ดอกไม้...ในหัวใจ เมื่อวาน...เช้าตรู่ของวันเสาร์...ยังคงเป็นอีกวันที่ต้องเดินทาง โดยเตรียมความพร้อมกับน้องๆ ไว้ล่วงหน้าราว ๆ สองสามอาทิตย์ ในการเดินทางไป ภูทับเบิก และ หล่มสัก ตั้งใจจะหยิบภาพมาใส่ไว้ในสเปซแต่แบตเตอรี่ไม่เอื้ออำนวย เลยต้องรอรูป...จากน้องเล็กในวันพรุ่งนี้แทน การเดินทางอันยาวต่อเนื่องทั้งวัน...ขึ้น ๆ ลง ๆ เขาลูกโน้น ลูกนี้ สนุกสนาน...ธรรมชาติสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่เคยไปมา แต่ก็เหนื่อยมาก...เช่นกัน...กว่าจะสรุปประเด็นปัญหาในแต่ละพื้นที่ได้สำเร็จ เมื่อทำกิจกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้น...มองดูนาฬิการาวๆ ห้าโมงเย็นเศษๆ เราหันไปขอความคิดเห็นจากพี่คนขับเป็นอันดับแรกว่า "จะเข้าพักที่โรงแรมก่อนมั๊ยคะ...เพราะเห็นพี่ปุขับมาทั้งวันแล้ว...ถ้าขับกลับพิษณุโลกอีกคงไม่ไหวแน่ๆ?" "ไม่เป็นไรครับ...ผมขับไหว...จากที่นี่ขับอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงพิษณุโลกแล้ว" พี่ปุยืนยันหนักแน่น...ว่าสามารถขับกลับพิษณุโลกไหว ทั้งๆ ที่ขับรถให้พวกเรานั่งตลอดทั้งวันจริงๆ เราหยุดคิดสักพัก... รู้สึกเห็นใจน้องๆ ทีมงานทุกคน...ที่ไม่ได้มีวันหยุดกันมาหลายสัปดาห์แล้ว ทำงานกันอาทิตย์ยันอาทิตย์ 7 วันกันจริงๆ ถ้าตัดสินใจกลับ...นั่นหมายถึง วันพรุ่งนี้ทุกคนจะมีวันหยุดได้อยู่กับครอบครัว 1 วัน ก่อนจะเริ่มงานอันยุ่งเหยิงในวันจันทร์ เรา...แอบนึกถึงตะกร้าผ้าขึ้นมาทันที...เพราะมันล้นแล้วล้นอีก...รอคอยการซักจากเจ้าของของมัน "โอเคค่ะ...กลับก็กลับ" ขากลับ... รถแล่นมาอย่างสม่ำเสมอ...จนเข้าเขตพิษณุโลก...หลังอาทิตย์อัสดงไปแล้ว ท้องฟ้ามืด...รถราวิ่งกันขวักไขว่...อ่า...ฮ้า...ใกล้ถึงบ้านแล้ว พี่ปุ : "ขอโทษนะครับคุณ...แถวนี้มีปั๊มใกล้ๆ มั๊ยครับ" พี่ พขร.ใจดี หันมาถามเราจากด้านหน้ารถ เรา : "มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ" พี่ปุ : "คือ รถน้ำมันใกล้หมดน่ะครับ ผมขับเพลินไปหน่อย" เรา : "งั้น จอดก่อนดีกว่ามั๊ยคะ เพราะปล่อยให้น้ำมันหมดคารถเลยคงไม่ดีแน่ๆ " ....ทำปากดี แต่จริงๆ ในใจกำลังคิดว่า ตั้งแต่ใช้รถไปราชการมา ไม่เคยมีซักทีที่น้ำมันหมดกลางทางแบบนี้...เวงกำ...แม้คราวที่แล้วหม้อน้ำจะรั่วระหว่างทาง ก่อนคราวที่แล้วล้อยางแบนเป็นปลากระเบน ต้องเสียเวลาเปลี่ยนอยู่สักพัก...ก็ตาม พี่ปุ : "คือ รถมันกระตุกแล้วล่ะครับ" เรา : "มันจะวิ่งไปได้อีกไกลแค่ไหนอะพี่ปุ" ทันทีที่พูดจบ...รถกระตุกครั้งสุดท้าย...มันหยุดนิ่ง สงบ... พี่ปุหันมามองหน้าพวกเราอย่างไม่รู้จะทำยังไง...เวงกำ2 เราและน้องๆ ตัดสินใจลงมาโบกรถริมทางเพื่อขอความช่วยเหลือและโทรหาน้องพลายเผื่อจะอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น แต่โชคร้ายที่น้องพลายอยู่ที่มหาวิทยาลัย...และไม่มีรถสักคันยอมจอดให้ความช่วยเหลือ โบกกันอยู่สักพัก...ก็เห็นรถบรรทุกขนาดจิ๋วชลอความเร็วเข้ามาใกล้ๆ ในรถคันดังกล่าวเรามองเห็นชายวัยกลางคนนั่งมาคู่กับภรรยาและลูกน้อย...พร้อมกับสัมภาระเต็มหลังรถ หลังการเจรจา...สองสามีภรรยาผู้ใจดีให้ความช่วยเหลือ ไปส่งพี่ปุที่ปั๊มน้ำมัน เพื่อซื้อน้ำมันกลับมาเติมให้รถ กว่าจะถึงบ้าน...เล่นเอาทุกคนเหนื่อยล้าไปตามๆ กัน เรามานั่งคิดทบทวนดูว่า...ทำไมน๊า...ผู้หญิงสามคนยืนอยู่หลังรถตู้ที่กำลังเปิดไฟกระพริบ และข้างๆ รถติดชื่อหน่วยงานราชการเอาไว้...แต่ต้องรอเป็นนานสองนานกว่าจะมีคนหยุดรถช่วยเหลือ เราพิจารณาถึงรถที่แล่นผ่านไปแต่ละคัน...จนกระทั่งมาถึงรถคันเก่าๆ ของคุณอาใจดีกับภรรยา อะไรคือความต่างที่กั้นระหว่างกลางของจิตใจคนเรา ถ้านำมาเปรียบกับสิ่งที่แม่เคยสอน...การปลูกดอกไม้...ไว้ในใจ เป็นการบ่มเพาะน้ำใจ...ที่ทำได้ไม่ยาก...แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับคนที่ไม่เข้าใจ...แล้งน้ำใจ...เห็นแก่ตัว...บางคน หรืออาจเป็นเพราะ...การปลูกดอกไม้...มันเสียเวลาเกินไป...แถมยังต้องเปลืองน้ำ เปลืองปุ๋ย หมั่นคอยพรวนดิน...เสียเหงือ เสียพลังงาน ผู้คนสมัยนี้...จึงไม่ค่อยนิยมปลูกดอกไม้...ที่ไม่ว่าจะปลูกไว้ในแห่งหนใดๆ วันนี้...เรากลับมารดน้ำให้ดอกไม้ที่แม่เคยสอนให้ปลูกไว้ในหัวใจอีกครั้ง ขอให้มันเติบโตเป็นดอกไม้ที่สมบูรณ์...ตามอัตภาพต่อไป เพื่อ...สักวัน...เราอาจจะเด็ดมันส่งให้คนที่ต้องการ...เฉกเช่นเดียวกับคุณอาใจดีสองท่าน...เด็ดส่งให้พวกเรา...เมื่อวานนี้ ขอบพระคุณค่ะ ความซวยนี่ไม่เคยปราณีใครเลยจริงๆ แบบนี้ก็เคยซวยมาเหมือนกัน ตอนที่คนเยอะๆ ไม่เคยเสีย พอเปลี่ยวๆ มันชอบจริงๆ
โดย: สเสือ (Mr.Tyger ) วันที่: 9 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:55:47 น.
|
วันนึง เค้าจะได้ช่วยคนอื่นๆ อีกเป็นร้อยคน
แล้วโลกนี้จะสวยงามขึ้นอีก