Salade - Hong Kong, me & The Fringe Club

Hong Kong, me & The Fringe Club



      ชีวิตคนเรานี่ช่างผกผันได้ดีแท้ ปกติฉันเองไม่ชอบเดินทางหรือท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ เป็นคนมีพรสวรรค์พิเศษ สามารถหมกตัวทำงานอยู่ในบ้านราวกับถูกกักบริเวณเป็นอาทิตย์ๆ โดยไม่รู้สึกทุรนทุราย แต่ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา โชคชะตาพลิกเพี้ยนผันเพราะมีคนรักพักอยู่ฮ่องกง ความต้องการของหัวใจ (เลี่ยนเล็กน้อย ต้องขออภัย) บีบบังคับให้เร่ร่อนออกจากบ้านอันสุขสงบ เดินทางไปกลับระยอง-ฮ่องกงอยู่บ่อยๆ จนเพื่อนๆ ค่อนขอดว่าฉันใช้กรุงเทพมหานครเป็นจุดเปลี่ยนเครื่อง ลงจากเครื่องดีเซลรถเชิดชัยทัวร์ไปขึ้นเครื่องเจ็ตโบอิ้งของสายการบินคาเธย์แปซิฟิค

      ระหว่างการเดินทาง ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นเร้าใจที่สุดรองจากตอนเครื่องบินเก็บล้อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากับตอนปล่อยล้อลงแตะพื้นรันเวย์ คือ ตอนเข้าแถวรอตรวจหนังสือเดินทางหน้าด่านศุลกากร ทุกก้าวที่ขยับเคลื่อนคืบหน้าไป หัวใจฉันจะเต้นตึกตักๆ อย่างกับกำลังลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายข้ามประเทศ ถ้าโชคดีมีชัย เจ้าหน้าที่เปิดพาสปอร์ต ลงตราประทับ แล้วให้ผ่านๆ ไป ฉันจะโล่งใจมาก เพราะว่าฉันเดินทางไปอยู่ฮ่องกงแต่ละครั้งเป็นเวลาอย่างน้อยสามอาทิตย์หรือไม่ก็หนึ่งเดือน เรียกว่าใช้สิทธิตามกฎหมายที่ให้คนไทยอยู่ฮ่องกงได้ไม่เกินสามสิบวันอย่างเต็มที่ เวลาบอกใคร ทุกคนมักจะงุนงงสงสัยใส่เครื่องหมายคำถามบนใบหน้า ตีความได้ว่า จะไปทำอะไร ไม่ทำงานทำการหรือยังไง เป็นภาระลำบากให้ฉันต้องอ้อมแอ้มอธิบายว่าไปหาแฟนค่ะ อาชีพของฉันทำงานที่ไหนก็ได้ค่ะ แล้วก็จะมีคำถามต่อว่าทำงานอะไร แฟนเป็นใคร ทำอะไรที่ฮ่องกง ฯลฯ



      คนที่ถามคำถามพวกนี้บ่อยหน่อยจะเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากร และไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยหรือฝั่งฮ่องกง ก็จะมีอาการประหลาดใจอย่างออกนอกหน้าทุกครั้งเวลา ฉันตอบคำถามว่าไป(หรือมา) ทำอะไร อยู่นานแค่ไหน ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ฝั่งฮ่องกงจะมีคำถามเพิ่มมาว่าแฟนเป็นคนฮ่อง
.กงหรือเปล่า (ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะเป็นยังไง) ฉันคาดเดาเอาเองว่าเป็นเพราะส่วนใหญ่คนไทยจะมาฮ่องกงกันไม่นานนักสักสามสี่วัน โดยมีจุดประสงค์สามข้อคือ ชอปปิ้ง ชอปปิ้งและชอปปิ้ง
ใช่ว่าฉันจะรังเกียจการชอปปิ้งหรอกนะ ฉันชอบซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ราคาสมควรกับรายได้นักแปลจนๆ อย่างฉัน ไม่ใช่ของแพงมากๆ ที่ลดราคาลงมาแล้วแต่ยังเป็นเงินมากโขอยู่ ตัวอย่างเช่นเสื้อตัวละสามหมื่นที่เมืองไทย ที่ฮ่องกงลดตั้งสี่สิบเปอร์เซ็นเหลือแค่หมื่นแปดเองนะเธอ แบบนี้ฉันก็ทำใจควักกระเป๋าไม่ไหวนะคะ สรุปแล้ว การซื้อสินค้ามียี่ห้อแพงๆ ถึงจะราคาต่ำกว่าเมืองไทยนั้นไม่ใช่แนวทางปฏิบัติของฉันแน่ๆ หากต้องจ่ายเอง

      แต่ไหนๆ อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเปลี่ยนที่หายใจทั้งที จะใช้ชีวีไปวันๆ กับการทำงานอยู่แต่ในบ้านเหมือนตอนเกาะบุพการีอยู่บ้านนอกที่เมืองไทยได้ยังไงกันเล่า วันเสาร์-อาทิตย์ หวานใจหยุดสุดสัปดาห์ ฉันเลยถือโอกาสพักงานมั่ง นั่งเกาะเอวซ้อนท้ายมาเกอริต (ชื่อสกู๊ตเตอร์สีเหลืองสด) ไปเปิดหูเปิดตาให้เห็นฮ่องกงมากกว่าภาพที่อยู่ตามโปสการ์ดและโฆษณาชวนเที่ยว
สองคนตายายสวมหมวกกันน็อคปุเลงๆ ออกจากเมืองทีมีตึกสูงๆ ผู้คนพลุกพล่านไปชมธรรมชาติ เที่ยวชายทะเล (ที่มีคนพลุกพล่านไม่แพ้กัน) บ้าง มุดอุโมงค์ใต้น้ำข้ามทะเลไปดูป่าเขาตามชนบทที่นิวทอริทอรีบ้าง ดูนิทรรศการงานศิลปะที่น่าสนใจบ้าง และสถานที่ที่เราแวะเวียนไปบ่อยที่สุดแทบจะทุกเสาร์ คือ เดอะ ฟรินจ์ คลับ (www.hkfringeclub.com)


      เดอะ ฟรินจ์ คลับ เป็นพื้นที่แสดงศิลปะหลากหลายประเภท บริหารงานโดยองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร สถานที่ตั้งอยู่ในตึกเก่าแก่กลางเมืองที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ 1890 ก่อนจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่เมื่อปีค.ศ. 1913 บนถนนโลเวอร์ อัลเบิร์ต (Lower Albert Road) ย่านเซ็นทรัล ตึกอิฐแดงสองชั้นแห่งนี้ ตามประวัติบอกว่าเคยเป็นโกดังห้องเย็นสำหรับเก็บพวกผลิตภัณฑ์นม เนื้อรมควันและเก็บน้ำแข็งที่ขนส่งลงเรือมาจากภาคเหนือของจีนในยุคที่ยังไม่มีตู้เย็น และหวุดหวิดจะโดนทุบทิ้งเพื่อสร้างเป็นตึกระฟ้าเหมือนอาคารรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่แล้วเชียว

      โชคดีที่ในปี ค.ศ. 1983 มีการจัดงานฟรินจ์ อาร์ต เฟสติวัล ที่กินระยะเวลาถึงหนึ่งปีขึ้นที่นี่ มีการระดมอาสาสมัครและช่างมืออาชีพให้เข้ามาช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดและทาสีใหม่ ติดตั้งระบบน้ำ-ไฟ สร้างบาร์และโรงละครกันอยู่สี่สัปดาห์เต็ม เมื่อเปิดงาน บรรดาศิลปินต่างชื่นชอบสถานที่แห่งนี้จนทางเดอะ ฟรินจ์ คลับ ตัดสินใจปรับปรุงอาคารในจุดต่างๆ ต่อไปเพื่อให้เป็นศูนย์ศิลปะแบบครบวงจร


      ภายในอาคารของเดอะ ฟรินจ์ คลับ ประกอบด้วย แกลเลอรีแสดงผลงาน 3 ห้อง โรงละคร ห้องซ้อม สตูดิโอ ห้องสำหรับสอนการทำเครื่องปั้นดินเผาและห้องแสดงผลงาน บาร์ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ในปี ค.ศ. 2002 อาคารแห่งนี้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์มรดกยอดเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นหน้าเป็นตา เป็นตัวอย่างในการจัดศูนย์ศิลปะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฮ่องกงเลยทีเดียว

     งานนิทรรศการศิลปะที่จัดแสดงที่นี่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสถานที่ งานที่จัดในส่วนของ The Economist Gallery ซึ่งเป็นแกลเลอรี่หลักด้านหน้านั้น ส่วนใหญ่จะจัดแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสัปดาห์เดียว เพื่อหมุนเวียนให้บริการแก่ศิลปินอย่างทั่วถึงกัน จากข้อมูลในเวบไซต์ เขาว่าที่นี่จัดนิทรรศการมากถึง 44 งานต่อปี ล่าสุดที่ฉันได้ดูเป็นงานแสดงภาพถ่ายชุด “ Symphony in Black & White ของ Thomas Ooi เป็นรูปถ่ายขาวดำที่เก็บภาพชีวิตผู้คนในฮ่องกง เสาร์ถัดมา เปลี่ยนเป็นภาพวาดของกลุ่มศิลปินชาวอะบอริจินจากออสเตรเลีย ชื่องาน Journey of the Dreamtime น่าเสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายในนิทรรศการ ฉันเลยแอบๆ ยิงมาได้แค่จากข้างนอก


      กลางวันดูศิลปะกันเต็มตาแล้ว กลางคืนก็ย้อนกลับมาฟังดนตรีกันให้เต็มหูบ้าง ทุกคืนวันศุกร์และวันเสาร์ที่เดอะ ฟรินจ์ สตูดิโอ ซึ่งเป็นห้องแสดงคอนเสิร์ตกึ่งบาร์จะมีการแสดงดนตรีสดจากศิลปินนักร้อง นักดนตรี หลากหลายประเภทสลับกันมา โปรแกรมในหนึ่งเดือนมีทั้งร็อค ป๊อบ ดิสโก้ เวิร์ลมิวสิก ประเภทที่จัดบ่อยหน่อยก็คือแจ๊ซหลากแบบ ไม่ว่าจะเป็นโวคอล ทริโอ หรือบิ๊กแบนด์

      บรรยากาศในบาร์-สตูดิโอคึกคักมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของดนตรีที่จัดแสดง ถ้าเป็นการแสดงของศิลปินฮ่องกง จะมีมิตรรักแฟนเพลงตี๋หมวยชาวฮ่องกงมาดูกันเยอะ ถ้าเป็นวงชาวต่างชาติ ชาวต่างชาติทั้งผิวทองผิวดำจะเต็มร้าน ส่วนฉันกับหวานใจไม่เกี่ยงอยู่แล้วว่านักดนตรีจะเป็นใครมาจากไหน ขอให้มีเบียร์ขาว Hoegaarden แก้วโตๆ ก็พอ


      การแสดงดนตรีที่นี่จะเริ่มประมาณสี่ทุ่มครึ่ง บัตรค่าเข้าชมรวมเครื่องดื่มหนึ่งดริงก์ราคา 80 เหรียญฮ่องกง ก็ตกราวๆ สี่ร้อยบาท สำหรับการแสดงดนตรีเกือบสองชั่วโมง

      ไม่แพงหรอก ถ้าเทียบกับเสื้อที่ลดสี่สิบเปอร์เซ็นแล้วเหลือตัวละหมื่นแปด




Create Date : 22 มีนาคม 2550
Last Update : 22 มีนาคม 2550 16:25:05 น. 0 comments
Counter : 927 Pageviews.

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.