Blog No.7 : แรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจ โอ้วววว แรงบันดาลใจเต็มไปหมดเบยยยยย ... คุณเคยอ่านเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจทำนองนี้ใช่มั้ยครับ ![]() จอห์น - อดีตนักแสดงหนุ่มลูกครึ่งตัดสินใจออกจากวงการบันเทิงทิ้งชีวิตคนกรุงไปทำไร่ผักชีอออแกนิคส์แบบพอเพียงที่เวียงป่าเป้า
วัลยา - บัณฑิตสาวรุ่นใหม่ตัดสินใจออกจากงานประจำเพื่อเดินทาง88 วันรอบโลกตัวคนเดียว เพราะเชื่อว่าประสบการณ์ชีวิตไม่สามารถซื้อได้ในทีทำงาน วิชัย - ตัดสินใจดร็อปเรียนปีสุดท้ายเพื่อปั่นจักรยานตั้งแต่ขั้วโลกเหนือยันขั้วโลกใต้เขาเชื่อว่า ใบปริญญาไม่ใช่ทุกอย่าง ดูอย่างสตีฟจ๊อบบ์ซิเว้ยเฮ้ย
... ใช้ชีวิตไม่ยึดกรอบ/ ออกจาก Comfort zone ซะ / โยนงานห่วยๆทิ้งแล้วออกเดินทางหาความหมายชีวิต / จงออกเที่ยวเพื่อใช้ชีวิตให้คุ้มค่าฯลฯ กำลังเป็นเทรนด์ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Me ยิ่งบ้านเราถ้าผนวกกับวิถีชีวิตบางแบบที่บางคนยกว่ามันคือความเป็นไทยก็จะยิ่งทำให้พวกเขาเป็นต้นแบบที่น่าชื่นชมในกระแสเช่น ต่อต้านทุนนิยม (แต่ซื้อ iphone 6Sทั้งที่เครื่องเก่ายังดี) , pro + โรแมนติไซส์ชีวิตชนบทให้งดงามกว่าจริง (แต่เพิ่งซื้อคอนโดใหม่ใจกลางกรุง) , pro การวัดค่าความสุขแบบภูฐาน (แต่ดีใจที่แถวบ้านมีห้างใหม่และได้ไปงานเปิดตัวเอ็มควอเทียร์) ฯลฯ ชีวิตของจอห์น , วัลยา และ วิชัย มันคือการ ใช้ชีวิต ที่เราดูแล้วอาจคิดในใจว่า ซักวันหนึ่งชั้นจะต้องเป็นแบบนั้น ... เป็นชีวิตที่เราคิดว่าคนรุ่นใหม่ ควรจะใช้ชีวิตแบบนั้น ไปจนถึงรู้สึกว่าชีวิตตัวเองนี่มันช่างจำเจ ไร้อิสระไร้ความกล้า ฯลฯ แต่อย่าเพิ่งเคลิ้มตามครับ ลองอ่านบทความล่าสุดของ นักเขียนที่ชื่อ Chelsea Fagan ซึ่งเขียนลงเว็บไซต์ของTime *****
ทำไมคำพูดที่ว่า อย่ามัวแต่กังวลเรื่องเงินแค่ออกไปท่องเที่ยวซะ คือคำแนะนำที่ห่วยที่สุดตลอดกาล. WhyDont Worry About Money, Just Travel Is the Worst Advice of All Time
แค่ชื่อบทความก็ล่อเป้าแล้วครับ ลองมาอ่านเนื้อหาดู ChelseaFagan เล่าคร่าวๆประมาณว่า เวลาใช้โซเชี่ยลมีเดีย เธอเจอชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เรียนจบแล้วหางานทำเหมือนแต่ก่อนแต่จะใช้ชีวิตแบกกระเป๋าออกเดินทาง จากนั้นก็โพสต์รูปสวยๆที่ไปแบ็กแพ็ค พร้อมโปรยคำพูดประกอบในแนวอ่านแล้วกระตุ้นแรงบันดาลใจทำนองว่า อย่ามัวกังวลแต่เรื่องเงินๆทองๆ จงทิ้งทุกอย่างแล้วออกตามความฝันของคุณซะ ซึ่งแนวคิดที่ว่าอย่ามัวพะวงแต่เรื่องเงินๆทองๆแต่จงออกมาท่องเที่ยวเรียนรู้โลกกว้างนั้น ChelseaFagan พูดถึงกรณีตัวอย่างที่อ่านเจอมาว่า ก็คนเขียนแบบนี้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยย่อมทำแบบนั้นได้ในเมื่อไม่ต้องกังวลกับ ความมั่นคงในชีวิตก็ทำได้ซิ Chelsea Fagan มองว่าการใช้ชีวิตที่เป็นเทรนด์แบบนี้มันเป็นเรื่องของเงินซื้อได้แล้วชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องพะวงกับเรื่องเงิน พร้อมกับตบด้วยคำพูดที่ปิดท้ายอย่างแสบว่า คำพูดในแนวกระตุ้นแรงบันดาลใจที่คุณใช้(เช่น ออกจากงานไปท่องเที่ยวเถอะ! ฯลฯ) มันใช้ได้จริงแค่กับชนกลุ่มน้อยในสังคมที่มีความพร้อมพื้นฐานในชีวิตอยู่แล้วแต่กับอีกหลายชีวิต พวกเขาจำเป็นต้องใช้อะไรมากกว่านั้น คุณอาจโชคดีที่เส้นทางชีวิตของคุณเอื้อให้ทำแบบนั้นคุณรู้ว่ามีความมั่นคงรองรับคุณอยู่แล้วในท้ายที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องผิดหรือน่าอายที่คุณใช้ชีวิตแบบนั้น แต่การที่คุณพยายามกระตุ้นให้คนอื่นทำแบบคุณ ให้เดินตามเส้นทางที่ทำได้ยาก(เพราะต้องมีเงิน มีความมั่นคง) แล้วชี้ว่าการใช้ชีวิตเพียงแบบคุณเท่านั้น จึงจะสามารถเติบโตทางจิตวิญญาณหรือสามารถค้นหาความหมายในชีวิต มันทำให้คุณเป็นไอ้ตูดหมึก ***** ... แน่นอนครับ Chelsea Fagan โดนด่าตรึม ส่วนใหญ่คนที่ด่าบทความนี้หาว่าผู้เขียนเหมารวมถามกลับว่า การมีแรงบันดาลใจผิดตรงไหน ? ซึ่งผมคิดว่าเป็นการจับประเด็นผิดเพราะประเด็นที่เขียนในบทความนี้มีสิ่งสำคัญมากๆครับที่คนมักมองข้าม มันคือประเด็นที่การเสพแรงบันดาลใจโลกออนไลน์มากๆทำให้ (1) เราลืมตั้งคำถามที่ควรถาม เช่น การใช้ชีวิตผักชีออแกนิคส์แบบจอห์นมันยั่งยืนจริงหรือ มีคนประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ? แล้วถ้าเจ๊งละ ? (2) เราละเลยในมุมที่ควรสนใจ เช่น ต่อให้ผักชีเน่าทั้งร้อยไร่ จอห์นก็ยังมีรายได้จุนเจือจากหุ้นส่วนบริษัทตัวเองที่พอใช้ไปอีกเป็นชาติ หนุ่มชาวไร่ปลูกผักชีออแกนิคส์เป็นแค่ไลฟ์สไตล์ที่เขาเลือกได้ ... เราเสพแรงบันดาลใจแบบเอาฟิน เอาแค่เพลิดเพลิน จนลืมตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขาเหล่านั้นบางคนมี ความมั่นคง ในชีวิตต่างจากเรา พวกเขาไม่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบและไม่ต้องแบกความเสี่ยงเหมือนกับเราที่ต้องผ่อนคอนโด ผ่อนรถ จ่ายค่าเทอมลูก จ่ายค่าน้ำค่าไฟ จ่ายค่าประกันสังคม พาหมาไปหาหมอ พาลูกไปฉีดวัคซีนฯลฯ แล้วเงินเดือนที่ได้รับก็ไม่ได้พอใช้แบบสบายๆ การปั่นจักรยานรอบโลก , การออกจากงานไปเที่ยว ,การปลูกผักชีออแกนิคส์ เป็นแค่ไลฟ์สไตล์ที่พวกเขาเลือกได้แล้วถ้าล้มก็ไม่เดือดร้อน ลองให้ จอห์น , วัลยา และ วิชัย มีต้นทุนชีวิตแบบเดียวกับเรา พวกเขาก็อาจใช้ชีวิตแบบนั้นจริงหรือไม่ก็อาจจะเลือกใช้ชีวิตแบบเราก็เป็นได้ ชีวิตอาจไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่มันก็ไม่ได้งดงามง่ายดายเหมือนเวลาอ่านเฟซบุ้ค ***** ... การที่ทักษะในการสงสัยตั้งคำถาม หรือมองชีวิตให้ลึกซึ้งกำลังถดถอยลงก็เพราะในโซเชี่ยลมีเดีย เราเสพชีวิตคนอื่นแบบ cross sectional และ snapshot เห็นแค่ภาพบางภาพ สเตตัสบางสเตตัสหรือ คลิปบางคลิป แล้วก็ฟินกันไป เราเพลิดเพลินใจแบบชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็คิดว่า จะเสียเวลาสงสัยหรือคิดมากทำไม แค่ รู้สึกดีก็พอใจแล้ว คนที่คิดแบบนี้ลืมไปอย่างหนึ่งว่า (1) เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า ซึ่งคนเล่าเป็นใครก็ได้ที่ใช้เน็ตเป็น (2) นักเล่าเรื่องมากมายในยุคนี้ไม่ใช่แค่แบ่งปันประสบการณ์เหมือนเขียนไดอารี่ลงMy space แล้วมีแค่เพื่อนๆกันอ่านแบบยุคก่อน แต่ (2.1) นักเล่าเรื่องจำนวนมากมีผู้ติดตาม พวกเขาก็เริ่มขยับไปสู่การสร้างแบรนด์ เริ่มก้าวไปเป็นเซเล็บหรือผู้นำทางความคิด หรือผู้นำทางไลฟ์สไตล์ พวกเขาเริ่มนำเสนอหน้าตา นำเสนอตัวตน เริ่มปั้นผลงานให้มีราคามากกกว่าแค่แบ่งปันประสบการณ์ตรงๆ (2.2) สื่อพยายามเซ็ตtrend แล้วหาบุคคลมาปั้นให้เป็น idol ตามค่านิยม ที่ตัวเองอยากเห็น เช่นอยากปั้นเทรนด์จักรยานก็ยกย่อง วิชัย ให้ดูน่าทึ่งเป็นศาสดาของ Gen Me หรือสื่อที่ชอบแนวคิดทำนา อยากเห็นประเทศไทยมีไลฟ์สไตล์แบบภูฐานแล้วเกลียดชังทุนนิยมก็พยายามปั้นจอห์นให้ดัง (โดยที่วิชัยกับจอห์น อาจไม่ได้สนใจจะดังอะไรขนาดนั้นเลย) แล้วสังเกตดูนะครับเทรนด์มันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆแต่ละยุคจะมี ความเก๋ที่ทำให้เราอยากใช้ชีวิตแบบนั้น เช่น เทรนด์ท่องเที่ยว ยุคหนึ่งคือท่องเที่ยวอย่างไรแบบไม่วางแผนแล้วลุยแบบวันต่อวัน เพื่อเสพประสบการณ์ใหม่ๆจึงจะเก๋ เช่น ไปปารีสถ้าไปไอเฟิ้ลกับทัวร์คือจะเห่ยแต่ถ้าไปกินนอนข้างแม่น้ำเซนจะกิ๊บเก๋ หรือเทรนด์การใช้ชีวิตกับการเลือกงานในยุคนี้คือ ออกจากงานที่คุณเกลียดดีกว่าทนติดในกรอบมาเถอะพวกเรา ออกสู่โลกกว้าง ซึมซับความสวยงามของโลกในขณะที่ทำได้ สื่อฮิปๆที่จับฐานวัยรุ่นกับ first jobber สามารถแทรกทัศนคติให้ภาพของคนทำงานฟรีแลนซ์ดูเท่ ดูแนวแต่เรากลับไม่เห็นการเซ็ตเทรนด์ว่า คนทำงานในระบบเงินเดือน คนทำงานประจำคนที่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย มีความชิก ความเก๋ เหมือนอาชีพในแนวฟรีแลนซ์ทำโฆษณา ฯลฯ
เช่น วัลยานั้นน่าชื่นชมในฐานะนักท่องเที่ยว แต่สื่อโหมกระแสให้วัลยาเป็นต้นแบบของวัยรุ่นยุคใหม่ ปั้นเธอจนกลายเป็นเซเล็บที่ปรากฎหน้าตาพอๆกับทิวทัศน์ ทำให้ใครๆก็อยากใช้ชีวิตแบบเธอ สร้างฐานแฟนคลับก่อนสร้างหนังสารคดีของเธอออกมาฉาย ***** ... คำศัพท์น่าสนใจในบล็อกของ Chelsea Fagan คือคำว่า aspirational porn เธอนิยามว่าคือการทำให้คนอ่านรู้สึก อยาก ได้ชีวิตแบบที่เห็นในโซเชี่ยลมีเดียหรือตามที่สื่อยกเป็นต้นแบบ แล้วในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอ่านรู้สึกล้มเหลวกับการใช้ชีวิตของตัวเองที่เป็นอยู่ (ผมเดาว่าการเลือกใช้คำว่า porn คงจะต้องการเทียบว่าเวลาดูหนังโป๊อย่าไปยึดว่าชีวิตเซ็กส์จริงๆจะโว้วว้าวเต็มไปด้วยจินตลีลาฟินาเล่อึดทนนานซาบซ่านสามรอบติดแบบนั้น บทความของเธอ มีประโยชน์ในกาารเตือนให้เราว่า ไลฟ์สไตล์บางอย่างที่เห็นแล้วเราอยากเป็นบ้างนั้นมันไม่ได้เดินตามรอยได้ง่ายเหมือนเวลาอ่านเฟซหรืออ่านบทความทื่สื่อพยายามสร้างเทรนด์ออกมา ดังนั้นก่อนจะยึดใครเป็นไอด้อลหรือเลือกไลฟ์สไตล์แบบไหนมาเป็นต้นแบบ ลองมองชีวิตของไอด้อลเราให้รอบด้านหรือลึกซึ้ง ลองมองชีวิตของเขาว่ามีต้นทุนอย่างไรถึงเลือกใช้ชีวิตแบบนั้น มันสามารถเทียบกับเราได้มากน้อยแค่ไหน ไม่แน่ว่าถ้าเรามีสติมากขึ้นสกัด'คุณค่าจริง'ออกมาจากคุณค่าที่ถูกปั้นแต่งเวลาที่อ่านชีวิตคนอื่น มันอาจทำให้เรารู้สึกพอใจและภูมิใจกับชีวิตของตัวเองที่เป็นอยู่มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถชื่นชมไอด้อลเหล่านั้นในแง่มุมที่จริงมากขึ้น ได้บทเรียนจากพวกเขาตามจริงมากขึ้น แล้วเราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของสื่อหรือเซเล่บจนทำให้เราเสพติด aspirational porn
***** ***** (ลิงค์บทความของChelsea Fagan //time.com/3943637/money-travel-advice/)
เป็นบทความที่โดนใจสุดๆ เลย 555
โดย: Gonz IP: 1.10.254.7 วันที่: 7 ตุลาคม 2558 เวลา:10:32:29 น.
เหมือนโดนตบหน้าหลายฉาดเลยครับ
ได้สติ ๆ โดย: joomer IP: 101.108.8.73 วันที่: 7 ตุลาคม 2558 เวลา:14:39:47 น.
เห็นด้วยค่าา รู้สึกไม่ชอบพวกตามความฝันแบบหน้ามืดตามัว แต่อธิบายความคิดไม่ถูก แต่ blog นี้มันใช่เลยยย
โดย: ยรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 8 ตุลาคม 2558 เวลา:0:17:06 น.
ชีวิตมีมากกว่าที่เขียนไว้ใน Social ครับ เวลาผมเห็นใครแสดงตัวตนในแนวชี้นำโดยนำเสนอเพียงด้านดี ผมเลยหงุดหงิดเหมือกัน
อยากให้ทุกคนที่ใช้ Social มองให้ลึกกว่านั้นครับ แล้วจะเห็นความจริงที่ คนชี้นำไม่ได้บอก โดย: AquaDrehz IP: 58.8.154.205 วันที่: 11 ตุลาคม 2558 เวลา:12:08:18 น.
อ่านจบแล้ว พบแนวทางใช้โซเชี่ยลดีขึ้นเลยครับ มีภูมิคุ้มกันแรงบันดาลใจมากขึ้น5555
โดย: สมเมิ้ก IP: 171.6.83.171 วันที่: 12 ตุลาคม 2558 เวลา:13:01:22 น.
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เราต้องมองที่พื้นฐานตัวเองก่อน จะไปเดินตามเค้าอย่างเดียวคงไม่ได้
โดย: TazmaN IP: 118.174.167.248 วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:21:43:05 น.
|
บทความทั้งหมด
|