นิยายเรื่องรักยกกำลังสอง แนวโรแมนติกวัยมัธยม ผมไม่สามารถเล่าเนื้อเรื่องย่อได้ เพราะเนื้อหาทุกอย่างจะทำให้คุณลุ้นและเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติ และมีปริศนาให้คาดเดาและลุ้นไปกับมัน ลองเข้ามาอ่านเรื่องนี้สิครับ รับประกันความสนุก
<<
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
23 สิงหาคม 2552

รักยกกำลังสอง บทที่ 9 ศาลเจ้าต้องสาป (The Cursed Shrine)

“ทานข้าวจ้าทุกคน” แม่ของฮาเอดามะเรียกทุกคนมาทานข้าวเช้าด้วยกัน

เอย์จิมาถึงห้องอาหารเป็นคนสุดท้าย พอฮาเอดามะหันไปเห็นหน้าบวมปูดของเอย์จิก็ตกใจ “คุณทาคุมิไปโดนอะไรมาครับ”

“เอ่อ โดน คือเมื่อคืนผมเดินไม่ระวังเลยไปชนประตูเข้าหน่ะครับ” เอย์จิตอบ ฟูจิกับคอนจิแอบหัวเราะกันท้องแข็ง

“งั้นเดี๋ยวผมเอายามาให้นะครับ” แล้วฮาเอดามะก็เดินไปหยิบกล่องพยาบาล

“555+ ทำไมนายไม่บอกไปเลยหล่ะว่าโดนยัยคูมิยะต่อย” คอนจิแซว

“ความจริงชั้นอยากบอกเค้าไปว่าโดนหมีตบมากกว่า” เอย์จิทำหน้าบูด

“ทำไม อยากโดนอีกข้างรึไง” คูมิยะทำท่าหาเรื่อง

“เอาน่า คูมิจังเองก็มีส่วนผิดนะจ๊ะ” เรนะพยายามช่วยไกล่เกลี่ย

“ยาได้แล้วครับ” แล้วฮาเอดามะก็ส่งกล่องพยาบาลให้

“นิ่ง ๆ นะจ๊ะ” เรนะค่อย ๆ ใส่ยาให้เอย์จิ

พอเรนะเอายาไปป้ายที่แผล เอย์จิก็ร้อง “อูยยย”

“เจ็บมากมั้ยจ๊ะ”

“นิดหน่อยหน่ะ”

“แหมเอาอกเอาใจกันเหลือเกินนะ” คูมิยะยังไม่เลิกหาเรื่อง

“ยังจะมีหน้าไปว่าเค้าอีก ที่ทาคุมิคุงเค้าเจ็บก็เพราะเธอนะ” เรกะหันไปว่าคูมิยะ

“คิด ๆ ดูแล้วต้นเหตุจริง ๆ มาจากเธอสองพี่น้องมากกว่านะ ถ้าพวกเธอไม่ไปนอนกอดทาคุมิคุง ชั้นก็คงไม่เข้าใจผิดหรอก” คูมิยะโยนความผิดให้พวกเรกะ

“นี่! ก็ชั้นบอกแล้วไงว่านอนละเมอ ๆ” เรกะรีบแก้ตัว

“จริงเร้อ ถ้าพวกเธอไม่คิดอะไรกับเค้าก็คงไม่นอนกอดเค้าทั้งซ้ายขวาแบบนี้หล่ะมั้ง” คูมิยะพูดแทงใจดำสองพี่น้องจนเรกะหน้าแดงพูดอะไรไม่ออก

“บ้าคูมิจังนี่หล่ะก็พูดอะไรไม่รู้” เรนะเองก็อายหน้าแดงเหมือนกัน

เรนะมัวแต่อายจนลืมไปว่ากำลังใส่ยาให้เอย์จิอยู่ เธอเลยเผลอป้ายยาแรงไป จนเอย์จิถึงกับต้องร้องออกมา “โอ๊ยยยยย”

“อุ๊ย ขอโทษนะจ๊ะเอย์จิคุง” เรนะรีบก้มหัวขอโทษประหลก ๆ แล้วประคบแผลให้เอย์จิเป็นการใหญ่

“เอย์จิว่าง ๆ นายไปทำบุญล้างซวยมั่งก็ดีนะ 555” ฟูจิแซวแล้วหัวเราะเสียงดัง

“ชั้นก็ว่างั้น กลับไปจะรีบไปทำเลย” เอย์จิตอบเซ็ง ๆ

“เสร็จแล้วจ๊ะ ซักสองสามวันคงหายมั้ง ช่วงนี้ปิดตาข้างนี้ไปก่อนนะ” เรนะทำแผลให้อย่างเรียบร้อย

“เอาหล่ะมากินข้าวกันดีกว่า” ทาคายูกิบอก

ระหว่างทานข้าวเอย์จิก็ถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน “เมื่อคืนทุกคนได้ยินเสียงขลุ่ยกันรึเปล่าครับ”

“ได้ยินครับช่วงดึก ๆ หน่อย” ฮาเอดามะตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“ชั้นก็ได้ยินนะ ฟังแล้วรู้สึกขนลุกยังไงไม่รู้” คูมิยะตอบ พวกเรนะก็พยักหน้าหงึก ๆ

“แต่ชั้นไม่เห็นได้ยินอะไรเลยแฮะ” คอนจิตอบ

“ก็นายเล่นหลับอุตุแถมกรนซะดังขนาดนั้นจะได้ยินได้ไงหล่ะ” ฟูจิบ่นเพื่อนที่เอาแต่กรนเสียงดังจนเขานอนไม่หลับ

“จริงอะ ชั้นนอนกรนขนาดนั้นเลยเหรอ” คอนจิยังไม่เชื่อ

“เสียงกรนนายหน่ะดังซะจนปลุกคนได้ทั้งเกาะเลยหล่ะ” ฟูจิเซ็ง

“แล้วรุ่นพี่หล่ะคะ” นายะถามทาคายูกิ

“เมื่อคืนพอได้ยินผมกับทาคุมิคุงก็ออกมาเดินดูรอบ ๆ แต่ก็ไม่เจออะไร” ทาคายูกิตอบ

“พวกชาวบ้านก็เคยออกค้นหาที่มาของเสียงขลุ่ยเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่เจออะไร แถมเสียงนี่ก็มีมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้วด้วย” ฮาเอดามะเล่า

“ถ้ามีมานานขนาดนั้นก็คงไม่ใช่ฝีมือใครเล่นพิเรนทร์สินะครับ” เอย์จิสันนิษฐาน เรกะกับเรนะก็พากันหน้าซีด

“เสียดายจังน่าจะเอาเทปมาอัดไว้” คารินบ่น

เรกะคิดในใจว่า “นี่กะจะอัดเอาไว้ฟังก่อนนอนรึไง”

หลังจากทุกคนทานข้าวเสร็จได้ซักพักซึซึกิก็เข้ามาหา “อรุณสวัสดิ์ครับคุณซึซึกิ” ทาคายูกิทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน” ซึซึกิทักทายตอบ

“แล้ววันนี้พวกคุณมีโปรแกรมจะไปไหนกันเหรอครับ” ฮาเอดามะถาม

“พวกเรากะจะตรวจสอบเรื่องตำนานกันหน่ะครับ” ทาคายูกิตอบ

“ตรวจสอบที่ว่าหมายถึงไปที่ศาลเจ้าเหรอคะ” ซึซึกิมีสีหน้ากังวล

“ก็คงอย่างงั้นหล่ะครับ แต่ก่อนอื่นผมอยากจะไปคุยกับครอบครัวของคนที่หายไปหน่อย ไม่รู้พอจะไปคุยได้มั้ยครับ” ทาคายูกิถามฮาเอดามะกับซึซึกิ

“เอ่อ คงต้องดูก่อนนะครับ ผมเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องทั้งสองบ้านก็วุ่น ๆ กันตลอด” ฮาเอดามะตอบ

“คุณลุงคุณป้าท่านก็ยังทำใจไม่ได้เลยค่ะ” ซึซึกิมีสีหน้าเศร้า ๆ

“ครับ ยังไงรบกวนหน่อยนะครับ บางทีอาจจะได้เบาะแสอะไรบ้างก็ได้” ทาคายูกิทำหน้าจริงจัง

พอทุกคนเตรียมตัวกันพร้อม ฮาเอดามะกับซึซึกิก็นำทางไปที่บ้านนามิ “ใกล้นิดเดียวเองนี่ครับ” เอย์จิกับเพื่อน ๆ เดินผ่านบ้านซึซึกิมาได้หน่อยเดียวก็ถึง

“ค่ะ บ้านพวกเรา 4 คนอยู่ใกล้ ๆ กัน พวกเราเลยสนิทกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ” ซึซึกิตอบ

“ขอโทษครับ” ทาคายูกิเคาะประตูบ้าน

“อ้าวโทชิคุง เมอิจัง มีอะไรกันเหรอ” พ่อของนามิออกมาเปิดประตูต้อนรับ

“คือพวกผมขอรบกวนหน่อยได้มั้ยครับ” ฮาเอดามะถาม

“พวกเราอยากจะคุยเรื่องนามิจังหน่ะคะ” ซึซึกิขอร้อง

พ่อของนามิทำหน้าซึม ๆ แล้วนิ่งไปพักนึง “เอาสิ จริง ๆ พวกเธอสองคนก็คงเป็นห่วงนามิพอ ๆ กับลุงนั่นแหละ”

“ขอบคุณค่ะ งั้นพวกหนูขอเข้าไปดูห้องของนามิจังได้มั้ยคะ เผื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง” ซึซึกิขออนุญาต

“อืมได้สิ จริง ๆ ตำรวจเค้าก็มาตรวจแล้วทีนึง ของที่เค้าเอาไปตรวจสอบก็คืนมาหมดแล้วหล่ะ” พ่อของนามิพูดด้วยสีหน้าหมดหวัง

“อย่าพึ่งท้อสิคะคุณลุง หนูเชื่อว่าต้องมีทางทำอะไรซักอย่าง” ซึซึกิให้กำลังใจ

“ขอบใจนะเมอิจัง” พ่อของนามิตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ

พอทุกคนเข้าไปในห้องนามิ ซึซึกิก็เอารูปถ่าย และของใช้หลาย ๆ อย่างของนามิมาให้พวกทาคายูกิดู แต่ก็ไม่มีใครได้เบาะแสอะไร หลังจากตรวจสอบของต่าง ๆ เสร็จทุกคนมาคุยกับพ่อของนามิ “ก่อนหน้าที่คุณนามิจะหายไป เธอมีพฤติกรรมอะไรแปลก ๆ บ้างรึเปล่าครับ” ทาคายูกิถาม

“อืม ลุงก็ไม่เห็นเค้ามีอะไรนะ”

“อะไรก็ได้ค่ะ อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ได้ ถ้าคุณลุงพอสะกิดใจก็ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะคะ” คารินพูด

“อืมมม จะว่ามีอะไรแปลกก็คงไม่มี แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องสะกิดใจก็คงเป็นเรื่องที่เค้ากลับบ้านค่อนข้างดึกติดต่อกันหลายวันเท่านั้นเอง แต่นามิเป็นเด็กดีไม่เคยทำอะไรเสียหาย ลุงเลยไม่ได้ว่าอะไร”

“แล้วเกี่ยวกับคุณเรียวมะหล่ะครับ” เอย์จิถาม

พ่อของนามิมีอารมณ์ขึ้นมาทันที “เพราะเจ้านั่นแหละ ถ้านามิไม่ไปสุงสิงกับไอ้ครอบครัวนั้นก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้น”

ทุกคนพากันตะลึงกับอาการของพ่อนามิ “ใจเย็น ๆ นะคะคุณลุง” ซึซึกิพูด

“ลุงขอโทษ ลุงทำตัวไม่สมกับที่เป็นผู้ใหญ่เลย” พ่อของนามิเริ่มสะอื้น “พวกเธอกลับไปกันก่อนเถอะนะ ลุงอยากอยู่คนเดียว” พ่อของนามิพยายามกลั้นน้ำตา

“งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ ขอโทษนะครับที่มารบกวน” ฮาเอดามะกล่าวลา

“รักษาสุขภาพนะคะคุณลุง” ซึซึกิพูด แล้วพ่อของนามิหันหลังโบกมือให้ทุกคน

“น่าสงสารพ่อของคุณนามินะคะ” เรนะพูด

“ถ้าทุกอย่างคลี่คลายโดยเร็วก็ดีสินะ” คูมิยะพูด

แล้วฮาเอดามะก็พาทุกคนไปที่บ้านของเรียวมะที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “คุณลุงคุณป้าครับ ผมโทชิกับเมอิครับ”

“โทชิคุงกับเมอิจังเหรอจ๊ะ คุณลุงท่านออกไปข้างนอกหน่ะจ๊ะ มีอะไรกันเหรอ” แม่ของเรียวมะเปิดประตูออกมา พวกเอย์จิดูหน้าท่านแล้วรู้สึกว่าท่านดูอิดโรยเหมือนคนไม่ค่อยได้นอน

“ขอรบกวนหน่อยได้มั้ยคะ” ซึซึกิพูด

“เข้ามาข้างในกันก่อนสิจ๊ะ” แม่ของเรียวมะเชิญทุกคนเข้าบ้าน

“คุณป้าเป็นยังไงบ้างคะ ดูไม่ค่อยสบายเลย” ซึซึกิถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“ขอบใจนะเมอิจัง แต่หัวอกคนเป็นแม่ พอลูกหายไปทั้งคนจะให้กินอิ่มนอนหลับก็คงไม่ได้หรอก แถมชาวบ้านเค้ายังพูดกันว่าเพราะเรียวมะเป็นต้นเหตุอีก จะให้ป้าทำใจได้ยังไง” แม่ของเรียวมะเริ่มสะอื้น

“แต่ถ้าคุณป้าไม่สบายไปอีกคนจะยิ่งแย่นะคะ” ซึซึกิปลอบ

“ขอบใจนะจ๊ะเมอิจัง”

“อย่าไปสนใจคำพูดคนอื่นเลยครับ พวกนี้ไม่รู้เรื่องอะไรก็เอาไปลือกันมั่ว ๆ” ฮาเอดามะฉุน

“ขอบใจนะจ๊ะ ลุงกับป้าเองก็พยายามไม่สนใจ แต่ครอบครัวโน้นเค้าก็โทษว่าเป็นเพราะลูกชายป้า” แม่ของเรียวมะมีน้ำตาคลอเล็กน้อย เธอเช็ดน้ำตาแล้วถามฮาเอดามะว่า “แล้ววันนี้ลูก ๆ มีธุระอะไรเหรอจ๊ะ”

“เอ่อ พวกผมอยากเข้าไปดูห้องของเรียวมะหน่ะครับ เผื่อจะมีเบาะแสอะไรเหลืออยู่บ้าง” ฮาเอดามะตอบ

“เอาสิจ๊ะ ปกติเธอกับเรียวมะก็ชอบมาเล่นด้วยกันที่นั่นอยู่แล้วนี่” แม่ของเรียวมะตอบ
พอพูดจบเธอก็นึกถึงวันคืนเก่า ๆ ตอนที่ลูกชายอยู่ แล้วเธอก็หันหน้าไปทางอื่น พวกเอย์จิคิดว่าท่านคงกลั้นน้ำตาไม่อยู่

ทุกคนเข้าไปตรวจสอบของในห้องเรียวมะแต่ก็ไม่พบอะไรผิดสังเกต ทาคายูกิอยากจะสอบถามอะไรแม่ของเรียวมะต่อ แต่ดูแล้วคงไม่ค่อยเหมาะเลยขอตัวกลับก่อน “งั้นพวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

“ขอบใจพวกเธอมากนะ” แม่ของเรียวมะตาแดงก่ำ

“เมื่อกี้พวกหนูก็พึ่งไปบ้านนามิจังมาค่ะ” ซึซึกิพูด

“ลุงกับป้าเคยเตือนเรียวมะหลายครั้งแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น เพราะผู้หญิงคนนั้นแหละทำให้ลูกชายป้าหลงจนหน้ามืดตามัว” แม่ของเรียวมะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ฮาเอดามะกับซึซึกิฟังแล้วก็ได้แต่ทำหน้าลำบากใจ

พอเสร็จแล้วซึซึกิชวนทุกคนไปนั่งคุยกันต่อที่บ้านเธอ “น่าสงสารคุณลุงคุณป้านะ” นายะทำหน้าเศร้า ๆ

“เสียดายที่ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย” ฟูจิบ่น

“เท่าที่รู้ตอนนี้ก็คือทั้งสองบ้านไม่ค่อยถูกกันเท่านั้นเอง” เอย์จิให้ความเห็น

“ทั้งสองครอบครัวทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้เหรอคะ” เรนะถาม

“เปล่าค่ะ ทั้งสองบ้านไม่ค่อยถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ซึซึกิตอบ

“แล้วเรื่องที่ทั้งคู่เป็นแฟนกันหล่ะคะ” คูมิยะสงสัย

“เอ่อ คิดว่าทั้งสองคนคงไม่ได้บอกที่บ้านอย่างจริงจังหรอกค่ะ เพราะพวกเราก็เคยได้ยินทั้งคู่บ่นว่าไม่กล้าบอกทางบ้าน” ซึซึกิเล่า

“แต่ทางบ้านของทั้งคู่คงพอรู้หล่ะมั้งครับ” ฟูจิตั้งข้อสังเกต

“ก็น่าจะพอรู้นะครับ เพราะทั้งสองคนก็ไปไหนด้วยกันบ่อย ๆ บางทีก็นั่งเรือไปเที่ยวในเมืองกันสองคน” ฮาเอดามะเล่า

“แล้วเคยไปไหนหลาย ๆ วันมั้ยครับ” ทาคายูกิพยายามหาสาเหตุ

“ถ้าไปกันแค่สองคนรู้สึกว่าจะไม่เคยนะครับ” ฮาเอดามะพยายามนึกย้อนไป

“ถ้าไปหลายวันก็มีแค่ตอนไปกับพวกเรา 4 คนหน่ะค่ะ” ซึซึกิตอบ

“น่าสงสารทั้งสองคนเหมือนกันนะคะ ต้องแอบคบกันเพราะปัญหาทางบ้าน” คารินพูด

“เพราะเรื่องนี้รึเปล่าคะ ที่ทำให้ทั้งสองคนต้องไปขอพรจากศาลเจ้า” คูมิยะพูด

“มีใครไปขอพรอะไรกันเหรอจ๊ะ” ยายของซึซึกิเดินผ่านมาได้ยินพอดี

“ก็เรียวมะคุงกับนามิจังหน่ะค่ะ เค้าลือกันว่าก่อนหายตัวไปทั้งสองคนไปขอพรจากศาลเจ้าเพื่อให้สมหวัง” ซึซึกิตอบคุณยาย

“แต่ยายไม่เคยได้ยินเลยนาจ๊ะเรื่องไปขอพรเพื่อให้สมหวังในรักอะไรทำนองนี้”

ทุกคนพากันสงสัย “อ้าวแล้วตำนานที่ว่าถ้าไปขอพรจากศาลเจ้าแล้วจะสมหวังหล่ะคะ” คารินถาม

“ไม่รู้สิจ๊ะ อาจจะเป็นเรื่องที่ชาวบ้านลือกันไปจนเพี้ยนละมั้ง” คุณยายตอบแล้วก็ขอตัวไปพักผ่อน

“อย่างงั้นเหรอ” เอย์จิทำท่าคิดอะไรบางอย่าง

“นึกอะไรออกเหรอจ๊ะเอย์จิคุง” เรนะถาม

“เปล่าหรอก แค่สงสัยอะไรนิดหน่อยหน่ะ” เอย์จิมีข้อสันนิษฐานบางอย่างแต่ยังไม่มั่นใจเลยยังไม่พูดออกมา

“งั้นพวกเราคงต้องไปตรวจสอบที่ศาลเจ้าละมั้ง” ทาคายูกิชวน

“ก็ที่อื่นไม่มีเบาะแสอะไรเลยนี่คะ” คารินเห็นด้วย

“เอ่อ รุ่นพี่จะไปที่นั่นกันจริง ๆ เหรอคะ เมื่อคืนทุกคนก็ได้ยินเสียงขลุ่ยกันไม่ใช่เหรอ” เรกะพยายามห้ามทุกคน

“แล้วจะปล่อยให้เรื่องคาราคาซังโดยไม่ช่วยอะไรเหรอ” ทาคายูกิถาม

“พวกเรามาในฐานะชมรมค้นคว้าเรื่องลึกลับนะจ๊ะ อย่าลืมสิ” คารินพูด

“ถ้าพวกเธอกลัวก็รออยู่ที่นี่ก็ได้นะ” เอย์จิเองก็ไม่อยากให้เรกะกับเรนะไปเหมือนกัน

“งะ ไม่เอาอ๊ะ เอย์จิคุงจะทิ้งชั้นกับพี่ไว้แค่สองคนเหรอ” เรนะส่ายหน้าไม่ยอม

“นั่นสิ ถ้าพวกนายไปกันหมดแล้วพวกชั้นจะอยู่ยังไง” เรกะต่อว่า

“งั้นจะให้ทำยังไงหล่ะ” เอย์จิลำบากใจ

“ไม่ต้องกลัวหรอกจ๊ะ ไปกันตั้งหลายคน คงไม่มีอะไรหรอก” คารินปลอบใจทั้งคู่

“แล้วจะไปกันเมื่อไหร่หล่ะคะ” คูมิยะถามทาคายูกิ

“เดี๋ยวทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วก็ไปกันเลยดีมะ จะได้กลับก่อนมืด” ทาคายูกิตอบ สองพี่น้องรู้สึกโล่งอกที่อย่างน้อยก็ไปกันตอนกลางวัน

พอทานข้าวเที่ยงเสร็จทุกคนก็เตรียมข้าวของให้พร้อมที่จะเดินทาง คารินเอาเครื่องมือเกี่ยวกับไสยศาสตร์ออกมาโชว์ มีทั้งไม้กางเขน กระเทียม ตุ๊กตาสาปแช่ง ฯลฯ “นี่อะไรเหรอคะรุ่นพี่คาริน” นายะชี้ไปที่กล่องสีดำ ๆ มีหน้าปัดแปลก ๆ

“อันนี้เป็นเครื่องตรวจจับวิญญาณหน่ะ ถ้ารอบ ๆ มีวิญญาณอยู่เข็มก็จะกระดิก” คารินอธิบาย

“แล้วนี่หล่ะครับ” ฟูจิหยิบแว่นตาเก่า ๆ ขึ้นมา

“อันนั้นเป็นแว่นตาทำให้ใส่แล้วมองเห็นวิญญาณจ๊ะ” คารินตอบ

เอย์จิทำหน้างงกับของแปลก ๆ ที่รุ่นพี่คารินเอาออกมา คอนจิเลยแอบกระซิบบอกเขาว่า “รุ่นพี่แกบ้าของพวกนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

เอย์จิเลยกระซิบตอบว่า “หน้าตาออกฝรั่งแบบนี้ไม่น่าเชื่อนะว่าจะชอบเรื่องแบบนี้”

“คารินเอากล้องที่ว่ามารึเปล่า” ทาคายูกิถาม

“เอามาค่ะนี่ไง” แล้วคารินก็หยิบกล้องโพราลอยเก่า ๆ ออกมาโชว์ กล้องอันนี้เป็นแบบโบราณ ดูแล้วน่าจะเก่ากว่า 100 ปี เรกะกับคูมิยะทำหน้าสยองเมื่อเห็นกล้องนั่น

“เอามาถ่ายรูปศาลเจ้าเหรอคะ” เรนะไม่ได้อยู่ชมรมนี้เลยไม่รู้เรื่องอะไร

“เปล่าจ๊ะ เอามาถ่ายรูปวิญญาณหน่ะ อันนี้เป็นกล้องที่สร้างโดยช่างสมัยเมจิ เล่ากันว่าช่างคนนี้จะทำพิธีปลุกเสกเพื่อให้ของมีพลังทางวิญญาณ มีหลายชิ้นเลยนะที่ดังในหมู่นักสะสม กล้องอันนี้ก็เหมือนกันว่ากันว่าตอนทำพิธีจะใช้เลือดของหญิงสาวที่ถูกฆ่าข่มขืนหน่ะจ๊ะ” คารินเล่าอย่างภาคภูมิใจ

เรนะนึกในใจว่า “ไม่น่าถามเล้ยยย”

“รุ่นพี่แกประมูลมาตั้งหมื่นเยนเชียวนะ” คอนจิกระซิบบอกเอย์จิ

เอย์จิกระซิบตอบว่า “ของแบบนี้ให้ฟรียังไม่เอาเลย”

เรกะคิดในใจว่า “มีแต่ของน่าขนลุกทั้งนั้น” แล้วก็ถอนหายใจ

“แล้วนี่หล่ะคะ” คูมิยะถาม

“อันนั้นเป็นยันต์กันผี ถ้าเราเอาไปแปะไว้ตามที่ต่าง ๆ ผีจะเข้ามาไม่ได้ ส่วนอีกอันเป็นเครื่องรางกันผี” คารินตอบ

เรกะเริ่มมีท่าทางสนใจพอรู้ว่ามีอุปกรณ์กันผีได้ “แล้วนี่หล่ะคะ” เธอหยิบขวดเล็ก ๆ ภายในบรรจุของเหลวสีเทา ๆ ขึ้นมา

“อันนั้นเป็นน้ำมันที่ได้จากทารกที่ตายตอนคลอดจ้า เค้าว่าจะส่งกลิ่นที่พวกผีชอบ เอาไว้ใช้เรียกวิญญาณจ๊ะ” พอคารินพูดจบเรกะก็ช็อคตัวแข็งทื่อ คูมิยะเลยต้องช่วยดึงขวดออกจากมือเธอ คนอื่น ๆ เลยไม่กล้าหยิบอะไรส่งเดช

พอทุกคนพร้อมแล้ว ฮาเอดามะก็ขับรถกระบะมารับ คารินนั่งข้างหน้าข้างคนขับ ส่วนคนอื่น ๆ นั่งที่กระบะท้าย “แล้วคุณซึซึกิหล่ะคะ” เรนะไม่เห็นเธอร่วมเดินทางมาด้วย

“เมอิจังเค้ากลัวหน่ะครับ เลยไม่กล้ามา” ฮาเอดามะตอบแล้วก็สตาร์ทรถ

“โธ่น่าจะบอกกันก่อน รู้งี้ขออยู่กับคุณเมอิดีกว่า” เรกะพึมพำ

“สายไปแล้วหล่ะย่ะ” คูมิยะแซวเพื่อน

“เฮ้อ ถ้าชั้นมีเวทมนตร์ก็ดีสิ” เรกะพูดกับตัวเอง

“ทำไมหล่ะ” เอย์จิถาม

“ชั้นจะได้ใช้เวทมนตร์รักษาโรคกลัวผีไง” เรกะตอบ เอย์จิเลยหัวเราะก๊าก “นี่นายเห็นเป็นเรื่องตลกงั้นเหรอ” เรกะทำหน้าดุแล้วเอามือทุบหลังเอย์จิไปทีนึง คนอื่น ๆ ก็พากันขำ

ทุกคนนั่งรถไปซักพักก็ไปถึงชายป่า ฮาเอดามะจอดรถแล้วให้ทุกคนลง “ถึงแล้วเหรอครับ” ฟูจิถาม

“ถนนสุดแค่นี้ครับ จากนี้เราต้องเดินลัดป่าไป” ฮาเอดามะตอบ

“ลำบากเหมือนกันเนอะ” คูมิยะกระซิบบอกเพื่อน ๆ กลุ่มผู้หญิง

“แล้วต้องเดินนานมั้ยครับ” เอย์จิถาม

“ก็ซักสองชั่วโมงได้ครับ แต่ไม่ต้องห่วงผมเตรียมอาหารมาด้วย ถ้าเหนื่อยก็หยุดพักกลางทางได้ครับ”

แล้วทุกคนก็พากันเดินเข้าไปในป่า เนื่องจากป่าแห่งนี้ค่อนข้างครึม ทำให้แสงแดดส่องผ่านมาได้แค่บางช่วงเท่านั้น อากาศจึงค่อนข้างเย็น แต่ในป่ามีทางเดินที่เคยใช้กันในสมัยก่อน ทุกคนเลยเดินได้ค่อนข้างสะดวก

“ทางเดินนี่คงใช้สมัยที่ศาลเจ้ายังไม่ถูกทิ้งร้างสินะครับ” เอย์จิสังเกต

“ครับ เล่ากันว่าเมื่อก่อนชาวบ้านใช้เกวียนส่งของไปที่นั่น”

ทุกคนเดินกันไปได้ซักครึ่งชั่วโมง “นี่พวกนายเดินเร็วหน่อยสิ แบบนี้กว่าจะถึงก็มืดพอดี” คูมิยะหันไปว่าฟูจิกับคอนจิที่หอบแฮ่ก ๆ อยู่

“เธอลองมาเป็นพวกชั้นที่ต้องแบกของดูมั่งสิ” ฟูจิบ่น

“ไรยะ ไหนว่าเป็นสุภาพบุรุษไง ดูพวกรุ่นพี่ซิไม่เห็นบ่นอะไรซักคำ” คูมิยะสวน

“เหนื่อยมั้ยจ๊ะเอย์จิคุง” เรนะถาม

“นิดหน่อยหน่ะ” เอย์จิตอบ เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมากที่เรนะเป็นห่วงเป็นใยเขา

“งั้นเดี๋ยวเราหยุดพักกันแถวนี้ดีมั้ยครับ” ฮาเอดามะถาม

“พักซักหน่อยก็ดีนะ เดินมานานแล้วนี่” ทาคายูกิพูด แล้วพวกผู้ชายก็ช่วยกันปูเสื่อ ส่วนพวกผู้หญิงก็หยิบน้ำกับขนมมาแจกจ่ายทุกคน

หลังจากหยุดพักกันจนหายเหนื่อยแล้วทุกคนก็เดินทางต่อ ราว ๆ 4 โมงเย็นก็มาถึงศาลเจ้า ภาพที่ทุกคนเห็นคือเรือนไม้ที่ทั้งเก่า ผุพัง และทรุดโทรม ตามเพดานมีหยากไย่เกาะหนา เสาแต่ละต้นมีไม้เลื้อยพันขึ้นไปจนถึงหลังคา พื้นไม้มีฝุ่นจับหนาเตอะ ในสวนก็มีหญ้ารกขึ้นสูงถึงหัวเข่า ป้ายชื่อศาลเจ้าก็หายไปเหลือเพียงแต่ที่แขวนป้ายเท่านั้น

“ถูกปล่อยรกร้างมานานเลยนะ” เอย์จิพูด

“พวกเราลองเข้าไปสำรวจข้างในก่อนเถอะ” ทาคายูกิชวน

“อ๋อยยยย! นี่จะเข้าไปข้างในจริง ๆ เหรอ” เรกะเริ่มกลัว

“เธอไม่ต้องเข้าไปก็ได้นะ รออยู่ที่นี่แหละ” เอย์จิบอก

“อื้อ แต่ขอให้มีคนอยู่เป็นเพื่อนชั้นด้วยได้มั้ย” เรกะขอร้อง

“งั้นชั้นรออยู่นี่ด้วยก็ได้” นายะเสนอตัว

“ขอบใจนะ อยู่กันสามคนค่อยอุ่นใจหน่อย” เรกะโล่งใจขึ้นมานิดนึง

“เอ่อ หนูขอเข้าไปข้างในได้มั้ยคะ” เรนะขออนุญาตพี่สาว เธอกลัวว่าพี่จะโกรธที่ไม่ยอมอยู่เป็นเพื่อน เอย์จิรู้สึกแปลกใจในความกล้าของเธอ

“เธอไม่อยู่กับพี่เหรอ” เรกะถามด้วยสีหน้าผิดหวัง

“ขอโทษนะคะพี่ คือหนูรู้สึกสงสัยอะไรนิดหน่อยหน่ะ” เรนะตอบด้วยสีหน้าเกรงใจ

“แล้วเธอไม่กลัวเหรอ” เรกะถาม

“ก็กลัวค่ะ แต่ว่าถ้าเข้าไปกันเยอะ ๆ คงไม่มีอะไร” เธอหยุดพูดไปอึดใจนึงแล้วพูดต่อ “แล้วเอย์จิคุงก็อยู่ด้วยคงไม่มีอะไร”

“แหม เล่นสารภาพรักกันตรงนี้เลยเหรอจ๊ะ” คูมิยะแซว

“ไม่ใช่นะ” เรนะหน้าแดง “ชั้นหมายถึงว่าเอย์จิคุงพึ่งพาได้หน่ะ”

“อ้าว แล้วพวกชั้นพึ่งพาไม่ได้เหรอ” คอนจิถาม

“อย่างพวกนายอะเอาตัวเองให้รอดก่อนเถ๊อะ” คูมิยะดูถูก

“เชอะ ถ้าเกิดไรขึ้นมาอย่ามาร้องให้ช่วยละกัน” คอนจิพูด

“อะ ๆ ตกลงเรกะกับนายะจะรอข้างนอกกันสองคนใช่มั้ย” ทาคายูกิถาม

“เหลือแค่พวกเราสองคนเองเหรอ” เรกะพูดเสียงหวั่น ๆ

“คงไม่มีอะไรมั้งครับ นี่ก็พึ่ง 4 โมงเอง ยังสว่างอยู่เลย แต่ถ้ามีอะไรก็เรียกนะครับ” ฮาเอดามะบอก

แล้วทุกคนก็เข้าไปข้างใน คารินเอาเครื่องมือที่เธอเตรียมไว้ออกมาจนถือแทบไม่ไหว ทั้งเครื่องตรวจจับวิญญาณ กล้องโพราลอยสำหรับถ่ายรูปวิญญาณ แว่นตาส่องวิญญาณ ฯลฯ คอนจิ ฟูจิ และคูมิยะอาสาเดินสำรวจรอบ ๆ ตัวศาลเจ้า พวกที่เหลือจึงเข้าไปสำรวจภายในศาล

พอพวกเอย์จิเดินเข้าไปข้างในบรรยากาศก็เริ่มเย็นลง ภายในศาลมืดสลัว จะมีก็แต่แสงที่สะท้อนจากหน้าประตูเข้ามาเท่านั้น มีเพียงทาคายูกิคนเดียวที่เตรียมไฟฉายมา ระหว่างที่เดินจะมีเสียงพื้นไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดตลอดเวลา บางครั้งก็มีเสียงจิ้งจกกับตุ๊กแกร้องเป็นจังหวะ คารินคอยถ่ายรูปตามผนังและเพดาน ทุกครั้งที่มีรูปออกมาจากกล้องโพราลอย ทุกคนจะคอยลุ้นว่าจะมีภาพอะไรติดมารึเปล่า

ห้องแรกที่พวกเอย์จิเข้าไปเป็นห้องนอน ข้างในมีเตียงไม้ที่ฝุ่นจับหนาเตอะ กับตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ อยู่ ในตู้มีหยากไย่จับเต็ม ที่ผนังห้องมีภาพวาดเก่า ๆ เพราะหมึกจางไปมากแล้วภาพจึงดูเลือนราง แต่ก็พอดูออกว่าเป็นรูปผู้หญิงใส่ชุดมิโกะ “นี่คงเป็นห้องของท่านมิโกะ” ทาคายูกิพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คารินก็ถ่ายรูปหลาย ๆ มุม แล้วทุกคนก็เดินสำรวจต่อ

พอเดินต่อไปพวกเอย์จิก็เห็นรูขนาดเท่าลูกแมวอยู่บนพื้น ดูแล้วน่าจะเป็นเพราะพื้นไม้เก่ามากเลยผุพังไปตามกาลเวลา เอย์จิมองเข้าไปในรู แต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะด้านล่างมืดสนิท พวกเอย์จิเลยค่อย ๆ ก้าวข้ามรูนั้นไป

พอเข้าไปในห้องถัดไปเรนะก็ร้องกรี๊ดออกมา ทุกคนพากันยืนตัวแข็งขนลุกซู่ กว่าจะตั้งสติได้ก็เกือบนาที เพราะในห้องนั้นมีชุดเกราะกับดาบซามูไรวางอยู่บนแท่น ชุดเกราะเก่าฝุ่นจับหนา ดูราวกับกำลังจ้องมาที่พวกเอย์จิด้วยใบหน้าเกรี้ยวโกรธ พอคารินถ่ายรูปเสร็จแล้วทุกคนก็รีบเดินไปห้องถัดไป

ระหว่างนั้นพวกคูมิยะก็กำลังเดินสำรวจรอบ ๆ ศาลเจ้าอยู่ ซักพักฟูจิก็หันไปถามคูมิยะ “เป็นไงบ้าง พอเดินได้มั้ย”

“อื้อ คัน ๆ นิดหน่อยหน่ะ หญ้ามันสูงไปนิด รู้งี้ใส่ขายาวมาดีกว่า” คูมิยะตอบ ขาเรียวยาวขาวของเธอเริ่มมีผื่นแดง ๆ

“เธอไปรอกับพวกเรกะก็ได้นะ” ฟูจิพูด

“อื้อไม่เป็นไรหรอก ขอบใจนะ ชั้นเองก็อยากช่วยเหมือนกัน สงสารคุณลุงคุณป้าหน่ะ” คูมิยะตอบ เธอนึกถึงใบหน้าน่าสงสารของทั้งคู่

พอเดินไปซักพักกระเบื้องหลังคาที่เก่ามากแล้วก็หล่นโครมลงมาเกือบถูกคูมิยะ “ว้าย!!!” คูมิยะกระโดดกอดคอนจิ

“เป็นไรรึเปล่า?” คอนจิถาม

“โดนรึเปล่า?” ฟูจิเป็นห่วง

คูมิยะยังไม่หายตกใจ เธอตอบอย่างกระหืดกระหอบว่า “ไม่ ไม่เป็นไร แค่เกือบโดนหน่ะ”

“เดินไหวมั้ย” ฟูจิกับคอนจิช่วยกันประคองเธอ

“อื้อ ไม่เป็นไร ขอบใจนะ” คูมิยะค่อย ๆ ตั้งสติแล้วเดินต่อ

พอทั้งสามเดินวนเกือบจะครบรอบ คูมิยะก็หยุดเดินแล้วหันมาพูดกับทั้งสองคนว่า “ชั้นขอโทษนะ”

ฟูจิกับคอนจิต่างก็งง แล้วคอนจิก็ถามว่า “ขอโทษเรื่องอะไรเหรอ”

คูมิยะทำหน้าสำนึกผิดแล้วตอบว่า “ก็ที่ชั้นพูดว่าพวกนายพึ่งพาไม่ได้ไง”

“โอ้ยเรื่องนี้เองเหรอ คิดมากไปได้” คอนจิพูด

“นั่นสิ ไม่สมเป็นเธอเลย พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งกี่ปีแล้ว ทำเป็นไม่รู้นิสัยกันไปได้” ฟูจิพูด

แล้วคูมิยะก็ยิ้ม “นั่นสิ จริง ๆ แล้วพวกนายอาจจะพึ่งไม่ได้จริง ๆ ก็ได้นะ” แล้วเธอก็หัวเราะ

“เชอะ ชั้นว่าที่เธอคันหน่ะเพราะไม่ยอมอาบน้ำรึเปล่า” ฟูจิแขวะกลับ

“บ้าสิ!” แล้วคูมิยะก็วิ่งไล่ตีทั้งสองคน

ระหว่างที่ทุกคนเข้าไปสำรวจในศาลเจ้า เรกะกับนายะก็ยืนคุยกันอยู่หน้าประตูรั้ว “เก่าจังเลยนะ” นายะยืนมองที่แขวนป้ายที่ควรจะมีป้ายชื่อศาลเจ้าอยู่ “เมื่อก่อนที่นี่คงเป็นศาลที่สวยน่าดูเลยนะ”

“นั่นสิ อยากรู้จังว่าศาลเจ้านี้ชื่อว่าอะไร” เรกะเห็นด้วยแล้วเธอก็พูดต่อ “คิด ๆ ดูแล้วก็สงสารท่านมิโกะกับซามูไรคนนั้นเหมือนกันนะ”

“ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นทั้งสองคงรักกันอย่างมีความสุข และที่นี่ก็คงยังเป็นศาลที่สวยงาม ไม่ถูกปล่อยร้างแบบนี้” นายะพูดแล้วเธอก็เหม่อมองเข้าไปในศาล

“ขอบใจนะจ๊ะ” เรกะหันไปขอบใจเพื่อน

“ทำไมเหรอ” นายะงงเล็กน้อย

“จริง ๆ แล้วนายะจังคงอยากเข้าไปกับทุกคนใช่มั้ยหล่ะ แต่เพราะชั้นกลัว เธอเลยต้องมาอยู่เป็นเพื่อน” เรกะตอบ

“ไม่ต้องคิดมากหรอก ชั้นก็เฉย ๆ นะเข้าก็ได้ไม่เข้าก็ได้ อีกอย่างพวกเราก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้วนี่ มีอะไรก็ต้องช่วย ๆ กันถูกมั้ยหล่ะ” นายะตอบ

“อื้อ” เรกะยิ้มให้นายะ

ขณะเดียวกันพวกเอย์จิที่กำลังสำรวจภายในศาลอยู่ก็เดินไปถึงห้องโถงที่มีรูปปั้นเทพเจ้ามังกรพร้อมแท่นบูชา รอบ ๆ ห้องมีเทวรูปไม้แกะสลักรายล้อมอยู่ บรรยากาศในห้องวังเวงมาก ทุกคนรู้สึกเย็นสันหลังวาบ เรนะเกาะหลังเอย์จิไม่ยอมห่าง “นี่ดูเหมือนจะเป็นห้องทำพิธีนะครับ” ทาคายูกิพูด

“ครับ ฟังจากคนที่เคยเข้ามาก็น่าจะใช่” ฮาเอดามะตอบ

“คุณฮาเอดามะก็ไม่เคยเข้ามาเหรอคะ” เรนะถาม

“ผมเคยมาแต่ข้างนอกครับ ตอนที่ทุกคนพากันออกตามหาเรียวมะกับนามิ แต่ผมไม่เคยเข้ามาในนี้”

“แล้วทำไมตอนนั้นคุณไม่เข้ามาหาในนี้หล่ะครับ” เอย์จิถาม

“เพราะตอนนั้นชาวบ้านกลุ่มนึงเข้ามาหาที่นี่แล้ว ผมกับเพื่อน ๆ เลยเดินหาในป่ารอบ ๆ”

“อุ๊ยเข็มกระดิกแล้ว” คารินให้ทุกคนดูว่าเครื่องตรวจจับวิญญาณมีปฏิกิริยา เรนะขยับตัวเข้ามากอดเอย์จิแน่น เอย์จิก็เอามือโอบไหล่เธอไว้ คารินเลยหยิบกล้องโพราลอยออกมาถ่ายไปรอบ ๆ ทุกคนได้แต่ลุ้นกับรูปที่ออกมา

“ปะ เป็นไงบ้างคะรุ่นพี่” เรนะที่ลุ้นหนักกว่าใครเพื่อนกระอึกกระอักถาม

คารินเช็ครูปทีละใบ “อืมยังไม่มีรูปไหนมีวิญญาณติดมาเลยนะ” ทุกคนเลยพากันถอนหายใจโล่งอก “อุ๋ย!!!” คารินหน้าซีด ทุกคนพากันเงียบกริบ เรนะตัวหดอยู่ในอ้อมกอดของเอย์จิ

“กะ กะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ทาคายูกิถามเสียงสั่น ๆ

“รูปนี้ค่ะรุ่นพี่” คารินยื่นรูปให้ทาคายูกิ มือเธอสั่นเทาขนลุกซู่ ทาคายูกิเองก็ไม่กล้ารับรูปมาดู ตอนนี้เอย์จิเอาแขนข้างนึงกอดเรนะไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างกุมมือเธอไว้ สุดท้ายทาคายูกิก็กลั้นใจหยิบรูปมาจากมือคาริน เรนะยืนหลับตาปี๋ไม่กล้ามอง

พอทาคายูกิ เอย์จิ และฮาเอดามะเห็นสิ่งที่อยู่ในรูปก็ขนหัวลุก เพราะที่หน้าแท่นบูชาเทพเจ้ามังกรมีรูปหญิงสาวชุดขาวผมยาวเป็นเงาลาง ๆ ยืนหันหน้ามาทางพวกเอย์จิ ใบหน้าหญิงสาวในภาพทำตาขวางราวกับไม่ต้อนรับแขกผู้มาเยือน

ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องจากนอก “ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยยยยยย” ทุกคนพากันรีบวิ่งออกไป เอย์จิกึ่งวิ่งกึ่งอุ้มเรนะออกไปอย่างเร็ว เรนะก็หลับตากอดเอย์จิไว้แน่น

ที่หน้าประตูรั้วกลุ่มเอย์จิกับกลุ่มคูมิยะมาถึงพร้อมกันพอดี ทุกคนหันไปมองก็พบว่านายะยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ “เกิดอะไรขึ้นนายะจัง แล้วเรกะจังหล่ะ” คูมิยะรีบถาม

นายะหน้าเสียพูดเสียงสะอื้นเหมือนจะร้องไห้ “เรกะจังหายตัวไปแล้ว!?!”



Create Date : 23 สิงหาคม 2552
Last Update : 7 กันยายน 2552 14:02:30 น. 0 comments
Counter : 223 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

TonyLaFraga
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add TonyLaFraga's blog to your web]