เจ้าจอมมารดาทับทิม ในรัชกาลที่ ๕
เจ้าจอมมารดาทับทิม ป.จ. รัตนาภรณ์ ม.ป.ร. ๕ จ.ป.ร. ๒ ว.ป.ร. ๒ พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๐๐ เป็นธิดาพระยาอัพภันตริกามาตย์(ดิส โรจนดิส) ขรัวยายอิ่มเป็นมารดา สกุลของท่านเป็นข้าหลวงเดิม ทั้งในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นต้นสกุลชื่อ "บุญเรือง" เป็นตำแหน่งหลวงวัง กรมการจังหวัดสวรรคโลก เมื่อสมัยกรุงธนบุรี ได้รับราชการอยู่ในบังคับบัญชาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อก่อนเสวยราชย์ตามเสด็จทำสงครามเช่นรบพม่าเมื่อครั้งอะแซหวุ่นกี้ตีเมืองพิษณุโลกเป็นต้น มีความชอบต่อพระองค์มา ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติปราบดาภิเศก จึงทรงนับหลวงวังบุญเรืองอยู่ในพวกซึ่งสมควจจะได้รับบำเหน็จ ทรงพระกรุณาโปรดฯตั้งให้เป็นพระจันทราทิตย์ เจ้ากรมสนมพลเรือน ปรากฎชื่อในคำปรึกษาการพูนบำเหน็จเมื่อแรกเสวยราชย์(พิมพ์ในหนังสือพงศาวดารรัชกาลที่ ๑) ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาจันทราทิตย์ในรัชกาลที่ ๑ (มีชื่อปรากฎอยู่ในหนังสือ "พระราชวิจารณ์" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์) พระยาจันทราทิตย์(บุญเรือง)มีบุตรชื่อเลี้ยงคน ๑ คงได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กมาแต่ในรัชกาลที่ ๑ แต่ไม่ปรากฎว่าได้ยศศักดิ์อย่างใดทั้งในรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒

จนถึงรัชกาลที่ ๓ จึงได้เป็นที่จมื่นอินทรประพาสในกรมวัง วังหน้า จมื่นอินทรประพาส(เลี้ยง)มีบุตรคน ๑ ชื่อ ดิส เกิดแต่ในรัชกาลที่ ๑ (คือพระยาอัพภันตริกามาตย์บิดาเจ้าจอมมารดาทับทิม) พระยาจันทราทิตย์(บุญเรือง) ผู้เป็นปู่อยู่มาจนรัชกาลที่ ๒ เมื่อพ.ศ. ๒๓๕๕ มีการพระราชทานพิธีลงสรงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระยาจันทราทิตย์นำเด็กดิสหลานชาย เวลานั้นอายุได้ ๗ ขวบถวายสมโภช จึงได้เป็นมหาดเล็กรับใช้ในพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ดำรงพระยศเป็นพระราชกุมารตลอดมาจนเสวยราชย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ สกุลจึงเป็นข้าหลวงเดิมต่อมาอีกชั้น ๑ ข้อนี้เป็นมูลซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามสกุลว่า "โรจนดิส" คำหน้ามาแต่นามเดิมของพระยาจันทราทิตย์ และคำหลังมาแต่นามเดิมของพระยาอัพภันตริกามาตย์ โดยสกุลมาเรื่องประวัติดังกล่าวมา

เจ้าจอมมารดาทับทิมเกิดในรัชกาลที่ ๔ พออายุได้ ๖ ขวบ บิดาก็ให้เข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวังกับเจ้าจอมมารดาเที่ยงพระสนมเอกซึ่งเป็นพี่คนใหญ่ เป็นเหตุให้เจ้าจอมมารดาทับทิมได้รับการอบรม และศึกษาที่ในพระบรมมหาราชวังแห่งเดียวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ข้อนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะพึงได้เพราะในสมัยนั้นโรงเรียนสำหรับสอนเด็กผู้หญิงอย่างตั้งขึ้นเมื่อภายหลังยังไม่มี คนทั้งหลายนับถือกันมาแต่โบราณว่า การศึกษาและอบรมสำหรับเด็กผู้หญิงไม่มีที่ไหนจะดีเสมอเหมือนในพระบรมราชวัง จนมีคำภาษิตซึ่งคนทั้งหลายชอบเปรียบเมื่อสรรเสริญกิริยามารยาทหญิงสาวมักกล่าวว่า "เหมือนผู้หญิงชาววัง" ดังนี้

วิธีฝึกสอนเด็กหญิงที่ในพระบรมมหาราชวังตามแบบโบราณเดี๋ยวนี้เลิกสูญเสียนานแล้ว ตัวข้าพเจ้าผู้แต่งเรื่องประวัตินี้เคยอยู่ในพระบรมมหาราชวังตั้งแต่เกิดมาจนอายุ ๑๓ ปี เคยรู้เห็นแบบแผนประเพณีนั้นซึ่งยังใช้กันอยู่ในรัชกาลที่ ๔ สมัยเมื่อเจ้าจอมมารดาทับทิมศึกษานั้น นับเวลาล่วงมาจนบัดนี้กว่า ๖๐ ปียังจำได้อยู่บ้าง จะลองเขียนพรรณนารักษาไว้มิให้สูญไปเสีย

อันขนบธรรมเนียมฝ่ายในพระบรมมหาราชวัง กรุงรัตนโกสินทร์นี้มิได้คิดตั้งขึ้นใหม่ เอาขนบธรรมเนียมในพระราชวังครั้งกรุงศรีอยุธยามาใช้เป็นแบบแผน ถึงขนบธรรมเนียมข้างฝ่ายหน้าก็เป็นเช่นเดียวกัน ข้อนี้มีจดหมายเหตุปรากฏอยู่หลายฉบับ ว่าทั้งในสมัยกรุงธนบุรีและในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดฯให้ข้าราชการครั้งกรุงศรีอยุธยาซึ่งยังมีตัวอยู่ประชุมกันเป็นทำนองอย่างกรมการ บอกขนบธรรมเนียมเก่าเอามาฟื้นตั้งเป็นแบบแผน จะว่าแต่เฉพาะขนบธรรมเนียมฝ่ายในพระราชวัง เมื่อตั้งกรุงรัตนโกสินทรยังมีนารีที่สูงศักดิ์เคยเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในพระราชวังกรุงศรีอยุธยาอยู่หลายคน ที่สำคัญคือเจ้าฟ้าพินทวดี พระราชธิดาพระเจ้าบรมโกษฐ์เป็นต้น เป็นผู้บอกแบบแผนขนบธรรมเนียมฝ่ายในพระบรมมหาราชวังที่ใช้เป็นตำราสืบมา หากจะมีแก้ไขบ้างในรัชกาลภายหลังก็เป็นแต่รายการ ส่วนรูปโครงการยังคงอยู่อย่างเดิม ค่อยเลื่อนมาโดยลำดับ เพราะแก้ไขขนบธรรมเนียมในราชสำนักให้เข้ากับการที่เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมบ้านเมือง จนประเพณีฝ่ายในพระบรมมหาราชวังอย่างเดิมเลิกสูญเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นเมื่อรัชกาลที่ ๖

ที่เรียกว่า "ผู้หญิงชาววัง"นั้น มี่จริงมีต่างกันเป็น ๓ ชั้น จะเรียกอย่างง่ายๆว่า ชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นต่ำ มีฐานะและโอกาสกับทั้งการศึกษาอบรมผิดกัน

ชั้นสูง คือ เจ้านายที่เป็นพระราชธิดา ประสูติและศึกษาในพระบรมมหาราชวัง เมื่อทรงพระเจริญวัยก็ได้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในวัง บางพระองค์ได้พระราชทานอนุญาตให้เสด็จออกไปอยู่วังกับเจ้านายพี่น้องก็มี เจ้านายพระองค์ชายที่เป็นพระราชบุตรประสูติในพระราชวัง ก็ทรงศึกษาวิชาชั้นปฐมที่ในวังจนพระชันษา ๑๓ ขวบ โสกันต์แล้วจึงเสด็จออกไปอยู่นอกวังต่างหาก ในชั้นสูงนั้นต่อมาถึงหม่อมเจ้าอันเกิดที่ในวังพระบิดา ถ้าพระบิดาสิ้นพระชยนม์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดฯรับเข้าไปเลี้ยงไว้ในพระราชวัง หรือมิฉะนั้นเจ้านายบางพระองค์ส่งหม่อมเจ้าโอรสธิดาที่ยังเยาว์เข้าไปศึกษาอยู่กับเจ้าพี่น้องหญิงที่ในวังแต่ในเวลาที่ดำรงพระชนม์อยู่ก็มี ถ้าเป็นหม่อมเจ้าหญิงโตขึ้นก็มักเลยรับราชการอยู่ในวัง ถ้าเป็นชายพอชันษาได้ราว ๑๐ ขวบ ก็ต้องออกไปอยู่นอกวังในพวกเจ้านายนับว่าเป็นชาววังโดยกำเนิดพวก ๑

ต่อลงมาถึงชั้นลูกผู้ดีมีตระกูล คือพวกราชินิกูลและธิดาข้าราชการเป็นต้น หม่อมราชวงศ์ก็นับอยู่ในพวกนี้ เป็นชาววังด้วยถวายตัวนับอยู่ในชั้นสูงเหมือนกัน ลักษณะการถวายตัวเป็นชาววังนั้น ถ้าผู้ปกครองสกุลปรารถนาจะให้ลูกหลานหญิงเล่าเรียนศึกษาในพระบรมมหาราชวัง ต้องหาที่สำนักหลักแหล่งฝากกับท่านผู้ใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นญาติหรือเคยนับถือกันมาแต่ก่อน แล้วส่งธิดาเข้าไปอยู่กับท่านผู้เป็นเจ้าสำนักนั้นแต่ยังเป็นเด็ก เจ้าสำนักบางแห่งฝึกสอนให้เองบ้าง บางแห่งส่งไปฝากกับท่านผู้อิ่นซึ่งชำนิชำนาญการฝึกสอนบ้าง ลักษณะการฝึกสอนเด็กผู้หญิงชั้นสูงเมื่อแรกเข้าไปอยู่ในวัง เบื้องต้นฝึกหัดมารยาททั้งกิริยาวาจาและให้รู้จักสัมมาคารวะก่อน แล้วให้เรียนหนังสือหรือการเรือนอย่างที่เด็กจะทำได้(ตรงกับชั้นประถมศึกษา) รู้แล้วจึงให้เรียนชั้นสูงกว่านั้นต่อขึ้นไป(เป็นชั้นมัธยมศึกษา)คือฝึกสอนการต่างๆอย่างเดียวกับชั้นต้นแต่เป็นขั้นสูงขึ้นไป ดังเช่นการฝึกสอนกิริยามารยาทและสัมมาคารวะ ถึงตอนนี้เวลาท่านผู้สอนไปยังที่สมาคม มักให้ลูกศิษย์ถือหีบหมากตามไปด้วย เพื่อจะให้เห็นกิริยามารยาทและลักษณะการสมาคม ของท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในกิจการต่างๆทั้งจะได้รู้จักเพื่อนเด็กลูกผู้ดีที่อยู่ในวังด้วยกัน

การเรือนก็สอนชั้นสูงขึ้นไป เช่นให้ทำเครื่องแต่งตัวได้เอง และเริ่มสอนเย็บปักถักร้อยทำกับข้าวของกิน ทั้งสอนให้รู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาด้วย แต่การสอนหนังสือนั้น เมื่ออ่านออกเขียนได้แล้วก็เป็นยุติเพียงนั้น การศึกษาถึงขั้นกลางที่ว่ามานี้ มีข้อสำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นเวลาท่านผู้ใหญ่ในวังพิจารณาเลือกฝึกหัดทำราชการอย่างใดโดยเฉพาะต่อไปในภายหน้า แล้วนำถวายตัวเป็นข้าราชการฝ่ายในได้รับราชการเบี้ยหวัดแต่นั้นมา ราชการอันเป็นหน้าที่ฝ่ายหน้าสำหรับชาววังที่เป็นชั้นสูงนั้น ถ้าว่าอย่างกว้างมี ๔ ประเภท คือ

๑. เรียนวิชาประเภท ๑ เช่นหัดเขียนหนังสือและเรียนอักษรศาสตร์ถึงชั้นแต่งโคลงฉันทกาพย์กลอน กระบวนช่างก็เรียนถึงชั้นฝีมืออย่างปราณีต เช่นร้อยดอกไม้สดและปักสดึง ซึ่งไม่มีที่ไหนอื่นจะทำได้งามดีเหมือนที่ในวัง การพยาบาลไข้เจ็บก็ฝึกหัดในขั้นนี้ ถ้าเป็นผู้มีอุปนิสัยชอบเรียนเลข หรือความรู้เรื่องพงศาวดารก็เริ่มเรียนในตอนนี้ เจ้านายชั้นพระราชธิดาทรงศึกษาประเถทนี้เป็นพื้น จึงมักเป็นพระอาจาริณีฝึกสอนคนชั้นหลังต่อๆกันมา

๒. เป็นนางพนักงานประเภท ๑ คือการทำงานต่างๆในราชสำนัก เช่น เป็นพนักงานพระภูษา พนักงานพระศรีเป็นต้น และมีการอย่างอื่นอีกหลายอย่าง หม่อมเจ้าและหม่อมราชวงศ์มักรับราชการในประเภทนี้ นอกจากนั้นก็เป็นผู้ดีที่เคยรับราชการแต่รัชกาลก่อนนๆมาจนอายุเป็นกลางคน ที่ยังเป็นสาวมิใคร่จะมี

๓. เป็นนางอยู่งานประเภท ๑ คือสำหรับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้สอย เช่น เชิญเครื่องราชูปโภคตามเสด็จและผลัดเวรกันประจำอยู่บนพระราชมณเทียรคอยรับสั่งเป็นต้น ล้วนเป็นสาวทั้งนั้น

๔. เป็นมโหรี หรือหัดฟ้อนรำเป็นระบำและละคร ซึ่งเรียกกันว่า "ละคร(ฝ่าย)ใน" ประเภท ๑ ใน ๒ พวกนี้มักเลือกที่มีแววฉลาดแต่อายุยังเยาว์ เพราะเป็นการยากต้องฝึกหัดนานมากจึงจะทำได้

ราชการฝ่ายในทั้ง ๔ ประเภทที่กล่าวมา ก็เป็นประเพณีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาบางอย่าง เช่น มโหรี ระบำ และละครใน ดูเค้ามูลอาจจะเป็นวิชาได้มาจากอินเดียแต่ดึกดำบรรพ์ ที่ว่าดังนี้ เพราะเมื่อข้าพเจ้าตามเสด็จสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไปเมืองชวาได้เห็นเจ้านครยกยาและเจ้านครโซโลรับเสด็จ ให้มีระบำนางในและละคร ซึ่งราชบุตรเล่นเป็นตัวละครรำถวายทอกพระเนตร นึกพิศวงว่าระบำและละครหลวงของชวาช่างละม้ายคล้ายคลึงกับของเราเสียจริงๆ จะว่าใครเอาอย่างใครก็ไม่มีหลักฐานที่จะคิดเห็นได้ ครั้นภายหลังข้าพเจ้ามีภาระกิจต้องคิดค้นเรื่องการขับรำของไทยแต่โบราณ จึงพบเค้าเงื่อนของมโหรีและระบำกับละครใน ซึ่งเคยมีมาในต่างสมัยเป็นชั้นๆ ดังจะเขียนเรื่องตำนานแทรกลงไว้ที่ตรงนี้

มโหรี เดิมเป็นเครื่องสำหรับขับกล่อมผู้อื่นให้สบายใจเมื่อเวลาจะนอน ดังมีคำขับในบทละครเรื่องอิเหนาตอนอุณากรรณชมสวนว่า

"พระเอยพระยอดฟ้า.............จะสนิทนิทราอยู่บนที่
ทรงสดับขับไม้มโหรี..............ซอสีส่งเสียงจำเรียงราย
เชิญพระบรรทมสถาพร..........จะกล่าวกลอนถนอมกล่อมถวาย
ให้ไพเราะเสนาะใจสบาย........พระฤาสายจงไสยา เอย"

ที่เรียก "ขับไม้" เห็นจะเป็นเครื่องขับกล่อมอย่างเดิมมีคนเสียงว่าบทกลอนเป็นลำนำ ๑ คนสีซอสามสายคน ๑ สีเพลงประสานเสียงเมื่อเวลาคนขับ และสีบรรเลงแต่โดยลำพังเสียงซอในระหว่างบทให้คนขับมีเวลาพัก(ทำนองเดียวกับขับเสภาส่งปี่พาทย์) และมีคนไกวบัณเฑาะว์ให้จังหวะอีกคน ๑ พวกขับไม้วง ๑ แต่มี ๓ คนดังว่ามา ที่เรียกว่า "มโหรี" เห็นจะแก้มาแต่ขับไม้ เพราะมีเสียงคนขับร้องเข้ากับซอสามสายเหมือนอย่างขับไม้ ผิดกันแต่คนเสียงใช้กรับพวงให้เป็นจังหวะ ไม่ต้องมีคนไกวบัณเฑาะว์ และมีเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้น ๒ อย่าง สำหรับทำด้วยกันกับซอสามสายเวลาบรรเลงระหว่างบทขับ คือ คนดีดกระจับปี่คน ๑ คนตีทับ(มักเรียกกันว่า "โทน")คน ๑ มโหรีชั้นแรกมีวงละ ๔ คน ยังใช้ขับกล่อมกันมาจนในกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑ ด้วยมีใน "เพลงยาวว่าความ"ปรากฎว่าเจ้าพระยาพระคลัง(หน)เวลานอนยังมีมโหรีขับกล่อม แต่ภายหลังมา น่าจะเป็นในรัชกาลที่ ๒ หรือที่ ๓ เอาเครื่องปี่พาทย์เพิ่มเข้าในมโหรี มีระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวง และรำมนาตีเข้ากับทับ ขลุ่ย(ใช้แทนปี่) และใช้ฉิ่งให้จังหวะ เสียงมโหรีดังอึกทึกกึกก้องขึ้น ก็เลิกใช้สำหรับขับกล่อม มโหรีหลวงจึงทำแต่ในงานสมโภชและพระราชพิธีต่างๆ

ระบำและละครผู้หญิงซึ่งเรียกว่า "ละครใน" นั้น หัดแต่ลูกผู้ดีที่ถวายตัวอยู่ในพระราชวังมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สำหรับเล่นในการพระราชพิธีเช่นบวงสรวงและสมโภชเป็นต้น มีพระราชบัญญัติห้ามมิให้ผู้อื่นนอกจากพระเจ้าแผ่นดินและพระมหาอุปราชหัดระบำและละครผู้หญิง แต่คำที่เรียกชื่อว่า "ละคร" ชวนให้คนเข้าใจผิดสำคัญว่าเป็นอย่างเดียวกับละครที่ราษฎรเล่นเป็นอาชีพในพื้นเมือง จึงเพิ่มคำเรียกให้ผิดกันว่า "ละครนอก" หมายความว่าละครนอกวัง และ "ละครใน" หมายความว่าละครในวัง ที่จริงละครนอกกับละครในกระบวนเล่นเป็นคนละอย่างต่างกันที่เดียว "ละครนอก" เล่นให้คนดูสนุกสนาน แต่ละครในสำหรับเล่นในพระราชพิธีทางไสยศาสตร์ เล่นแต่เรื่องรามเกียรติ์เฉลิมเกียรติ์พระนารายณ์เรื่อง ๑ กับเรื่องมหาภารตะ(ไทยเราเรียกว่าเรื่องอุณรุธ)เฉลิมเกียรติพระอิศวรเรื่อง ๑ ทำนองเดียวกับเล่น "แสดงตำนาน"(พวกชาวอินเดียยังเล่นทั้ง ๒ เรื่องนั้นอยู่จนบัดนี้) ต่อมาในสมัยตอนปลายกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบรมโกษฐ์โปรดเรื่องอิเหนาซึ่งได้มาจากชวา ดำรัสสั่งให้ละครในเล่นเพิ่มขึ้นสำหรับการบำเรออีกเรื่อง ๑ มีกล่าวในคำฉันท์ "บุรโณวาท" ซึ่งมหานากวัดท่าทรายแต่งในรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ พรรณนาว่าด้วยการมหรสพซึ่งพระเจ้าแผ่นดินสมโภชพระพุทธบาทว่า

"ฝ่ายฟ้อนละครใน................บริรักษจักรี
โรงริมคิรีมี..........................กลลับบ่แลชาย
ล้วนสรรสกรรจ์นาง...............อรอ่อนลอออาย
ใครยลบ่อยากวาย................จิตต์เพ้อละเมอฝัน
เล่นเรื่องระเด่นได้.................บุษบาตุนาหงัน
พาพักคูหาบรร.....................พตร่วมฤดีโฉม"

ละครในเล่นแต่ ๓ เรื่องที่ว่ามาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงบำรุงวิชาฟ้อนรำ จึงทรงพระราชนิพนธ์บทและโปรดฯให้หัดละครในเล่นเรื่องต่างๆที่ "ละครนอก" เล่นเพิ่มขึ้นอีก ๖ เรื่อง

ระบำนั้นชั้นเดิมเป็นแต่การฟ้อนรำบวงสรวง หรือแสดงความโสมนัส ไม่ได้เล่นเรื่องอย่างละคร พิเคราะห์ดูอาจจะมีมาแต่สมัยเมื่อถือกันเป็นประเพณีว่า ผู้ดีทุกคนทั้งที่เป็นผู้ชายและเป็นผู้หยิงต้องหัดฟ้อนรำเป็นหลักสูตรอย่างหนึ่งในการศึกษาและมีพิธีบางอย่างซึ่งเจ้านายชายหญิง นับแต่เจ้าผู้ครองเมืองต้องออกฟ้อนรำในที่ประชุมชนให้เป็นสิริ ข้าพเจ้าได้เคยเห็นพิธีเช่นนั้นเมื่อเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในรัชกาลที่ ๕ ขึ้นไปตรวจราชการมณฑลพายัพครั้งแรกตั้งแต่ยังไม่มีทางรถไฟ ในมณฑลพายัพเขายังถือประเพณีฟ้อนรำอย่างโบราณอยู่ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงเมืองนครลำปาง เขาจัดรับเหมือนอย่างรับเจ้าผู้ครองนครแรกเข้าเมือง คือตั้งพลับพลาแรมรับห่างจากเมืองสัก ๑๐๐ เส้น ถึงวันจะเข้าเมืองเวลาเช้าเจ้านายผู้ชายทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยแต่งเต็มยศ ขี่ช้างออกมาจากเมืองกับกระบวนที่จะแห่รับเข้าเมือง พวกเราก็แต่งเต็มยศคอยรับอยู่ เมื่อกระบวนแห่มาถึงใกล้ที่ตั้งพลับพลา พวกเจ้านายลงจากคอช้างแยกกันเป็น ๒ แถว มีกลดคันยาวกั้นทุกคนพากันเดินตามคนเชิญพานดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการนำหน้ามา พอเข้าบริเวณพลับพลาทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยก็พากันฟ้อนรำเป็นคู่ๆเข้ามาหาข้าพเจ้า ดูสง่างามน่าพิศวง ผู้ที่รู้ประเพณีเขากระซิบบอกข้าพเจ้า ว่าข้าพเจ้าควรจะฟ้อนรำออกไปรับจึงจะถูกธรรมเนียม แต่ขัดข้องด้วยข้าพเจ้าไม่เคยหัดรำ นึกขวยใจไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ขณะนั้นพระยาทรงสุรเดช(อั้น บุนนาค)ซึ่งเป็นข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพอยู่ในเวลานั้น รับอาสาฟ้อนรำออกไปแทนตัวข้าพเจ้าก็เป็นแล้วกันไป ครั้นไปถึงเมืองลำพูนเข้าว่า จะจัดรับอย่างพระเวสสันดรกลับคืนเข้าเมือง คือตั้งราชวัตร ฉัตรธง และมีมหรสพรับรายทาง ได้เห็นเขาจัดเด็กผู้หญิงพวกลูกผู้ดีมายืนเรียงฟ้อนรำรับเป็นระยะไป เห็นจะหัดกันมาแต่ยังเล็กจึงรำได้งดงาม แต่ที่เมืองเชียงใหม่เวลานั้นพระเจ้าอินทรวิชานนท์เพิ่งถึงพิราลัย จัดแต่กระบวนแห่มารับมิได้มีการฟ้อนรำ ตั้งแต่ครั้งนั้นก็ไม่ได้ยินว่ามีการฟ้อนรำอย่างใหญ่รับใครอีก โดยเฉพาะเมื่อมีทางรถไฟแล้ว รถไฟเข้าถึงเมืองก็รับกันเพียงสถานี มาจนถึงรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบมณฑลพายัพ พระราชชายาเจ้าดารารัศมีชักชวนเจ้านายมณฑลพายัพ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงให้ฟ้อนรำรับเสด็จ เพื่อจะได้ทอดพระเนตรเห็นประเพณีโบราณเมื่อวันสมโภช ณ เมืองเชียงใหม่ วันนั้นมีกระบวนต่างๆของพวกชาวเชียงใหม่ทุกชาติทุกภาษาแห่นำหน้าแล้วถึงกระบวนบายศรี มีปี่พาทย์นำหน้า พวกเจ้านายผู้ชายเดินตามบายศรีที่สำหรับสมโภชสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีเจ้านครเชียงใหม่ เจ้านครน่านและเจ้านครลำพูนเป็นหัวหน้า ต่อลงมาถึงเจ้านายชั้นรอง รวมกันกว่า ๓๐ คน แล้วแต่งตัวนุ่งผ้าสมปักลายใส่เสื้อเยียรบับ คาดสำรดประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เดินเป็นคู่ๆ อยู่ข้างหลังบายศรี

พอเข้าในบริเวณพลับพลา ก็พร้อมกันยกมือขึ้นถวายบังคม แล้วต่างรำฟ้อนตรงเข้าไปเฝ้า พระราชชายาหัดหม่อมเจ้าหญิงเล็กๆในกรมพระกำแพงเพ็ชร ซึ่งท่านเลี้ยงสองพระองค์ให้ฟ้อนออกไปรับต่างพระองค์ ถึงกระบวนบายศรีสำหรับสมโภชสมเด็จพระบรมราชินี พวกเจ้านายผู้หญิงก็เดินตามเป็นคู่ๆและฟ้อนเข้าไปเฝ้าอย่างเดียวกัน พวกคนดูทั้งไทยและฝรั่งที่ขึ้นไปจากกรุงเทพฯ และชาวเมืองนั้นก็พากันพิศวงออกปากว่าสง่างามอย่างแปลกดูน่าชมเป็นอย่างยิ่ง การฟ้อนรำอย่างใหญ่ตามประเพณีโบราณในมณฑลพายัพเห็นจะเป็นที่สุด เมื่องานสมโภชในครั้งนั้น

ที่เอาเรื่องเจ้านายฟ้อนในมณฑลพายัพมาเล่าแทรกลงตรงนี้ เพื่อจะชี้ชวนให้เห็นว่าการฟ้อนรำเช่นนั้นเป็นประเพณีของไทยมาแต่โบราณ และคงมีลงมาถึงกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ข้อนี้พึงเห็นได้ในหนังสือเก่ายังปรากฎว่า ผู้ดีแม้จนเจ้านายก็ชอบฟ้อนรำ เช่นในบทละครเรื่องอิเหนาตอนท้าวดาหาใช้บน เมื่อนางบุษบาเล่นธารแล้วมีบทนางบุษบาว่า

"ชวนฝูงอนงค์นางรำฟ้อน
ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา"

และมีบทท้าวดาหาสั่งอิเหนากับพวกเจ้าชายว่า

"จงชวนกันขับรำให้สำราญ
ทำสักการเทวาในป่าใหญ่"

บทที่ยกมากล่าวนี้ส่อให้เห็นว่า ผู้ดีทั้งชายหญิงยังหัดฟ้อนรำมาจนสมัยกรุงศรีอยุธยา เพิ่งมาหัดฟ้อนรำในหลักสูตรสาธารณะศึกษาต่อชั้นหลัง จะเป็นเมื่อใดหาทราบไม่ ถึงสมัยรัตนโกสินทร์นี้ยังฝึกหัดฟ้อนรำอยู่แต่เฉพาะวิชาบางอย่าง ส่วนผู้ชายเมื่อศึกษายุทธศาสตร์ต้องหัดรำกระบี่กระบองและศึกษาวิชาคชศาสตร์ก็ต้องหัดรำพัดชา และรำขอช้างเป็นต้น

ข้อนี้มีเกร็ดจะเล่าแทรกลงเพื่อรักษาไว้มิให้สูญไปเสีย คือ เมื่อรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงฝึกหัดรำกระบี่กระบอง เพราะชันษายังไม่ถึงขนาดที่จะทรงศึกษาวิชาคชศาสตร์ จนเสวยราชย์แล้วจึงได้ทรงศึกษาวิชานั้นต่อสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ซึ่งเป็นหมอเฒ่าอาจครอบให้กรรมสิทธิ์ได้ตามตำรา เวลานั้นข้าพเจ้ายังเป็นเด็กอยู่แต่พอจำได้ว่า ปลูกโรงพิธีที่ฝึกหัดโรงคชกรรมในสนามตรงหน้าศาลาสหทัยสมาคมบัดนี้ มีม่านบังตารอบโรงพิธี ในโรงนั้นนอกจากที่บูชาเทวรูปและเครื่องใช้ในคชศาสตร์ เช่นเชือกบาศเป็นต้น ทำรูปหุ่นเท่าตัวช้างเพียงท้อง สำหรับเสด็จขึ้นประทับบนคอหัดใช้ขอบังคับช้าง และต้องทรงหัดรำจามแบบในตำราคชศาสตร์

เจ้าพี่ที่ท่านทรงพระเจริญทันได้ฝึกหัดตามเสด็จตรัสเล่าให้ฟัง ว่าในตำราคชศาสตร์มีแบบรำหลายอย่าง เป็นต้นรำพัดชา จนกระทั่งรำขอช้างเป็นกระบวนต่างๆ เช่นรำเย้ยข้าศึกเมื่อชนช้างชนะ และรำบวงสรวงเป็นต้น เมื่อทรงฝึกหัดสำเร็จแล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จขึ้นพระบาท ดูเหมือนเมื่อปีวอก ๒๔๑๕ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาบำราบฯ ทรงจัดกระบวนเสด็จครั้งนั้นให้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงคอช้าง พระยาเพทราชา(เอี่ยม)เป็นครวญ เสด็จขึ้นพระพุทธบาทอย่างราชประเพณีโบราณ เมื่อเสด็จถึงลานพระพุทธบาท ต้องทรงรำขอบูชาต่อหน้าธารกำนันตามแบบ แต่ทางฝ่ายผู้หญิงยังมีประเพณีที่หัดนางในสำหรับรำฟ้อนเป็นระบำและละครใน ระบำก็เปลี่ยนแปลงให้เล่นเป็นอย่างละคร เอาเรื่องเมขลากับรามสูรในรามเกียรติ์มาประสม ระบำก็กลายเป็นละครไป(สันนิษฐานว่าตั้งแต่ในรัชกาลที่ ๒) แต่คงเรียกว่าระบำ สำหรับเล่นเบิกโรงละครใน ระบำแบบเดิมก็เลยเลิกสูญไป

มูลที่มีละครใน พิเคราะห์ดูเหมือนว่าพวกพราหมณ์จะพาตำราเข้ามาจากเมืองเขมรด้วยกันกับระบำบวงสรวง และแบบพิธีไสยศาสตร์ต่างๆ เมื่อครั้งไทยตีได้เมืองเขมรในสมัยกรุงศรีอยุธยา ข้าพเจ้าได้ไปเมืองเขมรได้สังเกตตามเทวสถาน ที่เรียกกันว่าปราสาทหินเช่นนครวัดเป็นต้น มีชาลาทำไว้สำหรับรำบวงสรวง คือ "ระบำ"ทุกแห่ง เรื่องรามเกียรติและมหาภารตะ ก็ชอบจำหลักเป็นภาพเครื่องประดับไว้ในเทวสถาน คงชอบเล่นแสดงตำนานยอพระเกียรติพระเป็นเจ้าอย่างเช่นพวกชาวอินเดียยังเล่นนั้นเนื่องๆ เมื่อไทยได้ตำราพิธีพราหมณ์มาทำตามในประเทศนี้ จึงให้หัดระบำและโขนขึ้นสำหรับเล่นเฉลิมพระเกียรติพระเป็นเจ้าให้เกิดสวัสดิมงคล เดิมหัดแต่ผู้ชายชั้นผู้ดีที่เป็นตำรวจและมหาดเล็ก ดังปรากฎในรายการพระราชพิธีอินทราภิเศกในกฎมณเฑียรบาลเก่า(โขนหลวงก็ยังเป็นมหาดเล็กอยู่จนทุกวันนี้)

ต่อมา(จะเป็นรัชกาลไหนยังค้นไม่พบหลักฐาน)จึงโปรดฯให้ถ่ายแบบโขนและระบำเข้าไปหัดนางใน เอาพิธีฟ้อนรำอย่างโบราณของไทยมาดัดแปลงใช้เป็นแบบรำระบำและละครในสำหรับเล่นในการพิธีและบำเรอในพระราชฐานสืบมา วินิจฉัยตำนานระบำละครในเห็นว่าจะเป็นดังว่ามานี้ จึงได้มีแต่ของหลวงมาจนรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯพระราชทานอนุญาตให้ผู้อื่นมีละครผู้หญิงได้ ก็มีละครและระบำผู้หญิงเล่นกันแพร่หลายสืบมา

บรรดาผู้หญิงสาววังชั้นที่ถวายตัวทำราชการ นอกจากที่เป็นเจ้าจอมมารดา พระเจ้าลูกเธอ ถ้าใครไม่สมัครจะอยู่เป็นข้าราชการฝ่ายใน แม้เป็นเจ้าจอมก็ทูลลาออกได้ตามใจสมัครไม่ห้ามปราม แต่สังเกตดูเหมือนที่ทูลลาออกจะมีน้อยและทูลลาออกเมื่อเปลี่ยนรัชกาล และมักอยู่ในชั้นที่เป็นสาว พวกที่อยู่ในวังมานานจนถึงอายุกลางคนแล้ว มักสมัครทำราชการอยู่ในวังต่อไปจนตลอดอายุ เพราะอยู่ในวังได้รับเบี้ยหวัด และมีที่อยู่เป็นสุขสบายไม่ต้องเสี่ยงภัยในความลำบากต่างๆเหมือนออกไปอยู่นอกวัง อีกประการ ๑ ตำแหน่งหน้าที่ของข้าราชการฝ่ายในก็มีหลายชั้นและหลายอย่าง แม้อายุเข้าขนาดกลางคนที่เป็นเจ้าจอม ก็รับราชการตามตำแหน่งเจ้าจอมไปจนตลอดรัชกาล

ต่อมาในรัชกาลหลังก็มักจะได้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในวัง บางคนมีความสามารถรอบรู้ขนบธรรมเนียมในพระราชวังก็ได้เป็นตำแหน่ง "ท้าวนาง" เหนือนอย่างขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายใน ได้ว่ากล่าวชาววังและรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชวังสืบมา ที่ไม่ได้เป็นถึงชั้นท้าวนาง ถ้าเคยเป็นเจ้าจอมมาในรัชกาลก่อนๆก็เป็น "เจ้าจอมเถ้าแก่" สำหรับฝึกหัดนางในชั้นหลัง ที่มิได้เป็นเจ้าจอมมาในรัชกาลก่อนๆก็เป็นแต่ "เถ้าแก่" สำหรับควบคุมนางในเวลาออกไปนอกวัง และเป็นผู้สั่งกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายข้างฝ่ายหน้า แม้ที่เป็นพนักงานต่างๆเมื่ออายุเข้าเขตชราก็อาจจะได้รับตำแหน่งเป็น "ผู้รับสั่ง" สำหรับบอกขายนราชการที่มีพระราชดำรัสสั่ง มิฉะนั้นก็คงเป็นพนักงานต่อมาจนตลอดอายุ

ส่วนเจ้าจอมมารดานั้น ถ้ามีพระเจ้าลูกเธอเป็นพระองค์ชาย เมื่อลูกเธอเสด็จออกไปอยู่วังต่างหากแล้ว ก็พระราชทานอนุญาตให้เจ้าจอมมารดาออกไปอยู่ช่วยควบคุมดูแลการรั้ววังของพระโอรสได้เป็นครั้งคราว เมื่อล่วงรัชกาลนั้นก็เลยอยู่กับพระโอรสหรือหม่อมเจ้าที่เป็นนัดดาต่อไปจนตลอดอายุ เจ้าจอมมารดาที่มีพระเจ้าลูกดเธอแต่พระองค์หญิง หรือพระเจ้าลูกเธอที่สิ้นพระชนม์เสียแต่ยังทรงพระเยาว์ ที่อยู่ในพระราชวังต่อมาจนตลอดอายุก็มี ที่ออกไปอยู่นอกวังกับญาติในเวลาเมื่อแก่ชราก็มี ถ้าอยู่ในวังถึงรัชกาลหลังๆ ได้เป็นตำแหน่งท้าวนางผู้ใหญ่ก็มี เป็นแต้เจ้าสำนักฝึกสอนพวกชาววังชั้นหลังก็มี ที่เคยเป็นละครในเมื่อก่อนเป็นเจ้าจอมมารดาก็มักเป็นอาจารินี ฝึกหัดละครหลวงรุ่นหลังรักษาวิชาฟ้อนรำสืบกันมา บางคนถึงมีชื่อเสียงเลื่องลือ เช่นเจ้าจอมมารดาแย้มอิเหนา และเจ้าจอมมารดาลูกจันทร์ นางซึ่งเคยเป็นละครเมื่อรัชกาลที่ ๒ เป็นต้น

หญิงชาววังชั้นกลางนั้นไม่ได้ถวายตัวทำราชการ มักเป็นลูกคฤหบดี ผู้ปกครองปรารถนาจะให้ได้รับความอบรมและศึกษาอย่างชาววัง จึงส่งเข้าไปถวายตัวเป็น "ข้าหลวง" อยู่กับเจ้านายพระองค์หญิง หรืออยู่กับท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่ในพระราชวังแต่ยังเด็ก รับใช้สอยและศึกษาอยู่จนสำเร็จการศึกษาแล้ว พอเป็นสาวก็ลากลับออกไปมีเหย้าเรือนตามฐานะของสกุล แต่บางคนชอบอยู่ในวังเลยอยู่ต่อไปจนแก่ก็มี บางทีข้าราชการที่ถวายลูกหญิงทำราชการฝ่ายในคนหนึ่งหรือสองคน แล้วส่งลูกหญิงที่เป็นน้องเข้าไปอยู่ในวังกับพี่สาว เพื่อประโยชน์การศึกษาแล้วให้กลับออกไป ไม่ถวายตัวทำราชการก็มี

ยังมีผู้หญิงชาววังอีกพวก ๑ ซึ่งควรนับว่าอยู่ในชั้นกลาง คือพวกพนักงานที่ไม่ได้ถวายตัว เช่นพวกพนักงานกลางสำหรับเชิญเครื่องเสวยจากห้องเครื่อง ขึ้นไปส่งถึงพระราชมณเฑียรเป็นต้น พวกทนายเรือนและพวกจ่าโขลนซึ่งมักขึ้นจากชาววังชั้นต่ำ(ซึ่งจะพรรณนาต่อไปข้างหน้า) เมื่ออายุเป็นกลางคน ทำราชการดีมีความสามารถก็ได้เป็นตำแหน่งนั้นๆ ได้เบี้ยหวัด นับว่าเป็นข้าราชการฝ่ายใน หน้าที่พวกทนายเรือนสำหรับนำคำสั่งกิจการไปบอกตามตำหนัก และเรือนข้าราชการฝ่ายใน และเป็นพนักงานคุมผู้ชาย เช่น หมอเป็นต้น เข้าไปในวัง(แต่เจ้านายเถ้าแก่เป็นผู้ควบคุม พวกจ่าโขลนนั้นเป็นพนักงานดูแลบังคับบัญชาพวกโขลนรักษาพระราชวัง กับทั้งผู้หญิงชาววังที่มิได้เป็นข้าราชการด้วย)

พวกชาววังชั้นต่ำนั้น พวก ๑ เรียกว่า "โขลน"เป็นลูกหมู่คนหลวง(ผู้ชายเรียกว่า "ไพร่หลวง") ตามกฎหมายเก่าเกณฑ์ให้ต้องผลัดเปลี่ยนเวลากันเข้าไปรับราชการในพระราชวังตั้งแต่รุ่นสาว(เพิ่งเลิกการเกณฑ์เปลี่ยนเป็นจ้างคนตามใจสมัคร เมื่อรัชกาลที่ ๕) มีหน้าที่สำหรับรักษาประตูวังและรับใช้ เช่นกรรมกรในการงานต่างๆ แต่จะมีลูกผัวได้ไม่ห้ามปราม อีกพวก ๑ เป็นคนรับใช้ของชั้นผู้ดีที่อยู่ในวัง พวกชั้นที่ ๓ นี้ ถ้าจะว่าเป็นชาววังก็แต่ด้วยอยู่ในวังเท่านั้น ลักษณะชาววังตามที่ข้าพเจ้าจำได้เป็นดังพรรณนามา

จะพรรณนาว่าด้วยประวัติเจ้าจอมมารดาทับทิมต่อไป แรกท่านเข้าไปอยู่ในวังเมื่ออายุได้ ๖ ขวบนั้น เจ้าจอมมารดาเที่ยงฝากให้คุณท้าววรคณานันท์(หุ่น)ฝึกสอน ด้วยท่านเคยเป็นเจ้าจอมละครในรัชกาลที่ ๒ แล้วได้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในพระราชวังในรัชกาลหลังต่อๆมา และเป็นเจ้าสำนักแห่งหนึ่งซึ่งนับถือกันในสมัยนั้นว่าฝึกหัดเด็กดี การที่เจ้าจอมมารดาทับทิมไปอยู่กับคุณท้าววรคณานันท์(หุ่น)นั้น ตรงกับอย่างเป็น "ลูกศิษย์" เพราะท่านรับไปเลี้ยงดูเหมือนกับเป็นลูกของท่าน มิใช่สักแต่ว่าฝึกสอนตามเวลาอย่างเช่นครูโรงเรียน ท่านให้อยู่กินด้วยกันกับท่าน และฝึกหัดสั่งสอนตั้งแต่ชั้นต้นตามระเบียบที่กล่าวมาแล้ว แต่เจ้าจอมมารดาทับทิมได้ถวายตัวแต่ยังเป็นเด็กอยู่ในชั้นประถมศึกษา เพราะบิดาของท่านเป็นข้าหลวงเดิม และมีเหตุอีกอย่างหนึ่ง ด้วยประสบเวลาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้หัดละครรุ่นเล็กขึ้นใหม่ หนุนละครชั้นใหญ่ซึ่งบกพร่องลง ด้วยเป็นเจ้าจอมมารดาไปบ้าง หรือล้มตายหายจากไปเสียบ้าง

โดยกระแสรับสั่งนั้น ท่านผู้ใหญ่ในพระราชวังและท่านอาจารินีในการฟ้อนรำ สังเกตเห็นเจ้าจอมมารดาทับทิมมีแววฉลาด จึงแนะนำให้รับราชการเป็นละครหลวง เจ้าจอมมารดาเที่ยงก็เห็นชอบด้วย เพราะน้องของท่านที่เป็นพี่เจ้าจอมมารดาทับทิม แม้ที่เป็นเจ้าจอมมารดาก็เคยรับราชการเป็นละครหลวงมาแล้วหลายคน เจ้าจอมมารดาทับทิมจึงได้ถวายตัวเป็นละครหลวงแต่ในรัชกาลที่ ๔ ข้อนี้เป็นมูลเหตุที่เจ้าจอมมารดาได้รับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ ม.ป.ร. เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงสร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะท่านได้ถวายตัวเป็นข้าราชการมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ท่านผู้ใหญ่เลือกให้เจ้าจอมมารดาทับทิมหัดเป็นนาง ได้ขึ้นต่อเจ้าจอมมารดาลูกจันทร์รัชกาลที่ ๒ แล้วเจ้าจอมหรุ่นบุษบาในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเป็นหลานคุณท้าววรคณานันท์ฝึกหัดให้ต่อมา

การที่ท่านผู้ใหญ่ในวังเลือกละครหลวง จะมีตำราอย่างไรเป็นสิ่งที่สังเกตข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่พิเคราะห์ดูที่ท่านเลือกเจ้าจอมมารดาทับทิม เมื่อยังเป็นเด็กให้เป็นละครหลวงนั้นน่าชมว่าเลือกถูก พอยุติว่าจะเป็นละคร เจ้าจอมมารดาทับทิมก็ตั้งหน้าฝึกหัดฟ้อนรำไปด้วยกันกับศึกษาวิชาชั้นมัธยมของเด็กผู้หญิงที่จะเป็นนางใน และเกิดรักวิชานาฏศาสตร์ยิ่งขึ้นโดยลำดับเมื่อละครหลวงชั้นเล็กออกโรงในตอนปลายรัชกาลที่ ๔ เจ้าจอมมารดาทับทิมได้รับความชมเชยของคนทั้งหลาย ว่ารำงามกว่าคนอื่นที่เป็นละครชั้นเดียวกันโดยมาก พอท่านอายุได้ ๑๑ ปีก็สิ้นรัชกาลที่ ๔ จึงรับราชการเป็นละครหลวงในรัชกาลที่ ๕ ต่อมา ถึงตอนรุ่นสาวนี้ฝีมือฟ้อนรำของท่านยิ่งดีหนักขึ้นจนขึ้นชื่อลือนาม ว่าเป็นนางเอกในละครหลวงสมัยนั้น แต่มาพอเป็นสาวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดฯชุบเลี้ยงเป็นเจ้าจอม

เมื่อเจ้าจอมมารดาทับทิมเป็นเจ้าจอมนั้น เจ้าจอมมารดาเที่ยงออกไปอยู่วังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสรแล้ว ท่านจึงให้พระองค์หญิงโสมาวดี(คือกรมหลวงสมรรัตน์ศิริเชษฐ)พระธิดาองค์ใหญ่ ซึ่งครอบครองตำหนักต่อมารับเจ้าจอมมารดาทับทิมมาจากสำนักท้าววรคณานันท์(หุ่น) และจัดเรือนในบริเวณตำหนักหลัง ๑ กับทั้งคนสำหรับใช้สอยให้ครอบครองสมกับบรรดาศักดิ์ ถึงตอนเป็นเจ้าจอมมักตามเสด็จไปบางปะอิน และตามเสด็จประพาสหัวเมืองเนื่องๆ ข้าพเจ้ายังจำได้ครั้ง ๑ เมื่อตัวข้าพเจ้าเองยังเป็นเด็กไว้ผมจุก สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสมณฑลราชบุรี ดูเหมือนเมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖ ทรงพระกรุณาโปรดฯให้ข้าพเจ้าได้ไปตามเสด็จด้วย เจ้าจอมมารดาทับทิมท่านดูแลให้กินอยู่ และเกล้าจุกให้ตลอดทางโดยฐานที่ท่านเป็นน้า

ครั้งนั้นเสด็จทรงเรือกำปั่นรบต่อใหม่ชื่อ "มุรธาวิสิษฐสวัสดี" ไปจากกรุงเทพฯ ทางทะเลจนถึงลำน้ำแม่กลอง แล้วทรงเสด็จโดยกระบวนเรือแจวพ่วงเรือไฟเล็ก ขึ้นไปจนถึงเมืองราชบุรี แต่นั้นเสด็จไปทางบกด้วยกระบวนช้างม้า พระเจ้าอยู่หัวทรงม้า ข้าพเจ้าขึ้นช้างไปกับกระบวนข้างใน ได้ตามเสด็จเดินทางอย่างเรียกในหนังสือโบราณว่า "ประพาสป่า" เป็นครั้งแรก เสด็จออกจากเมืองราชบุรีว้นแรกประทับแรมที่ตำบล "หนองบัวค่าย" วันที่ ๒ ประทับแรมที่ตำบล "ทับตะโก"(ในสมัยนั้นถือกันว่าเป็นที่เปลี่ยว เสือชุม ต้องกองไฟตีเกราะเคาะไม้ ล้อมวงอย่างกวดขัน) วันที่ ๓ ถึงลำน้ำไทรโยค ประทับแรมที่ "บ้านท่าตะคร้อ" อันเป็นท่าเรือ แล้วเสด็จกลับด้วยกระบวนเรือแจวแวะประพาสที่ต่างๆ ลงมาทางเมืองกาญจนบุรีจนถึงเมืองราชบุรี ดูเหมือนได้ทรงทำพิธีเปิดคลองดำเนินสะดวกด้วย ที่พรรณนาถึงเรื่องตามเสด็จคราวนั้น ด้วยข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นครั้งแรกที่เจ้าจอมมารดาทับทิมได้ไปเที่ยวป่า ถึงตัวข้าพเจ้าก็เช่นนั้นเหมือนกัน อาจจะเป็นมูลที่เกิดวิสัยชอบเที่ยว ทั้งตัวท่านและข้าพเจ้าสืบมาแต่ครั้งนั้น ดังจะปรากฎในเรื่องประวัติของเจ้จอมมารดาทับทิมตอนเมื่อท่านแก่ชราและถึงอสัญกรรม

ถึง พ.ศ. ๒๔๑๙ เจ้าจอมมารดาทับทิมทรงครรภ์พระเจ้าลูกเธอ ก็ออกจากละคร สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระกรุณาโปรดฯ พระราชทานตำหนักเจ้านายหมู่หนึ่งให้อยู่เป็นอิสระ อย่างเจ้าจอมมารดาประสูติพระราชกุมารเป็นหัวปี เมื่อ ณ วันอังคารที่ ๗ พฤศจิกายน ปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ สมเด็จพระบรมชนกนาถพระราชทานพระนามว่า พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช(คือกรมหลวงนครชัยศรีสุรเดช)พระองค์ ๑ ถึงปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๒๒ เจ้าจอมมารดาทับทิมมีพระราชธิดา ประสูติเมื่อ ณ วันอังคารที่ ๒ ธันวาคม อีกพระองค์ ๑ สมเด็จพระบรมชนกนาถพระราชทานพระนามว่า พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย ต่อมาถึงปีมะแม พ.ศ. ๒๔๒๖ เจ้าจอมมารดาทับทิมมีพระราชกุมารอีกพระองค์ ๑ ประสูติเมื่อ ณ วันพุธที่ ๕ ธันวาคม สมเด็จพระบรมชนกนาถพระราชทานพระนามว่า พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ(คือกรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร) รวมพระพระเจ้าลูกเธอของเจ้าจอมมารดาทับทิมมี ๓ พระองค์ด้วยกัน

ตั้งแต่ท่านเป็นเจ้าจอมมารดาก็เปลี่ยนหน้าที่ไปรับราชการสนองพระเดชพระคุณตามตำแหน่ง แต่มีหน้าที่ซึ่งท่านถือว่าเป็นการสำคัญอย่างยิ่งเพิ่มขึ้นอีกอย่าง ๑ คือที่จะถนอมกล่อมเลี้ยงและระวังสั่งสอนพระเจ้าลูกเธอของท่านทั้ง ๓ พระองค์ เรื่องประวัติของเจ้าจอมมารดาทับทิมเมื่อเป็นเจ้าจอมมารดาตอนที่กล่าวมานี้ไม่มีอะไรแปลกถึงควรจะยกมากล่าวในที่นี้ ตัวข้าพเจ้าเองก็ออกมาทำราชการอยู่ฝ่ายหน้าแล้ว นานๆจะได้พบกับท่านโดยฉันท์ญาติสักครั้งหนึ่ง ได้ยินคนชมอยู่เสมอ ว่าท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยดีไม่มีใครเกลียดชัง มีแต่คนชอบทั้งวัง และว่าท่านทำราชการด้วยมีความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมาก ข้อนี้มีหลักฐานด้วยทรงพระกรุณาโปรดฯพระราชทานเครื่องยศ ขึ้นเป็นชั้นพระสนมเอก อันสูงศักดิ์กว่าเจ้าจอมมารดาสามัญ

เจ้าจอมมารดาทับทิม รับราชการประจำอยู่ในพระบรมมหาราชวังจนกรมหลวงนครชัยศรีฯสำเร็จการที่ไปทรงศึกษาในยุโรปแล้วกลับคืนมาพระนคร สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้สร้างวังพระราชทานที่ริมคลองผดุงกรุงเกษมตอนต่อกับปากคลองมหานาค เมื่อกรมหลวงนครชัยศรีฯแรกขึ้นวังสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เจ้าจอมมารดาทับทิมออกไปอยู่ช่วยดูแลการในวังของพระโอรสได้เป็นครั้งคราว แต่นั้นท่านก็ออกไปอยู่ที่วังกรมหลวงนครชัยศรีฯบ้าง กลับเข้ามาอยู่ตำหนักในพระบรมมหาราชวังกับพระองค์หญิงประเวศวรสมัยพระธิดาบ้าง ส่วนกรมหลวงสิงหฯ นั้นยังเสด็จไปเรียนวิชาการทหารเรืออยู่ในยุโรป ครั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงย้ายพรระราชสำนักเสด็จประทับที่พระราชวังดุสิต ท่านจึงอยู่ประจำที่วังกรมหลวงนครชัยศรีฯ เข้าไปในวังแต่เวลามีการงาน หรือไปเยี่ยมเยือนพระองค์หญิงประเวศวรสมัยเป็นครั้งเป็นคราว

ครั้นกรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกรทรงสำเร็จการศึกษากลับมา สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระกรุณาโปรดฯให้สร้างวังอีกวัง ๑ ติดกับวังกรมหลวงนครชัยศรีฯ พระราชทานกรมหลวงสิงหฯ เจ้าจอมมารดาทับทิมก็อยู่ที่วังกรมหลวงนครชัยศรีฯบ้าง ไปอยู่วังกับกรมหลวงสิงหฯบ้าง ครั้นกรมหลวงนครชัยศรีฯ สิ่นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ พระองค์หญิงประเวศวรสมัยได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ออกมาประทับอยู่วังกรมหลวงสิงหฯ พระโอรสและพระธิดาทั้ง ๒ พระองค์นั้นกับทั้งหม่อมเจ้าหญิงวิมลปัทมราช ธิดาองค์ใหญ่ของกรมหลวงนครชัยศรีฯ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงดำรัสเรียกว่า "หญิงทับทิม" ซึ่งคุณย่าเลี้ยงติดตัวมาแต่เล็ก ช่วยกันอุปถากท่านมาด้วยกันกับหม่อมเจ้าที่เป็นสุนิสาและเป็นโอรสธิดาในกรมหลวงนครชัยศรีฯ และในกรมหลวงสิงหฯ ซึ่งเจริญวัยสำเร็จการเล่าเรียนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับมา ให้ท่านอยู่เย็นเป็นสุขสบายจนตลอดชีวิต

ตอนนี้จะกล่าวถึงวัตรปฏิบัติของเจ้าจอมมารดาทับทิมเมื่อออกมาอยู่วังพระราชโอรสธิดา หรือถ้าว่าอีกอย่างหนึ่งคือในสมัยเมื่อท่านมีอายุย่างเข้าเขตเป็นกลางคน เมื่อตอนแรกกรมหลวงนครชัยศรีฯออกวัง ท่านเอาเป็นธุรพดูแลการรั้ววังให้ทุกอย่าง จนเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระกรุณาฯดำรัสของหม่อมเจ้าหญิงประวาสสวัสดี ในกรมขุนทิพยลาภพฤฒิธาดา พระราชทานเป็นชายากรมหลวงนครชัยศรีฯแล้ว แต่นั้นท่านก็ค่อยปลดเปลื้องการรั้ววังให้หม่อมเจ้าหญิงประวาศฯเป็นผู้ว่ากล่าวมาโดยลำดับ จนเห็นว่าการรั้ววังเรียบร้อยและมีความสมัครสโมสรดีได้ดังใจหวัง ท่านก็ปล่อยการงานให้หมด เป็นแต่ไปมาเยี่ยมเยือน หรือไปช่วยรักษาพยาบาลในเวลาประชวรหรือมีหม่อมเจ้าคลอดใหม่ หาได้เกี่ยวข้องด้วยการปกครองวังไม่ ยิ่งกิจการต่างๆอันเนื่องกับหน้าที่ราชการของกรมหลวงนครชัยศรีฯด้วยแล้ว ท่านหลีกออกห่างไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทีเดียว

ภายหลังเมื่อกรมหลวงสิงฯขึ้นวัง ท่านก็ประพฤติเช่นเดียวกันกับพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระกรุณาดำรัสขอหม่อมเจ้าหญิงพร้อมเพราพรรณธิดาของข้าพเจ้าพระราชทานเป็นชายาของกรมหลวงสิงหฯ ท่านก็ค่อยมอบการงานรั้ววังให้หม่อมเจ้าหญิงพร้อมเพราพรรณมาโดยลำดับเช่นนั้น จนสามารถเป็นแม่เรือนได้

มีเรื่องเนื่องกับประวัติเจ้าจอมมารดาทับทิมเกี่ยวมาถึงตัวข้าพเจ้าในตอนนี้ ซึ่งทำให้เสียใจครั้ง ๑ และให้เบาใจครั้ง ๑ จะเขียนแทรกลงไว้ด้วย คือกรมหลวงนครชันศรีฯทรงศึกษาวิชาทหารบกมาจากยุโรปพอเข้ารับราชการในกระทรวงกลาโหมก็ปรากฏพระสติปัญญาสามารถ โปรดให้จัดการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบการทหารบกหลายอย่าง พระหฤทัยของกรมหลวงนครชันศรีฯไปหมกหมุ่นอยู่แต่ในราชการ ไม่นำพาต่อการที่จะบำรุงรักษาพระองค์เองหมายแต่จะทำราชการให้สำเร็จเป็นประมาณ เช่นวันไหนมีการงานมากก็ไม่เสวยกลางวันให้เสียเวลาทำงาน หรือเสวยแต่ของแสดงเป็นเครื่องว่างพอแก้หิว เป็นเช่นนั้นมาจนเกิดอาการประชวรขึ้น

เจ้าจอมมารดาทับทิมสังเกตเห็นว่าเป็นเพราะทำงานเกินพระกำลัง ว่ากล่าวตักเตือนกรมหลวงนครชัยศรีฯก็ไม่ฟัง ท่านจึงเข้าไปกราบทูลร้องทุกข์ต่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง มีรับสั่งให้หาข้าพเจ้าไปเฝ้า ดำรัสว่า "นางทิมมาร้องทุกข์ว่าจิระเอาแต่ทำงาน ไม่เป็นอันจะกินอยู่ จนมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ห้ามก็ไม่ฟัง เธอลองไปว่ากล่าวกับจิระดูสักทีเป็นไร" พอออกจากเฝ้า ข้าพเจ้าก็เลยไปวังกรมหลวงนครชัยศรีฯ เวลานั้นกำลังประชวรอยู่ ข้าพเจ้าบอกให้ทราบกระแสรับสั่ง เธอก็ไม่โต้แย้งอย่างไร แต่ต่อมาพอหายประชวรก็กลับไปทำงานทรมานพระองค์เช่นนั้นอีก จนเลยเกิดโรคภายในประจำพระองค์ออกไปรักษาถึงยุโรปก็ไม่หาย เพราะรักษาช้าเกินไปเสียแล้วจึงสิ้นพระชนม์ยังไม่ทันแก่ เรื่องนี้นึกขึ้นมาเมื่อไรข้าพเจ้ายังเสียใจ ถ้ากรมหลวงนครชัยศรีฯ เชื่อฟังเจ้าจอมมารดาเสียแต่แรกก็อาจจะเสด็จอยู่มาได้จนบัดนี้

เรื่องที่ท่านทำให้ข้าพเจ้าเบาใจนั้นเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงดำรัสขอลูกหญิงพร้อมเพราพรรณให้เป็นชายากรมหลวงสิงหฯ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ธิดาข้าพเจาจะไปออกเรือน ประจวบเวลาเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์(ช่ม อภัยวงศ์) เมื่อยังเป็นพระยาคทาธรธรณินทร์เข้ามากรุงเทพฯ ท่านก็เพิ่งแต่งงานธิดาของท่านเป็นคนแรกมาไม่ช้านัก ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่าแต่งงานลูกชายกับแต่งงานลูกสาวรู้สึกผิดกันอย่างไรบ้าง เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์บอกว่ารู้สึกผิดกันมาก แต่งงานลูกชายไม่มีความวิตก แต่แต่งงานลูกหญิงนั้นเกิดวิตกมาก เพราะเกรงว่าถ้าหากไปมีเหตุเกิดแตกร้าวไม่เป็นสามัคคีกับสกุลของผัว เป็นผู้หญิงเสียเปรียบ ท่านวิตกอยู่กว่าปี จนเห็นว่าผัวเมียผูกสมัครรักใคร่กันดี และผู้ใหญ่ในสกุลผัวก็ไม่รังเกียจจึงสิ้นวิตก ท่านบอกให้ทราบดังนี้ เมื่อแรกพระราชทานหญิงพร้อมเพราพรรณข้าพเจ้าก็ออกวิตกอยู่บ้าง ต่อเมื่อเห็นเจ้าจอมมารดาทับทิมท่านอารีรักใคร่ ทั้งโดยที่เป็นสุนิสาและเป็นหลานย่าอย่างสนิทสนม กรมหลวงสิงหฯกับหญิงพร้อมฯก็ถูกอัชฌาศัยรักใคร่กันสนิท จึงเบาใจสิ้นวิตก ไม่ต้องรอถึงปีเหมือนเจ้าพระยาอภับภูเบศร์

เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคต เจ้าจอมมารดาทับทิมอายุได้ ๕๓ ปี ถึงเวลานั้นพระโอรสธิดาของท่านตั้งพระองค์เป็นหลักฐานแล้วทั้ง ๓ พระองค์ ท่านสิ้นความห่วงใยก็บำเพ็ญวัตรปฏิบัติหาความสุขตามสมควรแก่ฐานะของผู้มีบรรดาศักดิ์เมื่ออายุเข้าเขตเป็นคนแก่ชรา คือ ฟังเทศน์ ทำบุญ ให้ทาน และมีแปลกเฉพาะตัวท่านอย่าง ๑ ที่ชอบไปเที่ยวตามหัวเมือง จึงเห็นว่าการเที่ยวนั้นจะเป็นความนิยมติดใจมาตั้งแต่ตามเสด็จเมื่อยังเป็นเจ้าจอมดังกล่าวมาแล้ว การฟังเทศน์ท่านชอบปฏิภาณของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์(จันทร์)วัดบรมนิวาส เป็นเหตุให้เกิดพรหมวิหารทั้ง ๔ คือ ความเมตตา กรุณา มุทิต อุเบกขา ถึงถือเป็นวิหารธรรมของตัวท่านต่อมาจนตลอดชีวิตและชอบสร้างหนังสือเทศนาพรหมวิหารถวายไปตามวัด สำหรับพระจะได้เทศน์สอนมหาชน หนังสือนั้นท่านสร้างคราวละหลายๆจบ ครั้งสุดท้ายท่านสร้างสำเร็จพอทันท่านได้จบมืออุทิศเมื่อก่อนถึงอสัญกรรมไม่กี่วันกันความเลื่อมใสที่กล่าวมาเป็นเหตุให้ท่านช่วยบำรุงวัดบรมนิวาสกับทั้งพระสงฆ์ในวัดนั้นยิ่งกว่าวัดอื่น ถึงสร้างกุฏิที่สำนักเจ้าอาวาสถวายวัดบรมนิวาสหลัง ๑ ขนานนามว่า "กุฏิปัทมราช" และได้สร้างกุฏิถวายวัดตามหัวเมืองมีหลายแห่ง

นอกจากนั้นท่านชอบช่วยสงเคราะห์ผู้จะบวชเรียน บางรายเจ้านาคอัตคัดขัดสน ท่านรับเป็นเจ้าภาพก็มีเนื่องๆและอุปการะต่อไปจนถึงส่งอาหารบิณฑบาตรเลี้ยงด้วย ทำบุญอย่างนี้แทบทุกปี ทางฝ่ายฆราวาสนอกจากบริจาคทานสงเคราะห์คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ท่านชอบเกื้อกูลญาติและมิตรด้วยประการต่างๆ แม้จนผู้เป็นแขก เมื่อมีใครไปหาท่าน หรือแม้ข้าราชการที่มีกิจธุระไปเฝ้าพระราชโอรสของท่านๆพบปะก็ทักทายปราศัยแสดงไมตรีจิตโดยฐานที่เป็นผู้ใหญ่ แม้ใครไปใกล้เวลาอาหารท่านก็ชอบหาอาหารเลี้ยง เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายที่ได้รู้จักกับท่าน โดยเฉพาะพวกข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนจึงพากันเคารพนับถือ บางคนก็พาครอบครัวไปหาให้ท่านรู้จัก เวลามีการงานอย่างใดที่วังก็พร้อมใจกันไปช่วย ข้างฝ่ายตัวท่านถ้าเขามีการงานก็ช่วยเหลือตอบแทนตามกำลัง ไม่เอาเปรียบผู้อื่นแต่ฝ่ายเดียว ลักษณะการเลี้ยงของท่านยังมีอีกอย่างหนึ่ง สำหรับญาติมิตรและมิตรีที่เป็นเจ้านายหรือบุคคลสูงศักดิ์ เวลาเมื่อท่านคิดถึงคนไหนเมื่อใด ก็มักทำของกินที่มีโอชารสเฉพาะสิ่งส่งไปให้ ของกินที่ท่านชอบทำส่งไปนั้น ขนมปั้นสิบฝีมือของท่านถึงเลื่องลือว่าไม่มีใครทำสู้ได้ ข้าพเจ้าอาจรับรองว่าจริง ด้วยเคยได้กินเนืองๆ

เรื่องที่เจ้าจอมมารดาทับทิมชอบแปรสถานไปเที่ยวตามหัวเมืองนั้น มีเหตุอย่าง ๑ นอกจากที่ท่านชอบการเที่ยวเตร่มาแต่ยังเป็นเจ้าจอม คือเมื่อท่านแก่ตัวลงถ้าอยู่แต่กับเรือนนานๆมักมีอาการคล้ายกับจะเจ็บป่วย ถ้าได้แปรสถานไปที่อื่นชั่วคราวก็กลับฟื้นมีความสบาย เพราะเหตุนั้นเมื่อใดพระโอรสธิดาทรงสังเกตเห็นว่า เจ้าจอมมารดามีอาการไม่สบายเป็นปกติ แม้ตัวท่านยังมิได้ออกปาก ก็ชวนให้ท่านแปรสถานไปเที่ยวเตร่ และทรงขวนขวายจัดหาพาหนะให้ท่านไป บางคราวพระโอรสธิดาก็เสด็จไปด้วย บางคราวท่านก็ไปแต่กับหลานตามลำลองของท่านเพราะพวกข้าราชการตามหัวเมือง ซึ่งเคารพนับถือท่านมากเขารับอุปการะทุกหนทุกแห่งไม่มีความลำบาก ท่านได้ไปเที่ยวถึงเมืองไทรโยคถึง ๔ ครั้ง

นอกจากนั้นมักชอบเที่ยวแต่ในมณฑลอยุธยากับที่ในแขวงจังหวัดราชบุรี แต่ชอบไปพักอยู่ที่บริเวณพระราชวังบางปะอินมากกว่าแห่งอื่น เพราะไปมาง่ายและท่านชอบไปทางเรือยิ่งกว่าไปทางบก ลักษณะการไปเที่ยวของท่านนั้น ถ้ามิใช่ไปทางไกลเช่นไปไทรโยค ถึงที่ไหนที่ท่านเห็นสบาย เช่นที่บางปะอิน ก็มักจอดพักอยู่ที่นั้นนานๆลงเรือเล็กไปตามทุ่งเที่ยวเก็บผักน้ำต่างๆ หรือมิฉะนั้นไปเที่ยวซื้อหาเครื่องอาหารตามบ้านราษฎรมาทำครัวเลี้ยงพวกบริวาร เวลาพักอยู่ใกล้วัดก็ชอบไปทำบุญและฟังเทศน์ ไม่ยอมให้ใครรับรองอย่างเป็นทางราชการ ถ้าว่าโดยย่อก็คือชอบเที่ยวอย่างคนแก่ แต่คงไปเที่ยวปีละหนหนึ่งหรือมากกว่านั้นเป็นนิจ

ทางฝ่ายชายทะเล ท่านก็ชอบไปที่เมืองสมุทรปราการ และไปที่ตำบลหนองแกต่อหัวหินลงไปข้างใต้ ด้วยกรมหลวงสิงฯมีสวนและสร้างตำหนักที่พักไว้ที่นั้น ถึงฤดูร้องท่านมักแปรสถานลงไปพักอยู่ที่หนองแกด้วยกันกับพระองค์หญิงประเวศฯและกรมหลวงสิงห์ฯคราวละนานๆแทนทุกปี แม้ที่สุดพระองค์หญิงประเวศฯกับกรมหลวงสิงหฯเสด็จออกมาพักรักษาพระองค์อยู่ ณ เมืองปีนัง ท่านคิดถึงก็ยอมทนความลำบากที่ต้องทางไกลในรถไฟ อุตส่าห์มาเยี่ยมพระธิดาและพระโอรส เป็นครั้งแรกที่ท่านออกนอกอาณาเขตประเทศสยาม เมื่ออายุใกล้จะถึง ๘๐ ปีอยู่แล้ว แต่เมื่อมาถึงเมืองปีนังท่านก็ชอบ ชมว่าอากาศดีเลยพักอยู่ที่พระตำหนักพระองค์หญิงประเวศฯถึง ๑๓ เดือน ตัวท่านเองก็สำราญอนามัยเป็นสุขสบายตลอดเวลาที่มาอยู่นั้น

ครั้นถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ มีกิจธุระเกิดขึ้นทางกรุงเทพฯ ที่ท่านจำจะต้องไปจัดทำเอง จึงกลับไปจากเมืองปีนัง เมื่อเสร็จธุระนั้นแล้วก็ลงมือเตรียมการจะทำบุญฉลองอายุของท่านครบ ๘๐ ปี การนั้นท่านไม่พอใจจะทำที่ในกรุงเทพฯให้เอิกเกริก แต่ก่อนมาท่านได้รับไว้กับพระพรหมมุนี(อ้วน)วัดบรมนิวาส ซึ่งเป็นเจ้าคณะสงฆ์มณฑลอีสาน ว่าจะสร้างสำนักวิปัสนาธุระที่ในวัดสุปัฏน์ ณ เมืองอุบล จึงปรารถว่าจะไปทำบุญฉลองอายุที่เมืองอุบล แต่ยังไม่ทันถึงกำหนดงาน ท่านรู้สึกว่ามีอาการทุพพลภาพเกิดขึ้นในตัวของท่านยิ่งกว่าแต่ก่อน เกรงว่ากำลังจะทนลำบากไปรถไฟทางไกลไม่ไหวเสียแล้ว ก็เลิกความคิดที่จะไปทำบุญฉลองอายุ ณ เมืองอุบล เปลี่ยนเป็นบริจาคทรัพย์ตามจำนวนที่กะไว้ ขอให้พระพรหมมุนีช่วยอำนวยการให้สมดังเจตนาของท่าน

ความทุพพลภาพที่ท่านรู้สึกมีหนักขึ้นนั้น ที่จริงคือโรคชรา อันเป็นเหตุให้ท่านถึงอสัญกรรมนั้นมาถึงตัว ท่านก็มีอาการป่วยลงในไม่ช้า หมอก็รู้ดีว่ายากที่กลับฟื้นดีได้ แต่ท่านเจ้าจอมมารดาทับทิมท่านใคร่จะแปรสถานที่ไปรักษาตัวที่บางปะอิน ผู้รักษาพยาบาลเห็นว่าโรคของท่านร้ายยิ่งกว่าป่วยครั้งก่อนๆ เกรงว่าถ้าท่านแปรสถานจะเร่งให้โรคกำเริบมากขึ้น แต่ก็ทัดทานท่านไม่ฟังจะไปให้ได้ ท่านได้ลงเรือไปในวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๐

พระองค์เจ้าหญิงประเวศฯ และกรมหลวงสิงหฯทรงทราบก็รีบเสด็จกลับจากปีนัง เสด็จตามไปที่บางปะอินในวันที่ ๑๒ มีนาคมนั้น พอไปถึงประจวบกับอาการท่านเกิดมากเสียแล้ว ได้ทรงทาบทามถึงการที่จะกลับกรุงเทพฯ แต่ท่านไม่ยอมกลับ จึงทรงดำริว่าท่านกำลังเบิกบาน ในการที่ท่านได้มาพักอยู่ที่บางปะอิน ถ้าจะเชิญท่านกลับ ท่านก็คงจะโทมนัสขัดแค้นก็ยิ่งซ้ำร้ายกลายเป็นเพิ่มความทุกข์เวทนาให้มากขึ้น ยอมให้ท่านพักอยู่บางปะอิน ท่านชื่นบานหายกลัดกลุ้ม ถึงกับสามารถเป็ยธุระสั่งการเลี้ยงดูญาติและมิตรซึ่งขึ้นไปเยี่ยมเยือนได้ แต่อาการป่วยแม้ดูเหมือนค่อยคลายขึ้น แต่ไม่ช้าก็กลับทรุดลงเป็นลำดับมา ที่ไปรักษาตัวอยู่บางปะอินได้ ๗๙ วัน ถึงวันอังคารที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ เวลา ๑๗ นาฬิกา กับ ๕ นาที เจ้าจอมมารดาทับทิมก็ถึงอสัญกรรม คำนวนอายุได้ ๘๒ ปี (หรือ ๘๑ ปี ตามทางสุริยคติกาล) เชิญศพลงมายังวังกรมหลวงสิงหฯในวันนั้น รุ่งขึ้นวันที่ ๒๕ ทำพิธีรดน้ำศพได้พระราชทานโกศประกอบลองไม้สิบสองเป็นเกียรติยศพิเศษ นอกจากนั้นเครื่องศพเสมออย่างเจ้าจอมมารดาพระสนมเอก ตั้งศพประดิษฐานไว้บนตำหนักใหญ่ที่วังกรมหลวงสิงหฯ จนกว่าจะถึงงานพระราชทานเพลิงตามประเพณี

ในเรื่องประวัติเจ้าจอมมารดาทับทิมมีความบางข้อ ซึ่งสมควรจะยกเป็นทัศนอุทาหรณ์ ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

๑. ท่านเป็นผู้ได้รับความอบรมและการศึกษาของชาววังอย่างโบราณ ผู้หญิงที่ได้ศึกษาเช่นท่านยังเหลือน้อยตัวแล้ว ท่านผู้อ่านหนังสือนี้ที่เป็นบุคคลชั้นหลัง แต่ได้รู้จักและเคยคุ้นกับเจ้าจอมมารดาทับทิมมีมาก จะเห็นตัวอย่างได้ในอัธยาศัยและกิริยามารยาทของเจ้าจอมมารดาทับทิม ว่าการฝึกสอนที่ในพระบรมมหาราชวังตามแบบโบราณ สามารถจะอบรมให้ดีได้เพียงใด

๒. ในพระบาลีได้กล่าวไว้ว่า มารดาเป็นครูคนแรกของบุตรและธิดา ความหมายว่าเมื่อบุตรธิดาเติบใหญ่ขึ้นจะดีหรือจะชั่ว มารดาย่อมมีส่วนรับผิดชอบว่าเลี้ยงลูกดีหรือไม่ดี ความรับผิดชอบข้อนี้เป็นสามัญแก่ผู้เป็นมารดาทั่วไป เจ้าจอมมารดาทับทิมมีพระเจ้าลูกเธอ ๓ พระองค์ ท่านอุตส่าห์ถนอมกล่อมเลี้ยงและระวังสั่งสอนมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนทรงพระเจริญ แต่คุณวิเศษของท่านในการเลี้ยงพระโอรสธิดา เพิ่งมาปรากฎแก่ตาคนทั้งหลายในสมัยเมื่อท่านออกมาอยู่นอกวังกับพระโอรสทั้ง ๒ พระองค์ ว่าท่านประพฤติต่อพระโอรสธิดาน่าสรรเสริญ เช่นตอนแรกพระโอรสขึ้นวังใหม่ท่านดูแลว่ากล่าวการรั้ววังทุกอย่าง แต่เมื่อพระโอรสมีพระชายาแล้ว ท่านก็ตั้งต้นถอนตัวค่อยสละการรั้ววังให้พระโอรสกับชายาช่วยกันปกครอง จนเห็นว่าสามารถจะปกครองได้เองแล้วท่านก็ปล่อยให้เป็นอิสระ ดังพรรณนามาแล้วในเรื่องประวัติ ข้อนี้ควรนับว่าท่านเป็นตัวอย่างมารดาที่ดีด้วยอีกสถาน ๑

๓. การที่เจ้าจอมมารดาทับทิมเลื่อมใสในพรหมวิหารธรรมสังวรความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นวิหารธรรมของท่านนั้น พิเคราะห์ดูเหมือนจะมีในอุปนิสัยของท่านมาแต่เดิม จึงปรากฎว่าเมื่อท่านอยู่ในวังหามีผู้ใดเกลียดชังไม่ ครั้นออกมานอกวังมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาเนืองๆก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระธรรมหมวดพรหมวิหารจนถึงถือเป็นหลักในวัตรปฏิบัติของท่านข้อนี้เองเป็นเหตุให้มีคนเคารพนับถือท่านมากมาตลอดอายุ แม้จนเมื่อถึงอสัญกรรมแล้ว ข้าพเจ้าอยู่ไกลได้ยินว่ามีคนที่ระลึกถึงคุณและที่เคารพนับถือท่านพากันไปช่วยงานหน้าศพเป็นอันมาก ทั้งเมื่อทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน อันนี้เป็นผลของพรหมวิหารที่ท่านสังวรมาแต่หนหลัง ควรนับว่าท่านเป็นตัวอย่างดีในธรรมจารินีด้วยอีกสถาน ๑

สิ้นเรื่องประวัติ เจ้าจอมมารดาทับทิม รัชกาลที่ ๕ เพียงเท่านี้



Create Date : 16 มีนาคม 2550
Last Update : 16 มีนาคม 2550 11:09:07 น.
Counter : 4342 Pageviews.

1 comments
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
อุ้มสีมาทำบุญ ๙ วัด ในวันขึ้นปีใหม่ที่จ.อุบลราชธานี อุ้มสี
(3 ม.ค. 2567 19:10:02 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
  
จากหนังสือ "ประวัติบุคคลสำคัญ"
พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

คลังกระทู้เก่า ที่ //topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3540578/K3540578.html
โดย: กัมม์ วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:11:11:47 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Rattanakosin225.BlogGang.com

กัมม์
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]

บทความทั้งหมด