นิยายเรื่องรักยกกำลังสอง แนวโรแมนติกวัยมัธยม ผมไม่สามารถเล่าเนื้อเรื่องย่อได้ เพราะเนื้อหาทุกอย่างจะทำให้คุณลุ้นและเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติ และมีปริศนาให้คาดเดาและลุ้นไปกับมัน ลองเข้ามาอ่านเรื่องนี้สิครับ รับประกันความสนุก
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
2 สิงหาคม 2553

รักยกกำลังสอง บทที่ 23 ปะการังภูเขา (Mountain Coral) ตอน 2

“เรนะ!” เอย์จิตกใจนึกว่าอะไรเกิดขึ้น เรนะเองก็รีบควักสร้อยคอออกมาแล้วโยนลงพื้นทันที

สร้อยคอกองนิ่งอยู่กับพื้นโดยไม่มีปฏิกิริยาอะไร นอกจากแสงสีชมพูอ่อนที่ยังคงส่องสลัวให้พอมองเห็นบรรยากาศภายในถ้ำได้บ้าง ทั้งคู่เขยิบถอยหนีออกมาแล้วเฝ้ามองอยู่ครู่นึงราวกับจะลุ้นให้มันกระดุกกระดิกได้ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอเห็นว่าไม่มีอะไรเอย์จิเลยก้มลงไปหยิบสร้อยขึ้นมา แสงสีชมพูที่ส่องกระทบหน้าเขา ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นโดยปราศจากความมุ่งร้ายใด ๆ “ที่คุณซายะให้สร้อยนี้มาก็คงเพราะอย่างงี้หล่ะมั้ง” เขาหันไปบอกเธอ เรนะก็พยักหน้าเห็นด้วย

เอย์จิเลยใช้สร้อยส่องแสงนำทางแทนไฟฉาย พอเดินไปได้ซักพักเรนะก็เผลอไปเหยียบตะไคร่ที่เกาะอยู่บนพื้น “ว้ายยย!” เธอลื่นพรืดจนเกือบจะหงายหลัง แต่โชคดีที่เอย์จิเอาแขนไปช้อนใต้เอวคอดกิ่วของเธอไว้ได้ทัน ทำให้เธออยู่ในท่าเอนตัวทิ้งน้ำหนักลงในอ้อมแขนของเขาไปโดยปริยาย

“เป็นอะไรรึเปล่า!” เอย์จิรีบหันหน้าไปถามเธอโดยไม่ทันคิด จมูกของเขาและเธอเลยเกือบจะสัมผัสกัน แล้วด้วยความตกใจทั้งคู่เลยต่างนิ่งสบตากันโดยไม่ขยับเขยื้อน

ทันใดนั้นภาพในอดีตก็ผุดขึ้นในสมองของเอย์จิ ภาพเรนะนอนอยู่บนแขนข้างนึงของเขาตรงระเบียงหน้าห้องเรียนปรากฏชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

{{“เป็นไรรึเปล่า?”, “มะ ไม่เป็นไรจ๊ะ ขอบใจนะ”, “ไม่หนักเหรอจ๊ะ”, “ไม่หนักหรอก ตัวเธอเบาอย่างกะลูกแมว ชั้นใช้แขนเดียวก็อุ้มไหว”}}

“เอย์จิคุง ๆ!?!”

“เอ๋! อะไรนะ!” พอเอย์จิรู้สึกตัวเขาก็ค่อย ๆ หย่อนเธอลงเบา ๆ “ระวังพื้นลื่นนะ”

“ขอบใจนะจ๊ะ”

พอลงไปได้ซัก 50 เมตรอากาศภายในถ้ำก็เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ จนแม้แต่เสื้อกันหนาวก็ยังเอาไม่อยู่ เอย์จิเห็นเรนะเดินตัวสั่นจึงถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองยื่นให้เธอ “อะใส่ซะสิ”

“เอ๋!?!” เรนะหันมาทำหน้างง ๆ

“ยิ่งลงไปจะยิ่งหนาวนะ”

“แล้วเอย์จิคุงหล่ะจ๊ะ”

“หึ ชั้นสบายมาก” เอย์จิไม่รอให้เธออนุญาต เขารีบคลุมเสื้อกันหนาวที่ไหล่เธอทันที

“อ๊ะ! เดี๋ยวชั้นใส่เองก็ได้จ๊ะ” เรนะรีบเอี้ยวตัวหลบด้วยความอาย แต่ก็ไม่ทันเพราะเอย์จิสวมเสื้อให้เธอเสร็จซะก่อน

“ไม่เป็นไร เสร็จแล้วนี่ไง”

“ขะ ขอบใจจ๊ะ” เรนะเขินจนไม่กล้าหันไปขอบคุณเขาตรง ๆ

แล้วไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงก้นอุโมงค์ แล้วเรนะก็ร้องว่า “เอ๋!?!” ส่วนเอย์จิก็ได้แต่ยืนอึ้ง เพราะที่ก้นอุโมงค์นี้เป็นทางตันไม่มีทางไปต่อ

“เอ...อาจจะไม่ใช่ถ้ำนี้รึเปล่าจ๊ะ”

“ไม่น่านะ แถวนี้จะมีถ้ำ 2 แห่งเลยเหรอ” เอย์จิกางแผนที่ออกดูแล้วเอาจี้ห้อยคอช่วยส่อง

“ไม่เห็นบอกอะไรเลย” เอย์จิเริ่มหงุดหงิด

“แล้วลองอ่านในสมุดบันทึกรึยังจ๊ะ”

“อื้อ จริงด้วย! ไม่แน่นะอาจจะมีเบาะแสอะไรเขียนไว้ก็ได้”

แล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันไล่ดูตั้งแต่หน้าแรก {*วันนี้เป็นวันแรกที่ชั้นย้ายมาอยู่ในบ้านหลังใหม่ ได้ยินว่าท่านเศรษฐีกับครอบครัวย้ายมาจากต่างประเทศ บ้านท่านที่อยู่อีกฝั่งของทะเลจะเป็นยังไงกันนะ ชั้นนึกภาพไม่ออกจริง ๆ จะมีอาหารอร่อย ๆ ให้กินเหมือนที่นี่รึเปล่าน้า**}

{*แล้วทำไมถึงย้ายมานะ หรือเพราะไม่อยากอยู่บ้านตัวเอง คงไม่มั้ง! คงเพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศมากกว่าแหละ ตอนเราเบื่อ ๆ ยังชอบแอบหนีเที่ยวบ่อย ๆ เลยนี่นา ถ้าเป็นไปได้ชั้นก็อยากจะไปเห็นที่นั่นซักครั้งเหมือนกันนะ ว่าแต่คฤหาสน์หลังนี้เหมือนจะใหญ่เกินไปสำหรับเด็กกำพร้าน่ารัก ๆ อย่างเราเนอะ (หุหุ) อย่างกะอยู่ในวังเลย (ชั้นไม่เคยเห็นวังซะกะหน่อย แหะ ๆ)**}

{*ไหน ๆ วันนี้ก็เป็นวันดีแล้ว งั้นต้องฉลองกันหน่อย ^0^ หนูขอสัญญาว่าถึงแม้หนูจะเป็นแค่คนรับใช้น่ารัก ๆ (หุหุหุ) แต่หนูก็จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดค่ะ จะขัดวังของท่านเศรษฐีให้เงาวับเลยเชียวหล่ะ อย่าตะลึงละกัน อิอิ แล้วอย่าลืมพาหนูไปเที่ยวที่บ้านท่านบ้างนะคะ^^**}

“หน้านี้คงไม่เกี่ยวมั้ง” เอย์จิพูดแล้วก็พลิกอ่านหน้าต่อ ๆ ไปอย่างรวดเร็ว

“จ๊ะ” เรนะเลยช่วยถือสร้อยส่องให้เห็นตัวหนังสือชัด ๆ

{*ชั้นอยู่ที่นี่มาได้เกือบเดือนเพิ่งจะได้พบนายท่านวันนี้เอง ตกใจหมดเลย ตอนแรกนึกว่ายักษ์แหน่ะ - -“ เคยได้ยินเค้าลือกันว่าฝรั่งตัวใหญ่กว่าคนญี่ปุ่นมาก แต่พอได้เจอจริง ๆ ตัวใหญ่กว่าที่ชั้นเคยคิดอีกแหนะ นายท่านดูเผิน ๆ เหมือนท่าทางน่ากลัวนะ แต่จริง ๆ แล้วใจดีมากเลย (ขอบคุณค่า) ^0^**}

{*และแล้วชั้นก็ได้รู้ความจริงซะทีว่าทำไมนายท่านถึงย้ายมาอยู่ญี่ปุ่น แอ่นแอ๊นน! ก็เพราะนายท่านมีภรรยาชาวญี่ปุ่นนี่เอง โธ่! นึกว่าอะไรซะอีก (ท่าทางจะกลัวเมียด้วยนะ อิอิ) ครอบครัวของท่านดีกับชั้นทุกคน เว้นแต่ตานั่น...**}

“ตานั่นใครอ๊ะ! เอย์จิคุงอ่านเร็ว ๆ หน่อยซิจ๊ะ” เรนะเริ่มอินไปกับเนื้อหาข้างใน

“อะ อื้อ” เอย์จินึกในใจว่า “นี่เรากำลังหาเบาะแสกันอยู่นะ” พอเขาพลิกหน้าถัดไปเรนะก็อ่านต่ออย่างเมามัน

{*วันนี้ชั้นทำจานของนายท่านแตกไป 3 ใบซ้อน (โดนคุณแม่บ้านดุเลย ฮือ ๆๆ TT) ฮึ! จริง ๆ แล้วเป็นความผิดชั้นซะเมื่อไหร่หล่ะ ตาขี้เก๊กนั่นต่างหากหล่ะที่ผิด แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบหาเรื่องชั้นนัก วัน ๆ ไม่ทำอะไรเที่ยวหาเรื่องคนโน้นทีคนนี้ที ถือว่าเป็นคุณชายบ้านนี้รึไง โด่ อย่าให้ถึงทีชั้นบ้างละกัน!**}

แล้วเอย์จิก็พลิกไปหน้าถัดไป {*วันนี้ก็อีกแระตาบ้านั่นจะจองเวรอะไรกันนักหนา ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำกรรมอะไรไว้ แต่ไม่เป็นไรด้วยพลังแห่งการมองโลกแง่ดี ต้องช่วยให้ชั้นพบเจอแต่สิ่งดี ๆ แน่นอน (สาธุนะคะพระผู้เป็นเจ้า^0^)**}

{*ว่าแต่ชั้นก็เริ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมเวลาอีตาคุณชายโรคจิตนั่นมา ชั้นถึงต้องแอบมองเค้าด้วยนะ (แล้วพอเหม่อทีไร ชั้นเป็นต้องทำโน่นทำนี่แตกอยู่เรื่อยเลย เฮ้อ! - -“) หรือว่าเพราะผมสีทองแปลก ๆ นั่น แต่ตานั่นก็น่าสงสารเหมือนกันนะ ที่เที่ยวทำตัวขวางโลกคงเพราะเหงานั่นแหละ บางทีเห็นหมอนั่นแอบนั่งเหงาคนเดียวแล้วก็อดสงสารไม่ได้**}

“ช่วงนี้คงไม่มีอะไรมั้ง” เอย์จิหันมาถามเรนะ

“จ๊ะ” เรนะทำหน้าแบบอดเสียดายไม่ได้ เธอคิดในใจว่า “แหม กำลังมันเลยอ๊ะ”

ทั้งคู่ช่วยกันอ่านผ่าน ๆ มาจนถึงหน้าสุดท้าย {*เอ็ดเวิร์ดที่รัก เคยมีคนบอกว่าถ้าเป็นคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน แต่เส้นทางรักของเรามันอาจจะเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ แต่ยังไงชั้นก็มีความสุขนะที่ได้พบเธอ ได้รักเธอ และชั้นยิ่งมีความสุขมากขึ้นไม่รู้เท่าไหร่ที่เธอเองก็รักชั้น เธอทำให้ชั้นรู้สึกว่าที่ชั้นเกิดมานั้น ชั้นได้รับความสุขมากเกินพอแล้ว ชั้นไม่รู้ว่าในอนาคตเราสองคนจะเป็นยังไงต่อไป แต่อยากให้รู้ว่าเธอจะเป็นคนรักคนสุดท้ายในชีวิตของชั้นตลอดไป**}

{*เอ็ดเวิร์ด...รักแรกของชั้น
มิยูกิ**}

บันทึกถูกเขียนไว้เพียงครึ่งเล่ม หน้าที่เหลือต่อจากนี้เป็นเพียงกระดาษเปล่า พออ่านจบเรนะก็ทรุดลงไปกองกับพื้นเหมือนคนหมดแรง “คุณมิยูกินี่รักคุณเอ็ดเวิร์ดมากเลยเนอะ”

“อื้อ แต่เสียดายที่ไม่มีเบาะแสที่เราต้องการเลย” เอย์จิทำหน้าผิดหวัง แต่พอเขาหันไปทางเรนะ เขาก็ร้องออกมาอย่างตกอกตกใจ “เร...เรนะ”

ผนังถ้ำที่เรนะนั่งพิงอยู่จู่ ๆ ก็มีลวดลายแปลก ๆ ปรากฏขึ้นเหนือหัวไหล่เธอ มันมีสีฟ้าสะท้อนแสงเหมือนกับเขียนด้วยหมึกชนิดพิเศษ พอเรนะเอี้ยวตัวหันไปดูลวดลายนั้นก็จางหายไป “นิ่ง ๆ นะ” เอย์จิจับตัวเธอให้อยู่นิ่ง ๆ แล้วเขาก็ชะโงกหน้าไปแถว ๆ ซอกคอเธอ

“จ...จ๊ะ” ลมหายใจอุ่น ๆ ของเอย์จิรดลงมาที่ต้นคอของเธอ ทำให้เธอนั่งตัวเกร็งใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แล้วเอย์จิก็จับแขนเรนะข้างที่ถือสร้อยไปจ่อที่ผนัง เรนะก็โอนอ่อนตามอย่างว่าง่าย แล้วลวดลายสีฟ้า ๆ ก็ปรากฏชัดขึ้นอีกครั้ง “อ๋อ! เพราะแสงจากสร้อยหน่ะเอง อ๊ะ! อ่านเป็นตัวหนังสือได้ด้วยแฮะ” แล้วเขาก็อ่านข้อความนั้นให้เรนะฟัง

{*เหล่าผู้ศรัทธาในพระบิดา พระบุตร และพระจิต จงกางมือภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้หนทางแห่งศรัทธาเปิดออก**}

“นี่คงเป็นคำใบ้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์หล่ะมั้ง ยืมหน่อยนะ” แล้วเอย์จิก็หยิบสร้อยจากมือเรนะไปส่องให้ทั่ว ๆ ผนัง พอเขาลุกไปแล้วเธอจึงค่อยหายใจโล่งขึ้นหน่อย

แล้วในที่สุดเขาก็เจอสัญลักษณ์สีฟ้าสะท้องแสงอีกแห่งนึง มันมีลักษณะเป็นเส้นตรงลากตัดกันเป็นรูปไม้กางเขนขนาดพอ ๆ กับตัวคน “ดูนี่สิ” เขาชี้ให้เรนะดู

“อ๊ะ รูปไม้กางเขนนี่จ๊ะ”

“อื้อ” เอย์จิยืนคิดอยู่ครู่นึงแล้วบอกว่า “ไม่แน่นะ” แล้วเขาก็กางแขนทาบไปบนเส้นแนวนอนของไม้กางเขน

พอทาบแล้วเอย์จิก็คลำ ๆ ตามผนัง แล้วเขาก็พบว่าผนังที่สุดปลายไม้กางเขนทั้งสองด้านดูเหมือนจะกดลงไปได้ “นี่ไง!” เขาหันมาร้องบอกเธอ เรนะเองก็ยืนลุ้นไปกับเขาด้วย

“ตรงนี้กับตรงนี้เหมือนจะกดลงไปได้นะ อึ๊บ!” เอย์จิออกแรงกดดู “เหมือนมันจะต้องกดพร้อมกันแฮะ” แล้วเขาก็ดันเข้าไปสุดแรงทั้งสองฝั่ง

ทันใดนั้นผนังหินก็บุ๋มลงไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือ แล้วก็มีเสียงดัง “ครืนนนนน” ขึ้นที่ผนังอีกฟาก พอหันไปดูก็เห็นกำแพงหินด้านนั้นเลื่อนลงเป็นช่องคล้ายประตู ข้างในมีอุโมงค์ขนาดพอ ๆ กับตู้รถไฟ

“สำเร็จแล้ว!” เรนะร้องอย่างดีใจ

“อื้อ” เอย์จิก็ยิ้มออก

แต่ทั้งคู่ดีใจได้ไม่ทันไร พอมองเข้าไปข้างในอุโมงค์ทั้งสองก็ถึงกับยืนตะลึง เพราะทางเดินที่อยู่ด้านหลังประตูกลนั้นแทนที่จะมืดสนิท กลับสว่างไสวไปด้วยแสงสีชมพู พอลองเดินเข้าไปใกล้ ๆ ต้นกำเนิดแสงนั้นดู ทั้งคู่ก็เจออะไรบางอย่างคล้ายปะการังขนาดสูงเท่าหัวเข่า แต่มันดูไม่เหมือนปะการังทั่วไปเพราะเนื้อของมันมีลักษณะเป็นผลึกใสสีชมพูคล้ายอัญมณีแบบเดียวกับจี้ห้อยคอของเรนะ เหมือนกับมีใครเอาเพชรสีชมพูก้อนเบ้อเริ่มมาแกะสลักเป็นปะการังมากกว่า

ด้วยความสงสัยเรนะเลยทำท่าจะเอื้อมไปแตะต้นไม้คริสตัลนั้นดู “เดี๋ยวก่อน!” เอย์จิรีบห้ามเพราะกลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ

แต่เรนะกลับหันมายิ้มให้เขา “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ” เธอรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่มีอันตรายใด ๆ

พอเรนะลองจับ ๆ ดูก็หันมาถามเอย์จิว่า “เอย์จิคุงคิดว่านี่ใช่ต้นไม้รึเปล่าจ๊ะ แต่มันสวยอย่างกับเพชรเลยเนอะ”

“หรือว่าเป็นต้นไม้แกะสลัก” เอย์จิลองเอามือไปแตะ ๆ บ้าง “ของจริงแฮะ!?!” สัมผัสนุ่มนิด ๆ ที่เขารู้สึกบอกได้อย่างชัดเจนว่านี่ไม่ใช่อัญมณี แต่มันแค่ดูแข็ง ๆ ใส ๆ คล้ายอัญมณีเท่านั้น

“ชั้นว่ามันไม่เหมือนต้นไม้นะ มันดูคล้ายปะการังมากกว่า”

เรนะฟังแล้วก็หัวเราะคิก ๆ เอย์จิเลยถามว่า “ขำอะไรเหรอ”

“ก็เอย์จิคุงอะบอกว่าเป็นปะการัง นี่เราไม่ได้อยู่ใต้ทะเลนะจ๊ะ”

“ชั้นก็แค่เดาไปตามที่เห็นเท่านั้นเอง เชอะ!” แล้วเอย์จิก็ทำท่างอนใส่เธอ

ทันใดนั้นเขาก็เห็นภาพที่ไม่เข้าใจอีกครั้ง ภาพตัวเขากำลังนั่งคร่อมตัวเรนะอยู่ในห้องแล็บวิทยาศาสตร์ มือข้างหนึ่งกุมอยู่ที่หน้าอกของเธอ แล้วเรนะก็ร้องกรี๊ดตบหน้าเขาแล้ววิ่งหนีออกไป

เอย์จิมัวแต่เหม่อเพราะเห็นภาพในอดีต แต่เรนะนึกว่าเขาโกรธ เพราะเห็นเขายืนนิ่งไม่พูดไม่จา เธอเลยบอกว่า “ขอโทษจ้า ๆ อย่างอนน้าาา อ๊ะแต่ช้าแต่ ๆ ” เธอเอามือไปแกว่ง ๆ หมุน ๆ แถวหน้าเขา เอย์จิเลยสะดุ้งรู้สึกตัว

“ว่า ว่าไงนะ!” เขาทำหน้าเลิ่กลั่ก

“อ้าวแหม นึกว่าโกรธเค้าซะอีก”

“เอ๋ เอ่อ!?!” เอย์จิยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ว้า! รู้งี้ไม่น่าง้อให้เสียเที่ยวเลย ชิ” แล้วเรนะก็แกล้งทำเป็นงอนเดินสะบัดก้นหนีไป

“เอ่อ เอ่อ...ขอโทษนะ” เอย์จิทำหน้าสำนึกผิด (ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้สาเหตุ) ตอนนี้เขาตกหลุมพรางของเธอโดนเธอต้มซะเปื่อย

แล้วเรนะที่เดินนำหน้าไปก็แอบอมยิ้มแลบลิ้นทำหน้าเจ้าเล่ห์โดยไม่ให้เขาเห็น “ว่าแต่ในนี้อุ่นจังเลยเนอะ ไม่เห็นเหมือนข้างนอกเลย”

เอย์จิเลยลองเอามือไปอัง ๆ แสงสีชมพูที่ส่องออกมาดู “คงเพราะต้นไม้นี้หล่ะมั้ง แสงมันอุ่น ๆ อยู่นะ”

“แปลกดีเนอะ เป็นทั้งต้นไม้ส่องแสงแถมยังเป็นเครื่องทำความร้อนได้อีก” แล้วเรนะก็หันมายิ้มอย่างน่ารักใส่เขา

“อื้อ จะเรียกว่ามหัศจรรย์ก็ยังได้เลยมั้ง” เอย์จิตอบโดยทำเป็นหันมองไปทางอื่น

ต้นไม้ประหลาดงอกอยู่เป็นระยะ ๆ ตลอดทางที่ทั้งสองเดินไป ทำให้ภายในถ้ำสว่างไสวคล้ายกับมีหลอดนีออนติดอยู่ อุโมงค์ที่เอย์จิกับเรนะเดินไปก็ค่อย ๆ กว้างขึ้นเรื่อย ๆ พื้นถ้ำก็เรียบจนเดินง่ายขึ้น ไม่ค่อยมีหินตะปุ่มตะป่ำ ทั้งสองเดินไปจนไปเจออะไรบางอย่างตั้งตระหง่านขวางทางอยู่

“เอย์จิคุง นี่มัน”

“อื้อ”

สิ่งที่ขวางทางทั้งสองอยู่ก็คือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่คล้ายซุ้มประตูที่สร้างครอบอุโมงค์เอาไว้ ตรงทางเข้ามีประตูไม้บานใหญ่ปิดอยู่ มันดูเหมือนซากปรักหักพังของโบราณสถานอะไรซักอย่าง “ดูนั่นสิ” เอย์จิชี้ไปที่สัญลักษณ์รูปไม้กางเขนบนยอดซุ้ม “นี่คงเป็นโบสถ์หล่ะมั้ง”

“แล้วทำไมถึงมาสร้างไว้ใต้ดินแบบนี้หล่ะจ๊ะ” เรนะทำหน้าสงสัย แต่พอเธอฉุกใจคิดออกก็พูดว่า “หรือว่าจะเป็น…”

“อื้อ ก็คงจะสร้างในสมัยนั้นแหละ” **

** (หมายเหตุ ในศตวรรษที่ 16 ญี่ปุ่นได้สั่งห้ามประชาชนนับถือศาสนาคริสต์และสั่งกวาดล้างกลุ่มผู้เผยแพร่ศาสนา เป็นเหตุให้กลุ่มคริสต์ชนต้องลี้ภัยไปแฝงเร้นตามป่าเขาหรือที่ ๆ ห่างไกลจากตัวเมือง)

“ลองเปิดดูนะ” แล้วเอย์จิก็ผลักประตูเข้าไป

พอเห็นภาพข้างในเรนะก็ร้องอุทานออกมา “โอโห สวยจังงงงง”

“สุดยอดเลย!” เอย์ก็ตะลึงไม่แพ้เธอ

ข้างในซุ้มประตูเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยปะการังสีชมพูนับไม่ถ้วน อากาศภายในห้องก็อบอุ่นจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ใต้ดิน บนผนังฝั่งตรงข้ามมีรอยแยกตามธรรมชาติของหินเป็นรูปไม้กางเขนกว้างกว่า 10 เมตร ในร่องหินมีแสงสีชมพูส่องออกมาจนดูเหมือนกับไม้กางเขนของพระผู้เป็นเจ้า

“เอย์จิคุงดูนั่นสิ!!!” เรนะชี้ไปแท่นหินรูปสี่เหลี่ยมที่อยู่ใต้ไม้กางเขน บนแท่นมีร่างเด็กสาวผิวขาวนอนสลบอยู่

“เรกะ!!!”

ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปหาเธอทันที แต่พอเข้าไปใกล้ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงละเมองึมงำ ๆ ว่า “พอแล้วเรนะ พี่กินไม่ไหวแล้ว” แล้วเธอก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“พี่นี่หล่ะก็!” เรนะเห็นแล้วก็อายแทน

“หลับสบายเชียวนะ”

“พี่คะ ๆ” เรนะสะกิดพี่สาวแต่เธอก็ไม่ยอมตื่น

“อื้มมม ไม่เอาาา อิ่มแล้ววว” แล้วเรกะก็พลิกตัวหันกลับมา โดยที่ขาเธอไปพาดอยู่ที่ไหล่เอย์จิ ส่วนแขนก็ไปพาดอยู่ที่คอเรนะ ทำให้หัวของทั้งคู่ถูกกดลงจนแก้มแนบติดกัน พอทั้งคู่เหลือบมองตากันก็อายหน้าแดง จึงรีบผละออกจากกันทันที

เอย์จิเห็นเธอขี้เซานักเลยเขย่าตัวเธออย่างไม่เกรงใจ “นี่ ๆ ตื่นได้แล้ว!!!”

“เบา ๆ หน่อยซิจ๊ะเอย์จิคุง” เรนะกลัวพี่สาวเธอช้ำ

แล้วเรกะก็รู้สึกตัว “อื้มมมมม หลับสบายจัง” เธอบิดขี้เกียจราวนอนอยู่บนเตียง พอลุกขึ้นมาเห็นเอย์จิเธอก็พูดว่า “อ้าวเอย์จิคุงเข้ามาได้ไงนี่มันห้องผู้หญิงนะ” เธอยังหลงคิดว่าตัวเองนอนอยู่ในบ้านป้าโทยามะ

“นี่เธอ! เมาขี้ตาอยู่รึไง ดูให้ดีเซ่!!!”

“ไรยะ ทำไมต้องดุด้วย” เรกะโวยกลับพลางเอามือขยี้ตา พอเธอหายงัวเงียเธอก็ร้องเสียงดังว่า “ที่นี่ที่ไหนหน่ะ!?!”

“พี่คะ” เรนะที่ยืนอยู่ข้างหลังเอย์จิก้าวเข้ามาหาพี่สาว

“เรนะ! เธอมาอยู่นี่ได้ไง!?!”

“พี่คะ คือมันมีเรื่อง...” เรนะอ้ำอึ้งไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไง

“ช่วงที่เธอหลับไปเกิดเรื่องขึ้นเยอะเลยรู้มั้ย” เอย์จิช่วยเริ่มให้

“เมื่อคืนมีอะไรกันเหรอ” เรกะยังเข้าใจผิดคิดว่าเพิ่งผ่านไปคืนเดียว

“ลงมาก่อนเถอะ” แล้วเอย์จิกับเรนะก็ช่วยกันประคองเธอลงมาจากแท่น

พอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เรกะฟัง เธอก็มองทั้งคู่แล้วทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “พวกเธอไม่ได้มารวมหัวมาอำชั้นนะ” เธอจ้องตาทั้งคู่เพื่อจับผิด ทั้งสองก็พยักหน้าหงึก ๆ

“ดูนี่สิคะพี่!”

เรนะทำท่าจะเดินไปชี้ให้ดูปะการังสีชมพูที่อยู่รอบ ๆ แต่เรกะก็เข้าไปกอดน้องสาวแล้วบอกว่า “ล้อเล่นน่า พี่ก็ต้องเชื่อเธออยู่แล้วสิ ถ้าไม่เชื่อเธอแล้วพี่จะเชื่อใครหล่ะ”

“แล้วเมื่อกี้ใครนะที่ทำหน้าไม่เชื่ออยู่แหมบ ๆ” เอย์จิกัดเธอ

“ยุ่งน่า!” แล้วเรกะก็หันมาแลบลิ้นใส่เขาอย่างน่ารักปนยียวน

“แล้วเราจะเอาไงกันต่อหล่ะ” เรกะถาม

“ก่อนอื่นชั้นว่าพวกเราออกจากที่นี่ก่อนดีกว่า แล้วไปตามหาคนอื่น ๆ กัน” เอย์จิตอบ

“จ๊ะ ชั้นก็เป็นห่วงพวกคูมิจังเหมือนกัน”

“อื้อ งั้นก็ตามนี้ละกัน” เรกะสรุป แล้วทั้งสามก็พากันย้อนกลับไปที่ปากถ้ำ

พอเดินย้อนกลับมาผ่านประตูกลไก บรรยากาศในถ้ำก็กลับมาหนาวและมืดอีกครั้ง เอย์จิเลยควักสร้อยออกมาใช้ส่องนำทาง ทว่าเรกะที่สวมแค่ชุดนอนก็เริ่มหนาวจนตัวสั่น เรนะเห็นพี่สาวท่าทางไม่ดี จึงถอดเสื้อกันหนาวของเอย์จิที่เธอสวมอยู่แล้วส่งให้ “นี่ค่ะพี่”

“อ้าว! แล้วเธอหล่ะ”

“หนูมีอีกตัวค่ะนี่ไง” เรนะเอามือจับ ๆ เสื้อกันหนาวตัวในให้พี่ดู

“เหรอ ขอบใจนะ” พอเรกะสวมเสื้อที่ได้มาแล้วเธอก็ถามน้องสาวว่า “แล้วทำไมเธอมีสองตัวหล่ะ”

เรนะได้แต่ อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เธอไม่กล้าบอกพี่สาวว่าเสื้อตัวนั้นเป็นของเอย์จิ แต่พอเรกะเห็นเขาไม่ได้สวมเสื้อกันหนาว เธอก็รู้ทันทีว่าเอย์จิให้เสื้อน้องสาวเธอยืมใส่กันหนาว

“พี่ไม่เป็นไรหรอก เธอเอาคืนไปเถอะ” เรกะรีบถอดเสื้อคืนให้น้องสาวทันที

แต่เรนะเอามือไปรั้งชายเสื้อไว้ไม่ให้พี่สาวถอดออก “ใส่ไว้เถอะค่ะพี่”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่หนาวซะหน่อย เธอเอาคืนไปเถอะ”

“แต่ว่า...” เรนะได้แต่ทำหน้าลำบากใจกับความดื้อรั้นของพี่สาว

เอย์จิเลยบอกเธอว่า “ใส่ไว้เถอะอย่าเรื่องมากนักเลย ถ้าไม่สบายขึ้นมาแล้วจะลำบากคนอื่นเค้าเปล่า ๆ”

พอเรกะได้ฟังก็ฉุนกึ้กขึ้นทันที เธอทำหน้าหงิกแล้วก็บ่นอุบอิบ ๆ ไปตลอดทาง เรนะเลยแอบหันไปยิ้มให้เอย์จิแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ขอโทษนะจ๊ะ”

เอย์จิก็ยิ้มตอบว่า “ไม่เป็นไร”

พอทั้งสามใกล้จะถึงปากถ้ำ เอย์จิก็เหลือบไปเห็นตรงจุดที่เรนะเหยียบตะไคร่ล้ม แล้วเขาก็นึกถึงไปตอนที่เรนะนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา แต่พอเรกะเดินมาถึงตรงจุดนั้น เธอก็เผลอเหยียบแล้วลื่นล้มแบบเดียวกับน้องสาวฝาแฝดไม่มีผิด “ว้ายยยยยย!!!”

เอย์จิที่เดินนำหน้าอยู่พอได้ยินเสียงร้องก็รีบหันกลับมา แล้วก็เห็นเรกะกำลังล้มคะมำพุ่งเข้ามาหา ด้วยความตกใจเขาจึงรีบยกมือขึ้นจับเธอไว้ สร้อยคอที่ถืออยู่จึงหล่นลงพื้นแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสงที่ส่องนำทางทุกคนอยู่จึงวูบดับลงเหลือแต่เกล็ดเรืองแสงสีชมพูกระจายอยู่บนพื้นเท่านั้น

“ขอโทษนะ” เรกะขอโทษทุกคนที่เป็นต้นเหตุให้สร้อยหล่นแตก

“พี่เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

“พี่ไม่เป็นไรหรอก ขอโทษนะ” เรกะขอโทษอีกครั้งแล้วกุมมือน้องสาวไว้

“ชั้นผิดเองแหละ ที่ไม่ถือไว้ให้ดี” เอย์จิออกรับแทน

“ไม่หรอกถ้าชั้นไม่ซุ่มซ่ามนายก็คงไม่ทำหล่น” เรกะยังดื้อไม่ยอมเขา

“ไม่หรอกเป็นเพราะชั้น...” แต่เอย์จิก็ไม่ยอมเธอเหมือนกัน

“นี่นาย!!!” เรกะเริ่มขึ้นเสียง

“ใจเย็น ๆ ค่ะพี่”

“เรนะ! นี่เธอเข้าข้างใครกันแน่”

เรนะเลยได้แต่ทำหน้าหงอย ๆ “เปล่าค่ะพี่ คือหนูแค่…”

ระหว่างที่เถียงกันอยู่นั้นเกล็ดสีชมพูที่เรืองแสงอยู่บนพื้นก็ค่อย ๆ หรี่ลงจนดับสนิท ทันใดนั้นในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่งก็เบิกโพลงขึ้น!!! “อยู่นั่นเองเรอะ!!!” เสียงของมันกึกก้องราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้าย แล้วทั้งถ้ำก็สั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว

ทั้งสามคนต่างก็หกล้มหัวคะมำไปตามแรงสั่นสะเทือน ฝุ่นและเศษหินก็ร่วงกราวลงมาราวกับถ้ำกำลังจะพัง ทันใดนั้นหินที่ปากถ้ำก็ถล่มลงมาปิดทางออกไว้ แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามารำไรก็ค่อย ๆ ถูกบดบังจนมืดสนิท แต่ถ้ำก็ยังไม่หยุดสั่น ผนังส่วนที่ลึกเข้ามาก็เริ่มถล่มลงมาเรื่อย ๆ

“หนีเร็วววว!” เอย์จิเห็นท่าไม่ดีจึงรีบฉุดมือสองสาวแล้วพาวิ่งหนีกลับลงไปข้างล่าง แต่ผนังถ้ำก็ถล่มไล่พวกเขาลงมาอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนจะหนีไม่พ้น

ทั้งสามคนวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตไปจนเกือบจะสุดทางลาด พอเอย์จิหันกลับไปดูก็เห็นก้อนหินถล่มกลิ้งตามพวกเขามาติด ๆ “ไม่ทันแน่!” เอย์จิพูดด้วยสีหน้าเครียดจัด

“เอย์จิคุง!!!” เรนะร้องเรียกเขา

“ทำไงดี!!!” เรกะเองก็เครียดไม่แพ้กัน

แล้วเอย์จิก็ตัดสินใจฉุดแขนทั้งคู่กระโจนจากทางลาดไปที่ประตูกล แต่ประตูอยู่ไกลเกินไป ทั้งสามจึงกลิ้งโค่โร่คลุกฝุ่นคลุกดินจนถลอกไปทั้งตัว พอเกือบจะถึงปากประตูเอย์จิก็ฉุดพวกเธอพุ่งผ่านประตูไปได้ทันก่อนที่หินจะถล่มลงมาทับอย่างฉิวเฉียด

แล้วแผ่นดินไหวก็หยุดลง ตอนนี้ทางออกถูกหินถล่มจนไปต่อไม่ได้ แต่ละคนได้แต่นั่งหายใจหอบอยู่กับพื้น พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วพอหายเหนื่อยเอย์จิก็ลองเอามือไปผลัก ๆ หินที่ปิดทางออกดูแต่ก็ไม่เขยื้อนเลย

“ไม่ขยับเลย” เอย์จิหันไปบอกสองพี่น้อง

“ไหนชั้นลองมั่ง” แล้วเรกะก็ลุกขึ้นมาช่วยผลักแต่ก็ไม่เขยื้อนเหมือนเดิม

“คงออกทางนี้ไม่ได้แล้วหล่ะมั้ง” เอย์จิบอกทั้งคู่

“งั้นเราลองหาทางอื่นดูดีมั้ย ไม่แน่อาจจะมีทางออกอื่นอีกก็ได้นะจ๊ะ” เรนะมองโลกแง่ดี

“อื้อ ก็ไม่มีทางเลือกแล้วนี่” เอย์จิตอบแล้วทั้งสามคนก็เดินกลับเข้าไปในถ้ำ

พวกเขาช่วยกันหาทางออก แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย ทั้งสามเดินหาจนกระทั่งกลับมาทถึงโบสถ์ “เอาไงต่อดีหล่ะ” เรกะถาม

“บอกตามตรงชั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน” เอย์จิตอบแบบสิ้นหวัง

“อย่าเพิ่งท้อสิจ๊ะ” เรนะปลอบใจเขา แต่เอย์จิก็ได้แต่ทำหน้าหงอย ๆ ขอบใจเธอ

“ว่าแต่ถ้ำมันมาตันแค่ตรงนี้เองเหรอ” เรกะพูดแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง

“จริง ๆ ถ้าจะมีจุดที่น่าสงสัยก็คงตรงไม้กางเขนโน่นหล่ะมั้ง” เอย์จิชี้ไปที่กำแพงที่มีรอยแตกรูปไม้กางเขน

“นั่นสิ ลองไปดูมะเผื่อจะมีทาง” เรกะชวน

“งั้นรออยู่นี่นะ เดี๋ยวชั้นไปดูให้”

“ระวังตัวนะจ๊ะ”

เอย์จิค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนรอยแยกแล้วยื่นหัวชะโงกเข้าไป “โอโหหหห!”

“เป็นไงบ้าง” เรกะยืนลุ้นอยู่ข้าง ๆ น้องสาว

“มีไอ้ต้นสีชมพูนี่เยอะเลย”

“แล้วมีทางออกมะ”

“เดี๋ยวนะ” แล้วเอย์จิก็แทรกตัวเข้าไปในร่องนั้น เขามองสำรวจไปรอบ ๆ แล้วตอบด้วยความผิดหวังว่า “ไม่มีอะ เป็นโพลงแคบ ๆ แค่นั้นเอง”

“ว้าาา เสียดายจัง” เรนะทำหน้าผิดหวังด้วยอีกคน ส่วนเรกะก็นั่งจ๋องลงกับพื้น

ทั้งสามคนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่พักนึง แล้วเอย์จิก็บอกว่า “อย่างน้อยในห้องนี้ก็ยังอุ่นแหละ แถมมีอากาศหายใจด้วย”

“แต่พวกเราจะอดตายเอาหน่ะสิ” เรกะตอบ

“ว้าาา! ถ้ามีประตูลับแบบตรงนั้นก็ดีสิเนอะ” เรนะพูดลอย ๆ ขึ้นมา แต่ก็ทำให้เอย์จิฉุกใจคิดขึ้นได้

“จริงด้วย!” เขาทำตาโต

“ประตูลับอะไรเหรอ” เรกะตามทั้งสองไม่ทัน

“ตรงที่เราเข้ามาเมื่อกี๊เป็นประตูลับหน่ะค่ะพี่” แล้วเรนะก็เล่าให้พี่สาวฟัง

“จริง ๆ แล้วความเป็นไปได้ก็ไม่ใช่ศูนย์ซะทีเดียวนะ ลองคิดดูสิที่นี่เป็นโบสถ์ของพวกที่หลบหนีทางการใช่มะ ขนาดทางเข้ายังต้องมีกลไกเลย ถ้าจะทำทางออกลับ ๆ ไว้หนี มันก็ไม่แปลกอะไรไม่ใช่เหรอ”

“สมมุติถ้ามันมีจริง แล้วพวกเราจะหาเจอได้ไงหล่ะ” เรกะสงสัย

“ก็อาจจะเอาหินมาส่องเหมือนเมื่อตอนเข้ามาก็ได้มั้ง…”

เอย์จิยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงดัง “โครมมมมมม!” เกิดขึ้น ทั้งสามก็สะดุ้งพรวดเผลอกอดกันกลมโดยไม่รู้ตัว พอหันไปดูก็เห็นกำแพงโบสถ์ฝั่งนึงถล่มลงมากลายเป็นช่องขนาดเท่าประตู

“เอ่อ นี่ใช่ทางลับที่เรากำลังหาอยู่รึเปล่า!?!” เรกะทำหน้างง ๆ คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน

“แล้วอยู่ ๆ มันพังลงมาได้ไงอะ” เอย์จิไม่เข้าใจ

“เอ่อ ก่อนอื่นปล่อยพวกเราก่อนดีมั้ยจ๊ะ” เรนะเตือนสติเขาว่ากำลังกอดพวกเธออยู่นะ พอเอย์จิกับเรกะรู้สึกตัวก็อายหน้าแดงแล้วรีบถอยห่างออกจากกันทันที

“ไม่แน่นะจ๊ะสวรรค์อาจจะเมตตาพวกเราก็ได้ ก็ที่นี่เป็นโบสถ์นี่เนอะ”

“นั่นสิ ยังไงพวกเราก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้วนี่” เอย์จิตอบ

แล้วทั้งสามคนก็เดินเข้าอุโมงค์ลับนั้นไป เอย์จิหักกิ่งของปะการังมา 3 กิ่งแบ่งให้พวกเธอถือ พอเดินไปได้ซักพักเรนะก็หันมองที่พื้นแล้วพูดว่า “แปลกจัง”

“อะไรเหรอ” เรกะหันมาถาม

“ดูนั่นสิคะต้นไม้แบบเดียวกับเมื่อกี๊เลย” เรนะชี้ให้ดูปะการังแบบเดียวกับในโบสถ์ แต่ต้นนี้มีสีดำสนิทราวกับแสงของมันดับไป

“มันอาจจะตายแล้วหล่ะมั้ง” เรกะเดา

“อืม ก็มันเป็นต้นไม้นี่นะ” เอย์จิเห็นด้วย

แต่พอเดินต่อไปทั้งสามก็ต้องหยุดชะงัก เพราะข้างหน้ามีปะการังขึ้นหลายสิบต้นก็จริง แต่ไม่มีต้นไหนส่องแสงสีชมพูเลย ทุกต้นล้วนแต่มีสีดำสนิท “พวกนี้ตายหมดเลยเหรอ” เรกะเริ่มสงสัย

เอย์จิเองก็เริ่มสังหรณ์ไม่ดี เขารีบหันไปบอกสองพี่น้องว่า “พวกเรารีบไปกันเถอะ”

ความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นทำให้เขาคิดในใจว่า “อย่างกับพวกเราถูกล่อให้มาติดกับยังงั้นแหละ!?!” แล้วเขาก็เร่งฝีเท้านำพวกสาว ๆ ไป

ทันใดนั้นเรนะก็ร้องบอกทุกคนว่า “พี่คะ เอย์จิคุง!?!”

“มีอะไรเหรอ” เรกะรีบหันกลับมาถาม

“ดูนี่สิคะ” เรนะชูให้ดูกิ่งปะการังสีชมพูในมือเธอ แสงที่ส่องออกมาค่อย ๆ หรี่ลงเรื่อย ๆ จนดับสนิท แล้วมันก็กลายเป็นแท่งสีดำเหมือนกับพวกปะการังที่เจอเมื่อกี๊

“ทิ้งไปเร็ว!” เอย์จิรีบปัดมันให้หล่นจากมือเธอ

“ทำไมอะ” เรกะไม่เข้าใจ

“ท่าจะไม่ดีแล้ว วิ่งเถอะ!!!” พอเอย์จิบอกให้ทุกคนวิ่ง กิ่งไม้สีชมพูในมือเขาและเรกะก็ดับแสงไปทันที ทำให้ตอนนี้ในถ้ำมืดสนิท

เอย์จิรีบดึงสองสาวเข้ามาแล้วกอดแขนพวกเธอไว้ “อย่าอยู่ห่างกันนะ”

“เอย์จิคุง!?!” เรนะทำหน้ากังวล

“ไม่รู้สิ ชั้นสังหรใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้” พอเอย์จิพูดจบพื้นที่พวกเขายืนอยู่ก็ถล่มลงไป

“ว๊ายยยยยยย” ทั้งเรกะกับเรนะร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน

“ระวังงงง!!!” เอย์จิกอดสองสาวไว้แน่นแล้วทั้งสามก็หล่นลงไปด้วยกัน

ในความมืดเรนะค่อย ๆ รู้สึกตัวลืมตาขึ้น “อูยยยเจ็บจัง พี่เป็นไงบ้างคะ” เธอคิดว่าพี่สาวอยู่ตรงนั้น แต่พอดูให้ดีก็พบว่ามีแค่เธออยู่เพียงลำพัง “พี่คะ! เอย์จิคุง!” เธอพยายามเอามือควานหาดูว่าทั้งคู่อยู่แถว ๆ นี้รึเปล่า แต่ก็ไม่เจอใครเลย

“พี่คะะะ ได้ยินหนูมั้ยยยย เอย์จิคุงงงงง” เรนะเริ่มใจเสีย เธอร้องเรียกอย่างกระวนกระวายใจ แต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา และแล้วเธอก็เริ่มมีน้ำตาคลอ

“เรนะตื่นแล้วเหรอ!?!” จู่ ๆ ก็มีใครบางคนเรียกเธอ พอหันไปดูก็เห็นเอย์จิยืนถือกิ่งปะการังสีชมพูอยู่ข้าง ๆ เรกะ โดยที่ทั้งคู่ยืนกุมมือกันอยู่!?!

“พี่ไปเดินสำรวจกับเอย์จิคุงมาหน่ะ เห็นเธอหลับอยู่เลยไม่อยากปลุก” เรกะตอบเหมือนแก้ตัว แล้วเธอก็หันไปยิ้มให้เอย์จินิด ๆ เอย์จิเองก็หันมายิ้มตอบเธอ

สายตาที่ทั้งสองมองกันทำให้เรนะรู้สึกแปลก ๆ ในอกพิกล แต่เธอก็ไม่อยากคิดอะไรมาก “ขอบคุณค่ะพี่ แล้วเจออะไรบ้างมั้ย”

เรกะยิ้มให้แล้วตอบว่า “ข่าวดีจ๊ะ!”

“เราเจอทางที่คิดว่าน่าจะออกไปจากที่นี่ได้หน่ะ” เอย์จิบอก

“ดีจัง!” เรนะเลยยิ้มออก

“อื้อ ตามพวกเรามาสิ” แล้วเอย์จิกับเรกะก็จูงมือกันเดินนำเธอไป

ระหว่างที่ตามทั้งสองคนไปนั้น เอย์จิก็หันมายิ้มหวานมองเรกะแล้วเอามือไปเขี่ยบริเวณไรผมสีทองด้านหลังเธอ “ทำอะไรหน่ะ” เรกะกึ่งปฏิเสธกึ่งเอียงอาย

“ก็ผมเธอสวยดีนี่” เอย์จิตอบอย่างไม่ปิดปัง

“บ้า!” เรกะว่าเขาแล้วแอบกระซิบเหมือนจะไม่ให้เรนะได้ยินว่า “เรนะมองอยู่นะ”

เอย์จิก็กระซิบตอบว่า “ไม่เห็นเป็นไรนี่”

แต่เรนะได้ยินทุกอย่าง ๆ ชัดเจน เธอรู้สึกแปลก ๆ ในอกอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างปนอยู่ด้วย เป็นความรู้สึกด้านลบที่เธอเคยเป็นตอนไปนอนค้างบ้านคูมิยะ แล้วเธอก็ค่อย ๆ เดินช้าลงจนเริ่มออกห่างจากพี่สาวไปทุกที แต่แล้วเรกะก็หันมาบอกว่า “เป็นอะไรไป รีบเดินสิ มัวแต่ชักช้าอยู่เดี๋ยวก็ทิ้งไว้หรอก!!!”

เรนะแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าพี่สาวฝาแฝดจะพูดกับเธอแบบนี้ แต่แล้วเรกะก็วิ่งเข้ามาหาแล้วบอกว่า “ล้อเล่นจ้า ใครจะทิ้งน้องสาวสุดที่รักได้ลงหล่ะ” แล้วเธอก็จูงมือเรนะรีบวิ่งไปหาเอย์จิ เรนะเองก็ได้แต่ปล่อยให้พี่สาวเธอลากไปราวกับไม่มีชีวิต

ขณะเดียวกันในถ้ำอีกบริเวณหนึ่งก็มีเสียงเด็กสาวร้องขึ้นว่า “โอ๊ยยย เจ็บจัง เรนะ เอย์จิคุงเป็นไงมั่ง” เด็กสาวค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น เธอรู้สึกปวดไปหมดทั้งตัว พอเธอเห็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ข้าง ๆ จึงถามว่า “เรนะเป็นไงมั่ง เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

แต่พอเธอมองดูชัด ๆ เธอก็ร้องลั่นถ้ำ “กรี๊ดดดดดดดดดดด” เพราะเงาที่เธอคิดว่าเป็นน้องสาวจริง ๆ แล้วเป็นโครงกระดูกที่มีหยากไย่เกาะอยู่เต็มไปหมด “เอย์จิคุง! เรนะ!” เธอรีบถอยห่างออกมาแล้วเรียกหาทั้งสองคน

ทันใดนั้นก็มีมืออุ่น ๆ เข้ามากุมมือเธอไว้ “ไม่ต้องตกใจ ชั้นเอง” พอหันไปมองก็เห็นเอย์จิยืนอยู่

“เอย์จิคุง!” เรกะเห็นหน้าเขาเลยค่อยหายตกใจ “นายหายไปไหนมา แล้วเรนะหล่ะ”

“หลับอยู่บนหลังชั้นนี่ไง”

พอเรกะแหงนมองก็เห็นน้องสาวเธอหลับซบอยู่บนบ่าเอย์จิ “เกิดอะไรขึ้นหน่ะ”

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก แค่ชั้นกับเรนะออกสำรวจหาทางออกแล้วเค้าเหนื่อยมากเลยเผลอหลับไปนะ”

“อ้าว นี่นายตื่นตั้งนานแล้วเหรอ”

“อื้อ เห็นเธอหลับอยู่เลยไม่อยากปลุกหน่ะ”

“ตาบ้า! ทีหลังห้ามทิ้งชั้นไว้คนเดียวอีกนะ”

“อื้มมม” แล้วเรนะก็ครางนิด ๆ ก่อนจะรู้สึกตัวตื่น

“เป็นไงมั่งหลับสบายมั้ย” เอย์จิหันไปยิ้มถาม

“จ๊ะอย่างกะนอนอยู่ในบ้านเลยหล่ะ อิอิ” เรนะยิ้มตอบแต่ก็ยังเอาหน้าซบอยู่บนไหล่เขา “อ้าวพี่คะ! ตื่นแล้วเหรอ” เธอทำเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเรกะนั่งอยู่ตรงนั้น

“อื้อ เป็นไงบ้าง” เรกะถามห้วน ๆ

“อะไรคะ” เรนะทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องอยู่บนไหล่เอย์จิ

เรกะเริ่มรู้สึกหงุดหงิดแบบไม่เข้าใจตัวเอง “ก็พวกเธอไปทำอะไรมาหล่ะ”

“พวกชั้น!?! อ๋อที่ว่าไปสำรวจใช่มะ” เอย์จิแกล้งทำเป็นซื่อ

“โธ่! นึกว่าเรื่องอะไร ข่าวดีค่ะพี่ พวกเราไปเจอที่ ๆ คิดว่าน่าจะเป็นทางออกหล่ะค่ะ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ พวกเราเลยกลับมาพาเธอไปไง” เอย์จิตอบ

“อ๊ะ เอย์จิคุงขอชั้นลงเถอะจ๊ะ” เรนะทำท่าเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเธอกอดหลังเอย์จิอยู่

“ไหวแล้วเหรอ” เอย์จิถามด้วยความเป็นห่วง

“จ๊ะ ก็เอย์จิคุงช่วยแบบเค้ามาตั้งนานแล้วนี่” เรนะทำหน้าตาน่ารักตอบแบบอาย ๆ แล้วกระซิบที่หูเขาเบา ๆ ว่า “แถมเมื่อกี๊เค้าหลับฝันดีด้วยนะ” ถึงแม้เรนะจะกระซิบเบา ๆ แต่ด้วยความที่ถ้ำนี้เงียบสนิท เรกะจึงได้ยินอย่างชัดเจน แล้วเอย์จิก็ค่อย ๆ เอามือช้อนก้นเธอให้ลงยืนอย่างนุ่มนวล

“อะ ๆๆ ไปกันได้รึยัง” เรกะลุกขึ้นแล้วทำน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

“อื้อ ตามมาทางนี้เลย” แล้วเอย์จิก็หยิบกิ่งปะการังสีชมพูขึ้นมาส่องทาง ส่วนอีกมือก็จูงเรนะเดินไปด้วยกัน ทั้งสองเดินนำไปโดยไม่สนใจเรกะราวกับเธอไม่มีตัวตน

“รอด้วยซี่” เรกะรีบตามทั้งคู่ไป

แล้วเรนะก็หันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เธอพร้อมพูดว่า “ถ้าชักช้าเดี๋ยวทิ้งซะเลยนะคะ อิอิ” ถึงคำพูดนั้นจะฟังดูเหมือนล้อเล่น แต่มันก็ทำให้เรกะรู้สึกไม่ดีแบบบอกไม่ถูก

ตลอดทางทั้งคู่หันมายิ้มมองกันแล้วหัวร่อต่อกระซิก โดยไม่สนใจเรกะที่เดินตามหลังมาเลย ตอนที่เรกะกำลังหงุดหงิดอยู่นั้น เอย์จิก็เอามือไปลูบ ๆ บนแก้มของเรนะเบา ๆ

“เอย์จิคุงทำอะไรเค้าอ๊ะ” เรนะตอบแบบอาย ๆ เธอทำท่าเหมือนจะเบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่ได้หันหนีไปไหน

“แก้มเธอเปื้อนหน่ะ” เอย์จิตอบอย่างสุภาพนุ่มนวล พอเช็ดรอยเปื้อนบนแก้มเธอเสร็จ เขาก็ลูบผมเธออย่างแผ่วเบา แล้วทั้งสองก็นิ่งสบตากันจนแก้มของทั้งคู่กลายเป็นสีชมพู เรกะที่ได้แต่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ก็เริ่มรู้สึกทั้งปวดทั้งแปลก ๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก

ทางด้านเรนะที่เดินตามเอย์จิกับเรกะตัวปลอมไป พอเห็นทั้งสองกะหนุงกะหนิงกันราวกับเป็นคู่รัก เธอก็ค่อย ๆ เดินทิ้งระยะห่างออกมาเพราะไม่อยากเห็นภาพที่ทำให้ต้องรู้สึกแปลก ๆ ในอก แต่พอรู้ตัวอีกทีเธอก็ถูกทิ้งให้อยู่ในความมืดโดยไม่มีใครใยดี

พอตามไปจนทันเรนะก็เห็นทั้งคู่ยืนกอดจูบกันอยู่ เธอตกใจจนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก พอเรกะกับเอย์จิรู้ตัวว่าเธอมาถึง ทั้งสองก็ค่อย ๆ ผละออกจากกัน “อ้าวมาแล้วเหรอ นี่พี่กะว่าถ้ายังไม่มาจะวิ่งกลับไปดูอยู่แล้วเชียว” เรกะทำหน้าเหมือนเป็นห่วง

แล้วเอย์จิก็บอกว่า “ตรงนี้ไงทางออก”

เรนะที่กำลังสับสนอยู่ก็ตอบแบบงง ๆ ว่า “ค…ค่ะ”

แล้วเรกะก็เดินไปตรงที่ ๆ คล้ายประตูหิน “เมื่อกี๊พี่ลองเปิดประตูนี้ดูแล้วเห็นอีกฝั่งมีแสงส่องเข้ามาด้วย น่าจะเป็นทางออกแหละ”

“ค่ะ” เรนะตอบเหมือนคนไร้สติ

ส่วนเอย์จิก็เดินไปตรงแท่นที่อยู่ใกล้ ๆ พอเขาขึ้นไปเหยียบบนแท่นนั้นก็มีเสียงดัง “ครืนนนน” แล้วประตูหินตรงเรกะก็เปิดออก ข้างในเป็นบันไดทอดยาวขึ้นไปมีแสงส่องลงมาสลัว ๆ

“ตรงนี้น่าจะเป็นแท่นน้ำหนักนะ” เอย์จิอธิบาย

แล้วเรกะก็บอกว่า “ต้องให้ใครซักคนคอยเหยียบแท่นนั้นไว้อะ ไม่งั้นประตูจะปิดลงมา”

“งั้นคนที่เหยียบแท่นก็ออกไปไม่ได้สิคะ” เรนะถาม

ทั้งเอย์จิและเรกะก็ก้มหน้าหลบตาเธอ แล้วเรกะก็ตอบว่า “อื้อ ก็คงต้องมีคนเสียสละแหละ”

แล้วเอย์จิก็ออกตัวว่า “ชั้นอยู่เอง พวกเธอสองคนออกไปกันเถอะ”

“แต่ว่า...” เรกะรีบขัดขึ้นทันที

“ไม่เป็นไร ชั้นเป็นผู้ชายก็ต้องเสียสละเป็นธรรมดาอยู่แล้ว และอีกอย่าง…”

“อีกอย่างอะไรอะ” เรกะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เอย์จิอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ตอบว่า “สำหรับชั้นแค่คนที่ชั้นรักมีความสุขชั้นก็พอใจแล้ว” แล้วเขาก็มองตาเธอด้วยแววตาจริงจัง “ถึงหลังจากนี้ชั้นจะไม่อยู่แล้ว ก็ขอให้เธอพบเจอแต่ความสุขนะ”

“เอย์จิคุงงงง” พอได้ฟังดังนั้นเรกะก็โผเข้าไปกอดเขาทั้งน้ำตา เอย์จิก็กอดเธอแน่นเช่นกัน เรนะที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นส่วนเกินที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนี้ ตอนนี้หัวใจเธอเจ็บปวดจนอยากจะอธิบาย

ทางด้านเรกะที่ตามเอย์จิกับเรนะตัวปลอมไปก็พบเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน ทั้งสามยืนอยู่หน้าประตูกล พอเอย์จิบอกว่าตัวเองจะเป็นคนเสียสละเหยียบแท่นน้ำหนักไว้ เรนะก็โผเข้าไปกอดเอย์จิทั้งน้ำตา แล้วทั้งสองคนก็ยืนกอดกันแน่นต่อหน้าต่อตาเธอ เรกะได้แต่รู้สึกเจ็บในอกโดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

และแล้วทั้งเรกะตัวจริงกับเรนะตัวจริงก็พูดขึ้นแทบจะพร้อมกันว่า “เรนะ เอย์จิคุง!!!” /// “พี่คะ เอย์จิคุง!!!”

“หึหึหึ!?!” ในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำดวงตาสีแดงขนาดยักษ์ก็ยิ้มเยาะอย่างสะใจ



Create Date : 02 สิงหาคม 2553
Last Update : 2 สิงหาคม 2553 21:41:38 น. 1 comments
Counter : 331 Pageviews.  

 
when you feel so lonely
living entily but not entity
juz turn to GOD and open yours heart he is always right there waiting for you... to open your heart and welcome him with joy and trust!


โดย: da IP: 115.87.121.118 วันที่: 2 สิงหาคม 2553 เวลา:23:54:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

TonyLaFraga
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add TonyLaFraga's blog to your web]