Nichar love Beauty ^^ Beauty love Nichar
 
 

ผู้เชี่ยวชาญเตือน!! .. "ดื่มน้ำเยอะอาจถึงตาย"

ผู้เชี่ยวชาญเตือน!! .. "ดื่มน้ำเยอะอาจถึงตาย"

เรารู้มาว่าการดื่มน้ำจะช่วยไตขจัดพิษ ช่วยให้น้ำหนักลด แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดื่มน้ำวันละแปดแก้วนั้นไม่ดีทั้งหมดและอาจเป็นอันตราย

พวกเขากล่าว่าวิทยาศาสตร์ได้อ้างเป็นเวลายาวนาน รัฐบาลได้แนะนำมากกว่าเรื่องไร้สาระ กระทรวงสาธารณะสุข แพทย์ผู้มีชื่อเสียง และนักโภชนาการ แนะนำให้คนเราดื่มน้ำวันละ 1.2 ลิตร

อย่างไรก็ตามมีรายงานบรรยายอันตรายจากการเสียน้ำจากร่างกายที่เป็นตำนานและไม่มีหลักฐานอ้างว่าน้ำจะป้องกันโรคต่างๆสารพัดได้

กลาสโกธ์-เบส จีพี มาร์กาแรต แม็กคาร์นีย์ กล่าวว่าเว็บไซต์สถานพยาบาลทางเลือกได้แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน "มันไม่ใช่เรื่องไรสาระเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องไร้สาระที่ทำให้เชื่ออย่างผิดๆ"

เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า การกล่าวเกินจริงนั้นมีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงโดยองค์กรที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับแบรนด์ของน้ำดื่ม มีการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษ ที่

ดร.แม็กคาร์นีย์ชี้ให้เห็นว่าผลวิจัยแสดงว่าการดื่มน้ำเมื่อไม่กระหายน้ำ ทำให้เสียความเข้มข้นไปแทนที่จะทำให้สุขภาพดี ทั้งยังพบว่ามีสารเคมีในขวดน้ำที่จะส่งผลร้ายต่อสุขภาพ

การดื่มน้ำในจำนวนมากเกินไปจะทำให้สูญเสียเวลานอนเพราะต้องคอยลุกมาเข้าห้องน้ำในตอนกลางคืน และผลการศึกษายังแสดงว่ามันส่งผลเสียแก่ไต

ดร.แม็กคาร์นีย์ยังเตือนว่า การรับน้ำมากๆนั้นอาจนำไปสู่เงื่อนไขที่ทำให้ถึงตายที่เรียกว่า “ไฮโปแนทรีเมีย” (Hyponatremia) หรือ ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ทำให้เกลือในร่างกายลดลงและสมองบวม

ในปี 2003 แอนโทนี่ แอนดริว นักแสดงที่เกิดการเจ็บป่วยหลังจากการดื่มน้ำมากเกินไประหว่างฝึกซ้อมบท

บทความต่างๆจากแพทย์ที่อ้างว่าน้ำช่วยในการลดน้ำ หนักและยั้บยั้งความยากอาหารนั้นปัจจุบันไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดที่จะยืนยัน

ศาสตราจารย์สเตนเลย์ โกลฟราป ผู้เชี่ยวชาญด้านเมทาบอลิซึ่ม มหาวิทยาลัยแพนซิวาเนีย สหรัฐอเมริกา กล่าวถ้าเด็กดื่มน้ำเปล่าแทนที่จะดื่มน้ำอัดลมนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่มีหลักฐานว่าการดื่มน้ำจะยั้บยั้งความอยากอาหารระหว่างมื้อได้

เมื่อปีแล้วชาวอังกฤษบริโภคน้ำประมาณ 2.06 พันล้านลิตร เทียบกับปี 2000 มีการบริโภค 1.42 พันล้านลิตร แม้จะมีการดื่มน้ำเพิ่มขึ้นเราก็ยังคงดื่มชา 3 เวลา และเบียร์ 5 เวลา

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2554   
Last Update : 29 กรกฎาคม 2554 19:59:57 น.   
Counter : 489 Pageviews.  


เมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษควรทำอย่างไร

เมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษควรทำอย่างไร

"อาหารเป็นพิษ" คือ อาการท้องเดินเนื่องจากการกินอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนเข้าไปอาจเป็นสารพิษ ที่มาจากเชื้อโรค สารเคมี หรือพืชพิษ รวมถึงอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ อาหารกระป๋อง อาหารทะเล หรืออาหารค้างคืนที่ไม่ได้อุ่นก็ทำให้เป็นโรคนี้ได้เช่นกันค่ะ

อาการที่สังเกตเห็นอย่างเด่นชัด คือ จะ มีอาการท้องร่วง คลื่นไส้ และอาการปวดท้องอันเนื่องมาจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามมาด้วย แต่ถ้าคุณมีอาการท้องเสียมากๆ ร่างกายจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ บางคนอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่ อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตก็ทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษได้ แต่ถ้าพิษนั้นเกิดจากสารเคมีหรือพืชพิษบางชนิดจะมีผลต่อระบบประสาท เช่น ชัก หมดสติ และร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

เมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษควรทำอย่างไร....รักษาแบบอาการท้องเดินทั่วๆไป เช่น

- ถ้าคุณท้องเสียมากเกินไปควรดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำของร่างกาย

- ถ้ามีอาการทางระบบประสาท (เช่น ชัก หมดสติ) หรือสงสัยว่าจะเกิดจากยาฆ่าแมลงหรือสารพิษอื่นๆ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

- ถ้าท้องเสีย อย่ากินยาหยุดถ่ายนะคะ อาการท้องร่วงส่วนใหญ่มักจะหายได้เองเพราะการขับถ่ายเป็นกลไกธรรมชาติของ ร่างกายที่จะต้องขับของเสียออกจากร่างกายอยู่แล้วค่ะ

5 วิธีรับมืออาหารเป็นพิษ

1. การล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงและกินอาหาร

2. ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง

3. อย่านึกเสียดายอาหารที่เหลือจากเมื่อวานเลยค่ะ ยิ่งเป็นพวกที่มีกะทิด้วยแล้วยิ่งเสียง่ายมาก

4. ล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำไหล ถ้าแช่ด่างทับทิมได้จะดีมากเลย (ควรแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง)

5. ไม่ควรทิ้งเนื้อสดๆ ไว้นอกตู้เย็น เพราะอุณหภูมิที่ร้อนจะเร่งให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

แค่วิธีง่ายๆ เพียงเท่านี้ ก็ทำให้คุณสามารถรับมือกับอาหารเป็นพิษได้อย่างสบายๆ แล้วล่ะค่ะ หรือถ้าคนรักคนสนิทกำลังเจออาการป่วยอาหารเป็นพิษก็แนะนำต่อได้นะคะ

women.sanoo




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2554   
Last Update : 19 กรกฎาคม 2554 14:43:15 น.   
Counter : 445 Pageviews.  


13 สไตล์ กินระบายอารมณ์

1. ร่างกายที่มีผลต่ออารมณ์
ที่มาจาก 2 แหล่งของผลสะท้อนความรู้สึกคือ อาหารและสารเคมีในสมอง และปัจจัยที่ควบคุมได้ง่ายคือ อาหาร ด้วยการงดกินอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงอย่างไอศกรีม ข้าวเหนียว มันฝรั่งบด อาหารประเภททอด ขนมขบเคี้ยวต่างๆ น้ำอัดลม กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ที่นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน หลังจากกินไปได้ 2-4 ชั่วโมง จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแรง อารมณ์เซื่องซึม ตาหนัก ง่วงนอน

2. กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยมาก และมีรสไม่หวาน เป็นต้น เพราะร่างกายจะค่อยๆ ย่อยและดูดซึมช้าๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอ และหลังกินอาหารได้ 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนบางชนิด เพื่อสลายไกลโคเจน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน

3. เลือกกินเฉพาะแป้งที่ไม่หวาน
ไม่ได้เหมารวมทุกหมวด เพราะขนมปังและข้าวทุกชนิด คือแหล่งคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งช่วยให้เกิดความสงบ งานวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ สหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินขนมปังเพื่อต่อต้านอาการซึมเศร้า

4. ปรับเปลี่ยนเพื่ออารมณ์ดี
การปรับเปลี่ยนประเภทของอาหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ควรกินอาหารให้ครบมื้อ แต่ถ้าไม่มีเวลากินอาหารเป็นมื้อแบบกิจจะลักษณะ ควรเลือกของว่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนมปังโฮลวีทสักแผ่น หรือขนมปังกรอบธัญพืชสัก 2-3 แผ่น อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด หรือว่าจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ แต่กินบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตก

5. กินปลาแซลมอนและแมคคาเรล
ปลา 2 ประเภทนี้ มีโอเมก้า 3 ซึ่งยืนยันด้วยผลวิจัยว่าส่งผลต่ออารมณ์ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นแซลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียม ที่เป็นสารสำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย

6. ปรุงอาหารด้วยน้ำมันคาโนลาออยล์ (Canola Oil)
จากดอกคาโนลา ซึ่งกำลังได้รับความนิยมแทนน้ำมันพืชทั่วไป เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอี ซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ แต่ควรกินได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยใช้ทอดปลาแซลมอนหรือทำอาหารสุขภาพ

7. กินผักโขม ถั่วสด และถั่ว Chickpeas
ที่มีแต่โปรตีนไขมันต่ำอยู่สูง ในผักใบสีเขียวเข้มมีโฟเลตสูง มีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน ซึ่งช่วยให้อารมณ์อยู่ในระดับปกติ นอกจากนั้นการกินถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย การลองผสมถั่ว หรือเพิ่มผักใบเขียวลงในทูน่าสลัด นับเป็นไอเดียเริ่ดที่น่าทำมาก

8. กินพริกรสเผ็ด
ในพริกมี "สารแคปไซซิน" ส่งสัญญาณหลอกให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข เอนโดรฟิน แต่ควรระวังหากกินมากเกินไปอาจทำท้องไส้ปั่นป่วย

9. กินปวยเล้ง
ผักอารมณ์ดีที่อุดมด้วย "กรดโฟลิก" (Folic acid) ที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และช่วยให้เซลล์ใหม่แข็งแรงสมบูรณ์ การขาดนำไปสู่การลดการหลั่งของฮอร์โมนเซโรโทนินโดยตรง ซึ่งก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า การกินปวยเล้งสม่ำเสมอยังทำให้หลับง่าย หลับสนิทดีด้วย

10. กินกล้วยหอม
กระตุ้นการสร้างสาร "ซีโรโทนิน" และอุดมไปด้วย "ทริปโทโฟน" ช่วยลดอารมณ์ซึมเศร้า คลายเครียด และไม่อ้วน

11. กินถั่วเหลือง
ที่อุดมด้วยสารซีโรโทนิน เพิ่มความตื่นตัว กระฉับกระเฉง และ "โดไทโรซิน" เพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ

12. กินเชอร์รี่เป็นของหวาน
แพทย์ตะวันตก เรียกเชอร์รี่ ว่าเป็น "แอสไพรินธรรมชาติ" เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้มีสารที่ชื่อว่า "แอนโธไซยานิน" Anthocyanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีในเชอร์รี่ ทำให้เชอร์รี่มีสีสันสวยสดใส และสรรพคุณสำคัญ คือ ทำให้คนกินมีความสุข งานวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ชี้ว่าการกินเชอร์รี่ 20 ผล ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการกินยา

13. กินและปรุงอาหารด้วยกระเทียม
ที่อุดมด้วยสารเซเลเนียม (Selenium) สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น นักวิจัยเยอรมันแนะว่า การกินกระเทียมวันละ 2 กลีบ น่าจะเหมาะสม นอกจากนี้ กระเทียมยังมีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันในเลือดและรักษาโรคความดันโลหิตสูง

โดย :ต้นปาล์ม




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2554   
Last Update : 15 กรกฎาคม 2554 15:46:25 น.   
Counter : 411 Pageviews.  


ทานไข่วันละฟอง มากไปไหม ???

ไข่เป็นอาหารที่หาทานได้ง่าย สามารถประกอบอาหารได้หลายอย่าง แต่เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่ทางการแพทย์พบว่า ไข่ประกอบด้วยคลอเรสเตอรอล ที่ทำให้คลอเรสเตอรอลในเลือดสูง และทำให้อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด จึงมีคำแนะนำว่าในผู้ใหญ่ไม่ควรทานไข่เกินสัปดาห์ละ 3 ฟอง แต่จากการวิจัยในระยะหลัง ๆ พบว่า คลอเรสเตอรอลที่มีในไข่มีผลต่อคลอเรสเตอรอลในเลือดน้อยมาก ดังนั้นจึงเริ่มมีการรณรงค์ให้ทานไข่กันมากขึ้น และเพิ่มคำแนะนำให้ทานไข่วันละหนึ่งฟอง คำแนะนำใหม่นี้ใช้ได้จริงหรือไม่ เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย หรือเป็นเพียงคำโฆษณา

คุณค่าทางโภชนาการ

ไข่ เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารหลายชนิดอยู่ภายในไข่ ในไข่ขาวจะมีโปรตีนสูงและเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูงคือ มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย (Essential aminoacid) ส่วนในไข่แดงจะมีสารอาหารหลายชนิดได้แก่ โปรตีน ไขมัน วิตามันและแร่ธาตุ

ไขมัน ในไข่แดงส่วนใหญ่จะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว รวมถึง omega-3 ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งมีคุณค่าเหมือนไขมันในปลาแซลมอนและปลาทะเล ส่วนคลอเรสเตอรอลจะมีเฉพาะในไข่แดง ไม่มีในไข่ขาว

สารอาหารอื่น ได้แก่ ธาตุเหล็ก โฟลิก (Folic acid) ไรโบเฟลวิน (Riboflavin) โคลีน (choline) วิตามินเอ บี ดี และอี วิตามินที่ไม่พบในไข่คือ วิตามินซี

ธาตุเหล็กในไข่ มีคุณค่าเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ แต่เคี้ยวง่ายไม่เหนียวเหมือนเนื้อสัตว์ จึงเหมาะสมกับเด็กทารก และคนสูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟัน

โฟลิก เป็นสารที่ป้องกันเลือดจาง และป้องกันความพิการแต่กำเนิด มีความจำเป็นในหญิงที่ตั้งครรภ์

โคลีน (choline) เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างความจำ (Cognitive function) ช่วยพัฒนาการในเด็กที่กำลังเติบโต จะเห็นได้ว่าไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก ให้สารอาหารที่เกือบครบถ้วน ในขณะที่ราคาถูกกว่าอาหารอื่น ๆ ที่มีคุณค่าทางอาหารเท่ากัน สามารถทำเป็นอาหารได้หลายชนิด

ไข่กับคลอเรสเตอรอลและโรคหัวใจขาดเลือด

ใน วงการแพทย์มีความกังวลในคลอเรสเตอรอลที่มีอยู่ในไข่ที่อาจจะเป็นต้นเหตุของ ไขมันในเลือดสูง ซึ่งจะก่อปัญหาให้กับอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด แต่ในงานวิจัยที่พบภายหลัง พบว่าคลอเรสเตอรอลในไข่มีผลทำให้คลอเรสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย เท่านั้น ดังนั้นความกลัวคลอเรสเตอรอลในไข่เริ่มลดลง โดยสมาคมหัวใจของสหรัฐอเมริกา (American Heart Association หรือ AHA) ได้เปลี่ยนคำแนะนำในการทานไข่ ซึ่งจากเดิมไม่ควรเกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ เป็นวันละไม่เกินหนึ่งฟอง

ไข่วันละฟองทานได้หรือไม่ ?

ใน คนทั่วไป การทานไข่วันละฟองถือว่าไม่มากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันที่ไม่สามารถทานอาหารโปรตีนอื่นได้ แนะนำให้ทานไข่เป็นแหล่งของโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ ในคนสูงอายุถ้ามีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูง ในบางมื้ออาจหลีกเลี่ยงการทานไข่แดง ทานเฉพาะไข่ขาวเท่านั้น คนที่ไม่ควรทานไข่มากเกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์คือ คนที่มีไขมันในเลือดสูง และจำเป็นต้องควบคุมไขมันในเลือด ผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่ ก็คงต้องดทานเพื่อไม่ให้เกิดอาการแพ้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดี มีการผลิตไข่ที่สามารถทานได้ตลอดปี และมีแหล่งผลิตที่ดีและสะอาดราคาไม่แพง ดังนั้นเราจึงควรเลือกทานอาหารโปรตีนที่มาจากไข่มากกว่าการเลือกทานโปรตีน จากเนื้อสัตว์ ซึ่งคุณค่าทางอาหารสู้ไข่ไม่ได้

โดย :ต้นปาล์ม




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2553   
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2553 19:29:29 น.   
Counter : 398 Pageviews.  


“ขนมหวาน” ทานอย่างไร ไม่ให้ “อ้วน”

“ขนมหวาน” ทานอย่างไร ไม่ให้ “อ้วน”
สาวๆ หลายท่านชอบการรับประทาน “ขนมหวาน” เป็นชีวิตจิตใจ แม้จะชอบทานกันมากขนาดไหน สาวๆ หลายท่านก็ต้องมีปัญหาหนักใจเกี่ยวกับเรื่อง “น้ำหนัก” ที่เพิ่มขึ้นที่จะตามมา แล้วจะทานอย่างไรล่ะให้ไม่ “อ้วน” และมีรูปร่างที่เพรียวสวยเหมือนเดิม

รู้ปริมาณแคลอรี
ก่อนกินควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดูจากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ควรเลือกกิน หรือซื้อชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุด

ลดแคลอรี
การตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรี

ควบคุมสัดส่วนการกิน
กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก ไอศกรีม 1 ลูก คุณจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียว

ดื่มชาเขียว หรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม
กาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน 5 นาที หลังกินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่

ออกไปเดินเล่นรอบบ้านๆ ประมาณ 15 นาที
วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วย

30 นาที หลังกินของหวาน 5 ชั่วโมง
ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยก่อนและหลังออกกำลังกาย ควรดื่มชาเขียวร้อนหรือน้ำอุ่นเพื่อเสริมระบบเผาผลาญควบคู่ไปด้วย

งดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น
มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน


ที่มา
voicetv.co.th




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2553   
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2553 19:22:06 น.   
Counter : 544 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

chiza_love
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add chiza_love's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com