bloggang.com mainmenu search
ตอนที่ 3/6 เพื่อนวัยเด็ก

สารบัญ / ไปตอนที่ 2 / ไปตอนที่ 4

ตอนนั้นผมยังไม่เข้าเรียนในชั้นอนุบาลเลย แต่มีเหตุการณ์หนี่งที่ผมยังจำได้ติดตา มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าริว ริวกับผมมีอายุเท่ากันแต่ผมเกิดปลายปี ริวเกิดต้นปี สำหรับเด็กที่อายุน้อยๆ คนที่เกิดต้นปีกับปลายปีขนาดร่างกายมักจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ในความทรงจำของผมนั้นผมจำได้ว่าเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันและผมยังจำได้อีกว่าริวไม่ได้เป็นเพื่อนกับใครที่มีอายุไล่เรี่ยกันในระแวกตึกแถวนั้นเลย ผมเองมีเพื่อนเด็กข้างบ้านที่มีอายุรุ่นเดียวกันอยู่หลายคนที่มักจะออกไปเที่ยวเล่นหรือเล่นตุ๊กตุ่นซึ่งก็คือตุ๊กตารูปยอดมนุษย์ที่ทำจากยางหรือพลาสติกด้วยกัน และเท่าที่จำได้เหมือนจะไม่มีริวเล่นอยู่ด้วยในก๊วนตุ๊กตุ่น หรือมันอาจจะเป็นเพราะการที่ริวจากไปเร็วกว่าคนอื่น ทำให้ความทรงจำในเรื่องการเล่นกับริวมีอยู่น้อยมาก

เท่าที่ผมจำได้ ริวจะมาเล่นกับผมตอนที่ผมเดินเล่นอยู่คนเดียวและวิธีเล่นของริวกับผมจะต่างจากที่ผมเล่นกันเพื่อนในกลุ่มคนอื่นอยู่มาก ริวไม่เคยมีตุ๊กตุ่นมาเล่นกับผม ในตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าวิธีที่ริวเล่นกับผมมันก็คือมวยปล้ำดีๆนี่เอง

จะด้วยความที่ว่าผมเป็นเด็กตัวเล็ก ริวจึงชอบมาเล่นมวยปล้ำกับผมมาก ผมจำไม่ได้หรอกว่าใครแพ้หรือชนะแต่ที่ผมจำได้ถนัดคือ ผมจะเหนื่อยมากที่ต้องต่อสู่กับเด็กที่ตัวใหญ่กว่า มีหลายครั้งที่เหมือนกับว่าริวจะทำอะไรผมไม่ได้ และมีอยู่ครั้งหนึ่งหัวผมกระแทกปากมันแตกวิ่งร้องไห้กลับบ้านไป มีคำพูดจากปากริวที่ยังก้องในหูผมว่า "เดี๋ยวกูจะให้พ่อกูขับรถมาชนมึง" ก่อนที่ริวจะวิ่งกลับบ้าน
พ่อริวมีอาชีพขับรถแท็กซี่ ซึ่งในช่วงที่ไม่ได้ออกวิ่งหาผู้โดยสารก็จะจอดรถอยู่ที่หน้าบ้านซึ่งห่างจากบ้านผมไป 3 ห้อง ไม่บ่อยครั้งนักที่ใครในละแวกนั้นจะใช้บริการรถแท็กซี่ของพ่อริว เพราะเนื่องจากว่าในซอยมีพ่อของเพื่อนอีกคนที่ขับสามล้อ คนในซอยนิยมใช้บริการของสามล้อมากกว่า อาจจะด้วยราคาค่าบริการที่ถูกกว่าหรือไม่ก็เป็นเรื่องของมิตรภาพหรืออัฒยาศัยไมตรีที่ต่างกัน

วันนั้นก็เหมือนกับวันอื่นๆ พี่ชายผมไปเล่นที่โรงเรียนอนุบาล ส่วนผมก็เล่นตุ๊กตุ่นอยู่คนเดียวที่หน้าบ้านตึกในขณะนั้นเองมีบางสิ่งที่ทำให้ผมตกใจกลัวจนต้องหยุดเล่น ผมได้ยินเสียงโวยวายดังออกมาจากบ้านที่ถัดบ้านผมไปสามห้องทางปากซอย... บ้านของริว เสียงแม่ริวกรีดร้องอย่างตกใจ เสียงเอะอะของพ่อริว ผมนิ่งมองไปทางหน้าบ้านห้องนั้น เพื่อนบ้านเริ่มออกมามองที่หน้าบ้าน และในขณะนั้นเอง พ่อริวก็อุ้มร่างที่แน่นิ่งขึ้นรถแล้วก็รีบขับตะบึงออกไป ทิ้งแม่ริวให้ร้องไห้ฟูมฟายอยู่หน้าบ้าน แม่ผมไล่ผมเข้าบ้านแล้วรีบปิดประตูลูกกรงเหล็กขังผมไว้ในบ้าน แล้วแม่ก็รีบเดินไปทางบ้านริวที่บัดนี้มีเพื่อนแม่บ้านหลายคนมุงแม่ริวอยู่

ผมเกาะประตูตึกแถวอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็รีบวิ่งหนีขึ้นไปร้องไห้ที่ชั้นบน ผมจำไม่ได้ว่าทำไมผมต้องร้องไห้ ผมร้องไห้อยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นพอน้ำตาแห้งก็กลับลงมาที่ชั้นล่าง ดูพวกผู้ใหญ่แถวๆ บ้านกำลังทยอยกลับเข้าบ้าน มีบางคนจับกลุ่มคุยกัน หลายคนมีสีหน้าที่ต่างไปจากเมื่อตอนเช้ามาก เป็นหน้าตาแบบที่เด็กๆทุกคนไม่อยากเข้าใกล้ แม่กลับเข้าบ้านและรีบปิดประตู ผมร้องขอให้แม่เปิดประตูเพื่อที่จะออกไปที่หน้าบ้าน แต่แม่ไม่ยอมเปิดให้และบอกว่าให้เล่นอยู่ในบ้าน ไม่ต้องซนนัก ถ้ายังอยากออกไปอีกจะโดนตี โอ้ แม่ผมตีเจ็บมากๆ ครับ เป็นใครถ้ามีแม่ตีได้เจ็บขนาดแม่ผมก็คงต้องนั่งนิ่งอยู่ในบ้าน แต่ผมไม่มีแก่ใจจะเล่นของเล่นอะไรที่มีอยู่ในบ้านหรอก ผมเฝ้าแต่รอพี่ชายผมกลับบ้านในตอนบ่าย ผมจำอารมณ์ในช่วงนั้นไม่ได้แต่รู้สึกว่าหลังจากที่หยุดร้องไห้ ก็ไม่ได้กลัว หรือตกใจอะไรแล้ว

ในบ่ายแก่ๆของวันนั้นเมื่อรถมาส่งพี่ชายผมที่หน้าบ้าน สิ่งแรกหลังจากที่พี่ชายผมทำตอนกลับมาถึงบ้าน ก็คือการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมออกไปวิ่งเล่น ผมมักจะวิ่งตามไปติดๆ แต่วันนั้นแม่ผมรีบปิดประตูหลังจากที่พี่ผมเข้ามาในบ้าน ดังนั้นเมื่อพี่ชายผมเปลี่ยนเสื้อเสร็จก็ร้องที่จะออกนอกบ้าน แต่แม่ผมก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ แม่ถามพวกเราว่า "รู้มั้ย ริวตายแล้ว" คำถามนี้ทำให้ผมกับพี่ชายเงียบกริบ แม่ผมพูดต่อว่า "ริวถูกไฟดูดตาย ทั้งสองคนไม่ต้องไปเล่นซนข้างนอก และไม่ต้องมาซนแถวจักรเย็บผ้าเดี๋ยวจะถูกไฟดูด"

ในสมัยนั้นแม่บ้านที่อยู่ตามห้องแถวมักจะหารายได้เสริมด้วยการเย็บเสื้อโหล ค่าตอบแทนจากการเย็บจะนับจากจำนวนเสื้อที่เย็บได้ ดังนั้นความเร็วของการเย็บจึงเป็นสิ่งสำคัญ จักรที่ใช้ส่วนใหญ่จึงเป็นจักรไฟฟ้าที่เย็บได้เร็วกว่าจักรที่ใช้เท้าถีบ จักรไฟฟ้าจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าติดอยู่และมีเท้าเหยียบสำหรับจ่ายไฟและควบคุมความเร็วมอเตอร์ ที่จักรเย็บผ้านี่เองที่ริวถูกไฟดูดตาย

เย็นนั้นพ่อผมกลับมาบ้าน แม่ผมก็เล่าเรื่องริวให้พ่อฟัง จากนั้นพ่อก็เอาไขควงชนิดที่ใช้ตรวจสอบไฟมาเช็คตามจุดต่างๆที่อาจจะมีไฟรั่ว เช่นจักรเย็บผ้า ตู้เย็น และพัดลมซึ่งในสมัยนั้นทั้งตัวถังและใบพัดลมเป็นโลหะ ท่าทางพ่อก็ไม่ได้กังวลอะไร แต่พ่อก็พูดกับพวกผมว่า "อย่างเอาอะไรแหย่เข้าไปเล่นในปลั๊กไฟ และอย่ามามุดเล่นใต้จักรเย็บผ้าเดี๋ยวจะถูกไฟดูด เวลาออกไปเล่นข้างนอกระวังรถด้วย อย่าไปวิ่งแถวถนนใหญ่เดี๋ยวรถจะชนเอา" ผมจำได้ว่าในช่วงเวลานั้นพวกผู้ใหญ่ดูจะจริงจังและเฝ้าระวังการเล่นซนของเด็กมาก แต่ไม่นานช่วงเวลาตึงเครียดเหล่านั้นก็ผ่านไป ผมได้ไปเที่ยวเล่นปกติ

ก่อนที่ริวจะตายไม่นานผมจำได้ว่าวันนั้นผมสู้กับริวด้วยมวยปล้ำ ผมดิ้นรนจนหลุดมาได้และรู้แน่ว่าสู้ไม่ไหวจึงวิ่งหนีไปหยุดพักเหนื่อยที่หน้าบ้านที่รับตัดกระจก ริวก็วิ่งตามมาแทบจะในทันที จะด้วยว่าผมเหนื่อยมากหรืออะไรก็ตามผมไม่ได้วิ่งหนีต่อ ริวตรงไปที่ถังขยะหน้าบ้านหยิบเศษกระจกขึ้นมาและขู่ผมว่า "เดี๋ยวกูจะแทงมึงให้ตาย" ใกล้ๆตัวผมก็มีเศษกระจกอยู่หลายชิ้น ผมจึงหยิบขึ้นมาถือในมือบ้าง ริวจ้องมองผมด้วยความเกลียดชัง ผมก็จดจ้องมองมัน มือผมก็กำเศษกระจกในมือแน่น ในขณะนั้นเองคนในบ้านตัดกระจกก็ตะโกนออกมาว่า "อย่ามาเล่นเศษกระจก เดี๋ยวถูกบาด ไป! ไม่ต้องมาซนแถวนี้ " ริวได้ยินเสียงผู้ใหญ่ก็รีบทิ้งเศษกระจกแล้ววิ่งกลับบ้าน ผมเองก็ทิ้งเศษกระจกและก็รีบกลับบ้านเช่นกันแต่ที่ต่างจากริวก็คือมือผมโดนกระจกบาด ผมกำเศษกระจกแน่นไป

หลังจากที่ริวตายไปสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งก็คือไม่มีใครมาเล่นมวยปล้ำกับผม แต่สิ่งที่แย่ก็คือผมมักจะฝันร้าย ในฝันร้ายที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ กันอยู่หลายคืนก็คือผมต้องวิ่งหนีอะไรซักอย่างผ่านในป่าที่ทิวทัศน์เหมือนในสารคดีชีวิตสัตว์ด้วยความกลัวและเหนื่อยมาก ในที่สุดผมก็ล้มลง ริววิ่งมาถึงแล้วก็เอาเศษกระจกแทงผม ซึ่งผมจะตกใจตื่นพร้อมกับความเหนื่อยหัวใจเต้นกระชั้นตกใจกลัวแต่ก็ดีใจที่ตื่นขึ้นมา และก็เห็นพี่ชายผมนอนอยู่ข้างๆ ผมฝันร้ายเรื่องนี้ซ้ำอยู่เป็นปี ๆ กระมัง

-จบตอนที่ 3-


สารบัญ / ไปตอนที่ 2 / ไปตอนที่ 4
Create Date :01 สิงหาคม 2549 Last Update :8 มกราคม 2551 14:12:37 น. Counter : Pageviews. Comments :2