ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม*** WHITESPACE.CO.LTD

whitespace
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น

Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2551
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
11 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitespace's blog to your web]
Links
 

 
Without Love-Sence 2

*



Without Love-Scene
ศรีจันทารา

ต อ น 2 ข อ บ คุ ณ น ะ ที่ ม า รั ก






ความรัก บางทีก็เหมือนเกมแม่งูเอย คือรักกันเป็นงูกินหางไปโน่น... ยาวขนาดหางว่าวล้อลมเล่น กอไปชอบขอ ขอไปชอบคอ คอไปชอบงอ งอไปชอบจอ ฯลฯ แบบว่าคนยุคก่อนเรื่องความรักนี่เป็นเรื่องเก็บไว้ในใจ เรื่องเรียนต้องมาก่อน ใครชอบใครค่อนข้างจะลับแบบ ปิดๆ เปิดๆ ไม่โจ๋งครึ่ม ต่างจากยุคทันฝรั่งกันถ้วนทั่วด้วยระบบสื่อสารถึงกันทันทีอย่างยุคไอที

แล้วบางทีก็มีหลายหาง กอไปชอบขอ ขอไปชอบ.. คอ
หนึ่งไปชอบสอง สองก็ดันไปชอบ.. คอ
เอไปชอบบี บีก็ยังอุตส่าห์ไปชอบ.. คอ อีกราย

แสดงว่าคุณคอ นี่ต้องเป็นดาวเด่นส่องประกายจัดมากท่ามกลางหมู่ดาวดับที่เหลียวมองแต่เธอ ..แต่พวกดาวดับอย่าง ขอ สอง หรือบี ก็ถือว่ายังมีคนมาสนใจอยู่ ..ส่วน กอ หนึ่ง หรือเอ ก็เป็นประเภทพวกรับประทานแห้วเป็นของว่าง.. อยากบอกว่าอย่าเสียใจไปเลย เพราะเดี๋ยวนี้ผลไม้แห้วเปลี่ยนชื่อเป็นสมหวังแล้ว เพลงสมหวังนะคร้าบ.. จึงอาจแปลว่าแห้วด้วยนะคร้าบ.. แต่ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครโชคร้ายเป็นพวก กอ หนึ่ง หรือเอ ตลอดไปหรอก ต้องมีใครสักคนมารักเราบ้างล่ะน่า

สำหรับดาวดับอย่าง ขอ สอง หรือบี นี่ก็ประมาณพวก.. ฉันจะรักคนที่ฉันรักไม่สนใจคนที่มารักฉัน ทำเป็นจี๊ดไป คงคิดว่าเท่ตายล่ะมั๊ง คือเจ็บจี๊ดๆ ในใจนี่ชอบ ก็ฉันจะรักคนที่ฉันรัก มีอะไรไหม ?? จะจัดเป็นพวกอะไรดีนะ คนประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อยในโลกเสียด้วย

ธกาคงไม่อยากเป็นพวกนี้เท่าใดนัก แต่ก็ดูโชคจะช่วยชวนซวยให้ต้องเป็น

.....ถ้าไม่พูดถึงคนที่ธกาแอบรัก รัก รัก มากมายก่ายกองในวัยเด็ก โดยมาเริ่มในวัยที่แสดงความมีวุฒิภาวะทางด้านอายุสักหน่อยตอนเข้ามหาวิทยาลัย แต่แล้วก็เต็มไปด้วยความเป็นเด็กเหมือนเดิม เพราะคนเรามักจะเป็นเด็กขึ้นมาเฉยๆ ขณะที่มีความรัก ก็คงจะเป็นจ๊อบนี่แหละ รักแบบรักเฉยๆ เลย ไม่มีอะไรแอบซ่อนเบื้องหลัง ใครเคยดูหนังเรื่อง มาเรียเลิฟเวอร์ (maria lover’s) คงพอเข้าใจ

.....แล้วถ้าไม่พูดถึงคนที่มาชอบเธอประสาเด็กๆ ในวัยเด็ก แต่มาเริ่มเอาตอนเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นวัยที่รับผิดชอบตัวเองได้บ้างแล้ว แล้วก็รักธกาอย่างเป็นจริงเป็นจัง เต็มไปด้วยความปรารถนาดีล้วนๆ รักตั้งแต่วันแรกพบ ไปถึงวันเรียนจบ วันทำงาน จนวันแต่งงาน ก็เขาเลย.. เขาคนนี้เลย

ก้อง บุรุษหน้าหยก หรือหมายถึงหน้าแบบจีนนั่นเอง สูงขาว ผมยาวอย่างศิลปิน สูงจนตัวแอ่นนิดๆ เพราะยังผอมอยู่มากในวัยเรียน แต่บุคลิกโหดระดับมือพระกาฬ ถ้านึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงลุงแอ้ด คาราบาว แกะบล็อกกันออกมาแบบนั้น เขาเป็นคนเสียงดัง วาดรูปเก่ง ฝีมือดีไม่ห่วยแบบธกา แม้จะเป็นเด็กจบมาจากมัธยมไม่ใช่เด็กช่างศิลป์เหมือนกัน แถมเล่นกีตาร์เก่ง ร้องเพลงเก่ง เพลงเพื่อชีวิต โหดๆ ทั้งนั้นเลยล่ะ ขอรับประกัน

ส่วนธกา ผมทรงกะลาครอบแล้วตัดปลายทิ้งแต่ไม่ใช่พวกซาไก รุ่นพี่เรียกทรงหมวกกันน็อค ก่อนจะไว้ยาวสลวยในภายหลัง ตัวผอมผิวเข้มหน้าตาเรียบซื่อ รอยยิ้มสวยเหมือนท้องฟ้าสะอาด แต่นิสัยไม่ค่อยซื่อ แม้ไม่ชอบโกงใครแต่ก็ไม่ค่อยยอมใครเท่าไหร่ ก็มีบางเรื่องยอมง่ายๆ ทั้งที่เป็นคนอื่นคงไม่ยอม แต่บางเรื่องเป็นบ้าอะไรขึ้นมาหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมทั้งที่ไม่ไช่เรื่องหนักหนาอะไร ไม่พูดมากแต่การพูดแต่ละครั้งล้วนทำเพื่อนรวดร้าวใจ เนื่องจากมีวาจาราวขวานผ่าซาก ต้องมาฝึกฝนวิชาการสื่อสารกับเพื่อนๆ ใหม่ โดยพูดแบบไม่ให้รู้เรื่องแต่เจ็บปวดยิ่งกว่า เธอเหมือนมาจากหลังเขาเดินทางเข้าเมืองบางกอก มาถึงวันแรก ก็สนิทกับก้อง ราวเรียนป.1ด้วยกันมา ไม่หรอก ไม่ขนาดนั้น ก้องเข้ามาสนิทกับเธอเอง

พอผมยาวแล้ว ผิวคลายความเข้มลง ธกาก็ดูโตขึ้นมาบ้าง เพื่อนคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน แรกเข้ามหาวิทยาลัย แต่ละคนซึ่งหยองกรอด ก็ดูเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้น ก้องไว้ผมยาวเหมือนเด็กอาร์ต ส่วนจ๊อบผมยาวมานานแล้วเพราะจบมาจากช่างศิลป์ เพื่อนๆ ทิ้งคราบชั้นมัธยมหลังใช้เวลาสักพัก ต่างจากยุคนี้ เด็กมัธยมโตไวเป็นหนุ่มสาวกว่าเด็กมหาวิทยาลัยสมัยก่อนมาก

ช่วงแรกๆ ก็เป็นเพื่อนสนิท ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ไม่ต้องสงสัย.. เพราะก้องชวนไง มีใครที่ไหนไม่ไปกับเพื่อนที่เรียนชั้นเดียวกันบ้าง โดยเฉพาะเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยไม่นาน แล้วก็เพิ่งมีเพื่อนหน้าใหม่อีก 29 คนในรุ่น รวมตัวเองเป็น 30 แต่มาเรียนจริงๆ เหลือ 27 ยังไม่รู้ใครเป็นใคร ก้องเข้ามาถึงตัวธกาเป็นคนแรก แล้วก็ชอบชวนไปโน่นไปนี่

ที่คณะศิลปกรรม ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแห่งนี้ ก็เพิ่งเปิดตัวไม่นาน โดยได้รับความอนุเคราะห์จากคณะเภสัชกรรม ยกตึกดองศพเก่ามาให้หลังหนึ่ง ทีแรกก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นตึกที่เคยผ่านการดองศพมาก่อน เพราะไม่ใช่ตึกคณะหมอเหมอที่ไหน ตอนหลังมาลือว่าเป็นตึกดองศพ สงสัยพวกหมอยาเภสัช คงคิดค้นการทำยาปลุกชีพมั๊ง ? ตึกศิลปกรรมเป็นอาคารเก่าขนาดใหญ่ไม่มาก มีลานกว้างอยู่ระหว่างกลางตึกด้านใน ทำให้ตัวตึกโล่งและแบ่งเป็นสองปีกโดยมีท้องฟ้ากว้างส่องแสงลงมากลางลานได้ เด็กๆ จะมาวาดรูปที่ผนังริมซ้ายขวาของลานเพิ่มความสดใสใหม่ๆ ทุกปี นอกจากทางเข้าออกด้านหน้าตึก ยังมีทางเข้าออกด้านข้าง ส่วนตรงลานโล่งก็ทะลุด้านหลังได้เลย เรียกว่าถ้าจะเล่นซ่อนหากันนี่ ยากจะตามหากันเจอ

ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยแรกๆ กิจกรรมมีมาตลอด ตั้งแต่รับน้องใหม่ กีฬาระหว่างคณะ ฟุตบอลประเพณี แต่คนอย่างธกา มีหรือจะสนใจ ยิ่งพวกวิศวะกับครุพละนี่ แข่งกีฬาอะไรก็จบด้วยการตีกัน ทั้งปี

“ไปโรงยิมหรือเปล่า เขาแข่งบาส” ธกาเดินมาถึงคณะก้องก็ชวน เขาชอบมาก เรื่องกีฬา ธกาพยักหน้าหงึกหงัก

“เฮ้ย ไปไหนกันอะ” จ๊อบที่นั่งโต๊ะหน้าคณะกับเพื่อนๆ ตระโกนถามตาม เมื่อเห็นทั้งคู่บ่ายหน้าออกไปอีกทาง แทนจะเดินมานั่งด้วย

ธกาหันไปมองจ๊อบว่างเปล่า แต่ข้างในไม่เคยเลยจะว่างเปล่า กับคนที่คิดว่าชอบแล้ว ไม่รู้เป็นอย่างไร ไม่กล้าพูดไม่กล้าคุยไม่กล้าแสดงอะไรสักนิด ทีกับคนอื่นหรือกับใคร ดีกับเขาได้ไปหมดได้เสียจนชาวบ้านคิดว่าไปแอบรักเขา นี่ก็ดีกับก้องเพราะยังไม่รู้ว่าก้องมาจีบ เป็นคนไม่ค่อยรู้ตัวอะไรง่ายเลยนะธกา

“ไปดูบาส ที่โรงยิมฟากโน้น ไปเปล่า..” ก้องหันกลับไปตอบพร้อมชวนคนอื่นๆ จ๊อบหลิ่วตาให้ก้องราวรู้กัน แล้วหันไปซุบซิบกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะหน้าคณะ พวกเพื่อนๆ ฮือฮา ธกามารู้ทีหลัง ว่าพวกนี้มีซุ่มนินทา ว่าเธอกับก้องชอบกัน

ตลกตายห่า..ล่ะ คนนะเว้ยไม่ใช่ปลากัด เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แถมช่วงนี้ธกาก็เริ่มซี้กับสาวๆ อีกสี่คนในรุ่นบ้างแล้ว โดยเฉพาะกับผึ้ง ไอ้น้ำผึ้ง หรือไอ้ป้าผึ้ง ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนซี้กันอีกยาวนาน ไม่รู้จบ

ที่โรงยิมขนาดใหญ่ นิสิตปีหนึ่งต่างคณะต่างมาประจำตำแหน่งทั้งกองเชียร์และนักกีฬา เมื่อคณะตนต้องมาลงแข่ง แต่มีสองคนแอบมาดูทั้งที่คณะตัวไม่มีแข่งวันนี้ ธกากับก้องมาดูคณะวิศวกรรมกับครุศาสตร์แข่งบาสเก็ตบอล

คณะศิลปกรรมเองส่งนักกีฬาลงแข่งกีฬาได้ไม่กี่อย่าง เพราะมีเด็กน้อยมาก คณะที่เพิ่งเปิด มีเพียงสองสามรุ่น แต่ละรุ่นมีกันแค่ 60 คน ส่วนครุศิลป์ มีเด็กเยอะกว่ามากก็จริง แต่เวลาแข่งกีฬากลับไปรวมกับพวกครุศาสตร์ทั้งหมด พวกครุศิลป์เลยเหมือนถูกกลืน แต่พวกครุศิลป์ ดูเป็นนักศึกษาศิลปะมากกว่าพวกศิลปกรรมเสียอีก เพราะเปิดมานานหลายปีดีดัก มีวัฒนธรรมก่อร่างสร้างตัวมานาน แต่งตัวอาร์ตมากๆ เด็กครุศิลป์ที่หอพักนิสิตหญิง แต่งตัวสวยงาม กระโปรงยาว กำไลเต็มข้อมือ เสื้อตัวกระจิ๋ว มีสีสันชวนมองเหมือนนักร้องปาล์มมี่

ส่วนเด็กศิลปกรรมในคณะเล็กๆ ซึ่งเพิ่งเปิด หลายคนจบมาจากมัธยมหก หน้าตาเหรอหรา ทั้งชายหญิงส่วนใหญ่ใส่เชิ้ตนุ่งยีนส์เหมือนพวกก่อสร้างและแม่ค้าขายแตงโม ที่หอพักหญิงแทบไม่มีใครรู้เลยว่าธกาเรียนศิลปะ แม้นกระทั่งเรียนจบไปแล้ว เธอก็ยังใส่แค่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ ไม่เคยแต่งตัวแบบอาร์ตแม้แต่นิดเดียว ไม่มีกำไล ไม่มีสร้อย ไม่มีแหวน ไม่มีเครื่องสำอาง มีแค่ที่หนีบผม เอาไว้รวบผมในบางครั้ง

นักกีฬาเริ่มลงสนามแล้ว ตัวปั้กๆ ทั้งนั้น เด็กวิศวะกับครุพละล้วนๆ ถ้าเวลาแข่งกีฬาแล้วล่ะก็ครุศาสตร์จะมีแต่ตัวครุพละ สองศัตรูผู้เป็นยิ่งกว่าขิงกับข่า ความแรงความเก่งนี่เอากันไม่ลง บางทีแข่งไม่ทันจบ ฟาดกันนัวเนีย ก้องชอบมาก ชอบมาดูมาก แต่ไม่น่าชวนธกามาด้วยเลย ผับผ่า !! แข่งไปได้ครึ่งเดียวเหตุการณ์ก็ชุลมุน ตีกันอีกแล้ว ไม่รู่ใครเป็นใครเริ่มก่อน ก้องรีบวิ่งเข้าไปอัดใครก็ไม่รู้ตุ้บสองตุ้บ ก่อนคว้าข้อมือธกาวิ่งออกมา ธกาอ้าปากค้าง

หลังวิ่งมาไกลพอประมาณ ทั้งคู่หยุดหอบสักครู่ ความสงสัยจากสถานการณ์ที่เพิ่งผ่านมายังคงคาใจธกาอยู่

“ก้องวิ่งไปตีใครอะ”

“ไม่รู้”

“อ้าว แล้วไปตีเขาไมอะ”

“ของแบบนี้ เราต้องทำเขาก่อน รอเขามาทำเราไม่ได้” ธกาอ้าปากอีกครั้ง นี่คือเหตุผลที่ก้องชอบมาดูกีฬารึไง

“ไอ้อ่า ตรูไม่น่าตามมาด้วยเลย” ธกาก้มหน้าเอาปลายเท้าแยงพื้นคอนกรีตไปมาเพื่อใช้ความคิด หันไปสูดอากาศทางอื่นที่ไม่มีก้อง แล้วพูดออกเสียงแค่ในความคิด เพื่อสรุปเหตุการณ์ในคราวนั้น และเก็บเอาไว้สอนใจในคราวอื่นด้วย


ทั้งคู่กลับคณะ ด้วยเสียงซุบซุบของบรรดาปากหมาที่โต๊ะหน้าคณะเมื่อเห็นทั้งคู่เดินกลับเข้ามา แต่ก้องไม่สนใจ เข้าไปโม้เรื่องเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งไปร่วมวงสังฆกรรมมาเสียงดังสนั่น

ธกาปลีกตัวเข้าในคณะด้วยความเซ็ง เห็นสาวๆ นั่งวาดรูปกันอยู่ เป้ยกับเปี๊ยก ฝีมือดีมากเพราะคนนึงมาจากวิทยาลัยศิลป์ต่างจังหวัดอีกคนก็ประมาณมาจากเพาะช่าง ต่างจาก จุง ธกา และผึ้ง เด็กมัธยมหก ซึ่งเหมือนเพิ่งเริ่มก้าวเข้าสู่ประตูศิลปะเป็นครั้งแรก

หลังจากนั้น ก้องชวนไปไหนอีก ธกาก็บอกไม่ค่อยว่าง หลีกได้ก็หลีก หลบได้ก็หลบ อาจรู้สึกยังไม่ค่อยอยากตายเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีเผลอไปดูหนังด้วยกัน แล้วหนังดันมีบทอย่างว่าอีก มันสร้างความอึดอัดสุดประมาณ เป็นเหตุการณ์อีกคราวที่ต้องจดจำใส่ใจ ..หรือคงต้องถึงเวลาที่ธกาจะมีเพื่อนสนิทที่คณะเป็นผู้หญิงสักที ก้องเองก็เช่นกัน เขาก็ควรจะมีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชายเสียที เพราะเพื่อนๆ ทุกคนเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นแล้วกับเวลาหลายเดือนผันผ่าน แถมเพื่อนร่วมรุ่นก็มีกันแค่ไม่ถึงสามสิบคน

ก็อย่างว่า ผู้ที่จะมาเป็นเพื่อนสนิทบุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างธกา มันก็ชัวร์อยู่แล้ว จะต้องเป็นคนไม่ธรรมดาเช่นกัน

น้ำผึ้งเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กสุดในบรรดาสาวห้าคน คงจะสูงประมาณแค่เมตรครึ่ง เจ้าเนื้อค่อนไปทางท้วม มีใบหน้าประดุจคุณป้าเพราะสวมแว่นหนาเตอะ ด้วยรูปหน้ากลม ผมหยักศก ท่าคงแก่เรียน ทำเพื่อนๆ เรียกไอ้ป้าผึ้งโดยอัตโนมัติ แต่รับรองน่ารักกว่าอาจารย์แม่ รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ เล็กน้อย

ที่สำคัญ มันเป็นบุพเพสันนิวาสของธกากับผึ้ง ต่างเคยเจอกันตอนสอบเอ็นทร้านส์ นั่งห่างกันไม่กี่โต๊ะ แถมไอ้ป้าผึ้ง ดันสะกิดยืมทั้งดินสอและสีจากธกา แค่นี้ก็ยืนยันได้ว่า คนสองคนมีวิบากกรรมร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนครูผู้คุมสอบได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ไม่อาจเรียกการยืมอุปกรณ์เครื่องวาดเหล่านี้ว่าเป็นการลอกข้อสอบได้ คนไม่ปกติสมควรคบกับคนไม่ปกติ มันคงถูกต้องอย่างยิ่งแล้ว

แต่ผลเสียของการคบกับป้าผึ้ง ทำให้ธกาต้องพลอยกลายเป็นป้าธกา ในเวลาต่อมาไปด้วย

ทั้งคู่ก็ได้รับการการขวัญว่าเป็นสองมารป้าที่รุ่นน้องหวาดผวา และโด่งดังมากในปีสาม ด้วยเกมรับน้องปีหนึ่ง ที่คิดค้นกันสดๆ ขณะรับน้องซึ่งล้วนถูกปิดตาไม่เห็นหน้ารุ่นพี่ได้ คือให้น้องผู้หญิงตัวอ้วนใหญ่ที่สุด กลิ้งหมุนตัวบดทับไปบนน้องผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นอนเรียงยาวเป็นทิวแถว พวกตัวเล็กตัวน้อยร้องโอดโอยโหยหวน จนธกาหน้าเสีย จะมีน้องตายไหมวะเนี่ย!! กลัวต้องขึ้นโรงพักเหมือนที่เขาลงข่าวรับน้องถึงตาย ไอ้ป้าผึ้งก็มัวแต่หัวเราะอย่างคุ้มคั่งเสียสติ เพื่อนคนนี้ช่างมีวิญญาณโหดร้ายสิงอยู่ในตัวจริงๆ แต่อย่างว่า เกมทุเรศขนาดนี้และอีกหลายเกม ธกาเป็นคนคิดทั้งนั้น ป้าผึ้งแค่เป็นคนหัวเราะและคอยตะเบ็งเสียงโหดๆ สั่งน้องแค่นั้นเอง ใครกันนะที่ชั่วช้าสามานย์ แต่ใครกัน..ก็ช่างมันเถอะน่า !! เดี๋ยวพวกน้องๆ ก็จะลืมกันไปเอง


* * * * * * * *

วันที่โกรธก้องที่สุด คงเป็นวันที่ก้องเดินตามเธอจากคณะจนมาถึงหน้าสถาปัตย์ พอก้องเรียกให้หยุด ธกาก็หยุด โลกกำลังจะแตกรึไงนะ ธกาไม่สบอารมณ์เพราะรู้แก่ใจว่ามีคนเดินตาม จากเดินจนกลายเป็นวิ่งให้ทัน ธกาอยากจะวิ่งหนี เพราะรู้ด้วยว่าเป็นใครที่ตามมา ความไม่พอใจมันเก็บกักอยู่ในตัวจนได้ที่ แต่กลับหยุดตามที่ก้องเรียก เมื่อหันกลับไป ก็เป็นระยะไม่ห่างกันมาก..

พอก้องบอกว่า “ก้องชอบธกานะ” โลกก็แตกเลยคราวนี้

ความโกรธซึ่งมันวิ่งพล่านอยู่ภายใน ระอุจนทำให้เลือดในร่างกายเดือด ก็ถึงคราวระเบิด!! ควันออกหู ธกาวิ่งกลับหออย่างไม่พอใจสุดๆ อย่างกับหนังเรื่องอะไรดี ทำไมต้องมาเป็นนางเอกหนังอะไรแบบนี้ด้วย เคยเล่นแต่เป็นตัวประกอบละครหน้าห้องตอนสมัยเด็กนี่หว่า แค่ยืนกระดิกขาเป็นพิธี พูดรับเขาบ้างประโยคสองประโยค แต่ไอ้ครั้นจะวิ่งก่อนเลยราวรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ว่าก้องจะตามมาถึงแล้วพูดประโยคที่ทำให้โกรธ ก็กลัวเป็นหนังตลกไร้สาระหรือแดนสนธยาเกินไป ไม่แน่ ก้องอาจตัดสินใจวิ่งตามก็ได้ กลายเป็นหนังไม่รู้เรื่องไปอีก ถ้าคนสองคนจะวิ่งไล่กันอย่างไม่มีเหตุผลโดยไม่เคยเกิดเรื่องกันมาก่อน

ตอนนั้นไม่รู้ตัวเองพูดอะไรโต้ตอบก้องออกไปบ้าง แปลกจัง ถึงทุกวันนี้ยังคิดไม่ออก จำไม่ได้ หรือไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย...

แต่ไม่ใช่มองหน้ากันไม่ติด ก้องก็ยังดีกับธกาอยู่อย่างสม่ำเสมอ ส่งภาพวาดจีนมาให้ศึกษา ธกาก็ไม่เปิดดู ส่งเครื่องประดับน่ารักๆ มาให้ ธกาก็ปาทิ้ง คอยติดตามและมีเรื่องกับรุ่นน้องบางคนที่คิดไม่ดีกับธกา เพราะธกาไปดีด้วยมันกลับคิดเลยเถิด ป้าผึ้งก็แอบเอามาเล่าให้ฟัง

จิตที่เคยแข็งกร้าว ก็คล้ายอ่อนลงเรื่อยๆ จากเหล็กกล้ากลายเป็นดอกไม้ ที่พอสายลมพัดความปรารถนาดีมาก็ส่งความหอมออกจากตัวเองได้ ความรักไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายรุก แต่สามารถรักได้ในฐานะเป็นฝ่ายรับ ถ้าจะไม่ติดกับเปลือกนอกของการกระทำต่างๆ ระหว่างกัน ความรักก็เป็นเพียงความรู้สึกอันอ่อนละมุน เป็นจิตดั้งเดิมที่เราต่างตามหาตัวเอง เพียงแต่เข้าใจผิดว่าจะมีใครบางคนมาทำให้มันเกิดขึ้น เราจึงมัวหลงตามหาคนที่เราจะรักหรือคนที่จะมารักเรา ความจริงแล้ว เราแค่ตามหาตัวเองอยู่เท่านั้น เราล้วนแต่กำลังตามหาหัวใจของเราเองมานานแสนนานแล้ว

ธกาย้อนกลับไปคิดเรื่องก้องทีไร รู้สึกตัวเองเป็นคนเลวเหลือเกิน ทีตัวเองรักคนอื่นไม่รู้จักคิด มีความสุขกับความรักของตัวเอง แต่พอมีคนมารัก กลับไปโกรธเขา โกรธเป็นบ้าเป็นหลัง

“ขอบคุณมากนะก้อง ก้องเป็นคนที่รักเรา รักอย่างยาวนาน เกือบสิบปีได้มั๊ง หาทางทำดีมาด้วยทุกทางโดยไม่เคยได้รับอะไรตอบกลับ เราชอบจ๊อบแค่ไม่กี่ปี ไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้เขาสักอย่าง แต่สำหรับก้องกลับคอยเป็นห่วงเราตลอดมา “ขอบคุณมากๆ””

.. สาธกาไม่กล้าดูถูกความรักของใครอีก มันเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ นอกจากจะรู้สึกดีที่ใครๆ จะมีความรัก มันไม่ใช่เรื่องโง่เง่า การมีความรักเป็นการค้นพบหัวใจดวงเดิมของเราเอง หัวใจอันยิ่งใหญ่ที่ทุกคนมีอยู่แล้ว

ความรัก จะสอนให้เรามีความปรารถนาดีกับผู้อื่นโดยไม่หวังอะไรเลย และที่จริง ความรักมันอยู่ในใจของเรามาอย่างช้านาน แค่นอนหลับในไปบ้าง ไม่ใช่ผู้อื่นมาสร้างความรักให้เกิดกับเรา แต่แค่มากระตุ้นให้ความรักของเราตื่นขึ้นและแสดงตัวเท่านั้น หากแสดงตัวแล้ว คนที่สัมผัสความรักได้โดยไม่หลง เขาก็จะไม่ต้องการการครอบครองใคร






Create Date : 11 มิถุนายน 2551
Last Update : 15 มิถุนายน 2551 10:45:05 น. 0 comments
Counter : 997 Pageviews.
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.