Engadin อีกหนึ่งความประทับใจ จาก Switzerland ตอนที่ 1: Arosa

เมื่อวันที่ 5-8 ตุลาคมปีที่ผ่านมา เห็นว่าอากาศดี ก็ตัดสินใจเช่ารถขับไปเที่ยวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์กัน โดยที่จุดมุ่งหมายของทริปนี้คือเขต Endadin ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเขต Graubuenden โดยเขตนี้จะมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอิตาลี

เราเริ่มเดินทางจากเมือง Aachen ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศเยอรมัน แต่ว่าจะขออธิบายเส้นทางการเดินทางโดยเริ่มจากที่ซูริคก็แล้วกัย เผื่อคนที่บินมาจากประเทศไทยสนใจจะขับรถเที่ยวจะได้รู้จักเส้นทางเอาไว้

จากซูริคให้ขึ้นออโต้บาห์นสาย A3 ไปเรื่อยๆ จนถึงทางออกที่ 11 จะมีทางแยก ก็ให้แยกไปขึ้นออโต้บาห์นสาย A13 และขับต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเมือง Chur (อ่านว่า คัวร์)

รูประหว่างทางบนออโต้บาห์น




จากนั้นถ้าจะไปเมือง St. Moritz ซึ่งถือได้ว่าเป็นเมืองสำคัญของเขต Engadin ก็ต้องขับรถบนถนนสายเล็กสาย 3 (ถนนนี้เรียกว่า Landstrasse ใช้สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ ในขณะที่ถนนออโต้บาห์นจะใช้สีเขียว) ไปจนถึงเมือง Silvaplana จากนั้นก็เข้าถนนสาย 27 เพื่อขับไปยัง St.Moritz

แต่เนื่องจากเราต้องการที่จะแวะเที่ยวที่เมือง Arosa ก่อน ดังนั้นเราจึงลงออโต้บาห์นที่เมือง Chur แล้วแล่นตามป้ายบอกทางเข้าเมือง Arosa ไปเรื่อยๆ

รูปบนออโต้บาห์นอีกรูปนึง



ถ้าขับรถจากซูริคมาถึงเมือง Chur ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง และจากเมือง Chur มาถึง Arosa ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ว่าเส้นทางจาก Chur มาถึง Arosa นั้น เป็นเส้นทางที่แล่นในหุบเขา และพื้นที่ปลูกหญ้าบนภูเขาสำหรับเลี้ยงวัว ธรรมชาติสองข้างทางสวยงามมาก เราจึงขับไปจอดแวะถ่ายรูปไปเกือบตลอดเวลา

อันนี้เป็นรูปแรกที่ได้ลงจากรถมาถ่าย



ขับไปได้อีกหน่อยก็แวะถ่ายอีก จุดนี้น่าจะเป็นจุดชมวิวของถนนสายนี้ เนื่องจากมีการทำถนนดินลูกรังเล็กๆ ไว้เป็นที่จอดรถ และยังมีการนำเก้าอี้ไม้มาตั้งไว้ให้ได้นั่งชมวิวกัน



บนถนนสายนี้ กว่าจะไปถึงเมือง Arosa ก็จะขับรถผ่านหมู่บ้านต่างๆ ที่ตั้งอยู่บนเขามากมาย หมู่บ้านเหล่านี้เป็นเพียงแค่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ประกอบไปด้วยบ้านเรือนไม่กี่หลังคาเรือน แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือ โบสถ์ประจำหมู่บ้าน

อย่างรูปนี้ก็เห็นหมู่บ้านอยู่ลิบๆ แต่จำไม่ได้ว่าชื่อว่าอะไร



รูปนี้เป็นหมู่บ้านเดิม แต่ขับเข้ามาถ่ายใกล้ๆ อีกนิด เห็นมั้ยว่า ขับไป ถ่ายไปจริงๆ



ก่อนที่จะไปถึงเมือง Arosa ก็มาทำความรู้จักกับเมือง Arosa กันก่อนซักเล็กน้อย

เมือง Arosa ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมือง Chur และอยู่ห่างจากเมือง Chur ประมาณ 30 กิโลเมตร เมืองนี้เป็นเมืองที่ตั้งลึกเข้าไปในหุบเขาสูง ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1800 เมตร ในฤดูหนาว เมืองนี้จะเป็นเมืองของการเล่นสกี

รูประหว่างทางอีกรูป บอกแล้วว่าเส้นทางสวยจริงๆ



แต่ถ้าใครชอบเดินเขา ชมวิวสวยๆ ในแบบที่ไม่มีหิมะ ก็ต้องไปเที่ยวในฤดูร้อน หรือฤดูใบไม้ร่วง แต่สำหรับยัยแก้วแล้ว ยัยแก้วจะพยายามมาเที่ยวสวิสให้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น เพราะว่าสีสรรสวยงามกว่า

ระหว่างทางอีกรูป ก่อนที่จะถึงเมือง Arosa



หลังจากที่นั่งรถหลังขดหลังแข็ง จาก Aachen มาตั้งแต่เกือบแปดโมงเช้า ในที่สุด เราก็มาถึงเมือง Arosa ในเวลาประมาณห้าโมงเย็น ช่างเป็นทริปที่ทรหดจริงๆ

น่าเสียดายที่เรามาถึง Arosa ตอนเย็นทำให้แสงอาทิตย์ค่อนข้างจะริบหรี่เหลือเกิน แต่ก็ยังพยายามที่จะถ่ายรูปมาให้ได้



ภูเขาที่ตั้งเด่นเป็นแบล๊กกราวน์อยู่ด้านหลังแบบใกล้ๆ



ทีนี้เราก็ขับรถไปจอดอยู่หน้าสถานีรถไฟเพื่อชมเมืองกัน

หน้าสถานีรถไฟ ถือว่าเป็นจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเพียงประเดี๋ยวประด๋าวอย่างเราได้มากมายทีเดียว เพราะบริเวณหน้าสถานีรถไฟ ก็มีทะเลสาบขุดขนาดใหญ่ โดยมีร้านรวง โรงแรม และบ้านเรือบต่างๆ ตั้งอยู่รายรอบทะเลสาบ นอกจากนั้นก็ยังมีถนนเส้นเล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวเดินชมรอบทะเลสาบอีกด้วย

ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ก็ลงเดินกันซักหน่อย



น่าเสียดายที่เรามาถึงเมืองนี้เย็นไปมาก เลยทำให้เที่ยวได้ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ตาม เมืองนี้ก็เป็นเมืองเล็กๆ ที่น่าประทับใจไม่แพ้เมืองใหญ่ๆ ที่คนไทยชอบมาเที่ยวกันอย่างเมือง Interlaken ที่มี Jungfraujoch หรือเมือง Zermatt

สำหรับใครก็ตามที่อยากจะมาสำหรับธรรมชาติของสวิสก็อย่างลืมรับเมืองเล็กๆ อย่าง Arosa ไปพิจารณาเป็นตัวเลือกด้วยนะคะ สามารถหารายละเอียดเกี่ยวกับเมือง Arosa ได้ที่ //www.arosa.ch

อ้อ ที่ทะเลสาบกลางตัวเมืองนี้ บางวันก็จะมีการเปิดน้ำพุ พร้อมทั้งมีการเปิดไฟ แสดงโชว์ให้ดูด้วยค่ะ

รูปสุดท้ายจากเมือง Arosa ค่ะ



กว่าจะออกจากเมือง Arosa ก็หกโมงกว่าๆ เข้าไปแล้ว เราก็เลยต้องรีบบึ่งรถกลับไปยังเมือง Chur เพื่อเติมน้ำมันรถในตัวเมือง Chur และเดินทางต่อไปยัง St. Moritz ตามเส้นทางที่เล่าไปตั้งแต่ต้น เพื่อเข้าที่พัก แต่ถึงจะรีบยังไงก็ยังไม่ลืมที่จะโอ้เอ้แวะถ่ายรูปกันอีกซักนิด



ที่เราต้องแวะเติมน้ำมันในตัวเมือง Chur ก็เพราะว่าราคาน้ำมันบนออโต้บาห์นแพงกว่าในตัวเมืองตั้ง 10 เซ็นต์แน่ะ ที่เราเติมตกลิตรละ 1.65 ฟรังก์ แต่ราคาบนออโต้บาห์นจะตกลิตรละ 1.75 ฟรังก์เลย แต่อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันในสวิสจะถูกกว่าราคาน้ำมันในเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันเบนซินซึ่งจะถูกกว่าน้ำมันดีเซล


เส้นทางจาก Chur ไปยัง St. Moritz นั้นเป็นเส้นทางที่ต้องขับรถอ้อมภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างชันและอันตรายพอสมควร ยิ่งขับรถตอนกลางคืนอย่างเราด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ แต่คนที่คุ้นเส้นทางอย่างคนท้องถิ่นก็ขับรถกันเร็วซะเหลือเกิน จนเราต้องปล่อยให้เค้าแซงกันไปให้หมดซะก่อน

ที่พักของเราอยู่ที่เมือง Samedan ซึ่งอยู่เลยออกมาจากเมือง St. Moritz ประมาณสิบนาที สาเหตุที่ต้องเลือกที่พักที่อยู่นอกเมือง St. Moritz ออกมาก็เพราะว่า ราคาที่พักที่เมือง St. Moritz นั้นแพงเหลือเกิน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นโรงแรมหรูๆ แต่สำหรับเรา เพียงแค่ใช้อาศัยนอนเท่านั้น ก็เลยเลือกแบบถูกๆ ดีกว่า

เราเลือกที่พักของคุณลุง Peter Buchmann ซึ่งก็เป็นบ้านของคุณลุงเองนั่นแหละ คุณลุงแบ่งห้องๆ หนึ่งที่อยู่ในบ้านให้เช่า เป็นห้องสำหรับสองคน มีครัวและห้องน้ำให้ใช้ร่วมกันกับคุณลุง

รูปครัว เป็นครัวเล็กๆ แต่ก็มีเตาอบ เตา ให้พร้อม



ส่วนห้องน้ำก็สะอาดให้ได้ มีห้องอาบน้ำแยกออกไปอีกห้องหนึ่ง



ราคาที่พักก็ถูกสุดๆ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เราตกลงใจอยู่กับคุณลุงสามคืน ราคาตกคืนละ 25 ฟรังก์ต่อคน รวมค่า Kurtax อีก 2.90 ฟรังก์ต่อคนต่อคืน รวมแล้วทริปนี้เราจ่ายค่าที่พักกันแค่คนละ 52 ยูโรต่อสามคืนเท่านั้น

นี้แหละห้องที่เราจะนอนกันตลอดสามคืน



ตอนต่อไปจะพาเที่ยว St. Moritz แล้วนะคะ

...Click here to continue reading...

Create Date : 15 เมษายน 2551 Last Update : 23 เมษายน 2551 22:48:08 น. Counter : 2671 Pageviews.		4 comments
Share Tweet