|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ความคิดอันเป็นมายาภาพ
ความคิดอันเป็นมายาภาพ อวกาศสีขาว
. . . . . ค ว า ม คิ ด ม นุ ษ ย์ มี ม า ก ม า ย ไ ม่ รู้ จ บ ..มากมายขนาดหากถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือ ต่อให้ใช้ต้นไม้จนหมดป่าทั้งโลก ..ก็คงไม่พอ
มนุษย์พยายามที่คิดค้น ตามหาความจริง จากตัวเองสู่สังคมสู่จักรวาลสู่เอกภพ แต่ไม่ว่าจะคิดค้นเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยจบลงได้ แต่การจะค้นพบความจริงขนานใหญ่ ความจริงที่ไม่แปรเปลี่ยน กลับเป็นการเลิกคิด หยุดคิด ไม่คิด.. ความจริงแท้ กลับค้นพบได้ด้วยภาวะไม่มีความคิด แต่มนุษย์ไม่สามารถเข้าสู่ภาวะนั้นได้ ยังใช้ความคิดตลอดเวลา ถ้าไม่ใช้ความคิด ก็เพียงกดข่มมันไว้ได้เพียงเล็กน้อย มนุษยคิดถึงอนาคตและอดีตอยู่เสมอ ไม่เคยอยู่กับปัจจุบันขณะได้จริง เพราะถ้าทำได้เมื่อไหร่ กาลเวลาจะหยุดลง และความจริงจะปรากฏแก่เขาทันที
ความจริงแท้นั้นไม่อาจถ่ายทอดได้ด้วยความคิด แต่ในโลกสมุมติที่ทุกอย่างถูกบัญญัติขึ้นเป็นตัวเป็นตนไปหมดทั้งสิ้น การสื่อสารล้วนผ่านขบวนการบัญญัติหรือถูกตราขึ้น การคิดการสื่อสารจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ติดต่อ สื่อความ เพื่ออธิบายถึงสภาวะการเข้าสู่ความจริง เพียงเลิกคิด ซึ่งในทางศาสนา เรียกว่าปรุงแต่งไปตามกิเลส
ทางสายเอกที่จะต่อสู้กับความคิดที่ปรุงแต่งก็คือ สติปัฏฐานสี่
- กายานุปัสนาสติปัฏฐาน การใช้ฐานกายทำความรู้สึกตัว
- เวทนานุปัสนาสติปัฏฐาน การใช้ฐานเวทนาทำความรู้สึกตัว
- จิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน การใช้ฐานความคิดแยบคายเพื่อพิจารณาความคิดอันฟุ้งซ่าน ความคิดปรุงแต่ง หรือความคิดอันไร้ประโยชน์ ให้ดับลงไป
- ธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน การใช้ฐานความคิดทางธรรมเพื่อพิจารณาความคิดอันฟุ้งซ่าน ความคิดปรุงแต่ง หรือความคิดอันไร้ประโยชน์ ให้ดับลงไป
การเจริญสตินั้น จะสามารถเข้าทำลายความคิดอันเป็นมายาภาพได้ ก็ต่อเมื่อต้องทำต้องเจริญอย่างต่อเนื่อง จนมีอินทรีย์ห้าแก่กล้า หรือที่เรียกมีกำลังห้าเสมอสมังคี ถึงจะเข้าสู่การทำลายความคิด หรือที่เรียกการคิดว่าการปรุงแต่งตามเบญจขันธ์หรือปฏิจจสมุปบาทนั้นลงได้
เมื่อภาวการณ์คิดปรุงแต่งมายาภาพสิ้นสุด ความจริงแท้ก็จะปรากฏขึ้น ปัญญาญาณก็จะบังเกิด หมดความสงสัย เรื่องโลกสมมุติ เรื่องกรรม เรื่องภพชาติ เรื่องไตรลักษณ์ อริยสัจจ์สี่ ฯลฯ หมดภาวะการเกิด จบเรื่องทุกข์ ไม่ต้องกลับมามีตัวตนหรือมีรูปขันธ์ที่เวียนว่าย เกิดแก่เจ็บตาย วนอยู่ในโลกสมมุติ ของ นรก โลก สวรรค์ ไม่สิ้นสุด เรียกว่าจบกิจแห่งความทุกข์ลงเสียได้
เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น ที่ใครหากไปถึงแล้ว หรือเข้าใจแล้ว ก็พยายามจะบอกกล่าว บอกสอนต่อคนอื่นๆ ให้เข้าใจตาม ให้ปฏิบัติไปให้ถึงความจริงนั้น ซึ่งเราเรียกสภาวะนั้นกันว่า นิพพานหรือสุญญตา ความสุขสงบอันไม่ผันแปร
คนที่เข้าไปสัมผัสภาวะความจริงแท้นั้น เรียกว่าอริยบุคคล มีสี่จำพวก คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ คือประหารกิเลส หรือทำลายความคิดปรุงแต่ง ไปตามกำลังของมรรคญาณไม่เท่ากัน พระอริยะขั้นต้นยังทำลายสังโยชน์หรือกิเลสไม่หมด ก็ต้องปฏิบัติภาวนาต่อไป จนกว่าจะเป็นผู้จบกิจหรือพระอรหันต์เป็นสุดท้าย
..
รู้สึกผิด ไม่ได้อัพบล็อกนาน
..
..
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 1 เมษายน 2551 16:24:20 น. |
Counter : 320 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|