ททท.กาญจนบุรีหนุนตลาดท่าเรือ แหล่งของกินอร่อย เชิญชวนมาร่วมงานบุญใหญ่ในเทศกาลกินเจปีนี้
เมื่อวันที่ 12 กันยายยน 2562 เวลา 17.00 น. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี ร่วมกับ โรงเจเข่งซิ่วตั๊ว และเทศบาลเมืองท่าเรือพระแท่น มีการแถลงข่าวการจัดงาน เทศกาลกินเจ แสงสีสุขใจ ประจำปี 2562 ณ โรงเจเข่งซิ่วตั๊ว ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี โดยมี นางสุนีย์ อยู่สุข ปลัดอำเภอท่ามะกา, นางสาวปุณยวีร์ โพธิพิพิธ นายกเทศมนตรีท่าเรือพระแท่น นายวรวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานโรงเจเข่งซิ่วตั๊ว และนางสาวปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานกาญจนบุรี เป็นผู้ร่วมในการแถลงข่าว นางสาวปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกาญจนบุรี เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่อยากจะให้ชุมชนทุกชุมชนมีรายได้ ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกาญจนบุรี ก็ได้ลงพื้นที่ จริงๆ แล้วเขาเชิญเรามาลงพื้นที่เพื่อดูโรงเจว่าปกติศักยภาพของโรงเจเขามีอยู่แล้ว แต่ภาพโรงเจเราจะขายโรงเจอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ ดังนั้น ทาง ททท.ก็เลยลงพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นตลาดเช้าตลาดกลางวันตลาดเย็น ก็เลยทราบว่าที่นี่ไม่ได้ธรรมดาเลยในเรื่องอาหาร เรียกว่าเช้ามากินอาหารร้านนี้ กลางวันกินร้านนี้ เย็นกินร้านนี้ ดึกกินร้านนี้ คือสามารถกินได้ทั้งวัน ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจเรามานั่งคุยกันกับน้องใน ททท.สำนักงานกาญจนบุรีกันว่า ชุมชนที่นี่เขาทำด้วยความเข้มแข็งจริงๆ โดยไม่ได้หวังพึ่งเงินภาครัฐ เขาไม่เคยขอเงินเรา ไม่เคยขอเงินเทศบาลเพราะว่าเทศบาลก็ให้เงินสนับสนุนไม่ได้ เขาพึ่งตัวเองโดยโรงเจเป็นหลัก จากที่โรงเจเป็นหลักเวลาเขาจัดงานแต่ละครั้งผู้คนในชุมชนจะร่วมเงินกัน 5 บาท 10 บาท 100 บาท ก็เลยเกิดเป็นงานที่เป็นโรงเจขึ้น ททท.จึงเล็งเห็นว่าถ้าอยากให้คนรู้จัก "ตำบลท่าเรือ" มากขึ้นกับชุมชนน้อยๆ เล็กๆ ควรจะสร้างการรับรู้โดยผ่านแหล่งข่าวเราก็เลยจึงเชิญสื่อทุกแขนง และเป็นการตอบโจทย์ของชุมชนให้มีรายได้เป็นของตนเอง อย่างที่เห็นที่ตลาดท่าเรือเป็นแม่ค้าทั้งนั้นเลยเขาไม่ยอมออกจากตลาด เพราะว่าเคยทำถนนคนเดินมาครั้งหนึ่งเมื่อสัก 5-6 ปีที่แล้วแต่ถนนคนเดินไม่เกิด เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าเขาไม่ออก เพราะคนโบราณอายุ 60-70 ปีเขาติดพื้นที่อยู่แล้ว ก็เลยคุยกับนายกเทศมนตรีท่าเรือพระแท่นว่าถนนคนเดินถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องไปทำ เรามีของดีดีอยู่ในตลาด เราจะทำอย่างไรที่จะดึงคนเข้าตลาดให้มากขึ้น ททท.จึงมาช่วยในเรื่องของตลาด สร้างการรับรู้ การจัดงานแถลงข่าวจึงเป็นจุดๆ หนึ่งให้เห็นความสำคัญของตลาดท่าเรือ แล้วก็ให้เห็นความสำคัญของโรงเจที่เป็นที่นับหน้าถือตาของท่าเรือ เรียกว่าเป็นศูนย์รวมของชุมชน เพราะอย่างน้อยถ้ามีศูนย์รวม รอบข้างก็เข้มแข็ง ชุมชนก็เข้มแข็งแล้วชุมชนก็มีรายได้ ก็เป็นการตอบโจทย์ของรัฐบาลที่ต้องการให้ชุมชนมีรายได้มั่งคั่งและยั่งยืนค่ะ นายวรวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานโรงเจเข่งซิ่วตั๊ว ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า โรงเจเข่งซิ่วตั๊ว โรงเจนี้ตั้งมานานร่วม 100 ปี เป็นโรงเจที่คนในชุมชนที่มีความศรัทธาต่อท่านอาจารย์โหพัฒน์ อาจารย์โหพัฒน์เป็นผู้ท่ก่อตั้งโรงเจแห่งนี้ขึ้นมา ซึ่งคนในชุมชนเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนได้ย้ายถิ่นฐานอพยพมาจากประเทศจีนเข้ามาตั้งรกฐานที่นี่ ด้วยจุดศูนย์รวมแห่งนี้ใครไปใครมาก็มักจะต้องแวะมาสักการะท่านอาจารย์โหพัฒน์เสมอ ด้วยความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือ อาจารย์โหพัฒน์ท่านมรณภาพไปแล้วแต่ร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย ท่านมีบุญญาธิการ เขาบอกว่าท่านมีหูทิพย์ตาทิพย์ ท่านมีสมาธิแกร่งกล้า สิ่งหนึ่งที่ทำให้โรงเจยืนยงมาถึงทุกวันนี้เพราะท่านอาจารย์โหพัฒน์เป็นจุดศูนย์รวมจิตใจ เพราะฉะนั้นก็อยากจะฝากพี่น้องและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดกาญจนบุรี แวะมาสักการะอาจารย์โหพัฒน์และมากินอาหารอร่อยที่เขตชุมชนท่าเรือแห่งนี้ครับ ที่นี่จะจัดเทศกาลกินเจทุกปี ปีนี้จัดตั้งแต่ 28 กันยายน -8 ตุลาคม 2562 จะมีงิ้ว จะมีกิจกรรมต่างๆ มากมายที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ก็อยากจะเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องมาที่โรงเจเข่งซิ่วตั๊ว ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครเพียงแค่ 100 กิโลเมตรเท่านั้นเอง จะมาทางรถยนต์ก็มาได้เพราะอยู่ติดกับถนนแสงชูโต จะมาทางเรือก็ได้จะมีแม่น้ำ ตรงนี้ทำเลที่นี่เพราะติดแม่น้ำแม่กลอง เดินทางมาทางรถไฟก็มาได้มีรถไฟวิ่งผ่านทุกวัน จึงใคร่ขอเชิญชวนงานร่วมเทศกาลถือศีลกินเจ แสงสีสุชใจกันนะครับ นางสาวปุณยวีร์ โพธิพิพิธ นายกเทศมนตรีท่าเรือพระแท่น เปิดเผยว่า ต้องขอขอบพระคุณทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ตอนนี้ทางเทศบาลเมืองท่าเรือพระแท่นได้มีส่วนร่วมกับทางโรงเจเข่งซิ่วตั๊วในเทศกาลกินเจ เพื่อที่จะส่งเสริมในเรื่องของการงดเว้นเนื้อสัตว์ เทศกาลกินผัก ตอนนี้ทางเทศบาลกำลังทำโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับชุมชน เพื่อเป็นการเริ่มก้าวแรกของการส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีนี้ สำหรับกิจกรรมในเทศกาลกินเจที่จะมีขึ้นนั้น ก็จะมีการแห่งเจ้ารับเจ้า มีการสะเดาะเคราะห์บูชาดาว มีพิธีลอยกระทง ก็จะมีเด็กนีกเรียนจากโรงเรียนเทศบาล1 เข้ามาร่วมในกิจกรรมการแสดง และประชาชนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องของริ้วขบวนที่สวยงาม ในวันที่ 28 กันยายน 2562 ที่เราจะมีขบวนแห่ในเรื่องของเทศกาลกินเจ ขอเชิญชวนให้ประชาชนและพี่น้องในเขตเทศบาลและประชาชนทั่วไป ได้เข้ามาร่วมกินเจอกับโรงเจเข่งซิ่วตั๊วท่าเรือค่ะ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกที่แนะนำนะคะก็คือ ท่านอาจารย์โหพัฒน์ ประดิษฐานอยู่ภายในโรงเจเข่งซิ่วตั๊วท่าเรือ จ.กาญจนบุรีค่ะ ท่านอาจารย์โหพัฒน์ก็เปรียบเสมือนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านเทศบาลท่าเรือพระแท่นอยู่แล้วค่ะ องค์ท่านเป็นองค์ที่มรณภาพไปแล้วเป็นองค์แห้ง หรือเรียกอีกอย่างว่าหลวงพ่อแห้ง ที่ชาวท่าเรือได้เคารพนับถือเป็นอย่างมาก จุดธูป 5 ดอกแล้วขอพรท่านได้ 1 อย่างค่ะ และสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากขอแนะนำก็คือการเดินไปตามจุดต่างๆ อยากเชิญชวนประชาชนทั่วไปที่ผ่านไปมา อย่าผ่านเลยท่าเรือ อย่าเห็นเป็นแต่เมืองผ่านแวะเข้ามาหาอาหารอร่อยๆ รองท้อง อาหารกลางวันได้นะคะ ท่าเรือยินดีต้อนรับทุกๆ ท่านค่ะ โรงเจเข่งซิ่วต๊ว สันนิฐานว่าน่าจะมีการก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่มีหลักซานปรากฎ แต่มีการเล่าสืบต่อกันมาว่า เส้นทางหน้า โรงเจ เข่งซิ่วต๊ว (ซอยแสงชูโต 23) เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาส ณ ไทรโยค และพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาขึ้นเรือที่ท่าเทียบเรือตลาดบน (ซอยแสงชูโต 23) และเสด็จพระราชดำเนินผ่านมาที่หน้าโรงเจแห่งนี้ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลกินเจพอดี เพื่อไปนมัสการพระแท่นดงรัง และในกาลต่อมาได้มีพระญวนมาจำพรรษาอยู่ที่โรงเจแห่งนี้ พระญวนองค์นี้นามว่า พระอาจารย์โหพัฒน์ ประวัติของพระอาจารย์โหพัฒน์ ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ 11 ปี จนกระทั่งเป็นพระภิกษุที่วัดถาวรวรารามจังหวัดกาญจนบุรี (เป็นวัดญวนแห่งแรกในประเทศไทย) เชื่อกันว่าท่านมีญาณสมาธิแก่กล้า เพราะเชื่อกันว่าท่านมีญาณที่รู้แจ้งเห็นจริง จึงเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้าน ในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีโรงพยาบาลเพราะห่างไกลจากสถานที่ราชการ เมื่อประชาชนขาดที่พึ่งก็จะไปหาท่านอาจารย์ซึ่งก็ท่านได้ปัดเป่าให้ ทำให้คนในท่าเรือเกิดความเลี่ยมใสจนกลายเป็นความรักและสามัคคีกันในหมู่บ้าน ถึงขนาดเปรียบท่านเป็น "เทพเจ้า" ของคนท่าเรือ ต่อมาท่านอาจารย์ไ้ดมรณภาพลง ด้วยอายุเพียง 46 ปี (35 พรรษา) เท่านั้น ประชาชนทั่วไปจึงได้เก็บร่างท่านไว้เพื่อรอการฌาปนกิจเป็นเวลา 3 ปี เมื่อครบกำหนดจึงทำพิธีเปิดโลงศพ ปรากฎว่าร่างของท่านไม่เน่าเปื่อยได้แต่แห้งลงไป ประชาชนจึงพร้อมใจกันนำร่างของท่านมาลงรักเก็บไว้ และได้อัญเชิญองค์ท่าน ขึ้นประดิษฐาน ณ โรงเจ เข่งซิ่วต๊ว แห่งนี้ เพื่อให้ลูกหลานได้สักการะสืบต่อไปอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน เทศกาลกินเจ แสงสีสุขใจ จัดขึ้นเพื่อร่วมสืบสานประเพณีการกินเจของชาวบ้านในพื้นที่ตลาดท่าเรือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนที่มาอยู่เมืองไทยยาวนานร้อยปีกว่า โดยชาวบ้านมีความเชื่อว่าการได้ปฏิบัติตนถือศีลกินผักในช่วงเทศกาลกินเจจะช่วยลดการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ ทำให้ผู้ปฏิบัติได้รับบุญกุศล เพิ่มความเป็นสิริมงคลให้ชีวิต โดยในปีนี้ทางโรงเจเข่งซิ่วตั๊ว พร้อมด้วย 19 ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองท่าเรือพระแท่น ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2562 นอกจากจะมีการจัดโรงทานอาหารเจที่โรงเจเข่งซิ่วตั๊วตลอดทั้ง 10 วันแล้ว จะมีพิธีอันเชิญเทพเจ้าเก้าพระองค์ พิธีสะเดาะเคราะห์บูชาดาว พิธีลอยกระทง พิธีทิ้งกระจาดไทยทาน และพิธีส่งเทพเจ้าเก้าพระองค์ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่เดิมแล้ว กิจกรรมในงาน นอกจากจะมีการจัดโรงทานอาหารเจตลอดทั้ง 10 วัน มีพิธีอันเชิญเทพเจ้าเก้าพระองค์ พิธีสะเดาะเคราะห์บูชาดาว พิธีลอยกระทง พิธีทิ้งกระจาดไทยทาน และพิธีส่งเทพเจ้าเก้าพระองค์ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่เดิมแล้ว ในปีนี้ยังได้มีการสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ มาประยุกต์ให้เข้ากับเทศกาลกินเจ อาทิ กิจกรรมผลงานศิลปะร่วมสมัย สตรีทอาร์ต ประติมากรรมหุ่นโคมไฟ กิจกรรมเพ้นท์โคมไฟ โดยนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ น้องอ้น เล่าให้ฟังว่า สตรีทอาร์ต ที่ทำขึ้นมาจะเป็นการเล่าเรื่องราวทั้งหมดของชาวท่าเรือแห่งนี้ ซึ่งชุมชนเก่าของเราเป็นคนจีนซะส่วนใหญ่ จะใช้สตรีือาร์ตเล่าเรื่องตั้งแต่แรกเริ่มเป็นชุมชน โดยเชิญศิลปินที่ขายงานต่างประเทศเพื่อที่จะมาเม้นท์มาเขียนรูปบนกำแพง เพื่อเป็นการดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในเที่ยวตลาดท่าเรือของเรา เพราะท่าเรือเป็นเมืองผ่านเพราะคนที่จะมาเที่ยวเมืองกาญจน์ก็จะผ่านเส้นทางนี้ ดังนั้น จึงมี Story ทำอย่างไรให้ตลาดท่าเรือกลับมาได้ด้วยความคิดของน้องอ้น ซึ่งความจริงๆ โดยหลักแล้วผู้คนจะเข้ามาสักการะที่โรงเจในงานเทศกาลกินเจ ดังนั้นจึงเป็นการเชื่อมต่อระหว่างโรงเจกับตลาดเพื่อเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของการท่องเที่ยว เชิญมาช้อป มาชิล มาแชะกันที่ท่าเรือ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ เป็นการสร้างความสนใจของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น นับเป็นการส่งมอบวัฒนธรรมเพื่อไม่ให้ประเพณีกินเจเป็นเรื่องเฉพาะของกลุ่มคนผู้สูงอายุอีกต่อไป ในปีนี้มีการสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ๆ มาประยุกต์ให้เข้ากับเทศกาลกินเจ อาทิ กิจกรรมผลงานศิลปะร่วมสมัย สตรีทอาร์ต ประติมากรรมหุ่นโคมไฟ กิจกรรมเพ้นท์โคมไฟ โดยนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ให้สอดคล้องกับสังคมปัจจุบันและกระตุ้นความสนใจของเยาวชน โชคดีที่วันที่ 12 กันยายน 2562 ฟ้าเปิดฟ้าสวยใสเหมาะแก่การเดินเที่ยวตลาดท่าเรือเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ ผอ.กุ๊กไก่และนายกเทศมนตรีฯ ท่าเรือ พามาโรงก๋วยเตี๋ยว ให้สังเกตง่ายๆ มองไปที่ปล่องถ้ามีควันขึ้นเมื่อไหร่แปลว่าป้าสามคนเริ่มทำเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วค่ะ ดูการทำเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่แบบสดๆ ขึ้นจากเตามาจิ้มซีอิ้วกินได้เลยค่ะ อร่อย เพิ่งเคยเห็นที่นี่เป็นครั้งแรก กับป้าสามสาวเจ้าของโรงงานทำกันเองพี่น้อง 3 คน เรียกว่าเป็นอุตส่าหกรรมในครัวเรือนที่น่ายกย่องและชื่นชมควรค่าแก่การมาสัมผัสด้วยตาคุณค่ะ ผมทำขนมเปี๊ยะงา คนจีนเรียกหม่าเปี้ยง จะมีไส้ถั่วไส้ฟัก ถ้าทำขายในช่วงเทศกาลเจก็จะใส่เม็ดแตงเม็ดมะม่วงทำออกมาขาย พอปั้นเสร็จก็จะมาคลุกงาแล้วนำมาอบขนมจะมีกลิ่นหอม อร่อยมากเลยครับ ทำขนมเมาตั้งแต่เด็กๆ เลยครับ โรงขนมก็มีทำขายอยู่ทั่วไปน่ะครับ ขนมนี้มีมานานแล้วมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวจีนแคะ ทำเสร็จขายเป็นกิโล คนซื้อจะมาซื้อถึงในโรงงานร้านฮะเห็ดในตลาดท่าเรือครับ ทำขนมหลายชนิดเลยครับ มาเดินตลาดท่าเรือหาของกินกันนะคะ ของกินถูกและอร่อยมีที่นี่ค่ะ เป็นอาหารฝีมือของชาวจีนแคะ ข้าวต้มมัดนึ่งขาย ทำกันสดสดให้เห็นที่หน้าบ้าน ข้าวเกรียบปากหม้อเจ้นุ้ย กินไปคุยกับเจ้ไป เจ้นุ้ยชีก็อารมณ์ดีคุยสนุกค่ะ ตลาดเก่าเล่าเรื่องกิน ที่ตลาดท่าเรือนั้นมีดีมากกว่าจะเป็นแค่เพียงทางผ่านของนักท่องเที่ยวอีกต่อไป ททท.สำนักงานกาญจนบุรี คาดหวังว่า จะมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจ เดินทางตามรอยมาเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยว และจับจ่ายชมชิมช็อปอาหารการกิน และสินค้าของดีในชุมชนตลาดท่าเรือแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นการกระจายรายได้าสู่ชุมชนต่อไป #กินเจท่าเรือ #แดนสวรรค์ตะวันตก อุ้มเรียกทริปนี้ว่าทริปตัวแตก แวะทุกร้านกินทุกที่น่ากินทุกร้านและอร่อยไปทั่ว ต้องมาเดินกินในตลาดท่าเรือ ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรีเลยค่ะ อร่อยเลิศ นางสาวปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกาญจนบุรี พูดถึงศาลเจ้าแม่ทับทิมไว้ว่า ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มาสักการะเพราะคราวที่แล้วมาสำรวจก็เลยไม่ได้ไหว้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก็เห็นความศักดิ์สิทธิ์ เห็นถึงความศรัทธาของคนในตำบลท่าเรือเวลาเขามาขอพร ประวัติศาลเจ้าแม่ทับทิม หรือศาลอาม่า เป็นศาลศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจีนท่าเรือให้ความเคารพสักการะ ซึ่งในเดือนเมษายนของทุกปีจะมีงานเทศกาลประจำปีเพื่อสักการะบูชา ศาลเจ้าแม่ทับทิมสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 120 ปีมาแล้ว แรกเริ่มศาลเจ้าแม่ทับทิมสถิตอยู่บนตลิ่งแม่น้ำแม่กลอง ปัจจุบันอยู่บริเวณซอยแสงชูโต 11 สุดซอยเลียบถนนริมน้ำไปทางทิศตะวันออกประมาณ 400 เมตร มีการเคลื่อนย้ายองค์เจ้าแม่ทับทิมอยู่ในบริเวณนี้อีกประมาณ 1-2 ครั้ง จนมาสถิตอยู่ในสถานที่ปัจจุบัน ศาลเจ้าแม่ทับทิม ท่านจะเป็นเทพแห่งมหาสมุทร เพื่อช่วยเหลือชาวประมงชาวจีนโพ้นทะเล เจ้าแม่เป็นหฐิงสาวเกิดในตระกูล "ลิ้ม" ในมณฎลเหว่ยโจ้วที่ประเทศจีน ท่านเกิดวันที่ 3 เดือน 3 พ.ศ.2503 เกิดมาออกจากท้องแม่ก้ไม่ร้องอุแว้ ก็เลยถูกตั้งชื่อว่า "ลิ้มมิด" แปลว่าเงียบขรึม ซึ่งท่านจะชอบปฏิบัติและกินเจตลอดชีวิต ท่านจะมีญาณหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร คอยช่วยเหลือชาวประมง จากนั้นออกจากสักการะเจ้าแม่ทับทิมเสร็จแล้วก็เดินเลี้ยวซ้ายมาที่ท่าน้ำเพื่อที่จะล่องเรือ ที่ท่าน้ำนี้มีอาหารปลาจำหน่ายไว้ให้อาหารปลาค่ะ เรือลำนี้จะพาล่องแม่น้ำแม่กลอง นั่งเรือกินลมชมวิว นางสาวปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกาญจนบุรี พูดถึงการท่องเที่ยวทางน้ำที่แม่น้ำแม่กลองได้อย่างน่าสนใจไว้ว่า ดังนั้นจึงนำสื่อฯ ลงเรือล่องไปในแม่น้ำแม่กลองจะเห็นได้ว่าเรือที่เรานั่งลำนี้ บังเอิญเรือลำนี้เป็นเรือที่ชุมชนรวบรวมเงินกันทำขึ้นมาไม่ได้เอาเงินจากภาครัฐเลย สิ่งหนึ่งที่ทำให้คิดได้ว่าชุมชนท่าเรือแห่งนี้โตด้วยตัวของชุมชนเอง เขาไม่ได้หวังเงินจากภาครัฐเลย ดังนั้นจะนำสื่อมวลชนมาลงในพื้นที่เพื่อสัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนท่าเรือ จะได้นำข้อมูลวิถีชีวิตของชมชนท่าเรือแห่งนี้ไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ในเรื่องเส้นทางท่องเที่ยวทางน้ำ ให้มี Story เพราะแม่น้ำสายหลักของจังหวัดกาญจนบุรีก็คือแม่น้ำแม่กลอง เราเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำแม่กลอง ตรงนี้เป็นท้ายเขื่อนทริปที่มาสำรวจคราวที่แล้วคือต้นของแม่น้ำคือเหนือเขื่อน บางวันน้ำก็ไม่มีนะคะเขาบอกว่าถ้าน้ำไม่มีสามารถเดินข้ามไปได้เลย แต่บางวันวันนี้เราโชคดีที่เราลงเรือแล้วมีน้ำเยอะ ทำให้เราได้เห็นธรรมชาติ ซึ่งก็คิดเหมือนกันคุยกับน้องที่เป็นไกด์ว่า เราต้องสร้าง Story สร้างเรื่องราวเชื่อมกับโรงเจ ก็ทำได้บ้าง แล้วเราก็เล่าเรื่องราวว่าทำไมตำบลท่าเรือจึงเจริญกว่าที่อื่น เพราะเมื่อก่อนที่นี่มีโรงงานน้ำตาลเยอะที่สุดในประเทศไทย เศรษฐกิจดีมากเลยนะคะ ในตลาดแทบไม่ได้นั่งเฉยๆ เลยแม่ค้าป้าแบวเล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโรงงานน้ำตาลผลิตน้ำตาลน้อยลง คนตัดอ้อยน้อยลง เถ้าแก่น้อยลง ทำให้เศรษฐกิจไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเหมือนก่อนมันก็เปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชนท่าเรือก็คือโรงเจเข่งซิ่วตั๊ว ซึ่งพระอาจารย์โหพัฒน์เป็นศูนย์รวมจิตใจคนท่าเรือ ชุมชนมีงานอะไรก็จะร่วมใจกันลงมือช่วยกันทำงาน จึงได้เห็นได้ว่าโรงเจเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เป็นชุมชนเข้มแข็งด้วยตัวเอง แล้วก็ออกจากที่นี่เราก็จะไปชมพิพิธภัณฑ์จักรยานยนต์ซึ่งน่าสนใจมากค่ะ เพราะเขาเสียสละเปิดให้ชมฟรีเป็นพิพิธภัณฑ์รถจักรยานยนต์ นั่ก็คือสิ่งหนึ่งของการเรียนรู้ว่าเขาขายมอเตอร์ไซด์ก็จริงเป็นนักธุรกิจก็จริง แต่เขาก็ยังตอบแทนสังคมให้ได้เห็นถึงมอเตอร์หลากหลายที่ HOT ที่แรงที่ขายดีจริงๆ เป็นความรู้ที่เราไม่ควรรู้มาก่อน สำหรับเรื่องการมาเดินตลาดท่าเรือ ททท.จะเป็นการทำเส้นทางของความอร่อย เป็นเรื่องของการกินที่สามารถกินได้ตั้งแต่เช้ายันเย็น ที่นี่น่ารัก เดินชมสตรีทอาร์ตเสร็จ ก้ไปเดินตลาดหาของกินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ เพลิน มาช่วยสร้างการรับรู้ให้ชุมชนเล็กแห่งนี้เป็นสีสันของความอร่อยที่คุณต้องมาเยือน นายจิราเบศร์ บุณยรัตน์กานนท์ ชมรม BIZ CLUB กาญจนบุรี ด้านการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า จริงๆ แล้วต้องถือว่า ททท.จังหวัดกาญจนบุรีและส่วนกลาง ให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางน้ำเพราะจังหวัดกาญจนบุรีทำกันไป 2-3 ครั้งแล้ว สำหรับตำบลท่าเรือเรากำลังจะทำให้เกิดขึ้นโดยเราจะพาไปชมรังนกกระจ๊าบ และเป็นแหล่งตกกุ้งกล้ามกามตัวใหญ่มากประมาณ 4 ตัวโล 5 ตัวโล คาดว่าเร็วๆ นี้เราจะมีการล่องเรือทางน้ำจะเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามา ชุมชนที่นี่เขาก็จะสร้างกระต๊อบบนน้ำให้คนที่มาตกกุ้งได้นอนพักกันที่นี่เลย แล้วปีหนึ่งก็จะมีฤดูกาลให้ตกกุ้งได้ปีละครั้ง แล้วเราก็ให้ชุมชนเลี้ยงกุ้งเองแล้วนำมาปล่อยในแม่น้ำ เมื่อถึงฤดูกาลไปตกกุ้งประชาชนก็จะมีรายได้ด้วย รายได้จากการตกกุ้งและรายได้จากที่พัก แล้วก็อาหารการกินตำบลท่าเรือก็จะเด่นเรื่องอาหารโบราณอร่อย สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน นายจิราเบศร์ บุณยรัตน์กานนท์ ยังเล่าให้อุ้มฟังเกี่ยวกับการท่องเที่ยววิถีชีวิตชุมชนท่าเรือที่นี่ว่า จังหวัดกาญจนบุรีนี้มีแม่น้ำเยอะมาก การท่องเที่ยวแบบอื่นมีมากมายล่ะ จริงๆ แล้วเป็นดำริของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี แล้วก็การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกาญจนบุรีด้วย เขาก็มีนโยบายอยากจะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ให้เกิดขึ้น แบบมิติใหม่ของจังหวัดกาญจนบุรี นั่นก็คือ การท่องเที่ยวทางน้ำโดยเรือ เพราะส่วนมากคนมาเมืองกาญจน์มักจะมาล่องแพ คราวนี้เราเปลี่ยนมาเป็นเรือ เราก็มาสำรวจว่ามีลุ่มน้ำตรงไหนบ้างที่จะสามารถล่องเรือได้ อย่างเช่นถ้าไปจากจังหวัดกาญจนบุรีขึ้นไปก็จะเป็นการตามรอยเสด็จประพาสต้น ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศให้นักท่องเที่ยวบ้างมาเป็นการล่องเรือชมธรรมชาติ วัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยวทางเรือก็คืออยากให้ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม คนในชุมชนจะรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของเขาก็จะรักในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่างเช่น หลังจากเขาไปทำการเกษตรไปทำประมงตอนช้าเสร็จ ในช่วงบ่ายเราก็จะนำเรือออกมาให้บริการนักท่องเที่ยว ก็จะมีรายได้จากการทำประมงและการพานักท่องเที่ยวเที่ยวทางเรือ อย่างไรก็ตามชุมชนเองและการบูรณาการจำเป็นมากกว่า โดยตัวของเราเองเราไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เราสามารถที่จะนำกิจกรรมนี้ไปขายต่อได้ สิ่งหนึ่งก็คือชุมชนต้องพร้อมก่อน ยังไงก็มีลูกค้า ที่น่าชื่นชมว่าชุมชนท่าเรือเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง อย่างเช่นเรือที่พาล่องเรือก็เป็นเรือของคนในชุมชนเอง และจากการพูดคุยกับชาวบ้านในชุมชนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับการท่องเที่ยวทางเรือ นับเป็นโอกาสอันดีและเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะเกิดการท่องเที่ยวทางน้ำเกิดขึ้นที่นี่ครับ ก็อยากจะเชิญชวนมาท่องเที่ยวมาล่องเรือ มาชมธรรมชาติแห่งสายน้ำและสัมผัสกับวิถีชีวิตชุมชนของชาวท่าเรือเป็นสีสันทางน้ำที่น่าสนใจครับ หลังจากนั่งกินลมชมวิวในแม่น้ำแม่กลองอันสวยงามกันเสร็จล่ะ ก็มาขึ้นจากเรือที่ท่าน้ำวัดท่าเรือค่ะ วัดแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความเกื้อกูลกันได้อย่างลงตัว ที่ตำบลท่าเรือเมื่อมาลงในพื้นที่อุ้มนึกถึงคำว่า "บวร" บ้าน วัด โรงเรียน 3 เสาหลักที่เชื่อมโยงความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่อดีต ฉะนั้นคำว่า บวร จึงไม่ใช่เพียงคำประกอบที่ใช้เรียกสถานที่ต่างๆ เท่านั้น แต่บ่งบอกให้เห็นถึงสังคมที่เกื้อกูล ส่งเสริม ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้อย่างสมดุล นางสาวปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกาญจนบุรี เล่าให้อุ้มฟังต่อได้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับชุมชนว่า คำว่า "บวร" เราเรียนมาตั้งแต่เด็กเนาะ คนสมัยใหม่เด็กรุ่นใหม่อาจจะลืมเลือน เวลาไปพูดที่ไหนไปงานเสวนาที่ไหนมักจะพูดคำว่า "บวร" คำนี้ค่ะ มันคือความเข้มแข็งมันคือรากเหง้า รากฐานของเรา เราโตมาจากบ้านถูกใช่ไหมคะ ต่อไปก็คือโรงเรียน แต่ก่อนที่จะไปโรงเรียนมันก็จะมีวัดมีความศรัทธามีจุดศูนย์รวมของชุมชน เป็นวัดไทยวัดจีนเหมือนกันหมด ซึ่งตอบโจทย์ได้ 3 อย่าง คือ บ้าน วัด โรงเรียน ตามแนวพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็งก็คือ 3 สิ่งนี้จริงๆ คือเราก็เรียนหนังสือจากบ้านก่อนเพราะพ่อแม่สอนหนังสือเราก่อน จากนั้นไปโรงเรียน สมัยก่อนจำความได้ว่าคุณพ่อคุณแม่เราเรียนหนังสือจากวัด พระเป็นคนสอน ซึ่งเป็นสิ่งที่หนีกันไม่พ้นนั่นคือเชื่อมโยงกัน วัดท่าเรือ ตั้งอยู่ที่ ซ. แสงชูโต 31 ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71130 วัดท่าเรือ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2408 โดยหลวงจงภักดี (ต้นสกุลพันธุ์ภักดี) เป็นผู้ริเริ่มสร้างขึ้น เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วไม่มีพระพุทธรูปที่จะบูชาประจำวัด จึงได้ไปอาราธนาพระพุทธรูป ที่อยู่ในโบสถ์ร้างบ้านท่าสารอยู่เหนือจากตำบลท่าเรือขึ้นไปตามลำน้ำประมาณ 1 กิโลเมตร ให้มาเป็นพระประธานประจำวัด และขนานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "หลวงพ่อเพชร" หลวงพ่อเพชร เป็นพระพุทธรูปตอนปลายสมัยอยุธยา ปางขัดสมาธิ มีพุทธลักษณะที่พิเศษนั่นก็คือสร้างด้วยศิลาแดง ขนาดหน้าตัก 29 นิ้ว และมีพระพักตร์ที่ดุ มีพระศก (เกศา) เป็นหนามขนุนซึ่งบ่งบอกว่าสร้างในสมัยอู่ทอง รวมไปถึงยอดพระเกตุบนสุด ก็เป็นลักษณะหนามขนุนอีกด้วย ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเพชร ได้มีผู้เล่าสืบกันมาหลายทอดเล่าให้ฟังว่า เมื่อ 60 กว่าปีก่อน มีหญิงคนหนึ่งชื่อว่า "ยายน่วม" มีหน้าที่คอยรับฝากสร้อยคอทองคำจากชาวบ้านต่อมาแอบเปลี่ยนเป็นสร้อยปลอม เมื่อเจ้าของเดิมไถ่คืนเห็นไม่ใช่สร้อยของตนก็ไม่ยอมรับจนเกิดทะเลาะกันขึ้น ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ยายน่วมจึงไปสาบานต่อหน้าหลวงพ่อเพชรว่า ถ้าตนทำขอให้ปากเน่าลิ้นเน่าเป็นหนอน ต่อมาหนึ่งอาทิตย์ยายน่วมก็เกิดอาการตามที่ยายน่วมลั่นวาจาจนถึงแก่ความตาย คนรุ่นปู่่รุ่นย่าจึงเรียกหลวงพ่อเพชรอีกชื่อหนึ่งว่า "พระยายน่วม" ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเพชร นั่นก็คือ ถ้าหากปีใดฝนแล้งฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลชาวบ้านจะมาขออนุญาตหลวงปู่วุ้น เพื่อขออนุญาตนำหลวงพ่อเพชรออกแห่ขอฝน ซึ่งหลังจากนั้นภายใน 7 วัน ฝนก็จะตกทุกครั้งได้รับน้ำฝนทุกครั้งไม่เคยพลาด ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดกาญจนบุรี พระครูปลัดมานะ ฐิติสีโล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าเรือ ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ณ มณฑปจตุรมุขของวัดท่าเรือ อันเป็นที่ตั้งของพระประธานพระพุทธปูนทองเหลืองลงรักปิดทอง ภาพฝาผนังมีภาพวาดพระมหาชนก วัดท่าเรือเป็นวัดเก่ามากกว่า 100 กว่าปี ที่เห็นหลังเล็กๆ น่ะเป็นโบสด์เก่าแต่เดิมแรกเริ่มเลย ที่นี่สมัยก่อนจะเป็นแค้มป์ของเชลยศึกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ว๊าว นึกถึงโกบริอุงศุมาลินขึ้นมาในทันทีเลยค่ะ วัดแห่งนี้มี Story เป็นค่ายทหารญี่ปุ่นด้วยต้อนไปอาบน้ำที่แม่น้ำ เพราะมีเส้นทางรถไฟอยู่หน้าวัดอีกด้วย ซึ่งวัดก็ยังบ่งบอกได้อีกว่าชุมชนท่าเรือเป็นสถานที่มีวัด มีตลาด บ่งบอกว่าแต่เดิมชุมชนมีเศรษฐกิจที่ดี ที่นี่สมัยก่อนมีรถทุกชนิด มีรถไฟ-รถสองแถว-รถทัวร์ รถอะไรต่อรถอะไรก็จะวิ่งผ่าน ชุมชนนี้จึงเจริญรุ่งเรืองมีโรงงานน้ำตาล ห่างจากวัดไปไม่ถึงกิโลมีโรงงานทำวุ้นเส้น แต่เดิมท่าเรือเจริญ อำเภอเมืองสู้ที่นี่ไม่ได้เลยในสมัยก่อน เมื่อก่อนก็มีวัดของศาสนาคริสต์อยู่ที่นี่ด้วย เรียกว่าที่นี่มีทุกศาสนามัสยิดก็มีอยู่หน้าวัด แต่เดี๋ยวนี้วัดคริสต์ไม่มีแล้ว ภาพจิตรกรรมฝาผนังรอบๆ จะมีจากหนังสือไตรภูมิพระร่วง และยังเป็นภาพของสถานที่ท่องเที่ยวภายในจ.กาญจนบุรี มีน้ำตกห้วยขมิ้น-ปราสาทเมืองสิงห์-วัดเก่ากาญจนุบุรี-พระแท่นดงรัง-สะพานมอญสังขระ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แล้วก็เป็นภาพวิถีการดำเนินชีวิตของชาวท่าเรือจะเกี่ยวกับน้ำก็มีภาพน้ำมาประกอบ สมัยวัดท่าเรือนี้จะเป็นเส้นทางผ่านไปยังพระแท่นดงรัง โดยมักจะนั่งเรือมาขึ้นที่ท่าน้ำวัดท่าเรือ แล้วค่อยต่อเกวียนไปสักการะพระแท่นดงรัง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 วัน นับเป็นวิถีชีวิตของคนสมัยก่อน ที่วิหารของหลวงพ่อเพชรจึงเป็นสถานที่ที่กราบไหว้สักการะเชื่อมโยงไปกับโรงเจเข่งซิ่วตั๊ว วัดท่าเรือสร้างมานานแล้ว 100 กว่าปี ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อเพชร ในอดีตชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อเพชรเคยอยู่ห่างจากที่นี่ไป 1 กิโล ณ หมู่บ้านท่าสาม ที่รกร้างเป็นป่า ลิงขึ้นมาปีนเล่น ก็เลยไปอัญเชิญหลวงพ่อเพชรมาประดิษฐาน ณ วัดท่าเรือ หลวงเพชรมีกิตติศักดิ์ในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ปิดท้ายเอนทรี่แรกด้วยภาพนี้ละกันเนาะ ออกจากวัดท่าเรือก็มาต่อที่พิพิธภัณฑ์รถจักรยานยนต์โล้วเฮงหมง แต่นอนคิดมา 2 คืนล่ะ ตอนแรกพยายามจะอัดภาพและเรื่องราวให้จบภายใน BLOG เดียวเอนทรี่เดียวแต่ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เคยอยู่ในวิสัยอุ้มสีถ่ายภาพน้อยๆ อัพบล็อกด้วยภาพน้อยๆ ไม่เป็น ภาพอยุ่ในสต็อกเพียบ ภาพในพิพิธภัณฑ์มอเตอร์ไซด์อีกเพียบ ภาพร้านอาหารอีกเยอะ ยังมีภาพมื้อเย็นที่โรงแรมปลากาญจน์รีสอร์ทอีกแถมต่อด้วยภาพพระอาทิตย์ขึ้น และอาหารเช้าอีก ไม่นับร้านกาแฟสะพานนา ไม่นับภาพที่วัดบ้านถ้ำ ไม่นับภาพที่หอศิลปเอมเจริญ ไม่นับภาพมื้อเที่ยงที่ร้านกบทอด แถมปิดท้ายส่งทริปนี้ที่ศาลเจ้าตึก อุ้มขออนุญาตยกไป BLOG หน้านะคะVIDEO ขอขอบคุณ : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกาญจนบุรี เพลง : ขุนเขายะเยือก / นิด ลายสือ BG : คุณลักกี้ / กล่องเขียนคอมเม้นท์ : คุณ lozocat / Banner : คุณ oranuch_sri ของแต่ง BLOG : ป้ามด + น้องดอกหญ้าเมืองเลย + ป้าเก๋า ชมพร + น้องญามี่ + คุณเนยสีฟ้า
Create Date : 14 กันยายน 2562
Last Update : 24 ตุลาคม 2563 20:58:17 น.
19 comments
Counter : 4843 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณคนผ่านทางมาเจอ , คุณนกสีเทา , คุณThe Kop Civil , คุณฟ้าใสวันใหม่ , คุณtuk-tuk@korat , คุณกะว่าก๋า , คุณตุ๊กจ้ะ , คุณสองแผ่นดิน , คุณKavanich96 , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณทนายอ้วน , คุณmultiple , คุณtoor36 , คุณสันตะวาใบข้าว , คุณสาวไกด์ใจซื่อ , คุณJinnyTent , คุณkae+aoe , คุณเริงฤดีนะ , คุณที่เห็นและเป็นมา , คุณALDI , คุณhaiku , คุณnewyorknurse
โดย: นกสีเทา วันที่: 14 กันยายน 2562 เวลา:15:35:24 น.
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 14 กันยายน 2562 เวลา:18:51:03 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 กันยายน 2562 เวลา:20:58:39 น.
โดย: ตุ๊กจ้ะ วันที่: 14 กันยายน 2562 เวลา:22:28:01 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 15 กันยายน 2562 เวลา:3:07:55 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 กันยายน 2562 เวลา:6:30:57 น.
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 15 กันยายน 2562 เวลา:19:12:21 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 15 กันยายน 2562 เวลา:21:27:58 น.
โดย: multiple วันที่: 16 กันยายน 2562 เวลา:5:31:49 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 กันยายน 2562 เวลา:11:00:36 น.
โดย: JinnyTent วันที่: 16 กันยายน 2562 เวลา:11:19:05 น.
โดย: ALDI วันที่: 16 กันยายน 2562 เวลา:22:29:41 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 กันยายน 2562 เวลา:10:01:05 น.
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 17 กันยายน 2562 เวลา:12:56:31 น.
หาบรรยากาศแบบนี้
ไม่มีให้เห็นในกรุงเทพแล้วนะคะ
ไม่ไกลด้วย
จะตามรอยมั่งค่ะ
ขอบคุณที่นำมาบอก