คุยเฟื่องเรื่องภาพยนตร์จีน "ยอดหญิงในวังหลวง"
ภาพยนตร์จีนเรื่อง "ยอดหญิงในวังหลวง" ซึ่งได้เคยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่องสาม เวลา 02.30 น. ซึ่งนับว่าดึกดื่นมากทีเดียว การรอคอยรับชมภาพยนตร์จีนเรื่องนี้ทางทีวีในช่วงเวลาดังกล่าว จึงนับได้ว่าเป็นการทรมานสังขารอย่างยิ่ง เราก็คนหนึ่งล่ะที่ไม่เคยดูเรื่องนี้ทางช่องสาม แต่ด้วยการที่ได้เคยท่องเที่ยวไปในห้องบันเทิงแดนมังกร ก็ได้ยินผู้คนในนั้นกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้ อยู่หลายประเด็นกระทู้ด้วยกัน แต่! ยัง...ยังไม่อาจทำให้เราหันมารับชมเรื่องนี้ได้หรอกนะ อย่างไรก็ตามจุดนี้ เริ่มทำให้พอรับทราบว่า " ยอดหญิงในวังหลวง" ค่อนข้างโด่งดังทั้งในบันเทิงแดนมังกร และห้องวิทยุ-โทรทัศน์ของพันทิพย์อยู่เหมือนกัน อันว่าช่องสามได้ฉายจนจบไปแล้ว แต่กระนั้นตัวเราก็ยังไม่ได้ชื่นชมเพชรน้ำงามนี้เลยสักนิดเดียว จนกระทั่งได้ค้นพบคลับสามก๊ก และแวะเวียนมาอยู่เสมอ จนเหมือนเป็นเกลอคู่ชีวิตโลกไซเบอร์ของเราไปเสียแล้ว และที่สำคัญ คือ ได้รู้จักทางอักษรพิมพ์กระทู้กับผู้มีนามล็อกอินแห่งพันทิพย์ว่า "แม่นางเตียว" ก็ได้คุยกันไปมากับท่านผู้นี้บ่อยครั้ง จนกลายเป็นความสนิทกันทางความคิดในพันทิพย์ คลับสามก๊กซะได้ ด้วยความชื่นชอบในบทบาทขงเบ้งและป๊อปปูล่านามว่า "ถังกั๊วะเฉียง" ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เฮียถังที่รับบทขงเบ้งลีลากวนโอ้ยหัวใจในซีรี่ย์สามก๊ก ฉบับ 1994 กำกับการแสดงโดย "ซุนเอี้ยนจวิน" ( ซึ่งก็ คือ ท่านผู้รับบทท่านเล่าปี่ในซีรี่ย์สามก๊กชุดนี้แล ) จุดเริ่มของความหลงใหลท่านขงเบ้งและเฮียถังกั๊วะเฉียง ก่อให้เกิดกระทู้ลือเลื่องขึ้นในคลับสามก๊ก ทำให้ได้โพสต์รูปขงเบ้งฉบับเฮียถังกันยุบยับมันส์มือไปตามๆ กันของบรรดาแม่ยกเฮียถังและท่านเบ้งทั้งหลาย รวมทั้งเป็นจุดกำเนิดการเล่นมุขล้อสามก๊ก ฉบับเตียวหงส์ขึ้นมาด้วย แต่ที่ว่าด้วยความเกี่ยวเนื่องกับการรู้จักภาพยนตร์จีนเรื่อง "ยอดหญิงแห่งวังหลวง" นั้น เพราะมีภาพหนึ่งในกระทู้ดังที่ว่ามา ซึ่งเป็นที่ฮือฮามากสำหรับเราและแฟนคลับเฮียถังกั๊วะเฉียงบางท่าน เพราะเป็นภาพถังกั๊วะเฉียงในบทของพระเจ้าหลี่หลงจี หรือ "พระเจ้าถังสวนจง" ในเรื่อง "ยอดหญิงแห่งวังหลวง" นั่นแล เมื่อเห็นเช่นนี้ สายเลือดแฟนพันธุ์แท้เฮียถัง + การเคยได้ยินกิตติศัพท์เรื่องนี้ทางบันเทิงแดนมังกรมาแล้ว เป็นแรงทั้งผลักและดันให้เราก็อดนึกอยากที่จะชมเรื่องนี้ไม่ได้ จึงสืบหาความเป็นมา ศึกษาเนื้อเรื่อง และเสาะแสวงแหล่งที่จะนำพาเราไปรับชมเรื่องนี้ได้ จนในที่สุดก็สมหวัง ได้ครองใจรับชมอย่างอิ่มสุข แม้ตอนนี้จะยังดูไม่จบเรื่อง ไม่ถึงครึ่งเรื่องซะด้วยซ้ำไป แต่ความตระการตา + ตรึงใจให้บันทึกภาพยนตร์จีน "ยอดหญิงแห่งวังหลวง" นี้ไว้ในความทรงจำของเรา กลับไม่ใช่เพียงเพราะเหตุที่ถังกั๊วะเฉียงมีส่วนร่วมในการแสดงเรื่องนี้แค่ประเด็นเดียวเท่านั้น เพราะถ้าหากเราหลงใหลในดาราอยู่แค่นั้น จนริเอาเรื่องนี้มาวิพากษ์วิจารณ์อย่างชื่นชม ก็คงไม่เรียกว่าวิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์จีนได้ครอบคลุมอย่างแท้จริง คงเป็นการวิพากษ์ดาราไปแทน เหตุผลสำคัญที่เราเกิดตื่นเต้น จนไม่อาจมองข้ามที่จะใส่ประเด็นการกล่าวถึงภาพยนตร์มีคุณภาพเรื่องนี้ ก็เพราะองค์ประกอบต่างๆ ที่หลอมรวมเป็นเรื่องราว "ยอดหญิงในวังหลวง" นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า "วิจิตรศิลป์แห่งการแสดง" ดังความคิดที่เราเกิดขึ้นขณะชมเรื่องนี้ว่า "ช่างดึงดูดใจ ทำให้ตื่นเต้น เล่นได้น่าติดตาม สื่อสารคมคาย ได้ข้อคิด ประทับจิตความทรงจำ นำพาภาพงดงาม" ซึ่งนั่นก็เป็นความรู้สึกส่วนหนึ่งเมื่อได้รับชมแม้เพียงตอนแรกของ "ยอดหญิงในวังหลวง" กล่าวได้ว่าไม่อยากละวางสายตาจากภาพที่หน้าจอไปได้ จนทำให้เราที่อยู่ในช่วงเปิดบล็อกใหม่ๆ และปรับปรุงเว็บบล็อกอยู่เสมอ เกิดความนึกคิด อยากจะนำเสนอเรื่อง "ยอดหญิงในวังหลวง" ในเชิงวิเคราะห์ วิพากษ์และวิจารณ์ ซึ่งอาจจะยอมรับไว้ ณ ที่นี้ประการหนึ่งว่า ยังดูไม่จบ อาจจะยังไม่ครอบคลุมในทุกประเด็นของภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจจะมีสปอยล์บ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็จะพยายามกักเก็บไว้ ให้ท่านผู้ได้เข้ามาอ่านบทวิจารณ์นี้ และยังไม่ได้รับชม "ยอดหญิงในวังหลวง" ไปเฉลยทั้งหมดของเรื่องราวด้วยการรับชมด้วยตนเอง ดังนั้น ความยาวของบล็อกเรื่องนี้ก็คงยาวพอสมควร เพราะในตอนที่รับชม " ยอดหญิงในวังหลวง" แล้ว รู้สึกเกิดปิ๊งประเด็นวิพากษ์มากมายปลิวว่อนอยู่ในสมอง ก็เลยคิดว่าจะเขียนแล้วเอามาลงนำเสนอเป็นช่วงๆ ไป ให้ได้ติดตามจนจบบทวิพากษ์วิจารณ์ก็แล้วกันนะคะ เริ่มกันที่การแนะนำนักแสดงในบทบาทต่างๆ ของภาพยนตร์จีนชุด "ยอดหญิงในวังหลวง" มีดังนี้
ถังกั๊วะเฉียง รับบทเป็น หลี่หลงจี
ซุนไห่อิง รับบทเป็น หลี่ไป๋
หลี่ลี่ผิง รับบทเป็น พระสนมเหมย
หวังลู่เหยา รับบทเป็น หยางกุ้ยเฟย
หม่าซู รับบทเป็น สี่เหอจื่อ ( สตรีหย่งซิน )
เจี๋ยไหน่เลี่ยง รับบทเป็น อี๋เมิ่งเข่อ
หวังหยี่ รับบทเป็น หยางกั๊วะจง ( พี่ชายหยางกุ้ยเฟย )
หลิวจิ้ง รับบทเป็น อาฟ่ง ( ฟ่งเป่าหลิน )
หลิวหยวนหยวน รับบทเป็น องค์หญิงโบตั๋น
ฉือเจีย รับบทเป็น อี๋เมิ่งอิ๋น
จ้าวไค รับบทเป็น องค์ชายหลี่เฮิง
หลิวเซียวเซียว รับบทเป็น หูไหล
ร่วมด้วยนักแสดงอื่นๆ อาทิ เซียวเหวิน รับบทเป็น เสี่ยวอี้ , มู่จิ้ง รับบทเป็น ม่อจี๋ , จ้าวหมิ่นเจี๋ย รับบทเป็น เฮ่อจือจาง , สีเจิ้น รับบทเป็น เว่ยชิง , เนี่ยหย่วน รับบทเป็น อันชิ่งซี่
ความประทับใจในภาพยนตร์จีนเรื่อง "ยอดหญิงในวังหลวง" |
|
|
ดนตรีและเพลงประกอบการดำเนินเรื่อง หรือภาษานอกแบบหรูๆ เรียกว่า Original Sound Track หรือย่อลงมาอีกทีว่า "OST" ถือได้ว่าในภาพยนตร์จีนเรื่องนี้ปรุงแต่งทั้งดนตรีและบทเพลงประกอบได้งดงามไพเราะ เหมาะสมกับจังหวะของเหตุการณ์ในแต่ละช่วงการดำเนินเรื่องราว และตระการโสตประสาทอย่างยิ่ง บทจะซึ้ง ดนตรีและเพลงก็กินใจลึกล้ำ , ครั้นจะเศร้า ก็เล่นสะเทือนถึงอารมณ์และจิตใจเคล้าคลออย่างสมดุลกับเรื่องราว , คราเมื่อเร่งเร้าใจในสถานการณ์ตื่นเต้น ดนตรีก็ยิ่งชวนให้นึกติดตามลุ้นไปกับเหตุผันแปรต่างๆ นั้นด้วย , การณ์เมื่อจะเน้นภาพที่ยิ่งใหญ่ ก็ถ่ายทอดเสียงบรรเลงได้อลังการ
การเรียบเรียงเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ ประกอบเข้าด้วยกันเป็นท่วงทำนองที่ดึงดูดใจ สอดคล้องกับความเป็นไปของเนื้อเรื่องได้ดี และที่สำคัญ คือ เป็น OST ที่ตราตรึงจิตใจเรามากซะด้วย นี่ถ้ามีเป็นว่าให้เลือกมาไว้ในครอบครองแบบว่าเป็นอัลบั้ม OST ภาพยนตร์จีน "ยอดหญิงในวังหลวง" นี่ เราก็อยากเก็บไว้สักชุดนะ เพราะเพลงประกอบเรื่องนี้มีความไพเราะเป็นเอกลักษณ์ในทุกเพลง ฟังแล้วก็น่าประทับใจจริงๆ โดยเฉพาะเพลง "ลืมรัก" ซึ่งน่าจะถือได้ว่าเป็นเพลงหลักที่สำคัญอย่างยิ่งที่สุดในเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ก็เห็นร้องและบรรเลงกันซะเกือบทั้งเรื่องและทุกตอนเลยนี่นา แต่ก็ยอมรับว่าเพลงนี้ทั้งดนตรี ท่วงทำนอง ลักษณะการร้องและน้ำเสียง สะท้อนอารมณ์ได้ทั้งด้านความงดงามและความโศกเศร้าเหงารักอย่างมากมายจริงๆ
กล่าวได้ว่าลีลาสังคีตศิลป์ที่ร้อยเรียงไว้ใน "ยอดหญิงในวังหลวงนี้" ช่างสมกับที่เป็นสีสันแห่งดนตรีการในภาพยนตร์จีนชุด ที่ถ่ายทอดเรื่องราว "ตำนานแห่งสตรีหย่งซิน" นางผู้ขับร้องแห่งราชวงศ์ต้าถังในรัชสมัยพระเจ้าหลี่หลงจี ที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูกวีศิลป์อย่างสูงสุด จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "ยุคทองของศิลปศาสตร์" ก็ว่าได้
นอกจากเรื่องดนตรีและเพลงประกอบแล้ว ก็คงต้องยกนิ้วให้ฝ่ายจัดทำภาพของหนังจีนชุด "ยอดหญิงในวังหลวง" นี้ด้วยเช่นกัน เพราะมีความงามและน่าดึงดูดใจมากๆ จริง เป็นการกำกับศิลป์แห่งภาพที่เก็บรายละเอียดได้อย่างละเมียดละไมสวยงาม ละเอียดอ่อนทั้งด้านแสง สี และการใช้เอ็ฟเฟคต่างๆ เข้าช่วยอย่างแนบเนียนกลมกลืน เพิ่มเติมและประดับความลึกซึ้งแห่งความหมายให้เด่นชัดสะเทือนอารมณ์ผู้ชมยิ่งขึ้น บางกลวิธีทางเทคนิคของภาพนั้น สื่อสัญญลักษณ์ที่เป็นห้วงคำนึงของตัวละครได้อย่างตรึงตราใจ ก่อเกิดความพริ้วไหวในอารมณ์ร่วมไปกับสถานการณ์นั้นๆ ด้วยอย่างชนิดที่ถูกแรงดึงดูดอันทรงพลังของศิลป์แห่งภาพในหนังจีนชุดเรื่องนี้ครอบคลุมใจผู้ชมไว้ยังไงยังงั้นเลยทีเดียว
ความงดงามของภาพดังกล่าวมานี้ จะสมบูรณ์ไปมิได้ หากไร้ซึ่ง "ฉาก" อันเป็นองค์ประกอบที่อยู่เบื้องหลังตัวละคร และมีความสำคัญในการแสดงความสมจริง ให้ความรู้สึกเสมือนย้อนกาลเวลาไปในยุคสมัยที่ดำเนินเรื่องราวนั้นได้อย่างกลมกลืนและมีความหมาย ทรงคุณค่าควรแก่การทัศนาการอย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อกล่าวถึงภาพยนตร์จีนที่ดำเนินเรื่องราวโดยฉากส่วนใหญ่ต้องอยู่ในวังหลวงแล้วนั้น เรามักจะจินตนาการได้ถึงความยิ่งใหญ่ อลังการ สวยงาม เลิศหรู และแลดูเป็นการย้อนยุคได้สมจริง ซึ่ง "ยอดหญิงในวังหลวง" ได้เก็บรายละเอียดเหล่านี้มาดำเนินการถ่ายทอดได้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้ผิดหวังจากคำว่า "คุณภาพ" เลยแม้แต่น้อย
นอกจากฉากซึ่งเป็นสถานที่แล้ว ในด้านของการสรรหาและจัดวางวัตถุ , วัสดุและอุปกรณ์ประกอบฉาก ก็นับว่ามีความสำคัญไม่แพ้การจัดสถานที่ภายในฉากเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญที่การออกแบบจัดทำให้สมจริงและมีค่าคู่ควร รวมทั้งเหมาะสมกับการประดับฉากนั้นๆ ดังนั้น การได้ชมภาพยนตร์จีนย้อนยุคเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็ทำให้เราได้เห็นศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตของชนชั้นสูงในยุคเก่าก่อนได้อีกทางหนึ่ง เหมือนกับได้อ่านส่วนหนึ่งของตำราสังคมศึกษาว่าด้วยเรื่องภูมิภาคเอเชียตะวันออกด้วยอีกทางหนึ่งด้วยนะจะบอกให้ ( แถมอ่านอย่างรื่นรมย์ใจด้วย )
ลีลาการแสดงที่ชวนติดตามและบทภาพยนตร์ที่สื่อสารได้คมคาย กล่าวได้ว่าดาราแสดงได้สมบทบาท และให้ภาพของตัวละครนั้นได้เป็นอย่างดี บทเจรจาระหว่างตัวละครก็ถือว่าเป็นคารมที่ชวนฟังและบทจะเชือดเฉือนกัน ก็ลึกซึ้งเฉียบคมดุจเป็นดาบอาบน้ำผึ้งเลยทีเดียว แต่บทเล่นมุขและเรื่องตลก ก็ชวนให้เฮฮาได้ไม่น้อย ( ยิ่งคนพากษ์มีลูกเล่นดีๆ ก็ยิ่งพลิกผันเป็นความขำขันได้มากยิ่งขึ้นด้วย )
แต่ละตอนจากเรื่อง "ยอดหญิงในวังหลวง" ที่เรารู้สึกชอบใจเป็นพิเศษ |
|
|
เริ่มที่บทกวีเบิกตัวนางเอก ซึ่งท่านหลี่ไป๋ได้ประพันธ์ไว้อย่างไพเราะ อ่อนโยน และท่วงท่าแห่งศิลป์ของภาพในฉากนี้ ก็ถือได้ว่างดงามละเมียดละไมจริงๆ
ใบไม้แดง....หอมสุคนธ์
เมฆเคลื่อนพล....กลับขาดกลาง
ถามไถ่วังหลวง....ใครสรรค์สร้าง?
สงสารนกงาม...เพิ่งเข้ารัง |
|
|
|
ฉากหมากรุกที่เจรจากันอย่างหลากคติแนวคิด
หลี่ไป๋ : ฝ่าบาท !
หลี่หลงจี : อ้อ ! หลี่ไป๋ มา มา มะ ...มาเล่นหมากรุกกับข้าสักกระดาน เจ้ากับข้าเหมือนกันนะ วันนี้เราปฏิบัติเหมือนเพื่อน ไม่ต้องใช้พิธีของฮ่องเต้
หลี่ไป๋ : เมื่อเป็นเช่นนี้ หลี่ไป๋ขอบังอาจแล้ว
หลี่หลงจี : หลี่ไป๋ ! เจ้าผายลมแบบนี้เป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เฮ้อะ! ทำไมจู่ๆ ทำเป็นเกรงใจไปได้ 555555 คนเขาบอกว่าชีวิตมันก็เหมือนกับหมากตานึง ทุกก้าวลำบาก ต่างมีอุปสรรค
หลี่ไป๋ : คนเมื่อเกิดมา ก็ต้องเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งในจักรวาล เกี่ยวพันแน่นแฟ้น ดูไปก็เหมือนหมากขาวหมากดำ สรรพสิ่งในโลกต่างเป็นเช่นนี้...
หลี่หลงจี : อืม...ว่าต่อไป
หลี่ไป๋ : ที่ว่าฟ้าดิน หยินหยาง ยุทธจักรธรรมะอธรรม ขุนนางมีสุจริตกับทุจริต แต่ไม่ว่าหยินหยาง ธรรมะอธรรม สุจริตคดโกง ต่างก็ควบคุมชีวิตของตนเองไม่ได้ เช่นนี้ใครกุมชีวิตพวกเขาล่ะ สุดท้ายก็คือสวรรค์ แล้วก็ยังมี..ฝ่าบาทอีกคนหนึ่ง
หลี่หลงจี : ฮ่องเต้...สวรรค์....ฮ่องเต้ควบคุมได้ทุกอย่างงั้นเรอะ ?
หลี่ไป๋ : อ๋อ !...ฮ่องเต้คงไม่สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง แต่ว่าหากฮ่องเต้ผิดพลาดอะไรเพียงเล็กน้อย ก็จะมีประชาชนนับหมื่ยนับแสน บ้านแตกสาแหรกขาด หรือไม่ก็ต้องลงสู่ปรโลก
หลี่หลงจี : โธ่เอ้ย ! เจ้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง ไม่รู้หรอกว่ามันยากขนาดไหน ข้าน่ะ...เป็นฮ่องเต้ก็ลำบากแล้ว
หลี่ไป๋ : หากลำบากแล้ว ก็จะสามารถทำให้ประชาชนนับหมื่นนับพันอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างสบาย
หลี่หลงจี : นี่ข้าให้เจ้ามาเดินหมาก เจ้าเอาแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ ...เดินสิ !
หลี่ไป๋ : กระหม่อมกำลังพูดหลักการปกครอง
หลี่หลงจี : หลักการปกครอง ?....ข้าเบิกศักราชอันยิ่งใหญ่ ทำให้ต้าถังเจริญ ยังต้องให้เจ้ามาสอนอีกเหรอ?...วันนี้ไม่ต้องพูดเรื่องราชการ
หลี่หลงจี : ข้าเป็นฮ่องเต้ลำบากมาค่อนชีวิต วันนี้ข้าเกลียดการอยู่สูงๆ ข้าอยากจะไปรักไปแค้น เป็นคนกล้ารักกล้าแค้น ข้ารู้ว่า...หลายคนตำหนิหยางกุ้ยเฟย ตำหนิข้าหลี่หลงจี ข้าอายุปูนนี้แล้ว เพื่อคนรักคนเดียว ชีวิตของตัวเอง แผ่นดินของประเทศ....ยังมีค่าอะไรอีก ?...เฮ้อ ! เจ้าเคยรักใครรึเปล่า
หลี่ไป๋ : อืม...( ส่ายหน้าไปมา ) ไม่เคย แต่ว่ากระหม่อมเข้าใจ
หลี่หลงจี : เข้าใจก็ดี เข้าใจก็ดีแล้ว...
คราที่สี่เหอจื่อรำพันถึงความรักที่ฟ่งเป่าหลินมีต่อพระเจ้าหลี่หลงจี
หลี่หลงจี : สี่เหอจื่อ ! เจ้าพูดแบบนี้....แปลว่าเจ้าเอาโอกาสที่จะได้พบข้าเนี่ย..ไปมอบให้กับอาฟ่งเหรอ ?
สี่เหอจื่อ : เพคะ
หลี่หลงจี : แล้วทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้ ?
สี่เหอจื่อ : หม่อมฉันกับอาฟ่ง..ทำงานอยู่ด้วยกัน รู้ว่าอาฟ่งมีใจชื่นชอบในตัวฝ่าบาท เพราะว่านางไม่มีวาสนาที่จะได้พบฝ่าบาท จึงได้บังอาจเอาชุดมังกรของฝ่าบาทวางไว้ข้างหมอนและก็ดูเป็นที่ระลึก....เพื่อให้ได้รับบารมีจากฝ่าบาทบ้าง เพราะเหตุนี้..จึงทำให้ถูกเกากงกงโบยจนเกือบเสียชีวิต
หลี่หลงจี : โอ้ !...มีเรื่องเช่นนี้ด้วยเหรอ ? ( พูดแล้วพลางหันไปทางเกาลี่ซื่อ เกากงกงหลุบตาต่ำลง ไม่พูดอะไร )
สี่เหอจื่อ : อาฟ่งคิดถึงฝ่าบาทมากกว่าหม่อมฉัน รักฝ่าบาทก็มากกว่าหม่อมฉัน ดังนั้น..หม่อมฉันจึงกล้าให้อาฟ่งได้มาอยู่กับฝ่าบาท ถ้าหากฝ่าบาทจะลงโทษอาฟ่ง...มิใช่เป็นการผิดต่อน้ำใจของอาฟ่งหรอกเหรอเพคะ ( กล้องจับมาทางฟ่งเป่าหลินที่น้ำตานองหน้า [คนดูอย่างเราก็ซึ้งจนนองหน้าเหมือนกัน ถ้อยคำซึ้งเกินห้ามใจเศร้า เฮียถังใจร้าย !] )
เกาลี่ซื่อ : ฝ่าบาท อาฟ่งมีความผิดหลอกลวงเบื้องสูง หากละเว้น ย่อมมีคนที่ไม่หวังดี ต่อไปวันหน้า อาจจะมีคนเอาอย่างได้นะพะยะฮะ ( เวลาอ่านตรงนี้ ต้องจินตนาการเสียงแบบสตอร์เบอร์รี่เข้าไว้เชียวนะฮ้า ! )
สี่เหอจื่อ : ฝ่าบาท ! หากมีความผิดหลอกลวงเบื้องสูง ก็เป็นความผิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นสตรี เข้าใจดีว่ารักแท้เป็นเช่นไร มีพลังฝังแน่นในจิตใจเพียงไหน ฝ่าบาท....พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้...จะสามารถเข้าพระทัย..ถึงความทุกข์ระทมในการคะนึงหาของหญิงชาวบ้านคนนึงได้ยังไงกัน
หลี่หลงจี : นึกไม่ถึงจริงๆ เจ้าอายุเพียงแค่นี้ ก็กล่าววาจาได้คล่องแคล่วถึงเพียงนี้ หึ !...หาได้ยาก !
สี่เหอจื่อ : ที่หาได้ยาก...คือความจริงใจที่อาฟ่งมีต่อฝ่าบาทมากกว่าเพคะ...
การทายปริศนาดอกไม้ที่นางเอกถ่วงเวลาเอาตัวรอดจากฮ่องเต้
หลี่หลงจี : สตรีหย่งซิน ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วใช่มั้ย หึ..แหม ! เจ้า...ข้าคิดถึงแทบแย่ มาใกล้ๆ หน่อยซี้...อ้าว ! ...
( สตรีหย่งซินผละออกพร้อมดึงไม้ในแจกันมาถือไว้ระดับอก และยิ้มหวาน )
หลี่หลงจี : นี่เจ้าหมายความว่ายังไงเนี่ย ฮึ ?
สี่เหอจื่อ : ฝ่าบาทเดาสิเพคะ
หลี่หลงจี : อื้อ...ซุกซนจริงๆ เลยนะ เล่นปริศนากับข้าเหรอ...ได้ ! ข้าจะลองเดาดู
สี่เหอจื่อ : ฝ่าบาท หากฝ่าบาททายถูก หม่อมฉันจะลงโทษตัวเองดื่ม 3 จอก หากว่าฝ่าบาททายผิด ฝ่าบาทก็ต้องดื่ม 3 จอกเหมือนกันนะเพคะ
หลี่หลงจี : ( เฮียถังคิดไตร่ตรองและตีสีหน้ายิ้มๆ แลบลิ้นอีกหน่อยๆ ) ได้ ๆๆ อื้อ..."โดดเดี่ยวงดงาม" ?
สี่เหอจื่อ : หึ (ส่ายหน้าพร้อมยิ้มหวานแบบอ้อนไว้ก่อน )
หลี่หลงจี : อืม...วสันตฤดู ?... "อันดับหนึ่งแห่งวสันตฤดู " ?
สี่เหอจื่อ : ไม่ถูก !
หลี่หลงจี : เฮ้อ ! ( ถอนใจใหญ่สีหน้าหงุดหงิดผิดหวัง ) งั้นเจ้าเฉลยมาเถอะ หะ....หากเจ้าเฉลยไม่ถูก ข้าก็จะปรับให้เจ้าดื่มเหมือนกันนะ
สี่เหอจื่อ : หม่อมฉันถือดอกไม้ไว้ที่หน้าอก ความหมายคือ "แสดงดอกไม้พร้อมรอยยิ้ม"
หลี่หลงจี : อ้อ ! ...555
สี่เหอจื่อ : พระพุทธองค์ครั้งเทศนาธรรมบนเขาคิชกูฏ วันหนึ่งมีผู้ถวายดอกไม้มาให้ พระองค์ก็ถืออยู่ตรงหน้า ผู้คนทั้งหลายไม่ทราบความหมาย มีแต่พระมหากัสสปะเท่าที่ยิ้มออกมา นี่ถือว่าเป็น "พระนิพพานอันแยบยล" เพคะ
หลี่หลงจี : สตรีหย่งซินนี่มีความรู้กว้างขวางดีนะ แถมยังคุ้นเคยในพระพุทธศาสนาขนาดนี้ หายากจริงๆ
สี่เหอจื่อ : พระพุทธองค์ตรัสกับทุกคนว่า "ตถาคตมีธรรมะจักษุซ่อนเร้น" และยังตรัสอีกว่า "ธรรมะอันนี้มิอาจใช้วาจามาถ่ายทอด"
หลี่หลงจี : เอ้อ ! เป็นปริศนาที่ดีนะ อืม..."แสดงดอกไม้พร้อมรอยยิ้ม" ดี !
สี่เหอจื่อ : ฝ่าบาท...ฝ่าบาทแพ้แล้ว ต้องปรับ 3 จอกนะเพคะ...
หลี่หลงจี : เฮ้ย! สามจอก ข้าว่ามันมากไป เอาแค่สองจอกก็แล้วกันน่า
สี่เหอจื่อ : ฝ่าบาท ! ( หน้าขมวดเล็กน้อยแบบอ้อนๆ ไว้ ) เป็นฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำนะเพคะ !
หลี่หลงจี : เออ....ได้ๆๆ สามจอกก็สามจอก...
ฉากสลับกลับคำพูดที่ชวนฮา
อี๋เมิ่งเข่อ : ฝ่าบาท คนที่ถูกปีศาจเข้าสิง สิ่งที่ตาเห็นมักจะต่างจากคนทั่วๆไป ดังนั้นการพูดจาก็ต้องกลับตาลปัตร ( ดำน้ำเข้าไปนั่น นี่ก็น่าจะเป็นเจ้าของไร่สตอร์เบอรี่มาก่อนนะเนี่ย )
หลี่หลงจี : หา...เอ้อ! กลับตาลปัตรยังไง ?
อี๋เมิ่งเข่อ : เอ่อ ! คือต้องพูดกลับหน้าเป็นหลัง
หลี่หลงจี : เออ ! งั้นก็แปลว่า หากจะให้จำข้าได้ ชื่อของข้า...ก็ต้องอ่านย้อนกลับยังงั้นเรอะ ?
อี๋เมิ่งเข่อ : พะยะค่ะ
หลี่หลงจี : หย่งซิน....ข้าคือ...จีหลงหลี่ !
อี๋เมิ่งเข่อ : ต้องกลับทั้งหมดพะยะค่ะ
หลี่หลงจี : อะ..อืม... ซินหย่ง จีหลงหลี่คือข้า
อี๋เมิ่งเข่อ : อี๋เมิ่งเข่อ คือข้าเอง
สี่เหอจื่อ : ( ค่อยๆ พูดออกมา ค่อยๆ ลืมตานิด ๆ เออ ! ดำน้ำแต่ได้ผลแฮะ ) อี๋..เมิ่ง..เข่อ....เจ้า..พูดอะไรน่ะ
หลี่หลงจี : เฮ้อะ ! ( ดีใจมากๆ ) ซินหย่งสตรี เออ ..เฮ้ย ! ดี...ได้ผลดีจริงๆ ด้วย...ดี !
อี๋เมิ่งเข่อ : ฝ่าบาท ฝ่าบาทมีธาตุสว่างมากเกินไป ดังนั้นบรรดาปีศาจทั้งหลายจะหลีกหนีไปกันหมด หากฝ่าบาทไม่อยู่ ข้าน้อยจะสามารถลงมือได้เต็มที่พะยะค่ะ ( ยังคงสตอร์ฯกันต่อไปอีกหนึ่งยก )
หลี่หลงจี : อือ...ได้ !...เอ่อ !...ถ้างั้น ข้าจะหลีกไปสักครู่ก่อนนะ.... เอ้อ !...เอ๊ะ !....เอ่อ ...ครู่สักไปหลีกก่อน ( อาเฮียนี่ต่อหน้าสาวก็พูดคล่องซะ )
อี๋เมิ่งเข่อ : ฝ่าบาททรงพระปรีชาจริงๆ เรื่องยาก เช่นนี้ยังกล่าวได้อย่างคล่องแคล่ว ( ชมหรือหลอกด่าหว่า )
หลี่หลงจี : เออ...ดี ดี ดี
( ต่อไปเป็นบทซึ้งระหว่างพระ-นางที่ได้พบกันอย่างสวีทสมปรารถนา คั่นหว่างความฮาไว้ได้ระยะนึง สักพักประตูห้องก็เปิดผางอีกครั้ง พร้อมกับร่างของเฮียถังหรือจีหลงหลี่ {อดแซวนามนี้ไม่ได้} ก็เดินดุ่มๆ เข้ามา ทั้งคู่หนุ่มสาวจึงผละจากกันและบรรเลงบทแหล่สตอร์ฯกันต่อไป พระเจ้าหลี่หลงจีเห็นสี่เหอจื่อดีขึ้นแล้วก็แช่มชื่นใจ เข้ามาโอ๋สาวเจ้าเสียใหญ่โต จนฝ่ายเจ้าหนุ่มก็คงจะชักรำคาญใจ จึงปัดรังควานให้เฮียถังเค้าออกไปว่า... )
อี๋เมิ่งเข่อ : เอ่อ !...ฝ่าบาท พิธียังทำไม่เสร็จพะยะค่ะ
หลี่หลงจี : เอ่อ !...ข้าจะหลีกไปก่อน เอ้ย !...ไม่ใช่ ! ก่อนไปหลีกจะข้า..เออ...555
ฉากกุ๊กกิ๊กระหว่างสองพ่อลูก ==>> หลี่หลงจี-องค์หญิงโบตั๋น
หลี่หลงจี : เอ้า..มา! ไหนมาให้พ่อดูเจ้าให้ละเอียดหน่อยสิ ( พูดพลางสองมือประคองสองแก้มของสาวน้อยๆ แล้วหยิกเบาๆ โหยกไปมาอย่างหยอกล้อ ) นี่! ยายของเจ้าเป็นยังไงบ้าง ?
โบตั๋น : อย่าเพิ่งถาม อย่าเพิ่งถาม ! มะ อุ้มลูกขึ้นมาหน่อยซี้ ( อ้าอ้อมแขนทั้งสองข้างเข้าหาพ่อ )
หลี่หลงจี : อ้าว....มะ...อะ...โอ๊ะ! โอ้ย ! ....อุ้มไม่ไหวแล้ว โอ้ย! เจ้าโตขึ้นเยอะแล้วนิ๊ ไม่ไหว เฮ้อ! ...หนัก !
โบตั๋น : อืมมมม....งั้น...หอมลูกก็ได้ ( โอ้ ! มายก้อดพระเจ้าช่วยกล้วยทอด ! ลูกสาวแก่นแก้วแก่แดดซะขนาดนี้ เฮียกล่อมลูกมายังไงเนี่ย )
หลี่หลงจี : อึม....อื้ม !....( เสียงเฮียเหมือนหมั่นเขี้ยวเอามากๆ ) อึ้ม...เอ้า !...
โบตั๋น : ข้างนี้ด้วย ? ( โอ้ ! เราล่ะอยากเกิดมาเป็นสาวเจ้าผู้รับบทนี้จัง ได้รับขวัญจากเฮียถังอ่ะ ! )
หลี่หลงจี : อือออออ...อึ้ม...เอ้า !...
( เสร็จเฮียถังกั๊วเฉียงไปสองฟอดเต็มๆ เลยอ่ะ T_T ล้อเล่นน้า { .... มุมกล้อง มุมกล้อง....ปลอบใจตัวเราเองที่ดูฉากนี้แล้วลูกไฟในตาพรึ่บพรั่บ} ) แหมทีลูกอ่ะ! เฮียเค้าบอกว่าอุ้มไม่ไหว แต่กับสาวพระสนมคนนี้สิ
เฮียเกิดฮึด อึดขึ้นมาทันตาเลยนะ แล้วสาวคนเนี้ย รู้สึกหน่วยก้านน่าจะน้ำหนักมากกว่าลูกสาวคนนั้นอีกซะด้วย ซีนส์นี้เข้าขั้นใช้กำลัง SEED MODE อ่ะเปล่าคะเฮีย !!??
ความหมายในคำพูดของตัวละครบางถ้อยความ สื่อสารแนวคิดและเป็นคติเตือนใจด้วยแง่มุมต่างๆ อย่างหลากหลายข้อคิด ด้วยถ้อยความวิพากษ์และวิจารณ์ (รวมวิเคราะห์อีกหน่อยนึง) คงมิอาจสื่อสารถ่ายทอดความเป็นภาพยนตร์จีนชุดเรื่อง "ยอดหญิงในวังหลวง" ออกมาได้ทั้งหมด เพชรน้ำหนึ่งนี้ หากไม่ได้ชื่นชมด้วยตาตนเอง ไหนเลยจะล่วงรู้แจ้งถึงคุณค่าความงามนั้นได้อย่างแท้จริง
นี่ก็เป็น....สิ่งที่ได้กล่าวพรรณนาชื่นชมมาแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของทั้งหมดเพียงเท่านั้น เพราะทุกๆสิ่ง ทุกๆ อย่าง จากนี้ไปนั้น คงเป็นสิ่งที่ผู้อยากรู้อยากเห็น ต้องดูด้วยตาตนเองจริงๆ .....
ปล. เหล่านี้กล่าวในฐานะผู้ชมคนหนึ่งที่ชื่นชอบภาพยนตร์จีนชุด "ยอดหญิงในวังหลวง" มิได้มีเจตนาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อกลยุทธ์ทางการค้าในตลาดภาพยนตร์จีนแต่อย่างใด
|
Create Date : 27 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 28 สิงหาคม 2551 16:26:15 น. |
|
7 comments
|
Counter : 6204 Pageviews. |
|
|