It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
All blogs
 

วัง “ฟงเเตนโบล” เสี้ยวประวัติศาสตร์ไทย (1)

โดย : ธวัชชัย เทพพิทักษ์ ttappitak@gmail.com




ฟงแตนโบล (Fontainebleau) เป็นเมืองเล็ก ๆ พื้นที่ 94 ตารางกิโลเมตร พลเมืองราว 17,000 คน อยู่ห่างจากปารีสประมาณ 55.5 กิโลเมตร

ฟงแตนโบล (Fontainebleau) เป็นเมืองเล็ก ๆ พื้นที่ 94 ตารางกิโลเมตร พลเมืองราว 17,000 คน อยู่ห่างจากปารีสประมาณ 55.5 กิโลเมตร เดิมชื่อ Fontaine Belle eau หรือ Fontaine Belleaue

เมือง Fontainebleau เคยเป็นที่พำนักของบุคคลมีชื่อเสียงหลายคน เหนือสิ่งอื่นใด ฟงแตนโบล เป็นที่ตั้งของพระราชวังที่สวยงามของประเทศฝรั่งเศส มีเสน่ห์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระราชวังแวร์ซายส์นั่นคือ พระราชวังฟงแตนโบล บางคนบอกว่า.




ฟงแตนโบลเปรียบเหมือนสาวบ้าน ๆ เรียบ ๆ แต่รู้จักแต่งตัวหรือแต่งตัวเป็น ขณะที่แวร์ซายส์เหมือนสาวไฮโซตั้งแต่เกิด ทั้งเรือนร่างประดับประดาไปด้วยแบรนด์เนม

ฟงเเตนโบล ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1981 แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนกว่า 300,000 คน ส่วนอีกสิบกว่าล้านคนไปเยือนป่าของฟงเเตนโบล (Forest of Fontainebleau) ซึ่งเป็นป่าที่กษัตริย์สมัยก่อนใช้เป็นที่ล่าสัตว์ ปัจจุบันมีพื้นที่ 25,000 เฮกแตร์ เพราะมีกิจกรรมให้ผู้ไปเยือนเลือกหลายอย่าง


ความคลาสสิกและโด่งดังของพระราชวัง Fontainebleau ถูกนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกานำไปเลียนแบบ (ตามถนัด) ตั้งเป็นชื่อของโรงแรมมีทั้งริมชายหาด ไมอามี, ลาส เวกัส, แมรี แลนด์ และนิวยอร์ก



การเดินทางไปฟงแตนโบลไม่ยากเลย จากปารีสซื้อตั๋วรถไฟ SNCF ที่สถานีปาฮรี แกร เดอ ลีออง (Paris Gare de Lyon) ไปลงสถานีฟงแตนโบล-อาฟง (Fontainebleau-Avon) ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้ตัวเมืองฟงแตนโบลมากที่สุด ตอนที่ผมไปนั้นตั๋วไป-กลับ ราคาประมาณ 15 ยูโร เขาจะประกาศว่า...ท่านผู้โดยสารที่ลงรถไฟที่ Fontainebleau - Avon ให้ขึ้นเฉพาะ 4 ขบวนหน้า ...เพราะรถไฟนั้นเป็นขบวนพ่วง แต่ทางที่ดีควรถามเจ้าหน้าที่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 - 45 นาที


ถ้ามีเวลาขอแนะนำให้ค้างในเมืองฟงแตนโบลสักคืน มีโรงแรมให้เลือกหลากหลายราคา โดยเฉพาะ โรงแรมนโปเลอง (Hotel Napoleon) หรือนโปเลียน ซึ่งอยู่ห่างจากพระราชวังเพียง 300 เมตรเศษ ๆ โรงแรมนี้สร้างมาตั้งแต่ปี 1849 คลาสสิกมาก ที่สำคัญเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศในการเข้าไปชมวังฟงแตนโบล ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับนโปเลองผู้ยิ่งใหญ่


อาหารการกินในเมืองฟงแตนโบลมีให้เลือกหลากหลาย ขอเพียงท่านไม่พกพาบะหมี่สำเร็จรูปจากเมืองไทยไปด้วยเท่านั้นเอง เช่นร้าน เฟรเดฮริก คาสเซล (Fr?d?ric Cassel) มีของหวานที่อร่อยมากคือ มากาฮรอง (Macaron) มีคนเข้าคิวซื้อกันยาวเหยียด เมนูอาหารทั่วไปของเขาก็อร่อย



มากาฮรอง (Macaron) ของฝรั่งเศส ทำจากไข่ขาว น้ำตาล และ อัลมอนด์บดละเอียดจนเป็นผง นำมาอบเป็นชิ้นกลม ๆ เล็ก ๆ แล้วเอา 2 ชิ้นมาประกบกัน มีไส้ตรงกลาง ส่วนใหญ่เป็นครีมรสชาติต่าง ๆ เช่น ครีมใส่กลิ่นวานิลลา ช็อกโกแลต อัลมอนด์ เกาลัด หรือครีมที่เอาไปตีกับผลไม้ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ ผิวส้ม มะนาว จะต่างจาก มาคารูน (Macaroon) ขนมของชาวอเมริกัน คล้าย ๆ ขนมบ้าบิ่นในบ้านเราใช้มะพร้าวป่นแทนอัลมอนด์บด หรือจะคงส่วนผสมของอัลมอนด์บดไว้บ้าง

นอกจากนั้นก็ยังมีร้าน La Caveau Des Ducs อยู่ที่ถนน rue de Ferrare ตัวร้านสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ขายอาหารฝรั่งเศสแท้ ๆ แบบดั้งเดิม เมนูเด็ดคือพวกซีฟู้ดและหอยทาก ผมฟาดไปหลายตัว !!! จากร้านนี้สามารถมองเห็นฟงแตนโบล อีกร้านชื่อ Restaurant Croquembouche อยู่ที่ถนน rue de France เมนูเป็นฝรั่งเศสเมดิเตอร์เรเนียน ใช้เครื่องปรุงตามฤดูกาล ตกแต่งจานง่าย ๆ แต่อร่อย

อิ่มหนำสำราญแล้วก็ไปสัมผัสฟงแตนโบล เมื่อเข้าประตูใหญ่จะเจอลานที่มีชื่อ กูร์ เดส์ ซาดีเยอซ์ (Cour des Adieux) เพื่อรำลึกถึงนโปเลองที่กล่าวคำอำลาต่อกองทัพก่อนถูกเนรเทศไปยังเกาะเอลบา …Adieu แปลว่า การลาจาก ..ตั๋วค่าเข้าชมฟงแตนโบล 6 ยูโร นักเรียน 4.5 ยูโร ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับวังอื่น นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมตัวพระราชวังพร้อมหูฟังไกด์ มีบรรยายเป็นภาษาไทยด้วย เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในยุคนั้น บอกหมดตั้งแต่นโปเลองทำงานที่ไหน นั่งยังไง นอนยังไง ทำธุระส่วนตัวที่ตรงไหน ฯลฯ ยังมีโถส้วมของนโปเลองตั้งโชว์อยู่ด้วย


ฟงแตนโบล เป็นพระราชวังหลวงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส สิ่งก่อสร้างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นงานที่สร้างขึ้นและต่อเติมเปลี่ยนแปลงโดยกษัตริย์ฝรั่งเศสหลายพระองค์ แต่ยุครุ่งเรืองที่สุดของพระราชวังคือยุค จักรพรรดินโปเลอหรือนโปเลียน โบนาปาต (Emperor Napoleon Bonaparte) หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสนโปเลอง เรืองอำนาจและเดินทางมายังฟงแตนโบล พบว่าตัวพระราชวังว่างเปล่า จึงตั้งโรงเรียนการทหารที่นี่ นับตั้งแต่ปี 1804 นโปเลองให้ตกแต่งฟงแตนโบลเพื่อต้อนรับสันตะปาปา และใช้เป็นที่พำนัก ตกแต่งส่วนที่เป็น Les Petits Appartements (Small Apartment) เพื่อใช้ส่วนตัวกับมเหสี โจเซฟิน และมารี- หลุยส์ (หลังหย่ากับโจเซฟิน) และใช้ Les Grand Appartements (Grand Apartment) เป็นที่รับรองอย่างเป็นทางการ

กษัตริย์ฝรั่งเศสและต่างแดนหลายพระองค์ มีความเกี่ยวข้องกับฟงแตนโบล อาทิเช่น พระเจ้าฟิลิปที่ 4, พระเจ้าอองรีที่ 3 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ประสูติที่ฟงแตนโบล และพระเจ้าฟิลิป สวรรคตที่นี่ พระราชอาคันตุกะสำคัญ ๆ ของพระราชวัง เช่น สมเด็จพระราชินีนาถคริสติน่าแห่งสวีเดน เสด็จมาประทับอยู่หลายปีหลังสละราชสมบัติ กษัตริย์ราชวงศ์บูร์บอง ที่รวมทั้งพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย และพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์ก และกษัตริย์ Alphonse XIII แห่งสเปนหลังจากสละราชบัลลังก์ เป็นต้น


พระราชวังฟงแตนโบล สร้างมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง แต่การก่อสร้างครั้งใหญ่เกิดขึ้น สมัยพระเจ้าอองรีที่ 2 (Henri ll) และมเหสีกาธรีน เดอ เมดิชิ (Catherine de' Medici) โดยจ้างฟิลิแบรต์ เดอ ลอร์ม (Philibert DeLorme) สถาปนิกเรอเนส์ซองส์ระดับหัวแถวของฝรั่งเศส และฌอง บุลลองท์ (Jean Bullant) นักออกแบบชาวอิตาเลียนดูแลการตกแต่งภายใน ต่อมาพระเจ้าอองรีที่ 4 ทรงเพิ่มลาน Cour des Princes, โถงระเบียงดิอาน เดอ ปัวติเยร์ และ โถงระเบียงเซิร์ฟ ที่ติดกันใช้เป็นห้องสมุด ฯลฯ

พระเจ้าฟรองซัวร์ที่ 1 (Francois I) ทรงมีพระราชประสงค์สร้างให้เป็น “New Rome” จึงมีศิลปะแบบอิตาเลียนผสมผสานอยู่มาก มีสถาปนิกชิลส์ เลอ เบรตอง (Gilles le Breton) เป็นผู้สร้างตัวตึกเกือบทุกหลังของลานรูปไข่ (Cour Ovale) รวมทั้งประตูโดเฮร (Porte Dor?e) ที่เป็นทางเข้าด้านใต้ และเชิญ 2 ศิลปินชื่อดัง เซบาสเตียโน เซลลินี (Sebastiano Cellini) และลีโอนาร์โด ดา วินซี (Leonardo da Vinci) มาผสานความยิ่งใหญ่และงดงาม


สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ให้ผู้คนจดจำฟงแตนโบล คือ บันไดเกือกม้า (Escalier du Fer a Cheval) ที่หน้าพระราชวัง เป็นสถานที่ที่นโปเลอง ทรงมีพระราชบัญชาการรบ เพื่อขยายแสนยานุภาพทั่วทวีปยุโรป ก่อนจะพ่ายแพ้ต่อกองทัพอังกฤษในสงครามวอเตอร์ลู และนโปเลองก็บอกลากองทหารคนสนิทเป็นครั้งสุดท้าย ณ ที่บันไดแห่งนี้ เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1814 ก่อนโดนเนรเทศไปยังเกาะเอลบ้า (Elba) ของอิตาลี ปิดฉากชีวิตบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลก


ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมบอกว่า ฟงแตนโบลเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นแรกที่นำฝรั่งเศสเข้าสู่ยุค แมนเนอริสม์ (Mannerism) ในด้านการตกแต่งภายใน และด้านการออกแบบตกแต่งสวน การตกแต่งภายในแบบแมนเนอริสม์ของฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เรียกกันว่า การตกแต่งแบบฟงแตนโบล ที่รวมทั้งงานประติมากรรม งานโลหะ จิตรกรรม งานปูนปั้น และงานไม้ ส่วนภายนอกสิ่งก่อสร้างก็เริ่มมีการออกแบบสวนแบบสวนลวดลาย (parterre)




แมนเนอริสม์ ใช้สำหรับจิตรกรกอธิคสมัยหลังที่ทำงานทางตอนเหนือของยุโรปในช่วงปี ค.ศ.1500 - 1530 Mannerism มาจากภาษาอิตาลี “maniera” หรือ “style” ซึ่งตรงกับความหมายที่ว่าเป็นการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของศิลปินที่ทำให้ทราบได้ว่าเป็นของใคร แมนเนอริสม์เป็นศิลปะของการ ทำขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับศิลปะเรอเนส์ซองส์ หรือ บาโรค ที่เป็นศิลปะที่เลียนแบบธรรมชาติ การบรรยายลักษณะแมนเนอริสม์เป็นสิ่งที่ยากพอสมควร


ลักษณะของลัทธิแมนเนอริสม์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลซึ่งมีอิทธิพลหรือมีปฏิกิริยาต่อความกลมกลืนทางอุดมคติ ที่เกี่ยวข้องกับงานของ เลโอนาร์โด ดา วินชี, ราฟาเอล และงานสมัยแรก ๆ ของมิเกล แอนเจโล แมนเนอริสม์เป็นทั้งศิลปะทางความคิดและความสร้างสรรค์แทนที่จะเป็นธรรมชาติ


ฟงแตนโบลรวมจิตรกรรมที่เป็นอุปมานิทัศน์เข้ากับงานปูนปั้นที่เป็นกรอบรอบ ที่ตกแต่งคล้ายม้วนที่รวมลายอะราเบสก์ (Arabesques) และลายวิลักษณ์ (Grotesques) ความสวยของสตรีในอุดมคติของจิตรกรรมแบบฟงแตนโบล จะเป็นความสวยแบบแมนเนอริสม์คือหัวเล็กบนคอยาว, เรือนร่างและแขนขาจะยาวกว่าปกติ หน้าอกเล็กและสูง ที่เหมือนจะกลับไปมีลักษณะของปลายกอธิค งานศิลปะที่สร้างที่ฟงแตนโบลได้รับการบันทึกอย่างละเอียดเป็นงานพิมพ์ที่เป็นที่แพร่หลายกันในบรรดานักนิยมศิลปะ และ ศิลปินเอง งานที่สร้างเป็นงานพิมพ์จาก ตระกูลการเขียนแบบฟงแตนโบล ที่เป็นลักษณะของการงานศิลปะแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เผยแพร่ไปยังบริเวณทางตอนเหนือของยุโรป โดยเฉพาะที่อันท์เวิร์พ ประเทศเบลเยียม และเยอรมนี และในที่สุดก็ไปถึงอังกฤษ

ปัจจุบันส่วนหนึ่งของปราสาทแบ่งเป็น ?coles d'Art Am?ricaines โรงเรียนสอนศิลปะ หัตถกรรม และดนตรี สำหรับนักเรียนจากสหรัฐ ก่อตั้งโดยนายพล เพอร์ชิ่ง (John Joseph "Black Jack" Pershing) ซึ่งเคยมาที่นี่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1



ครั้งหน้าจะพาเข้าไปข้างใน ชมห้องและส่วนต่าง ๆ ภายในปราสาท ซึ่งมีความงดงาม อลังการ ไม่แพ้พระราชวังอื่น ๆ ทั้งในฝรั่งเศสและประเทศอื่น ๆ ในยุโรป


ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งของหลายอย่างด้านใน มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติไทย และรัฐบาลไทยต้องทำอะไรสักอย่าง ?...ติดตามในตอนหน้า !!!

..............

//www.bangkokbiznews.com




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2553    
Last Update : 21 ตุลาคม 2553 3:37:53 น.
Counter : 3162 Pageviews.  

Ronda เก่าใหม่มิอาจแยกกัน...กรุงมาดริด

โดย : อัลฟาและโรมิโอ

เมืองที่จะพาไปชมนี้อยู่ห่างจากกรุงมาดริดไปทางใต้ ประมาณ 421 กิโลเมตรปกติถ้าตั้งใจจะเที่ยวอยู่ในแคว้นอันดาลูเซียอยู่แล้ว ก็ไม่มีปัญหาเรื่องระยะทาง

แต่ถ้าไม่อยากแวะเมืองนั้นเมืองนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ใช้วิธีบินจากมาดริดไปลงที่เมืองมาลากา (Malaga) แล้วต่อรถไปเมืองรอนด้าอีกราวชั่วโมงเศษ ๆ ตลอดสองข้างทางช่วงนี้เป็นเส้นทางขึ้นสู่ที่ราบสูง

จึงคดเคี้ยวไปมา นั่งรถนาน ๆ อาจรู้สึกมึน แต่พอไปถึงรอนด้าแล้ว อาการวิงเวียนหายเป็นปลิดทิ้ง จะด้วยว่าเมืองสวย

หรืออากาศดีก็ไม่ทราบได้ แต่คิดว่าน่าจะประการหลังมากกว่า

เพราะตัวเมืองอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,640 เมตร
อากาศจึงเบาและเย็นสบายดีจริง ๆ

อัลฟาและโรมิโอ มาถึงรอนด้าตอนสาย ๆ ที่แดดสวยมาก คือฟ้าใสสว่างไสวไปทั่วเมือง
ผู้คนคึกคักมาก เดินกันขวักไขว่ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ที่นี่น่าจะไปได้ดีทีเดียว


รอนด้าเป็นเมืองเก่าแก่ของแคว้นอันดาลูเซีย (Andalusia)

หากไล่ประวัติศาสตร์ตามโบราณคดีที่ขุดพบก็อยู่ในยุคนีโอลิทิค (Neolithic) หรือยุคหินใหม่ (New Stone Age) ที่มนุษย์เริ่มรู้จักการเพาะปลูก และเพิ่งเริ่มรู้จักการประดิษฐ์เครื่องมือจากโลหะ

ไฮไลท์ของรอนด้าที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเขามาดูกันจึงอยู่ที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่รอนแรมมาถึงที่นี่และทิ้งหลักฐานไว้มากมาย พอเก็บรวบรวมไว้มากพอแล้วนำมาปะติดปะต่อก็จะเห็นถึงสภาพชีวิต ที่คนยุคนี้เห็นแล้วก็ส่ายหัว ว่าเขาอยู่กันได้ยังไงในถิ่นทุรกันดารเยี่ยงนี้...

...สำหรับการเที่ยวเมืองรอนด้าให้สนุก อัลฟาและโรมิโอขอฟันธงว่าต้องใช้วิธีเดินอย่างเดียวเท่านั้น

(นั่งรถม้าก็ได้ แต่ได้แค่กินบรรยากาศแบบฉาบฉวย) เพราะบ้านเรือนตามหน้าผาที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าเป็นที่รวมของสถาปัตยกรรมหลายยุคสมัยนั้น

มันเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน ไล่ตั้งแต่บนพื้นดินราบธรรมดา ๆ ลงไปถึงก้นเหวเบื้องล่าง ที่อยู่ลึกลงไปเป็นร้อยเมตรทีเดียว



*******
Source:  //www.kwanruen.com




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2553    
Last Update : 17 ตุลาคม 2553 7:05:51 น.
Counter : 1148 Pageviews.  

ปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์ ..ปารีส

ทริปนี้เราจะไปเที่ยวฝรั่งเศสกัน สำหรับการท่องเที่ยวในฝรั่งเศสถือว่าอยู่ในขั้น 5 ดาว เพราะเดินทางสะดวกและสบายใจไร้กังวลใดๆ เนื่องจากสามารถขับรถเที่ยวเองก็ได้ มีถนนหนทางดีมาตรฐานยอดเยี่ยมทั่วประเทศ มีป้ายบอกทางชัดเจน เพื่อเตือนให้คนขับรถรู้ว่าอีกไกลแค่ไหนจะพบทางออกข้างหน้า แยกลงไปเมืองอะไร และยิ่งใกล้ทางออกก็ยิ่งมีป้ายเตือนถี่ยิบ เรียกว่าไม่พลาดออกจากถนนสายหลักที่ขับอยู่อย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้การท่องเที่ยวทางรถไฟก็ได้รับความนิยมสูงไม่แพ้กัน เนื่องจากการรถไฟของฝรั่งเศสมีการจัดการดีเยี่ยม แถมแต่ละเมืองยังสามารถบริหารจัดการเองได้ด้วย สำหรับการท่องเที่ยวครั้งนี้ผมกับเพื่อนเลือกใช้บริการรถไฟด่วนพิเศษความเร็วสูง TGV (เตเจเว-Train เ Grande Vitesse) กันครับ โดยไปซื้อตั๋วรถไฟของ France Rail Pass ที่บริษัท ดีทแฮล์ม แทรเวิล ในเมืองไทย ซึ่งเป็นตัวแทนการขายตั๋วรถไฟในยุโรป ที่นี่เราสามารถขอคำปรึกษาได้ว่าจะใช้กี่วันถึงจะเหมาะสมและซื้อตั๋วให้เสร็จจากเมืองไทยไปเลย สะดวกและประหยัดกว่าไปซื้อที่ปารีส

โปรแกรมของเราเริ่มต้นที่ปารีส โดยมีจุดหมายไปเที่ยวแถบลุ่มแม่น้ำลัวร์ (Loire) ซึ่งมีปราสาทมากมาย หรือที่เรียกกันว่าปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์ (Chโteau de la Loire) ที่นี่มีชื่อเสียงมาก และจากปารีสไปเที่ยวเองได้ไม่ยาก เพราะมีรถไฟบริการทั้งด่วนพิเศษและธรรมดา ที่นี่เป็นแหล่งอาหารอร่อย ไวน์รสเลิศ และที่พักก็มีมากมายให้เลือกหลายแบบ ทั้งในเมืองและนอกเมือง รวมถึงโรงแรมมาตรฐานทั่วๆ ไป หรือจะพักในปราสาทก็ได้ในราคาที่ไม่แพงเวอร์


ถ้าไม่อยากนั่งรถไฟ อยากเที่ยวไปแวะไปเรื่อยๆ ก็ใช้วิธีขับรถไปเองก็สนุกดี ตลอดทางจะผ่านสวนเกษตรสวยๆ มากมาย บางครั้งได้เลาะเลียบแม่น้ำลัวร์อันสุดแสนโรแมนติกอีกด้วย หากไม่อยากใช้บริการของ TGV คุณก็สามารถใช้บริการของรถไฟสายธรรมดาซึ่งราคาไม่แพง ราวสองชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ

แม่น้ำลัวร์อยู่ตอนกลางของประเทศ เป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของฝรั่งเศส คือ 1,013 กิโลเมตร ไหลหล่อเลี้ยงไร่องุ่นให้งอกงามในหลายแคว้นและผ่านที่ราบเชิงเขาอันกว้างใหญ่ ทำให้มีป่าสมบูรณ์เขียวชอุ่ม และเป็นแหล่งพื้นที่เกษตรกรรมผืนใหญ่ของฝรั่งเศสทีเดียว

ในอดีตมีบรรดากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และขุนน้ำขุนนางในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10-20 พากันไปสร้างปราสาทอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งปราสาทส่วนใหญ่เป็นเสมือนบ้านหลังที่สองและก็มีมากที่สร้างให้เหล่านางสนมอยู่ ปัจจุบันบริเวณทั้งหมดของปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์ องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2000

จากสถานีแกร์ เดอ ลียง (Gare de Lyon) กลางกรุงปารีส เราใช้เวลา 1 ชั่วโมงก็ถึงเมืองบลัวส์ (Blois) เมืองนี้มีปราสาทที่มีชื่อเสียงคือ Chโteau de Blois สร้างในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13-17 เดิมใช้เป็นวังเก่า ตำแหน่งที่ตั้งจึงสวยงาม มีสนามกว้างมาก และสวนป่าที่ใช้สำหรับล่าสัตว์ ตัวปราสาทประกอบด้วยปราสาท 4 หลังต่างสไตล์ มีทั้งโกธิก เรเนสซองส์ อิตาเลียน และเฟรนช์คลาสสิกสไตล์ ภายในปราสาทมีห้องโล่งๆ ขนาดใหญ่ และบันไดวนที่ออกแบบพันเป็นเกลียว เมื่อเดินขึ้นลงไม่สามารถมาบรรจบกันได้ ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่แต่เจอกันไม่ได้




เมื่อชมปราสาทเรียบร้อยแล้วก็ออกไปเดินเล่นในเมืองซึ่งมีขนาดเล็กน่ารัก เสร็จแล้วก็ขึ้นรถไฟไปเมืองตูร์ (Tours) (ใช้เวลาเดินทางจากบลัวส์ไปตูร์ประมาณ 35 นาที) เพื่อเที่ยวปราสาทเชอนงโซ (Chโteau de Chenonceau) ที่สถานีรถไฟผมซื้อบริการทัวร์ชมปราสาท ที่นี่มีรถรับส่งและให้เวลาชมนานพอสมควร ราคาก็มาตรฐานและไว้ใจได้ ดูเสร็จพากลับมาส่งที่สถานีรถไฟ หรือจะให้ไปส่งที่พักของเราก็ได้ถ้าต้องการค้างเอาบรรยากาศต่ออีกสักคืน (ผมค้างที่นี่หนึ่งคืน)

ปราสาทเชอนงโซนั้นเดิมเป็นของขุนนาง แต่ปัจจุบันใช้เป็นที่จัดแสดงวัตถุโบราณ พรมแขวนผนังขนาดใหญ่ ภาพเขียน ส่วนด้านนอกรอบๆ ปราสาทเป็นสวนดอกไม้และสวนผลไม้ ซึ่งเปิดให้สาธารณชนเข้าชม ว่ากันว่ามีคนเข้าชมมากเป็นอันดับสองรองจากพระราชวังแวร์ซายส์เลยทีเดียว





ไม่ไกลจากปราสาทเชอนงโซเท่าใดนักมีปราสาทชอมบอร์ด (Le Chโteau de Chambord) ซึ่งเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดในลุ่มแม่น้ำลัวร์ และแห่งนี้ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนไทย เพราะเป็นปราสาทที่พระวิสุทธิสุนทร (เจ้าพระยาโกษาปาน) อัครราชทูตกรุงสยามในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเคยพำนักเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2229 ในฐานะผู้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส

จุดเด่นคือทางขึ้นปราสาททำเป็นบันไดวน (The Double Staircase) เพื่อเวลาขึ้นลงจะได้ไม่สวนกันและใช้ในการหลบหนีฉุกเฉินช่วงเกิดสงคราม แต่เมื่อบ้านเมืองสงบสุขก็กลายเป็นที่เล่นซ่อนหาของคนในปราสาท เพราะบันไดกว้างสามารถเดินพร้อมกันได้หลายคน หากขึ้นไปบนชั้นสามและออกไปที่ดาดฟ้าจะเห็นปล่องระบายควันและยอดปราสาท ส่วนที่ริมระเบียงจะเห็นสวนป่าไปไกลสุดสายตาและถนนที่ทอดยาว หากบังเอิญไปเที่ยวตรงกับเวลาการจัดการแสดงแสงสีเสียงพอดีก็ถือเป็นบุญตา เพราะทั้งวังจะถูกฉายด้วยแสงอย่างสวยงาม น่าตื่นเต้น ชวนให้นึกถึงความหลังช่วงที่ปราสาทกำลังคึกคักที่สุด เช่น งานเลี้ยง การแต่งตัวหรูหรา การเดินทางด้วยรถม้า และเสียงดนตรีคลาสสิก

สิ้นสุดการเดินทางชมปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์ ผมก็จะพาคุณไปกินอาหารฝรั่งเศสในร้านบ้านๆ ธรรมดาๆ แต่รสเลิศ รวมถึงปั่นจักรยานสำรวจเมือง บวกกับอากาศที่เย็นชื่นใจ ขับขี่ไปใต้ร่มไม้ อยากแวะที่ไหนก็ได้แวะ หิวก็กิน เมื่อยก็นั่งพักริมแม่น้ำลัวร์ ชมนกชมไม้ ให้อาหารเป็ด ถือว่าเป็นทริปที่คลาสสิกครบรสมากเลยครับ



Gourmet & Cuisine ฉบับ 121 ประจำเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553
Click :TOP




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2553    
Last Update : 14 ตุลาคม 2553 8:36:54 น.
Counter : 4277 Pageviews.  

"ตะลอนชมวัง ดูคลังสมบัติฟาโรห์



















****
Source :  //www.thairath.co.th
Click :TOP




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2553    
Last Update : 12 ตุลาคม 2553 5:19:09 น.
Counter : 1165 Pageviews.  

ปารีสเทศกาลว่าวนานาชาติเล่าตำนานหมู่บ้านกุหลาบ"เมืองเดียพ

เที่ยวงานเทศกาลว่าวนานาชาติเล่าตำนานหมู่บ้านกุหลาบ"เมืองเดียพ

หากเอ่ยชื่อ กรุงปารีส หลายคนรู้จักดี ว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่นและสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต่างลิสต์ไว้ในบัญชีสมองว่าจะต้องมาช้อปกันให้กระจายอย่างไม่มีพลาด อีก ทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย จึงไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหล ไปเยือนกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสกันอย่างไม่ขาดสาย...

ห่างออกไปจากรุงปารีสประมาณ 150 กิโลเมตร จะพบเมืองชายทะเลเมืองหนึ่งซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า เดียพ (Dieppe) ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลชื่อฮัลบัตร์ ทางภาคตะวัน

ตกของประเทศฝรั่งเศส ด้านมหาสมุทรแอตแลนติก โดย อยู่ในเขตการบริหารส่วนภูมิภาค ของ แคว้นนอร์มองดีย์ตอนบน เมืองเดียพเป็นหนึ่งในเมืองชายทะเลสำหรับตากอากาศแรกเริ่มของชาวฝรั่งเศส และเป็นเมืองที่มีชื่อเสียง ด้านการประมงเกี่ยวกับหอย Saint-Jacques รวมทั้งเป็นหนึ่งในเมืองประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการยกพลขึ้นบกครั้งแรกของฝ่ายพันธมิตรในปี ค.ศ. 1942 เพื่อประสงค์ที่จะปลดปล่อยฝรั่งเศสให้เป็นอิสระจากการครอบครองของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ที่เมืองเดียพแห่งนี้เป็นสถานที่จัด งานเทศกาลว่าว นานาชาติ ซึ่งเป็นงานเทศกาลว่าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากมีลานหญ้าติดชายทะเลที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและช่วงที่จัดงานเทศกาลว่าวยังเป็นช่วงฤดูร้อนที่มีอากาศสดใสลมพัดเย็นสบาย ทำให้นักท่องเที่ยวหลงใหลแวะมาเที่ยวชมกันอย่างคับคั่งทุกครั้ง สำหรับ


งานเทศกาลว่าวนานาชาติ ครั้งที่ 16 ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 11-19 กันยายนที่ผ่านมา นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นำคณะผู้บริหาร ททท. เดินทางไปร่วมงาน โดยปีนี้ ประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้เป็น “ประเทศ เกียรติยศ” ด้วย จึงถือเป็นความภาค ภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ ส่วนภายในงานมีทีมว่าว จาก 40 ประเทศ ทั่วโลกเข้าร่วมและมีว่าวมาขึ้นประชันกันนับ 1,000 ตัว มีนักท่องเที่ยวเข้าชมงานกว่า 800,000 คน

เพ็ญสุดา ไพร อร่าม รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ทาง ททท. ได้นำคณะนักว่าวไทยจาก “Thai Kite Heritage Group” ซึ่งนำว่าวไทยชนิดต่าง ๆ เช่น ว่าวจุฬา ว่าวปักเป้า ว่าวงู ไปแสดงและสาธิตการทำว่าวไทย

นอกจากนี้ยังได้นำการแสดงนาฏศิลป์ไทยจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ได้แก่ การแสดงโขน รวมทั้งนาฏศิลป์ไทยชุดต่าง ๆ มาจัดแสดงด้วย ซึ่งชาวต่างชาติได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยจุดเด่นของเราจะเน้นที่ความสนุกสนานแต่ มีประโยชน์ต่อครอบครัวนักท่องเที่ยวจึงคิดไอเดียทำว่าวงู จำนวน 1,000 ตัวแจกพร้อมสาธิตการเล่นให้นักท่องเที่ยวชมด้วย ทำให้บูธของประเทศไทยยิ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก รู้สึกภูมิใจที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จักว่าวไทยมากขึ้น

หลังจากร่วมงานเทศกาล ว่าวแล้ว คณะเราไม่รอช้ารีบ ออกสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวภายในเมืองเดียพ ตามคำบอกเล่าของผู้ที่เคยมาเยือนในปีก่อน ๆ ว่าในเมืองเดียพมีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งอยู่ติดชายทะเลอยู่ใกล้ปารีสมากที่สุดชื่อหมู่บ้าน “เวลเลส์ โรสส์” หรือเรียกกันว่า “หมู่บ้านดอกกุหลาบ” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประชากรเพียง 600 คน ตั้งอยู่บนแม่น้ำเวลเลส์ (ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำสายที่สั้น ที่สุดของประเทศฝรั่งเศส มีความยาว 1,194 เมตร


โดยเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 แต่สวยที่สุด ของแคว้นนอร์มองดีย์ โดยชาวบ้านจะปลูกบ้านอยู่สองข้างฝั่งลำธาร ที่สำคัญเมือง เวลเลส์-โรสส์ นี้เป็นเมืองติดทะเล มีลำธารน้ำใสไหลผ่านกลางหมู่บ้าน แล้วก็จะไหลลงทะเลที่อยู่ห่างกันไม่ถึง 1 กิโลเมตร

“เล่ากันว่าสมัยก่อนหญิงสาวของหมู่บ้านจะนำเสื้อผ้าออกมาซักผ้าที่ลำธารน้ำใสแห่งนี้เพราะว่าน้ำสะอาดมาก ๆ ซึ่งตรงฝั่งจะมีทางเดินเล็ก ๆ สำหรับไว้ซักผ้า แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีการซักผ้าแล้ว เพราะว่ามีการนำปลามาปล่อยให้ผสมพันธุ์กัน เราจึงเห็นปลาตัวเล็กใหญ่แหวกว่ายไปมาแทนหญิงสาวนั่งซักผ้า”

นอกจากแม่น้ำสายนี้จะเป็นจุดเด่นน่าสนใจแล้ว ที่ตัวอาคารบ้านเรือนก็ยังเป็นสไตล์นอร์มองดีย์ดั้งเดิมที่ดูแล้วสบายตา เพราะแต่ละบ้านจะมีการปลูกดอกไม้เยอะแยะเต็มไปหมด โดยมีรางวัลรับประกันความงามของหมู่บ้านด้วย นั่นคือรางวัลระดับ 2 ดอก (ไม้) ซึ่งในฝรั่งเศส หมู่บ้านต่าง ๆ จะมีการประกวดความงามของหมู่บ้านที่ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง และจะได้รับสัญลักษณ์ดอกไม้ 1, 2 หรือ 3 ดอกตามความสวยงาม โดยเฉพาะดอกกุหลาบทางอำเภอสนับสนุนให้ทุก ๆ บ้าน ปลูก หากใครอยากปลูกดอกกุหลาบให้ซื้อไปปลูกแล้วทางอำเภอจะคืนเงินให้ทุกคน
พอเดินออกจากหมู่บ้าน เดินข้ามถนนมา เราก็จะเจอชายหาด แต่น่าแปลกเพราะตรงหาดแถว ๆ นอร์มองดีย์จะเป็นหาดก้อนหินล้วน ๆ เลย ถ้าใครจะเล่นทรายต้องรอให้น้ำลงเยอะ ๆ จึงจะเห็นทราย อุ๊ย...ใกล้ทะเลตรงนี้ลมพัดแรงมาก ๆ หนาวจนตัวสั่นทำให้ยืนอยู่ได้ไม่นาน พอดีกับได้เวลาท้องร้องต้องหาร้านอาหารนั่งรับประทานเพื่อเพิ่มพลังกันเสียหน่อยแล้ว แต่ร้านอาหารที่นี่เต็มหมดทุกร้าน หากใครไม่ได้จองไว้จะไม่ได้นั่งรับประทานอาหารริมทะเลคลุกเคล้าบรรยากาศดี ๆ โดยอาหารที่เมืองเดียพนี้มีอาหารทะเลสด ๆ ให้เลือกรับประทาน มากมายเพราะเป็นเมืองท่าเรือหรือเรียกกันว่าเมือง 4 ท่า เพราะมีท่าเรือมากที่สุดในประเทศฝรั่งเศส และยังมีท่าเรือข้ามไปยังเมือง Newhaven ในประเทศอังกฤษด้วย


หลังจากกินอิ่มนอนหลับ กันแล้ว คณะเราไม่ลืมที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ “เลอ ชาโต- มูเซ” ซึ่งเป็นปราสาทเก่าแก่ที่ถูกสร้างในยุคกลางศตวรรษ ที่ 15 บนหน้าผาฝั่งตะวันตกของเมือง เพื่อเป็นป้อมสำหรับ ระแวดระวังการบุกรุกชายฝั่ง ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทะเล และของมีค่าในสมัยศตวรรษที่ 17-18 เช่น งาช้างแกะสลัก พัดทำจากผ้าลูกไม้ต่าง ๆ เป็นฝีมือของช่างเมืองเดียพ ซึ่งจะบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวเมืองเดียพได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ด้านบนยังเป็นจุดชมวิวของเมืองที่เราสามารถมองเห็นเมืองเดียพได้ทั้งเมืองอีกด้วย

เมืองเดียพ ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กรุงปารีสแต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากใครมาเยือนปารีสแล้วก็อย่าลืมแวะมาพักผ่อนตากอากาศที่เมืองเดียพเพื่อชาร์จพลังก่อนกลับไปชอปปิงกันต่อ ก็แล้วกัน เชื่อว่าใครที่ได้มาสูดอากาศที่เมืองเดียพแล้วคงจะหลงเสน่ห์อยากกลับมาเยือนกันใหม่อีกครั้งเป็นแน่...


"สีสันรายทาง"
การเดินทาง โดยสารเครื่องบินจากสนามบินสุวรรณภูมิสู่กรุงปารีสโดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมง จากนั้นโดยสารรถยนต์โดยใช้เส้นทางหลวง A13 ต่อไปยังเมืองเดียพ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง หากใครมีเวลาเหลืออย่าลืมแวะเที่ยวชม “บ้านโมเนต์” (Monet's House) ซึ่งโมเนต์เป็นศิลปินวาดภาพของฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงมาก ภายในบ้านมีผลงานการวาดภาพมากมายรวมทั้งการจัดตกแต่งบ้านในสไตล์ศิลปิน (แต่น่าเสียดายห้ามถ่ายภาพ) ด้านนอกมีสวนดอกไม้หลากสีสันที่จัดแยกไว้เป็นสี ๆ อย่างสวยงาม ซึ่งบ้านโมเนต์นี้ ตั้งอยู่ระหว่างทางจากเมืองเดียพไปกรุงปารีส สำหรับในกรุงปารีสระหว่างรอขึ้นเครื่องหากใครมีเวลาเหลืออย่าพลาดไปถ่ายรูปหอไอเฟลเก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะเป็นสัญลักษณ์ของฝรั่งเศสเชียว

ของฝากและร้านอาหาร ของฝากโดนใจ เช่น น้ำหอมแบรนด์ต่าง ๆ พวงกุญแจหรือของประดับรูปหอไอเฟล ส่วนใครที่อยู่ฝรั่งเศสนาน ๆ คิดถึงอาหารไทย สามารถหารับประทานได้ที่ “ร้านอาหารบ้านไทย” เลขที่ 13-15 ถนนเดอ ลา แฟร์รอนเนอรี เพรอมิเยอร์ ปารีส เขต 1 ที่เปิดมานานกว่า 10 ปี มีอาหารให้เลือกทั้งแบบบุปเฟ่ต์และอาหารตามสั่ง เมนูยอดฮิตที่ถูกคอนักท่องเที่ยวได้แก่ ต้มยำกุ้ง ผัดไทย แกงเขียวหวาน และต้มข่าไก่


Source :  //www.dailynews.co.th

Click :TOP




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2553    
Last Update : 10 ตุลาคม 2553 0:46:43 น.
Counter : 1546 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.