All Blog
เที่ยวมาร์ราเกช ประเทศโมร็อคโค
จากตอนที่แล้ว ประเทศโมร็อคโค เรารู้จักกันมากขึ้นแล้ว ตอนนี้ Shada พาเที่ยวเมืองมาร์ราเกช เรามารู้จักเมืองมาร์ราเกช กันก่อนค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้มีโปรแกม ที่จะไปเที่ยวเมืองนี้ค่ะ
เมืองมาร์ราเกชเป็นเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ของประเทศโมร็อคโค (ซึ่งตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก) ทั้งยังได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโก
จุดเด่นของเมืองมาร์ราเกชที่เห็นได้ชัดสำหรับผู้มาเยือนคืออาคารบ้านเรือนที่ถูกทาด้วยสีส้มเหมือนกันหมดทั่วทั้งเมือง ซึ่งเป็นข้อบังคับในการก่อสร้างอาคารของเมืองมาร์ราเกชให้ใช้โทนสีส้มลักษณะเดียวกันในการทาสี นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เมืองมาร์ราเกชถูกขนานนามว่าเป็น “อัล ฮัมรา” (Al Hamra) ในภาษาอาหรับ หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “เมืองสีแดง”



เมืองมาร์ราเกช (Marrakesh) เมืองสำคัญ 1 ใน 4 ของราชอาณาจักรโมร็อคโค ซึ่งเรียกกันว่า อิมพีเรียลซิตี้ (Imperial Cities) อันได้แก่ ราบัต เฟซ เมกเนส และมาร์ราเกช เมืองเหล่านี้เคยเป็นเมืองหลวงของโมร็อกโกในอดีตมาแล้วทั้งนั้น
มาร์ราเกช เป็นเมืองหลวงของประเทศมาถึง 3 ราชวงศ์ ได้แก่ ราชวงศ์เมเรนิดส์ ราชวงศ์วัตตาซิด และราชวงศ์อลาวิต ทั้งยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้วย
ใจกลางย่านเมืองเก่ามีจัตุรัสที่มีชื่อเสียงที่สุดของมาร์ราเกช ชื่อ เจมา เอล ฟนา (Djemaa El Fnaa) ซึ่งเป็นที่รวมผู้คนและ กิจกรรมของชาวมาร์ราเกช เจมา เอล ฟนา เป็นเสมือนเวทีการแสดงกลางแจ้งที่มีชีวิตชีวาและสีสันมากที่สุดในโลก เพราะมีการขายของนานาชนิด แผงขายถั่วและผลไม้แห้งนานาชนิด, ขายอาหารมากมายหลายร้าน การละเล่นพื้นเมืองของชาวพื้นเมือง รวมทั้งผู้มีดนตรีในหัวใจก็จะมาเปิดแสดงยังจตุรัสแห่งนี้ เป็นที่ทำมาหากินของหมอดู นักเล่นกล ช่างตัดผม ช่างถอนฟัน ขัดรองเท้า ตลอดเช้าจรดค่ำ แล้วที่โดดเด่นก็คือ รถเข็นขายน้ำส้ม ที่จอดเรียงรายกันเป็นทิวแถว



สถาปัตยกรรมในเมืองมาร์ราเกช สวยงามประทับใจทุกคนที่ได้มาเยือน ด้วยความเก่าแก่ ความมีเสน่ห์ถึงกับมีผู้กล่าวไว้ว่า “เป็นแอฟริกันยิ่งกว่าคาซาบลังกา เป็นโมร็อกกันยิ่งกว่าราบัต และเป็นเบอร์เบอะยิ่งกว่าเฟซ”
มาร์ราเกชเป็นเมืองใหญ่ลำดับที่ 2 ของโมร็อคโค รองจากคาซาบลังกา บรรยากาศของเมืองมีกลิ่นอายของชนบท มากกว่าโฉมหน้าที่เห็นว่าเป็นเมืองสมัยใหม่ของโมร็อกโก



สถานที่น่าเที่ยวใน เมืองมาร์ราเกช คือ พระราชวังบาเอีย (The Bahia Palace) สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักขอผู้สำเร็จราชการที่ส่งมาจากฝรั่งเศสเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ลักษณะภายนอกเป็นอาคารแบบเรียบๆ แต่ภายในตกแต่งด้วยศิลปะสวยงามที่สุด



สุเหร่ากูตูเบีย (Koutoubia Minaret) เป็นสุเหร่าที่มีหอคอยสูงตระหง่าน 70 เมตร สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 12 ได้ชื่อว่าเป็นอนุสรณ์สถานของชาวมุสลิมที่สมบูรณ์ที่สุดในแอฟริกาเหนือ



นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง ยังสามารถเดินทางออกนอกเมืองเพื่อสัมผัสธรรมชาติที่หุบเขาโอริก้า บนเทือกเขาไฮแอตลัส ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองมาร์ราเกชไปทางตอนใต้ประมาณ ๖๐ กิโลเมตร เทือกเขาไฮแอตลัสเป็นแนวเทือกเขาสำคัญที่กั้นเมืองมาร์ราเกชกับทะเลทรายซาฮารา บรรยากาศบนหุบเขาซึ่งมีความสูงกว่า ๓,๐๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และมีหิมะปกคลุมที่ยอดเขาตลอดปี เป็นบรรยากาศที่ไม่คิดว่าจะพบได้ในทวีปแอฟริกา บางท่านเห็นภาพนี้แล้วคิดว่าเป็นยุโรป
เทือกเขาไฮแอตลาส อันสูงตระหง่าน....เทือกเขานี้กั้นความชื้นจากทะเลทำ ให้ดินแดนทางตอนใต้ของ เทือกเขาแห้งแล้ง...เป็นทะเลทรายซาฮารา โมร็อกโกมีเทือกเขาสูงอยู่ สามช่วง ทางเหนือสุดคือเดอะรีฟ (The Rif) ภาคเหนือตอนกลางคือมิดเดิลแอตลาส และกลางประเทศคือไฮแอตลาส ทำให้ภูมิประเทศมีความหลากหลายมาก ทั้งชุ่มชื้น ทั้ง แห้งแล้ง



หวังว่า ทุกๆท่านจะรู้จักเมืองมาร์ราเกช กันมากขึ้นนะค๊ะ ขอบคุณทุกแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์ค่ะ
ต่อไปนี้ตาม Shada มาเที่ยวเมืองมาร์ราเกช กันเลยค่ะ เราเดินทางจาก Kotoka airport โดย Royal Air Moroc ตอนดึก ถึง Casablanca ตอนเช้า



จากนั้นเราก็นั่งรถไฟไป มาร์ราเกช วิวข้างทางรถไฟสวยมากๆสวยกว่าทีเห็นในรูปเยอะเลยค่ะ




ถึงมาร์ราเกชก็เย็นพอดี




เมื่อเช็คอินแล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะออกไปเที่ยวราตรีที่ จัตุรัสจามา เอล ฟนา ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์อีกแห่งที่น่าเที่ยวของประเทศโมร็อคโค เป็นจัตุรัสการค้าที่ใหญ่ที่สุดของทวีปแอฟริกา และถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองมาร์ราเกช ถ้าใครมามาร์ราเกช แล้วไม่มาที่นี่ ก็เหมือนมาไม่ถึง พอดีเราพักไม่ไกลเดินไปนิดเดียวเองค่ะ




ไปหาอะไร กินกันก่อนหิวแล้วค่ะ มีร้านขายอาหารมากมายหลายร้าน แต่ละร้านก็เรียกลูกค้ากันอย่างจริงจัง อาหารมีให้เลือกหลายอย่างหลายชนิดค่ะ






ปลาหมึก และหอยลวก ร้อนๆค่ะ




Shada ลองสั่งTajineมาลองกินดูค่ะ Tajineเป็นแกงขลุกขลิกมีเนื้อสัตว์ต้มเปื่อยกับเครื่องเทศ และผักต่างๆ เช่นแครอท มะเขือ แตง อร่อยค่ะ และมีเครื่องเคียงมาให้ด้วย หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศหั่น โอลิฟ และขนมปังแข็งๆแผ่นใหญ่ๆ มีน้ำจิ้มให้ด้วยค่ะ






กินเสร็จแล้วมีแรงเดินสำรวจแผงขายผลไม้แห้ง ได้ อัลมอนมาค่ะ






คนขายใจดีให้ถ่ายรูปได้ ที่นี่บางคนเขาไม่ชอบเราให้ถ่ายรูปเขา เราต้องถามเขาก่อนค่ะว่าถ่ายได้ใหม




กลับไปพักผ่อนเอาแรงพรุ่งนี้ จะได้มีแรงไป ช็อปกันค่ะ




หลังจากทานอาหารเช้าแล้วเราก็ออกมาเดินช็อปกันเลยค่ะ พอ ออกมาถึงปากซอย โอ้แม่เจ้า ทำไมมันยุ่ง วุนวาย รถติดคนติดม้าลาก็ติด ติดไปหมด แต่ก็สนุกดีค่ะ เราไม่เคยเห็นสิ่งแปลกๆใหม่ๆก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา หุหุ



ที่ใกล้ ๆ จัตุรัสยังเป็นแหล่งตลาดพื้นเมืองที่เรียกว่า “ซุค” ซึ่งเป็นแหล่งชอปปิ้งสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือ เครื่องประดับ งานหัตถกรรม เครื่องแก้ว เครื่องกระเบื้อง เครื่องเหล็ก ฯลฯ มาซื้อของที่นี่ต้องต่อราคานะค๊ะ แต่ถ้าพูดภาษาอาหรับ (ซึ่งเป็นภาษาราชการ) กับฝรั่งเศส (ซึ่งเป็นภาษาที่คนที่นี่พูดกันได้ทั่วไป เพราะโมร็อคโคเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส)ไม่ได้ ก็คงจะลำบาก ภาษาอังกฤษที่นี่ใช้ได้อย่างจำกัดมาก ๆ แต่ต่อราคาใช้ภาษามือได้ค่ะ



ถ้วยมีฝาปิด เวลาเราสั่ง Tajine เป็นอาหารพื้นเมืองที่นี่ เขาจะใส่ถ้วยพร้อมฝาปิดมาให้ถ้าเราไปกินตามร้านอาหาร แต่ไม่ใช่ที่จัตุรัสฯ นะค๊ะ จะมีภาพให้ดู ตอนไปกินร้านอาหาร ตอนต่อไปค่ะ




โคมไฟ สีฉูดฉาด บาดใจจริงๆ มีให้เลือกหลายแบบค่ะ




ประตูสวยๆมีให้เห็นตลอดค่ะ




เดินมาถึงแถวๆ จัตุรัสจามาเอลฟนา จากที่เห็นแผงขายของต่างเต็มไปหมดตอนกลางคืน ตอนนี้โล่งมาก มีเพียงรถเข็นขายน้ำส้มคั้น และ ช่างขัดรองเท้า เขาจะมาขายกันเยอะมากๆช่วงเย็นค่ะ



ร้านอาหาร มีวิวให้ชมชั้นสอง Shada ลองไปนั่งกินชั้นสอง บรรยากาศดี นั่งกินไปมองวิวไปได้บรรยากาสอีกแบบ และตึกแถวนั้น




ช่างขัดรองเท้าทำงานกันอย่างขะมักเขม้น





รถเข็นขายน้ำส้มคั้นสดๆ ดื่มแล้วหวานชื่นใจดีค่ะ และชุดพื้นเมืองก็มีให้เห็นเป็นประจำแถวนี้





เรากำลังจะเดินไปที่สุเหร่ากูตูเบีย (Koutoubia Minaret) ที่เห็นไม่ใกล้ไม่ไกลนั่นค่ะ





เดินเข้ามาแล้ว หันกลับไปถ่ายรูป ทางเข้าค่ะ




ข้างในมีส้มปลูกเป็นแถวสวย และด้านหลังถัดไปเป็นเหมือนสวนสาธารณะค่ะ มีดอกกุหลาบดอกใหญ่ๆ กลื่นหอมมากๆ




เดินกลับไปที่พัก ผ่านร้านขาย เนื้อย่าง ไก่ย่างแต่ไม่มีหมูนะจ๊ะ นายจ๋า แขกกลัวจ้า กลื่นหอมน่ากินมากๆ ตอนขาไปเดินผ่าน ยังมีเต็มเลยขากลับมาเหลือน้อยแล้ว สงสัยขายดี




พรมสวยๆจ้า ดากแดดไปด้วย โชว์ขายไปด้วยจ้า




ติดตามตอนต่อไปชม พระราชวังบาเอีย (The Bahia Palace) สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักขอผู้สำเร็จราชการที่ส่งมาจากฝรั่งเศส ค่ะ



Create Date : 30 มกราคม 2552
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2552 13:42:03 น.
Counter : 7423 Pageviews.

9 comment
ประเทศโมร็อคโค
โมร็อคโคเคยเป็นอาณานิคมของสเปนและฝรั่งเศส จึงได้รับอิทธิพลจากยุโรป เบิ้ลด้วยระยะทางแสนใกล้ หลับตาข้างซ้าย ลืมตาข้างขวา คุณอาจคิดว่า กำลังนั่งรถอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนในยุโรป แต่ถ้าบังเอิญลืมตาพร้อมกันทั้งสองข้าง คุณจะเห็นความเป็นแอฟริกาปนอาหรับ เมืองนี้จึงสวยเป็นระเบียบนิด ๆ สับสนปนสกปรกหน่อย ๆ อาคารบ้างก็คล้ายยุโรปตอนใต้ บ้างก็คล้ายเปอร์เซีย อ่านแล้วพอเห็นภาพบ้างไหม



แอฟริกาเป็นทวีปใหญ่เป็นอันดับสองของโลก พื้นที่กว่า 30 ล้านตารางกิโลเมตร มีประเทศอยู่ตั้ง 53 ประเทศ หากแบ่งตามสภาพภูมิประเทศเป็น 2 ส่วน ด้านเหนือคือเขตแห้งแล้ง เป็นที่ตั้งของ Sahara ทะเลทรายใหญ่สุดในโลก พื้นที่รวมกันมากกว่า 9 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าทวีปออสเตรเลียด้วยซ้ำ ทะเลทรายแห่งนี้ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ รวม 11 ประเทศ เช่น อียิปต์ ลิเบีย ตูนีเซีย และโมร็อคโค ด้านใต้เป็นเขตที่ราบสูง ป่าดิบชื้น และทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เป็นที่อาศัยของสรรพสัตว์มหาศาล แต่เราจะไม่กล่าวถึง



โมร็อคโคเป็นประเทศอยู่ริมขอบแอฟริกาเหนือ เยื้องไปทางตะวันตก อยู่ติดทั้งทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนและทั้งมหาสมุทรแอตแลนติก โมร็อคโคห่างจากยุโรปนิดเดียว โดยมีช่องแคบ Gibraltar กั้นขวาง หากวัดส่วนแคบสุด จาก Point Marroqui ในสเปน ถึง Point Cires ในโมร็อคโค ระยะทางเพียง 13 กิโลเมตร แต่มีความสำคัญสุดแสน เพราะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างเมดิเตอร์เรเนี่ยนกับแอตแลนติก ในปัจจุบัน อังกฤษยังมีฐานทัพและอาณานิคมโพ้นทะเลอยู่แถบนี้ ตั้งชื่อตามช่องแคบว่า Gibraltar



ขอเริ่มเรื่องด้วยความรู้ทั่วไป ประเทศโมรอคโคอยู่ทางเหนือของทวีปแอฟริกา เยื้องไปทางตะวันตกเล็กน้อย ด้านเหนือติดทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนและมหาสมุทรแอตแลนติก ด้านตะวันออกและด้านใต้ติดประเทศอัลจีเรียและทะเลทรายซาฮาร่า โมรอคโคมีพื้นที่ 446,550 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าประเทศไทยนิดหน่อย
ภูมิประเทศแบ่งเป็น 3 ส่วน ริมมหาสมุทรมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนี่ยน อบอุ่นและแห้ง พบเขตชุ่มชื้นเป็นหย่อม เป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ เมืองใหญ่อยู่รวมกันด้านนี้ เช่น Rabat (เมืองหลวง) Casablanca Fes Marrakech ตรงกลางเป็นเทือกเขา Atlas บางส่วนปกคลุมด้วยหิมะ ยอดเขาสูงสุดชื่อ Jebel Toubkal (4,165 เมตร) ด้านใต้เป็นเขตแห้งแล้งและทะเลทรายซาฮาร่า เป็นแหล่งฟอสซิลสำคัญแห่งหนึ่งของโลก



จาก ตามรอยพระบาท เสด็จประพาสโมร็อคโค โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
โมรอคโคมีประชากร 32 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาว Berber หรือชนพื้นเมืองในเขตทะเลทราย ใช้ภาษาอาราบิกเป็นหลัก ยังใช้ภาษาฝรั่งเศสและสเปนได้ดี เพราะเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและสเปน แต่แทบไม่พูดภาษาอังกฤษ โมรHอคโคใช้เงินสกุล Dirham เวลาช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง
นั่นเป็นความรู้ทั่วไปที่ผมพยายามเรียบเรียงมา แต่ถ้าถามความรู้แบบชาวบ้านล่ะ ผมทดสอบโดยหา key word เกี่ยวกับประเทศโมรอคโค โดยถามลูกศิษย์รอบกายผู้ไม่เคยไป ได้คำว่า "เจ้าหญิงลัลลา" หรือพระนามเต็ม เจ้าหญิงลัลลา ซัลมา เบนนานี พระชายาในสมเด็จพระราชาธิบดี โมฮัมเหม็ดที่ 6 กษัตริย์แห่งโมรอคโค เจ้าหญิงพระองค์นี้เป็นที่รู้จักทั่วไทย ครั้งพระองค์เสด็จมาร่วมในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี ในพ.ศ.2549



ในราชวงศ์ของโมร็อคโค ประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์เหมือนบ้านเรา แต่เมื่อเปิดดูประวัติศาสตร์ ยาวเหยียดย้อนยุคไปหลายพันปี มีราชวงศ์ต่าง ๆ ผลัดกันครองอำนาจ ขืนนำมาเล่าให้คุณฟังตั้งแต่ปฐมกษัตริย์ เขียนกันสองเดือน เนื้อเรื่องไม่เดินหน้าไปไหน อย่ากระนั้นเลย เราตัดฉับเฉพาะช่วงกอบกู้อิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและสเปน มาจนถึงยุคปัจจุบัน แค่นั้นน่าจะเหมาะ
ประวัติศาสตร์ตอนนั้น เริ่มจากสุลต่านโมฮัมเหม็ด เบน ยัสเซ็น เริ่มมีบทบาทในการเมืองของพระเทศ พระองค์ทรงพยายามทุกวิถีทาง จนโมร็อคโคกลายเป็นประเทศอิสระ ได้ดินแดนทั้งจากฝรั่งเศสและจากสเปนกลับคืนมาจนครบ องค์สุลต่านกลายเป็นกษัตริย์ มีอำนาจสมบูรณ์แบบ พระนามว่า กษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5
จนถึงค.ศ.1961 กษัตริย์สวรรคต เจ้าชายรัชทายาทขึ้นครองราชย์ กลายเป็นกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 กษัตริย์พระองค์นี้ยังทรงครองราชย์อยู่ ในครั้งที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เสด็จเยือนโมร็อคโค พระองค์เพิ่งสวรรคตในค.ศ.1999 เจ้าชายรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ต่อ พระนามว่า กษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่6



ระบอบการปกครองของโมร็อคโค มีส่วนคล้ายระบอบการปกครองในประเทศตะวันออกกลาง พระเจ้าแผ่นดินมีอำนาจมากกว่าระบอบการปกครองของเมืองไทย พระองค์สามารถปลดรัฐบาลได้ แต่พระองค์วางตัวเป็นกลาง พยายามเข้าถึงประชาชน มีโครงการพัฒนาต่าง ๆ ทำให้คนโมร็อคโครักกษัตริย์ของพวกเขา
พระนามของกษัตริย์ทั้งสองผู้ล่วงลับไปแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับสถานที่สำคัญ เช่น มัสยิดฮัสซันที่ 2 แห่งเมืองคาซาบลังก้า สนามบินโมฮัมเหม็ดที่ 5 สนามบินแห่งชาติ รวมถึงสุสานกษัตริย์ Mausoleum of Mohammed V แห่งเมืองราบัต เมื่อกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 สวรรคตระหว่างการผ่าตัดในค.ศ.1961 ทั่วประเทศช็อคไปพักใหญ่ เพราะพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ เป็นผู้กอบกู้อิสรภาพให้โมร็อคโค เคราะห์ดีที่กษัตริย์ฮันซันที่ 2 ทรงปกครองอย่างชาญฉลาดสืบต่อจากพระราชบิดา ประเทศจึงคงอยู่ต่อไปอย่างราบรื่น ประชาชนล้วนระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5เมื่อจะสร้างสุสานให้พระองค์ รัฐบาลจึงเลือกสถานที่ตั้งใจกลางเมือง บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของมัสยิดเก่าแก่ Hassan Mosque ที่สร้างมาเมื่อเกือบหนึ่งพันปีก่อน ประวัติตอนนี้น่าสนใจ ผมจึงอยากพาคุณย้อนยุคสักนิด



ในศตวรรษที่ 11 อาณาจักร Al-Andalus ครองอำนาจทั้งดินแดนแถบนี้ ข้ามไปถึงทางใต้ของยุโรป ผู้คนนับถือศาสนาอิสลาม พากันสร้างมัสยิดเรืองนามไว้หลายแห่ง ทุกมัสยิดย่อมมีหอศักดิ์สิทธิ Minaret แต่ทอดตาทั่วราชอาณาจักร มีเพียง 3 สุดยอด The Three Towers ที่ยิ่งยง
แห่งหนึ่งคือ Koutoubia Mosque สร้างในเมือง Marrakech ถือเป็นต้นแบบ แห่งที่สองสร้างไล่เลี่ยกันชื่อ Seville เป็นเมืองใหญ่ตอนใต้ของสเปน ปัจจุบัน ถูกดัดแปลงเป็นหอระฆัง Giralda Tower ใครไปเที่ยวสเปนอาจเคยเห็น
แห่งสุดท้ายคือหอสูงแห่ง Hassan Mosque เมืองราบัต กษัตริย์ตั้งใจจะสร้างให้สูงใหญ่กว่าที่ไหน หอสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 16 เมตร สูง 80 เมตร น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ เมื่อสร้างขึ้นไปสูง 44 เมตร กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่สวรรคต จึงทิ้งไว้เพียงแค่นั้น จนถึงค.ศ.1755 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ มัสยิดจึงล่มสลาย เหลือเพียงเสากับหอยักษ์ให้เราชม



ขอขอบคุณทุกแหล่งข้อมูลมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ ทำให้เรารู้จัก โมร็อคโค กันมากขึ้น Shada จะพาไปเที่ยว มารร์ราเกช ค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไป สวัสดีค่ะ



Create Date : 30 มกราคม 2552
Last Update : 30 มกราคม 2552 19:01:48 น.
Counter : 16068 Pageviews.

42 comment
ฮอลแลนด์แดนกังหัน, ดอกทิวลิป
เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: Nederland ; อังกฤษ: the Netherlands) หรือที่มักเรียกกันว่า ฮอลแลนด์ (Holland) หรือ "ฮอลันดา"มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (Kingdom of the Netherlands) มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Neder” หรือ “ต่ำ” เนื่องจากภูมิประเทศส่วนใหญ่ของเนเธอร์แลนด์เป็นที่ราบลุ่ม และพื้นที่ประมาณหนึ่งในสี่ของประเทศต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เนเธอร์แลนด์ได้ปรับพื้นที่โดยการสูบน้ำออกจากทะเลสาบและทางน้ำต่าง ๆ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้ เนเธอร์แลนด์จึงมี เขื่อน ทางระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศประสบภาวะอุทกภัย เนเธอร์แลนด์จึงมีสิ่งก่อสร้างด้านวิศวกรรมการจัดการน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
เมืองที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเนเธอร์แลนด์ เช่น อัมสเตอร์ดัม ร็อตเตอร์ดัม กรุงเฮก เดลฟ์ท
•Keukenhof สวนดอกทิวลิป
•IJsselmeer Outdoor Museum/ The Zuiderzee Museum เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่แสดงวิถีชีวิตของชาวดัตช์ในสมัยโบราณ อาหารการกิน บ้านเรือนและสถาปัตยกรรม
•เมือง Giethorn Water City ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น Venice of Holland เป็นเมืองที่อาศัยกับลำน้ำคูคลองมีเทศกาลพาเรดกลางน้ำในตอนกลางคืนให้ชม วิธีการชมก็คือการนั่งเรือออกไป
•Archeon Park, อยู่ที่ Alphen aan den Rijn เป็นกึ่งสวนสนุกและพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ มีการจัดบรรยากาศให้มีความโบราณ ไล่มาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโรมัน ยุคกลาง ฯลฯ การจัดแสดงและสื่อความหมายใช้คนแสดงเป็นหลัก
•Efteling Park, ที่ Kaastsheuvel เป็นสวนสนุกที่มีบรรยากาศเป็นอุทยานหรือสวนสาธารณะที่เป็นธรรมชาติ เคยได้รับรางวัล Applause award ว่าเป็นสวนสนุกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หากใครเคยไปสวนสนุกแบบอเมริกัน เช่นดิสนีย์แลนด์มาแล้ว Efteling ให้รสชาติอีกแบบหนึ่งไม่แพ้กันเลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia





เราไปพัก (ห้องนอน+ อาหารเช้า Bed and Breakfast) สะดวกดีค่ะ เพื่อนสามีเขาจัดการให้ ไม่ไกลจาก สถานีรถไฟ เราไปช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนฤดู มีแดดจนถึงสองทุ่มกว่า มีกลางวันยาวกว่ากลางคืน




พลาดไม่ได้กับการนั่งเรือชม วิวสองฝั่ง ชมอาคาร การก่อสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัว




ชอบความคิดที่ใช้จักรยาน ปั่นไปทำงาน บางคนใส่สูทเสียหล่อเชียว แต่ปั่น
จักรยานเก่าๆไปทำงาน ช่วยลดมลภาวะเป็นพิษ ประหยัด ได้ออกกำลังกาย
ทำให้ปอดดี กล้ามเนื้อแข็งแรงด้วย




เราตั้งใจจะไปดูสวนดอกไม้ที่ Keukenhof เป็นสวนดอกทิวลิป ที่สวยงามมากๆ เจอนักท่องเที่ยวชาวไทยหลายๆท่าน บรรยากาศผ่อนคลาย อากาศไม่หนาวมากนักในช่วงนั้น เหมาะสำหรับพักผ่อนย่อนใจ คลายเครียดได้ดีมากๆ




เราใช้เวลาทั้งวันอยู่ในสวนทิวลิป มีดอกไม้ให้ชมหลายชนิด เช่น เรือนกล้วยไม้ แต่ไม่ได้เอามาให้ชมเพราะเมืองไทยมีกล้วยไม้สวยงามมากมาย ชอบการแต่งสวนด้วยน้ำตก และน้ำไหลลงมาเป็นชั้นๆ เย็นตาเย็นใจจริงๆ จนไม่อยากกลับเลยอยากจะนอนเสียในสวนเลย




แต่ยังไงเราก็ต้องกลับ เพราะว่างานเลี้ยงยังมีวันเลิกลา มีพบย่อมมีจากเป็นธรรมดา ลาก่อน ฮอลแลนด์แดนกังหันและ ดอกทิวลิป





Create Date : 28 มกราคม 2552
Last Update : 28 มกราคม 2552 20:14:55 น.
Counter : 2231 Pageviews.

7 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

shada
Location :
น้ำหนาว เพชรบูรณ์ , เกาะพงัน สุราษฯ  Ghana

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



พระไตรปิฏก เป็นตาที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นหูที่วิเศษยิ่ง พระไตรปิฏก เป็นจมูกที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นลิ้นที่วิเศษยิ่ง พระไตรปิฏก เป็นกายที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นใจที่วิเศษยิ่ง พระไตรปิฏก เป็นครู-อาจารย์ที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นพ่อ-แม่ที่วิเศษยิ่ง พระไตรปิฏก เป็นมิตรและเข็มทิศที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นแผนที่และป้ายบอกทางที่วิเศษยิ่ง
พระไตรปิฏก เป็นแสงสว่างส่องทางสู่นิพพานที่วิเศษยิ่ง

ธรรมวินัยอันพระตถาคตเจ้าประกาศแล้วเปิดเผย ไม่กำบังจึงรุ่งเรือง (เล่ม ๑๐ หน้า ๔๖๕_ปกน้ำเงิน)
บัญญัติของพระพุทธเจ้า จากพระไตรปิฎกชุด 91 เล่ม ของมหามกุฎราชวิทยาลัย เล่ม 3
(ปกสีแดง หน้า 887 ปกสีน้ำเงิน หน้า 940)
พระบัญญัติ อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่ง ทอง-เงิน หรือยินดี ทอง-เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์(นิสสัคคียปาจิตตีย์ 1 ตัว ต้องตกโรรุวนรก 1 ชั่วอายุ คือ 4,000 ปีของนรกขุมนี้ เท่ากับ 840,960,000 ล้านปีมนุษย์)

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.ให้ไว้ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535
เป็นปีที่ 47 ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภาดังต่อไปนี้ มาตรา 15 ตรี มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
...(4)รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา
**หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา(โยมควรเรียนรู้) ทำบุญแล้วเป็นบาป ตกนรกทั้งพระและโยม
1.ตักบาตรด้วยเงินและทอง
2.ตักบาตรด้วยสิ่งของที่ต้องห้าม ข้าวสารอาหารแห้ง-ดิบ
3.ทำบุญกับพระทุศีล(ผิดศีลธรรมและไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย)รับเงิน รับทอง มีบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นของตนเอง มีบัตรเอทีเอ็ม มีบัตรเครดิต
4.ฯลฯ
จากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลไทยฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย 91 เล่ม
**ชาวพุทธทั้งหลาย ขอให้อธิษฐานเพื่อถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนี้
"ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญของข้าพระพุทธเจ้าให้เข้าไปรวมเป็นพระราชกุศลของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พลังบุญทั้งหลาย ที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อพสกนิกรและราชอาณาจักร ขอบุญนั้นทั้งหมด จงเป็นพลังขับดันโรคภัยทั้งหลายที่กำลังเกิดในพระวรกายของพระองค์ให้อันตรธานไป"

จากหลักฐานเทียบเคียงของการใช้สัจอธิษฐาน ในพระไตรปิฎก 91 เล่ม ฉบับมหามกฎราชวิทยาลัย เล่ม 74 หน้า 447-479 ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 มาตรา 1, 3, 341, 342 และ 343 หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ (www.samyaek.com) ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ขอจงพิจารณาเอาเถิด เพราะไม่บังคับให้ใครมาเชื่อหรือทำตาม เพียงแต่นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย เพื่อให้ชาวพุทธปฏิบัติได้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ยินดีในบุญกับทุกท่านที่รวมใจกันเปิดเผยพระธรรมวินัยให้รุ่งเรือง ค่ะ

ชฎา มีโครงการ จะเปิด บ้านพักตากอากาศ ติดถนน ติดทะเล ไม่ไกลจาก ท่าเรือ ท้องศาลา บรรยากาศ เหงียบ สงบ เป็นธรรมชาติ ให้เช่าที่เกาะพงัน

"สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด"