It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
All blogs
 

ย่ำไปในกรุงไคโร (Cairo) ประเทศอียิปต์

โดย : มานพ จันทรฯ



บนโลกกว้างใบนี้ยังมีหลายสิ่งที่น่าเรียนรู้อีกมากทั้งโลกอนาคตและโลกในอดีต
บนโลกกว้างใบนี้ยังมีหลายสิ่งที่น่าเรียนรู้อีกมากทั้งโลกอนาคตและโลกในอดีต สำหรับผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์แล้ว การได้ท่องไปในเมืองเก่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง

กรุงไคโร (Cairo) เป็นเมืองหลวงของประเทศอียิปต์ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ บนฝั่งขวาของแม่น้ำไนล์ ถึงแม้จะอยู่ในแอฟริกาแต่ไคโรก็มีความร่วมสมัยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมืองอื่นๆ ของโลก เนื่องจากที่ตั้งของประเทศอียิปต์ มีอาณาเขตใกล้ชิดกับทวีปเอเชียและยุโรป มิอาจต้านกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่ไปได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามไคโรก็ยังมีความงามดั้งเดิมในอดีตปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป ในฐานะเมืองที่มีความเจริญทางอารยธรรมของโลก




ชื่อเมือง "ไคโร" ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า “ชัยชนะ” มีความเชื่อว่าเกิดจากการมองเห็นดาวอังคารในช่วงที่ก่อสร้างเมือง และดาวอังคารเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการทำลายล้าง อย่างไรก็ตามในอีกความเชื่อหนึ่ง ชื่อไคโรมาจากการที่เมืองไคโรเป็นเมืองที่รบชนะทุกกองทัพที่มาตีเมืองไคโร ทั้งกองทัพมองโกล กองทัพครูเสด หรือแม้แต่กองทัพของจักรวรรดิออตโตมัน ในสมัยโบราณ


นครไคโร ถือเป็นศูนย์กลางทางการศึกษา อารยธรรม ศิลปะ การพาณิชย์อุตสาหกรรมและโบราณคดี มีพีระมิด, สฟิงซ์, มัสยิดที่สวยงามหลายแห่ง รวมทั้งป้อมปราการ มหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ต่างๆ จึงเป็นจุดดึงดูดใจคนทั่วโลก สำหรับคนไทยนอกจากนิยมส่งบุตรหลานมาศึกษาที่ไคโรแล้ว การเดินทางมาท่องเที่ยวก็มีอยู่อย่างต่อเนื่อง


จุดสำคัญที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ของกรุงไคโร (Museum of Cairo) พิพิธภัณฑ์ของโลกที่เก่าแก่ที่สุด วัตถุโบราณที่ถูกค้นพบจากสถานที่ต่างๆ หลายยุคหลายสมัยถูกส่งเข้ามาเก็บรักษาไว้ที่นี่ รวมทั้งมัมมี่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด


พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex) ในเมืองเก่าห่างจากกรุงไคโรไปทางทิศใต้ประมาณ 3 กม. มีสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าทึ่งที่สุดคือ “สฟิงซ์” สัตว์ในตำนานไอยคุปต์ สลักด้วยก้อนหินใหญ่ทั้งแท่ง อายุกว่า 6,000 ปี ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดของสิ่งมหัศจรรย์ของโลก


นอกจากนี้ยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ เช่น หุบผากษัตริย์ (Valley of the King) ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ เป็นสุสานของฟาร์โรห์, มหาวิหารคาร์นัค มหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุด, วิหารลักซอว์ อยู่ทางใต้ของวิหารคาร์นัคไป 3 กม. สร้างโดยฟาโรห์อเมโนฟิสที่ 3


ป้อมปราการซาลาดิน (Citadel) ก็เป็นจุดสนใจอีกแห่งหนึ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยผู้นำมุสลิมซาลาดิน ในปี ค.ศ. 1176 และเสร็จในปี ค.ศ. 1182 เพื่อใช้ในการต่อสู้กับพวกทำสงครามครูเสด นอกจากนี้ยังมีมัสยิดสวยงามอีกหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ สุเหร่าโมฮัมหมัดอาลี สร้างในปี ค.ศ. 1830 และเสร็จในปี ค.ศ. 1857 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวกรีกในแบบตามอย่างออตโตมัน หรือตุรกีในปัจจุบัน




หากมีเวลามากพอผู้มาเยือนสามารถนั่งเรือล่องแม่น้ำไนล์ชมวิถีชีวิตของชาวอียิปต์พร้อมความงามของเมืองไปพร้อมๆ กันด้วย ส่วนใครอยากซื้อของที่ระลึกสามารถซื้อหาได้ที่ตลาดข่าน เอลคาริลลี่ ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา


ในภาพยนตร์ Cairo Time (2009) ใช้ประโยชน์จากความงดงามของนครแห่งนี้ ภาพยนตร์เล่าเรื่องของ “จูเลียต” (แพทริเซีย คลาคสัน) บรรณาธิการแฟชั่นของนิวยอร์กแมกกาซีน ใช้วันหยุดเดินทางมาพักร้อนมีจุดนัดพบกับสามีซึ่งปฏิบัติงานให้กับสหประชาชาติที่กรุงไคโร แต่สามีของเธอกลับถูกส่งตัวให้ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเร่งด่วนที่ฉนวนกาซาไม่สามารถอยู่พบเธอได้ เขาจึงวานให้ “ทาเร็ค” (อเลกซานเดอร์ ซิดดิก) นายตำรวจนอกราชการซึ่งเป็นอดีตบอดี้การ์ด ผู้มีความรู้ความสามารถสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นผู้พาเธอท่องไปในกรุงไคโรระหว่างที่สามีของเธอยังไม่เสร็จภารกิจ

Cairo Time ของผู้กำกับภาพยนตร์สาวแคนนาเดียน รูบา นาดดา เล่าเรื่องสัมพันธภาพระยะสั้นของสาวสูงวัยชาวต่างชาติกับบอดี้การ์ดหนุ่มต่างศาสนาในลักษณะหมิ่นเหม่ ท่ามกลางบรรยากาศอันโรแมนติกและทัศนียภาพของเมืองไคโร ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตาผู้กำกับภาพยนตร์ที่เป็นนักเขียนเรื่องสั้นจดจำมาตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อครั้งพ่อ-แม่ของเธอพาเดินทางมายังเมืองหลวงของอียิปต์

ตัวหนังเองไม่ได้หวือหวามากมาย แต่ก็มีเรื่องให้ขบคิด ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผู้ชมได้ซึมซับความงดงาม สภาพของเมืองไคโรไปพร้อมๆ กันด้วย


นับเป็นความงามของโลกปัจจุบัน และความมหัศจรรย์ในอดีตที่ยังมีให้เห็น

Source : //www.bangkokbiznews.com/




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2553    
Last Update : 6 ตุลาคม 2553 9:05:53 น.
Counter : 2942 Pageviews.  

ทิเบต สรวงสวรรค์ชั้นหลังคาโลก

ทิเบต สรวงสวรรค์ชั้นหลังคาโลก (4)

โดย : วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง


คน-ผู้อยู่สูงจนใกล้ฟ้า
ก่อนดวงตะวันของวันนั้นจะลับขอบหลังคาโลกเราก็มาถึงเมืองหมางคาม
บ้านเรือนแลแน่นขนัดเมื่อเริ่มเข้าเขตเมือง เป็นบ้านแบบทิเบตทรงสี่เหลี่ยม 2 ชั้นทาสีขาวทั้งหลัง

มีจุดเด่นสะดุดตาที่กรอบประตูหน้าต่างไม้แกะสลัก เขียนลายสีเข้มสด หลังคาตัดเรียบเหมือนดาดฟ้าตึก อย่างไม่ต้องกังวลกับเรื่องน้ำฝนตกขัง เพราะแถบหลังคาโลกมีฝนน้อยและบนนั้นยังใช้เป็นที่ตากพืชผลทางการเกษตรได้ด้วย


ในชุมชนชาวทิเบต บ้านเรือนของพวกเขาจะปลูกอยู่ชิดติดกันเป็นแนวขนาบไปกับถนน ตัวบ้านอาจทำด้วยดิน หิน หรือไม้ ตามแต่ว่าจะมีวัสดุใดอยู่ในถิ่นนั้น รวมทั้งรั้วบ้านก็มักทำจากวัสดุเดียวกับตัวบ้าน แต่ที่ดูเหมือนกันในทุกถิ่นที่ก็คือ บนแนวรั้วบ้านทุกหลังมักต้องมีมูลจามรีตากเรียงอยู่ด้วย สำหรับเอาไว้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน


เราเริ่มเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวทิเบตดั้งเดิมได้ตั้งแต่หลังหลุดออกมาจากหุบเขาลุ่มน้ำโขง บ้านบางหลังตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางท้องทุ่งที่กว้างขวางจนแทบจินตนาการถึงที่สิ้นสุดไม่ได้ พบเห็นคนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนที่ตั้งกระโจมอยู่ในทุ่งหญ้า ริมลำธารที่ทอดลงมาจากยอดเขาหิมะ รวมทั้งหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เริ่มมีให้เห็นอยู่ประปราย

มีคนเดินอยู่ตามริมทางเป็นระยะ พวกเขาดูไม่รังเกียจฝุ่นดินที่เกิดจากการตะกุยตะกายของล้อรถยนต์ เมื่อสวนทางกันในระยะประชิดยังเห็นพวกเขาโบกมือและยิ้มให้

“นี่ถ้าเป็นแถวบ้านเราคงแช่งด่าแล้ว” พี่ซ่า-ปรีชา โพธิ ซึ่งนั่งอยู่กับข้าพเจ้าที่เบาะหลัง พูดเปรยในม่านฝุ่นหนาทึบที่ก่อตัวขึ้นจากขบวนรถร่วม 20 คัน แล้วสรุปอย่างให้เห็นว่าคมคาย

“เขาอยู่ที่สูง ใจจึงสูงตามไปด้วย”
ข้าพเจ้าเผลอเหม่อมองฟ้า

โค้งฟ้าสีครามเข้มนั้นดูอยู่ใกล้จนปานจะเอื้อมมือแตะถึง แล้วในยามค่ำคืนดาวจะไม่ดูเด่นจนเราเผลอคว้าเอาหรือนี่?


Source : //www.kwanruen.com




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2553    
Last Update : 2 ตุลาคม 2553 11:03:17 น.
Counter : 1051 Pageviews.  

"เซี่ยงไฮ้"ในสายฝน สังคม(ทุน)นิยมของแท้


สารภาพแบบคนที่ไม่เคยไปเซี่ยงไฮ้มาก่อน ว่าจินตนาการภาพมหานครอันดับหนึ่งของโลกในปัจจุบันไม่ออกจริงๆ

ที่จำได้เลือนรางคือฉากจากหนังเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว

กับข้อมูลจากบนกระดาษ ว่านี่คือเมืองที่ผู้อยู่อาศัยมากที่สุดในโลก (30 กว่าล้านคน) เมืองท่า (เกือบ) อันดับหนึ่งของโลก (ขนถ่ายสินค้ามากกว่า 25 ล้านตู้คอนเทนเนอร์/ปี)และความรู้ประวัติศาสตร์งูๆ ปลาๆ ว่าเมืองที่เคยเป็นเขตเช่าของชาติมหาอำนาจตะวันตกทั้งหลายในยุคล่าอาณานิคม มีฉายาว่า ′ปารีสแห่งตะวันออก′

จึงถึงแก่อึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเหยียบย่างเข้ากลางเมืองจริงๆ

เพราะถ้าตัดป้ายร้านป้ายไฟภาษาจีนออกไป ทำเป็นไม่ได้ยินการส่งภาษาแมนดาริน

หลายคนอาจนึกว่าหลงเข้าเมืองใหญ่ในยุโรป

ตึกสูงตึกใหญ่เบียดเสียดแน่นขนัด ป้ายธุรกิจร้านค้าล้วนระดับนานาชาติและแบรนด์เนมดัง

ถ้าไม่เผลอไปเห็นบ้านทรงจีนหลบแทรกอยู่ตามซอกมุมของเมือง

อย่างเจียมตัวใต้ฟ้าครึ้มและฝนโปรย



นอกจากเป็นเมืองชายทะเล เป็นหมู่บ้านประมงมาแต่เดิม เซี่ยงไฮ้ยังเป็นเมืองอกแตก มีแม่น้ำผ่าหลายสาย

แม่น้ำเส้นหลักก็คือ ′หวงผู่′ ที่แบ่งเมืองเป็นสองซีก

ผู่ซีกับผู่ตง หรือด้านตะวันตก (ซี) ของแม่น้ำหวงผู่ กับด้านตะวันออก (ตง) ของหวงผู่

ฝั่งผู่ซีที่เจริญมาก่อน ยังมีแม่น้ำ (ที่ใหญ่กว่าคลองบ้านเราอีกเล็กน้อย) ตัดผ่านเมืองไหลเข้าไปทางแผ่นดินใหญ่อีก 2 เส้น

หนึ่งในนั้นคือแม่น้ำซูโจว ที่ไหลไปเมืองซูโขว

เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสองเมืองท่องเที่ยวที่มีธรรมชาติงดงามที่สุดของจีน คู่มากับหังโจว

คอกำลังภายในคงจำภาษิต ′เบื้องบนมีสรวงสวรรค์ เบื้องล่างมีโซวฮั่ง′ ได้

โซวฮั่งที่ว่านี้ก็คือโซวจิวกับฮั่งจิวตามสำเนียงแต้จิ๋ว

หรือซูโจวหังโจวตามลิ้นจีนกลางแมนดาริน

ข้อสังเกตเรื่องแม่น้ำของเซี่ยงไฮ้ (หรือซั่งไห่ในภาษากลาง) ก็คือ น้ำบ้านเขาสะอาดมาก

สะอาดจนรู้สึกได้ เมื่อเทียบกับปริมาณผู้อยู่อาศัย 30 ล้านคน เทียบกับจำนวนตึกสูงนับไม่ถ้วน เทียบกับจำนวนโรงงานนอกเมืองอีกมหาศาล

ฝั่งผู่ตงที่เดิมเป็นที่นา และถูก ′ความเจริญ′ ข้ามไปรุกราน รัฐบาลเวนคืน
ที่ดินจากชาวบ้าน

แต่ไม่ลืมสร้างคลองเข้ามา มองจากทางด่วนจะเห็นเป็นแนวขวางจากเส้นหลักเหมือนคลองรังสิตบ้านเรา

ถ้าใครจะไปดูงานเซี่ยงไฮ้ ฝากดูงานเรื่องน้ำบ้านเขาไว้ด้วย



ที่เห็นได้ชัดคู่มากับน้ำก็คือความสะอาดของเมือง โดยเฉพาะในฝั่งผู่ตง บริเวณจัดงานเอ็กซ์โป
และฝั่งผู่ซีด้านที่ติดกับแม่น้ำหวงผู่ ที่เป็นย่านธุรกิจการค้า

ขยะสักชิ้นก็หาไม่ได้

ย้ำหาไม่ได้


สอบถามคนเซี่ยงไฮ้ได้ความว่า ในช่วงก่อนการจัดงานเอ็กซ์โป เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ออกระเบียบใหม่ รวมทั้งสิ้น 28 ข้อ

โดยข้อห้ามที่คนทั่วไปจำได้มากที่สุดก็คือ ห้ามทิ้งขยะเรี่ยราดและห้ามขากเสลดในที่สาธารณะ

บทลงโทษคือปรับ 2,000 หยวน

ซึ่งได้ผล

ย่านที่ ′นักท่องเที่ยว′ ทั้งต่างประเทศและจีนด้วยกันเองเข้ามาพักหรือเที่ยวชมงานและชมเมือง สะอาดเอี่ยม ขยะไม่มี น้ำลายบนพื้นไม่ปรากฏ

ชนิดมหานครในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาที่โฆษณาว่า ′เจริญแล้ว′ หรือ ′มีอารยธรรม′-ต้องอาย
ถนนแทบทุกเส้นปลูกต้นปัง หรือต้นเมเปิ้ลของฝรั่งเรียงราย ดูร่มรื่น



ในย่านธุรกิจการค้าประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่เมือง สายไฟฟ้าถูกฝังลงท่ออยู่ใต้ดิน

สายไฟตรงกลางถนนเส้นหลัก พาดไว้เป็นพลังงานให้รถเมล์เคเบิลไฟฟ้า

แต่ข้างหลังตึกสูงเสียดฟ้า หรือริมทางด่วนบางแห่ง ชุมชนแบบจีนโบราณยังแฝงอยู่เป็นหย่อมๆ

บางส่วนมีการปรับปรุงให้สอดคล้องและทันสมัย บางส่วนก็ยังปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น

และหลายพื้นที่เพิ่งถูกทุบไปหมาดๆ เครนก่อสร้างและรถแบ๊กโฮกระจายอยู่แทบทุกพื้นที่

′สิงห์ สันติอัศวราภรณ์′ ผู้แทนของปตท. ประจำประเทศจีนบอกว่าถ้าเป็นเมื่อ 4-5 ปีก่อน เครนและรถแบ๊กโฮจะเยอะกว่านี้อีก

ถึงขนาดมีผู้เปรียบเปรยว่าร้อยละ 80 ของเครนก่อสร้างในโลกอยู่ที่เซี่ยงไฮ้นี่เอง



เพราะปกครองด้วยระบบสังคมนิยม ประชาชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีแต่สิทธิ์ใช้ประโยชน์ ทั้งการอยู่อาศัยและการเกษตร

อ่านต่อ.......




 

Create Date : 27 กันยายน 2553    
Last Update : 27 กันยายน 2553 2:44:14 น.
Counter : 1340 Pageviews.  

สเปนราตรีหนึ่งที่ กรานาดา (Andalucia )

โดย : อัลฟาและโรมิโอ



...กรานาดาอยู่ในแคว้นอันดาลูเซีย (Andalucia)ทางภาคใต้ของประเทศสเปน ตั้งอยู่บนเนินสูงกว่าระดับน้ำทะเล 685 เมตร อากาศจึงเย็นสบายทั้งปี มีภูมิประเทศสวยงามแบบ Alpine



ถ้าไปช่วงอากาศดีจะเห็นเทือกเขา ซีร์รา เนวาดา (Sierra Nevada) ทอดตัวยาวขนานไปกับถนนที่สองข้างทางเป็นไร่ส้มและมะกอกอันอุดมสมบูรณ์ ช่วงผ่านเข้าตัวเมืองก็จะเห็นแม่น้ำดาร์โร (Darro) ไหลเอื่อย ๆ




พวกแขกมัวร์ได้ครอบครองพื้นที่ตรงบริเวณนี้อยู่กว่า 800 ปี ก่อนเสียให้กับกษัตริย์เฟอร์ดินานด์แห่งอรากอน (บาร์เซโลน่ากับบาเลนเซียในปัจจุบัน) ทิ้งไว้แต่ร่องรอยอารยธรรมของโลกมุสลิมอันงดงามโดดเด่นไว้ให้โลกได้ตะลึงงัน นั่นก็คือ สถาปัตยกรรมของพระราชวังอาลัมบรา (Alhambra) และสวนสไตล์อิสลามอันตระการตา ที่ต่อมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานตกแต่งของรีสอร์ตหรูระดับ5 ดาวทั่วโลก



ชาวโลกคงอาจไม่รู้จักกับความงดงามของพระราชวังอาลัมบราไปอีกนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ หากว่าวอชิงตัน เออร์วิง (Washington Irving) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสเปน ไม่ได้มาเห็นอาลัมบราในปี 1829 ซึ่งตอนนั้นทรุดโทรมมาก แต่เออร์วิงก็เห็นถึงความงามที่ซ่อนอยู่ จึงได้นำไปพรรณนาไว้ในนิยายโรแมนติกของเขาเรื่อง Tales of the Alhambra ที่มีฉากการผจญภัยอย่างเร้าใจใน ‘สวรรค์ของแขกมัวร์’ แห่งนี้ ตั้งแต่นั้นมาโลกก็ตื่นขึ้นรับรู้ถึงความมีอยู่ของอาลัมบรา และกลายเป็นสุดทางปลายฝันของนักเดินทางแบบพลาดไม่ได้เลยเมื่อมาถึงสเปน จนรัฐบาลต้องทุ่มงบบูรณปฏิสังขรณ์ให้สวรรค์แห่งนี้ กลับฟื้นคืนชีพอย่างสง่างามอีกครั้ง


อย่างไรก็ดี...ใช่ว่าใครจะเดินทางมาถึงกรานาดาแล้วตีตั๋วเข้าชมพระราชวังอาลัมบราได้เลย แบบไม่ต้องวางแผน เพราะด้วยเหตุที่จำนวนผู้ต้องการเข้าชมมีมากเกินกว่าที่พระราชวังซึ่งมีขนาดไม่ได้ใหญ่โตนักแห่งนี้จะรองรับได้ จึงมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละวันดังนั้นเพื่อประกันความผิดหวังขอแนะนำให้จองไปก่อนโดยผ่านทางเว็บไซต์ เช่น //www.alhambra-tickets.es(มีเว็บอื่น ๆ อีกมากที่รับจองตั๋วเข้าชม และแนะนำให้ซื้อเป็นแพ็กเกจทีเดียวชมได้ทั้ง 3 ส่วน คือ ชมพระราชวังนาสริด (Nasrid Palace) ป้อมอัลคาซาบา (Alcazaba) และสวนเจเนราริเฟ (Generalife Garden) ในราคาเหมาจ่ายอยู่ที่ 13 ยูโร)



ที่มา และ ข้อมูล... //www.kwanruen.com/travel.php?




 

Create Date : 25 กันยายน 2553    
Last Update : 25 กันยายน 2553 9:13:16 น.
Counter : 1803 Pageviews.  

Stratford-upon-Avon

โดย : อัลฟาและโรมิโอ



นอกจากหนังเรื่องเดียวแล้ว คนคนเดียวก็สามารถเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ในโลกนี้อัลฟาและโรมิโอก็ไม่เห็นจะมีใครเกินหน้า โปรแกรมการไปเยี่ยมเยือนบ้านเกิดของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีเอกผู้ยิ่งใหญ่ของโลกไปได้


จะด้วยเหตุผลในฐานะที่เป็นแฟนคลับบทกวีหรือวรรณกรรมอมตะของกวีเอกผู้นี้ หรือในฐานะนักท่องเที่ยวธรรมดา ๆ ที่ชอบแห่ตามกันไป ใครไปไหนฉันขอไปด้วย (บางทีอัลฟาและโรมิโอก็เป็นแบบนั้น) ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าเขาดังเพราะเรื่องอะไรก็ตามที แต่ทุกวันนี้ บ้านเกิดของเชคสเปียร์ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย ยิ่งในหน้าร้อนของอังกฤษที่อากาศอบอุ่นแสนสบาย ท้องฟ้าเปิดใสแจ๋ว เมืองทั้งเมืองของสแตรทฟอร์ด-อัพพอน-เอวอน (Stratford-upon-Avon) อันเล็กกระจิริดก็ดูวุ่นวายราวกับมีตลาดนัดก็ไม่ปาน


ชื่อ สแตรทฟอร์ด-อัพพอน-เอวอน นั้นหมายถึงเมืองสแตรทฟอร์ดบนแม่น้ำเอวอนนั่นเอง ในสมัยก่อนมันคงเงียบสงบแบบเมืองในชนบทที่แสนซื่อ ส่วนจะโรแมนติกแค่ไหนก็คงแล้วแต่ ใครจะมองเห็น แต่ตอนนี้บรรยากาศอันสงบอย่างในอดีตกลายเป็นอดีตไปจริง ๆ เนื่องจากคึกคักน่าดู โดยเฉพาะที่กลางเมืองและริมแม่น้ำเอวอนที่มีกิจกรรมตลอดทั้งวัน ยิ่งในหน้าร้อนที่แดดดีผู้คนทั้งเมืองและนักท่องเที่ยวต่างเหมือนพร้อมใจกันไปใช้สนามหญ้าริมแม่น้ำเป็นที่เดินเล่น ปิกนิก ดูนก ดูเป็ด ดูหงส์ที่พวกมันหากินและอาศัยอยู่ริมฝั่งในกอหญ้า หรือลอยละล่องอยู่ในแม่น้ำอย่างสบายใจ เพราะไม่มีใครทำอันตรายมัน


ส่วนบนผิวแม่น้ำก็แบ่งเขตให้เป็นพื้นที่ของมนุษย์ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางน้ำต่าง ๆ (ส่วนใหญ่พายเรือเล่น เรือถีบ) แต่กิจกรรมเหล่านั้นก็คงเป็นเรื่องของคนท้องถิ่น หรือนักท่องเที่ยวที่มีเวลามาก ๆ ในการท่องเที่ยวอย่างสบาย ๆ และมีเวลาพักอยู่ในเมืองสแตรทฟอร์ดหลายคืน ส่วนคนที่มีเวลาน้อยและเงินน้อยก็จะไม่อ้อยอิ่งนานนักมักจะตรงรี่ไปที่ศูนย์กลางของการท่องเที่ยวกันเลย นั่นคือบ้านของเชคสเปียร์ และบ้านที่เกี่ยวข้องกับกวีเอกผู้นี้ทั้ง 5 หลัง ซึ่งเกาะกลุ่มกันอยู่ไม่ไกลกันนัก ยกเว้นบ้านของแอนน์ ฮาธาเวย์ (Anne Hathaway) ภรรยาของเชคสเปียร์ ที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 1 กิโลเมตร ถ้ามีเวลาก็น่าจะชมให้หมดทุกหลัง ซึ่งถ้าดูผ่าน ๆ ไม่อินกับบรรยากาศมากนักก็น่าจะใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 3 ชั่วโมง เวลาที่เหลือก็แบ่งให้กับการเดินดูบ้าน ดูเมือง ช็อปปิ้ง กินอาหาร เข้าร้านไอศกรีม หรือนั่งเล่นในสวน ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการตามรอยคนดังของโลกคนนี้







Stratford-upon-Avon





Warwickshire, Stratford-upon-Avon







Credit : : - //www.kwanruen.com/travel.php?




 

Create Date : 19 กันยายน 2553    
Last Update : 19 กันยายน 2553 23:17:20 น.
Counter : 1608 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.