาร และแต่ละปีมีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากการแพ้อาหารราว 150 ราย

ตามปกติแล้ว อาหารที่ผู้บริโภคมักแพ้ คือ นมวัว ไข่ ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ถั่วต่างๆ และปลา โดยน.พ.ฮิวจ์ แซมซั่น จากโรงพยาบาลเมาต์ไซไน มีความเห็นว่า

"มีจำนวนผู้แพ้อาหารมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมการกินเปลี่ยนไป เช่น ชาวตะวันตกมีผู้แพ้ถั่วเป็นจำนวนมาก อาจเป็นเพราะเรารอกินถั่วนานขึ้นกว่าสมัยก่อน เช่น โรงเรียนในอิสราเอลให้ "แบมบา" ซึ่งเป็นคอร์นพัฟฟ์และมีไส้เป็นเนยถั่วให้กับเด็กกินเป็นประจำ แต่เด็กๆ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ขณะที่เด็กเชื้อสายอิสราเอล ที่อยู่ในโรงเรียนอิสราเอล ประเทศอังกฤษ มีผู้แพ้ถั่วจำนวนมาก แม้ว่าโรงเรียนจะไม่ได้ให้แบมบากับเด็กกินเลยก็ตาม"

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2554   
Last Update : 28 สิงหาคม 2554 20:50:43 น.   
Counter : 425 Pageviews.  


พัฒนาไอคิวด้วย“ผัก-ผลไม้”

บำรุงสมองก่อนเรียนด้วยเมนูจาก “ผัก-ผลไม้” ใกล้ตัว เตรียมง่ายไม่ยุ่งยาก ทานประจำทำสมองแล่น

“โภชนาการอาหารที่ดี” เป็นปัจจัยสำคัญช่วยสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะมื้อเช้า ก่อนเข้าเรียน และใช้ความคิดระหว่างวัน จำเป็นต้องบำรุงสมองให้รู้สึกกระฉับกระเฉง แม้จะเป็นมื้อรีบเร่ง แต่ไม่ควรมองข้ามเมนูที่มี “ผัก-ผลไม้” เพราะบางประเภทมีคุณสมบัติดีต่อความจำสุด ๆ

1.แซนวิชทูน่าผักโขม ใน “ผักโขม” อุดมด้วยวิตามินอี โฟเลต ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม อัตราการเปลี่ยนแปลงของความจำช้าลง

2.ผัดบรอกโคลีหมูสับ ใน “ผักบรอกโคลี” ให้สารอาหารจำพวกวิตามินเอ, บี, ซี แคลเซียม โฟลิก ฟอสฟอรัส เหล็ก ไฟเบอร์ ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ บำรุงเซลล์สมองให้ทำงานเชื่อมโยงกันดียิ่งขึ้น

3.ผัดมะกะโรนีใส่ไก่ และมะเขือเทศ ใน “มะเขือเทศ” มีวิตามิน B1 ช่วยลดอาการอ่อนล้าของสมอง ส่วนสารแอนตี้ออกซิแดนท์อย่างไลโคพีน จะป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระที่พบในอาการของโรคอัลไซเมอร์

4.“กล้วยหอม ส้ม และแคนตาลูป” มีไฟเบอร์ วิตามิน ช่วยกระตุ้นความตื่นตัวของสมอง สำหรับกล้วยหอมหากทานเวลากลางวัน จะทำให้รู้สึกสดชื่น และตื่นตัว

5.“ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่” มีวิตามินซี ไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ระบบประสาท ป้องกันอาการความจำสั้น และพัฒนากล้ามเนื้อสมอง

“พลังสมองดี” เริ่มต้นง่าย ๆ ที่ “อาหาร” ข้างต้น หมั่นทานเป็นประจำ โดยสามารถประยุกต์เป็นเมนูหลายแบบได้ตามชอบ แล้วจะสัมผัสได้ถึงคำกล่าวที่ว่า “You are what you eat” บอกลาอาการอ่อนเพลีย อารมณ์เสีย ไม่มีสมาธิในการเรียนไปเลย

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 08 สิงหาคม 2554   
Last Update : 8 สิงหาคม 2554 15:28:54 น.   
Counter : 374 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

chiza_love
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add chiza_love's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com