ตัวอย่าง
<<
สิงหาคม 2566
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
5 สิงหาคม 2566
แฉคนละหมัด ชูวิทย์ VS เศรษฐา งานนี้มีเบื้องหลังหรือไม่?
ใครไม่ไหว นายกเศรษฐาไหว ประชุมต่างประเทศฉ่ำ ล่าสุดนครปารีสหวังดึงนักลงทุนเข้าไทย
รีวิว BMWi5 รถยนต์ไฟฟ้า100% คันนี้ที่ใครๆก็อยากเป็นเจ้าของ
ไทย-ศรีลังกา ลงนาม FTA และ MOU คนไทยได้รับผลประโยชน์อย่างไร
รวมTOP 10 ผู้นำและนักธุรกิจที่นายกเศรษฐาไปเจอ
รวมเรื่องนายกเศรษฐา ประชุมที่ดาวอส สวิตเซอแลนด์มีอะไรบ้าง
รีวิวTest Drive BMW ทั้ง i5 และ IX3 แบบสับๆ เลิศๆ ระดับตัวแม่กับ BMW Amorn Prestige x Ananda
ไขความลับสองรุ่นสุดฮิตตลอดกาลจากค่าย BMW 430i Coupe และ Z4 เจอที่ไหนต้องรีบจับจอง
Prestige Golf Club งานกอล์ฟกระชับมิตรสุดพิเศษที่ผมตั้งตารอมานาน
นายกหารือบริษัทเอกชนทางออกกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
นายกส้มหล่น เศรษฐา พร้อมลุยการท่องเที่ยวประเทศไทยแล้วจ้า
ชูวิทย์ กล่าวลาสังคม หมดเวลาของผมแล้วหลังแฉ เศรษฐา จนสุดทาง
LONGGOY แบรนด์คนไทย ที่ดังไปทั่วโลก ผ่านโครงการ King Power Thai Power พลังคนไทย
ประกาศแล้วผลสนาม 5 นครปฐม THE POWER BAND 2023 SEASON 3
แฉคนละหมัด ชูวิทย์ VS เศรษฐา งานนี้มีเบื้องหลังหรือไม่?
ชาวสงขลาอย่าลืมไปดู THE POWER OF POSSIBILITIES แสดงสดสนามที่ 4 สงขลา
บทเรียน การยกเลิก ฟุตบอลอุ่นเครื่อง เลสเตอร์ ซิตี้ VS ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส
ร่วมเวทีประกวดดีๆมากองกันไว้ตรงนี้
เวทีสร้างสรรค์จาก THE POWER BAND 2023 SEASON 3
มาดูรถบ้านมือสองออกศูนย์ BMWกันเถอะ
จะมีเฮได้ใมั้ยสำหรับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวไทย
ถ้ามีกองทุนสำหรับธุรกิจท่องเที่ยว จะช่วยเยียวยาผู้ประกอบการได้แค่ไหน?
พาชมรถBMWมือสองไมล์น้อยออกศูนย์จากอมรเพรสทีจรังสิตกับโซนบริการใหม่สุดว้าว
ข่าวท่องเที่ยวไทย กับตัวเลขนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน
ดีลลับการเมืองในสนามบอล การเมืองกับเรื่องกีฬาเป็นเรื่องเดียวกันจริงหรือ?
มองธุรกิจท่องเที่ยวไทย หลังปัญหา 'ทัวร์ศูนย์เหรียญ' ยังไม่จบดี กลับมามีศึกใหญ่ 'ทัวร์อั้งยี่' ที่ว่ากันว่า รุนแรงกว่าเดิม
จำนวน นทท.9ล้านคน เทียบกับก่อนโควิดได้หรือไม่???
แค่ขายฝัน หรือทำได้จริง ตอบชัดจาก3พรรคใหญ่บนเวทีดีเบต
10 พรรคการเมือง โชว์กึ๋น นโยบายไหนทำได้เลยทำได้ไว กับรายการพิเศษ ดีเบตใหญ่ เลือกตั้ง 66 ผ่านไทยพีบีเอส
ลุงป้อมว่าไง...หลังถูกถามคำถามผ่านรายการ ชั้นเชิงดีมั้ยมาลองดู
พาดู BMW X1 โฉมใหม่ Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 44
King Power ปรับทัพใหม่ในรอบ 3 ทศวรรษ เดินหน้าสร้างดิวตี้ ฟรี อีก 2 แห่ง
เปิดรับนักท่องเที่ยวจากจีน ขายดี แต่เงินเข้ากระเป๋าใคร?
รถยนต์ไฟฟ้า(EV) เทรนของโลกยุคใหม่จะเลือกค่ายไหนดีระหว่าง BMW กับ Tesla?
อย่าหวังกับชาวจีนมากไป SME ท่องเที่ยวไทยยังน่าห่วง
มารีวิว Test Drive BMW iX3 รถไฟฟ้า 100% ในงาน Amorn Prestige Rally 2022 ตามนัด ^^
งานแรลลี่ของ Amorn Prestige Rally 2022 ประทับใจแบบสุดๆไปเลย
พฤติกรรมนักท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวไทย เป็นอย่างไรบ้างมาดูกัน
สรุปปัญหาท่องเที่ยวไทยปีหน้า
อัพเดตรัวๆ ตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทยล่าสุด ประจำเดือนตุลาคม 2022
จีนไม่มา ฝรั่งไม่มี ยอดจองโรงแรมไฮซีซั่นนี้ มีแค่ 40%
ไม่ใช่อินเดีย แต่เป็นมาเลเชีย ครองอันดับเข้าไทย
นโยบาย" Zero-COVID " ของจีนกระทบไทยแค่ไหน
ปัญหาและ เหตุผลที่ทำไมการท่องเที่ยวไทยไม่ฟื้นเสียที
ไขข้อสงสัยเปิดประเทศแล้ว ทำไม? ธุรกิจท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเสียที
เปิดตัวเลขท่องเที่ยวเดือน กันยายน 65 ตามคาดหรือไม่มาดูกัน
ท่องเที่ยวไทยน่าห่วง...ทางรอดธุรกิจท่องเที่ยว
ยอดซื้อในสนามบินฯยังคงเงียบเหงา หลังไทยเปิดประเทศ
พลังคนไทย การให้ที่ยั่งยืนด้วยกิจกรรม CSR ท่ามกลาง COVID-19
อีกหนึ่งครั้งที่คิงเพาเวอร์ นำ เอกลักษณ์ไทยสู่เวทีโลก
เปิดประเทศกันแล้วเป็นยังไงบ้าง วันนี้มาดูสนามบินกัน
นักท่องเที่ยวใช้จ่ายไม่ดีเหมือนก่อน เกิดจากอะไรกัน
ความหวังจากรัฐ ประเมินสถานการณ์ท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว คาดปี 2566
น่ายินดี สโมสรเลสเตอร์ มอบรางวัลให้กับ คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา
นโยบายดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย ความหวังจากรัฐสู่ธุรกิจท่องเที่ยว
เปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ใครได้อานิสงค์?
แฉคนละหมัด ชูวิทย์ VS เศรษฐา งานนี้มีเบื้องหลังหรือไม่?
หลังจากที่ คุณ “ชูวิทย์” แฉ “แสนสิริ” เลี่ยงภาษีที่ดิน 521 ล้านบาท ว่าเข้าข่ายนิติกรรมอำพราง และตนเชื่อว่า ในขณะนั้น นายเศรษฐา ขณะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และต้องรู้เห็นเรื่องนี้อย่างแน่นอน
กระแสตีกลับหลังสื่อพบปมปัญหาบาดหมางในอดีตของทั้งคู่
!!!
หลังจากที่ คุณชูวิทย์ ออกมาแฉได้ไม่นาน ก็มีแหล่งข่าวออกมาตั้งคำถามว่า “แฉเพื่อใคร”
เพราะดันปรากฏข้อมูลว่า ทั้งคู่มีเรื่องกันในสมัยที่คุณชูวิทย์ต้องการขายที่ดินย่านสขุมวิท 24 ซึ่งมีพื้นที่กว่า 500 ตารางวา บริเวณหลังโรงแรมเดวิส บางกอกนั่นเอง ซึ่งในขณะนั้นมีการเจรจาขายให้กับบริษัทแสนสิริ จำกัด มหาชน เมื่อกลางปี 2565ที่ผ่านมานั่นเอง แต่ไม่สามารถปิดดิวได้
เนื่องจากแสนสิริเองไปพบว่าที่ดินผืนดังกล่าวยังมีปัญหาผูกมัดด้านกฎหมาย ที่ดินผืนนี้เคยเสนอขายให้กับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งและวางมัดจำให้นายชูวิทย์แล้วเป็นจำนวน 400 ล้านบาท และต่อมาบริษัทดังกล่าวไม่สามารถชำระเงินที่เหลือได้ นายชูวิทย์จึงได้ริบเงินมัดจำส่วนนั้นและหันมาเจรจาขายให้กับ แสนสิริต่อนั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้จบไม่ดีนั่นก็เพราะ แสนสิริตรวจพบว่า นายชูวิทย์ต้องไปยกเลิกสัญญาเดิมกับบริษัทที่เจรจาซื้อขายก่อนหน้า เพราะหากไม่ได้ยกเลิกสัญญา ก็จะมีปัญหาภายหลัง เพราะนายชูวิทย์เป็นคนแจ้งยกเลิกสัญญาแต่บริษัทดังกล่าวไม่มีหนังสือตอบรับใดๆซึ่งในทางกฎหมายเท่ากับการยกเลิกสัญญานั้นยังไม่สมบูรณ์ และประเด็นใบอนุญาตก่อสร้างที่ได้มากว่า 20 ปี และจำเป็นต้องต่อทุกปี แต่ไม่มีเอกสารยืนยันแต่อย่างใด เรื่องนี้ทำให้บริษัทอย่างแสนสิรินั้นไม่ตกลงซื้อขายที่ดิน จนทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างสองนักธุรกิจในตอนนั้น จึงเกิดการตั้งคำถามว่า การออกมาแฉในครั้งนี้เกิดจากการที่ตนเองนั้นมีปมบาดหมางกับนายเศรษฐา มาก่อน หรือต้องการแฉเพื่อชาติอย่างแท้จริง
ภาพลับถูกโยงอีกครั้ง
!!!
ทั้งนี้ยังมีการเปิดเผยภาพถ่ายที่นายชูวิทย์ร่วมวงกับลุงตู่และนักการเมืองชื่อดังอีกหลายท่าน เผยแพร่ออกมาอีก ทำให้กระแสตีกลับอีกครั้งว่า การแฉครั้งนี้มีใบสั่งหรือไม่
หากมองในมุมที่ไม่มีเบื้องหลังบอกเลยว่านายชูวิทย์มาถูกทางแล้วที่ช่วยประเทศชาติ รักษาผลประโยชน์นั้นถือเป็นเรื่องดีที่หน้ายกย่อง แต่หากมีเบื้องหน้าเบื่องหลังก็อาจจะทำเพื่อการชิงพื้นที่บนหน้าสื่อก็เป็นได้
Create Date : 05 สิงหาคม 2566
Last Update : 5 สิงหาคม 2566 17:43:13 น.
74 comments
Counter : 525 Pageviews.
Share
Tweet
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณนายแว่นขยันเที่ยว
,
คุณ**mp5**
นักธุรกิจการเมือง(บางคน)เขาไม่เคยคิดว่า จริงๆประชาชนส่วนมากดูลักษณะความเหลี่ยมกลจากใบหน้า,ท่าทาง,แววตาของเขาออกทั้งหมด แต่อาจมีเพียงนักธุรกิจการเมืองบางคนที่พอฉลาดรู้ได้บ้าง แต่เพราะเขาคิดว่า เขามีกลุ่ม,มีพวก,มีทรัพย์,มีอิทธิพลมากพอ เขาจึงไม่ได้คิดแคร์ต่อความรู้สึกของประชาชนแต่อย่างใดเลย คนการเมืองบางคนนี้.. เขาอาจคิดประมาณว่า.. ถึงประชาชนอ่านใจฉันออกว่า"ฉันมุ่งหมายอะไร? แต่ฉันก็ไม่แคร์ไง? ก็ประชาชนต่อให้รู้เท่าทันฉัน แล้วจะมาทำอะไรฉันได้ ก็เป็นแค่ประชาชนทั่วไป ประมาณนั้น.. เรา(และอีกหลายๆคน)ก็รู้เท่าทันนักธุรกิจการเมืองได้เท่าๆกับชูวิทย์ แต่เพราะชูวิทย์มีทั้งประสบการณ์จริง,มีเทคนิค,มีไหวพริบ,มีทรัพย์เพียงพอที่จะต่อสู้,และยังมีความกล้าสูงมาก เขาจึงแฉเพื่อชาติได้อย่างน่ายกย่อง.. ต้องขอขอบคุณคุณชูวิทย์ที่คุณช่วยทำหน้าที่แทนเราหลายๆคน ที่ไม่มีกำลัง,ความพร้อมต่างๆพอที่จะทำแบบคุณได้..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:6:24:39 น.
หลังจากดูข่าวกำนัน(บางท่าน)และลูกน้องกำนัน(บางคน)แล้ว. ก็ได้ข้อคิด,ข้อวิตก,ข้อวิเคราะห์,วิจัย,วิจารณ์ดังนี้..
(1)สังคมไทยเสื่อมเพราะผู้ใหญ่ทรงคุณวุฒิในสังคม(บางส่วน)ต่างเอาหูไปนา,เอาตาไปไร่?กันซะมาก?.. ไม่มีใครอยากยุ่ง,สนใจกับเรื่องอาชญากรรมและความฉ้อฉลในสังคมเรา.. ว่าเกิดมาจากอะไร?(เช่น.. จากสุรา,ยาเสพติด,การพนัน,คอร์รัปชั่น,อื่นๆ,แล้วมีการฟอกเงินกันอย่างกว้างขวาง?..ใช่หรือไม่?).. พอมีข่าวอาชญากรรมบางข่าว.. เช่น.. พ่อไปทำอาชญากรรม,โซเชี่ยลวิจารณ์พ่ออย่างหนัก,ลูกก็เลยพาลไม่กล้าไปโรงเรียนไปเลย.. นี่คือผลกระทบในสังคม,จริงๆลูกอาจไม่ได้มีส่วนกับสิ่งที่พ่อได้ทำไป,ที่สังคมประณาม.. แต่ถ้าคิดเรื่องกรรมของพุทธ,ก็คืออาจมีกรรมร่วมกับพ่อจึงมาเกิดกับครอบครัวนี้,จึงต้องร่วมรับผลด้วย..ประมาณนั้น.. โดยเฉพาะถ้าเป็นเพศหญิง.. สังคมไทยโดยมาก,เพศหญิงมักถูกครอบงำทั้งทางความคิดและเชิงอำนาจจากเพศชายที่เป็นคนใกล้ชิดกันทั้งนั้น.. ในเชิงวัฒนธรรมสังคมในยุคที่ผ่านมา,จึงไม่นิยมที่จะให้หญิงเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่ต้องควบคุมอำนาจในระดับสูงต่างๆ(เพราะมองว่า..จิตหญิงไม่เที่ยง,ไม่หนักแน่น,มักโอนเอียงตามคำพูดของเพศชายที่ใกล้ชิดได้ง่าย)..นั่นไง(?).. โดยมาก..สังคมไทยมักให้เกียรติ,ยกย่อง,กระทั่งเกรงกลัวต่อคนมีเงินมากหรือมีฐานะร่ำรวย.. คนจึงพากันแสวงหาทรัพย์ไว้มากๆ,เพื่อให้คนเคารพยำเกรงหรือเกรงใจ.. เฉพาะผู้ชายหาทรัพย์มาเพื่อเอาใจหญิง(ที่เป็นคู่ครอง),ซี่งบางส่วนก็เป็นทรัพย์สีเทาๆ?.. บางทีก็มีภรรยาหลายคน,บางคนก็มีไว้เพื่อฟอกทรัพย์นั้น?(และสื่อบางส่วนอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัว,ไม่ขอยุ่งเกี่ยวหรือวิเคราะห์วิจารณ์ใดๆ,แต่จริงๆไม่มีอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย,เพราะเด็ดดอกไม้ย่อมสะเทือนถึงดวงดาว..นั่นไง?)..(ต่อที่2)
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:6:50:55 น.
(2)ส่วนหญิง(บางส่วน,จำนวนไม่น้อย)มักไม่ได้ดูผู้ชายที่จะมาแต่งงานด้วยอย่างละเอียด,ขอแต่ผู้ชายมีทรัพย์,มีสถานะทางสังคม,ก็มักจะยินดี,ปรีดา,แม้รู้ว่าเขามีภรรยาอยู่แล้ว,และจะไม่จดทะเบียนสมรสกับตัวเองก็ยังยอม(?).. คือเชิงการมองของสังคม,มักมองว่าเพศหญิงไม่ได้มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมเพศชาย(เหมือนดังที่หลักสิทธิมนุษยชนเขากำหนดไว้).. คือขอให้ผู้ชายมีปัญญาหาเงินมาเลี้ยงดูเธอและลูกให้มีความสุข,มีหน้ามีตา,ต่อสังคมแวดล้อม(ไม่ว่าเงินนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม?..),เธอก็มักยินดี,ไม่ปริปากพูดอะไร?(ตามคติ..ประมาณว่า..ภรรยารังแกฉัน?..ประมาณนั้น?).. เราจึงพบว่า..อาชญากรรมที่เกิดขึ้นในสังคม,โดยมาก..ผู้ก่ออาชญากรรมมักมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนกันทั้งนั้น.. ซึ่งก็จะมีคำถามว่า..แล้วทำไมหญิงจึงยอมให้กับสามี?,หรือยอมอยู่ร่วมชีวิตกับสามีที่เป็นคนยุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรมต่างๆเช่นนั้น?..(แม้กระทั่ง..เซเล่บบางท่าน,และดาวระยิบฟ้าบางดวง?ด้วยก็ตาม..ก็ยังมีปรากฏตามหน้าข่าวอยู่บ่อยๆ?) นั่นเพราะชายมีอำนาจครอบงำหญิงให้ยอมรับตนเองได้..นั่นเอง(?).. และหญิง(บางส่วนหรือส่วนมาก)เมื่อคลุกคลี,หรือทำงานร่วมอยู่ใกล้ชาย,ก็มักตกอยู่ภายใต้อำนาจการชี้นำของชาย?ไปโดยอัตโนมัติ,ตามธรรมชาติ(ของหญิง-ชาย?)..นั่นเอง????..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:6:55:17 น.
ช่วงนี้ดู"ข่าว2ข่าว"คล้ายกันคือ"จับคอร์รัปชั่น"..1.เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายท่านหนึ่ง 2.ผู้นำทองถิ่นท่านหนึ่ง.. รู้สึกประทับใจ"ตำรวจในยุคนี้"จังเลย.. อยากยกย่อง"ตำรวจไทยยุคนี้".. ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่พูดคำว่า.."ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้".. เรายอมรับว่า.."คำพูดนี้..น่าจะจริงที่สุด".. ขอสดุดี.."พึงรักษาความดีนี้..ประดุจดั่งเกลือที่รักษาความเค็ม"(นะจ๊ะ)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 22 กันยายน 2566 เวลา:20:52:08 น.
อยากขอเสนอกับสส.ในสภาว่า.. ให้ช่วยแก้ไขข้อกฎหมาย.. เฉพาะสำหรับผู้(เคย)ให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ต่างๆบางส่วนและนักการเมืองบางส่วน.. โดยขอให้แก้กฎหมายว่า.. ให้"ยกเว้นโทษ"เฉพาะกับ"บุคคลใดที่มีสำนึก"อยากช่วยชาติให้ปราศจากการคอร์รัปชั่น.. ถ้าท่านเคยให้สินบนมาก่อน..แต่ถ้าเข้ามาแจ้งเบาะแส,ก็จะถูกกันไว้เป็นพยาน..โดยจะงดการลงโทษใดๆกับผู้ที่เคยให้สินบนกับเจ้าหน้าที่บางส่วนหรือนักการเมืองบางส่วนนั้นๆ.. อย่างนี้ดีมั้ยครับ?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 22 กันยายน 2566 เวลา:21:09:49 น.
และอยากขอให้นักจิตวิทยาเข้ามาช่วยเสนอกฎหมายแก่สภาว่า.. ให้เจ้าหน้าที่และนักการเมืองทุกภาคส่วน(ควร)ต้องมีหลักจริยธรรมสำคัญคือต้องมีภรรยาเพียงคนเดียว(ไม่ว่าจะปกปิดหรือเป็นที่เปิดเผยก็ตาม).. เพราะจะเห็นว่า..ตามข่าวที่พบเห็นในสังคม.. อาจสามารถสรุป(โดยพิจารณาตามหลักจิตวิทยามนุษย์ในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูภรรยาที่ต้องเพิ่มมากขึ้น,เมื่อมีภรรยาหลายคนด้วย)ได้หรือไม่?.. ว่าการมีภรรยาหลายคนมีความสัมพันธ์กับเรื่องการทุจริต,คอร์รัปชั่น(?)ในวงราชการ(?)และทางการเมือง(?)อย่างมีนัยสำคัญ..ด้วยหรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 22 กันยายน 2566 เวลา:21:33:48 น.
จะสังเกตว่า..สังคมไทยมีข่าวและข้อครหาในการใช้การตัดสินใจของเจ้าหน้าที่บางตำแหน่งเสมอมาว่า.. การใช้ดุลพินิจ?ของบุคคลเพียงคนเดียวซึ่งเป็นระบบเจ้าหน้าที่กลางน้ำนั้นเป็นต้นเหตุหรือถูกใช้เป็นข้ออ้างกับผู้ทำผิดกฎหมายในการเรียกรับเงินเพื่อตัดตอน,ล้มเรื่องต่างๆหรือไม่?.. แล้วจะเช็คความถูกต้องของระบบเจ้าหน้าที่กลางน้ำได้อย่างไร?.. เมื่อวันก่อนที่มีการจับเรียกรับเงินผู้ทำผิดกฎหมายจากเจ้าหน้าที่บางท่านก็ได้ใช้ข้ออ้างว่าจะเอาไปเคลียร์กับเจ้าหน้าที่กลางน้ำเช่นเดียวกัน(?).. แล้วอย่างนี้สังคมเราจะทำอย่างไรกันดี?.. เราอยากเสนอให้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งยุคนี้มีความพัฒนาให้ทำงานแทนมนุษย์ได้สูงมาก(ซึ่งปลอดจากอคติ?,และคอร์รัปชั่น?),โดยป้อนข้อมูลเรื่องคดีความให้ละเอียดเพื่อใช้แทนดุลพินิจของตัวบุคคลแค่บุคคลเดียว..จะทำได้หรือไม่?.. และจะดีกว่าใช้ตัวบุคคลหรือไม่?.. ขอฝากให้สังคมช่วยกันคิดด้วยครับ?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 22 กันยายน 2566 เวลา:22:44:22 น.
(ความไม่เท่าเทียมในสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ของสังคมไทย).. เราได้ดูรายการสามัญชนฯ,17-9-66ตอนชานชราสุดท้ายของช่องสาธารณะ.. มีภาพของยายอายุ56ปี,ผมสีดอกเลาแล้ว,ไปรอรับแจกเงินใต้ทางด่วนเพียงเงิน50บาทเท่านั้น.. ดูแล้วชวนให้คิด.. ถ้าสังคมมีระบบดี?.. ประชากรต้องไม่เป็นอย่างนี้(เพราะประเทศไทยมีทรัพยากรร่วมกันอยู่มากมาย?).. มีคนพูดถึงชาวสแกนดิเนเวีย,มองว่า..ระบบเขาดี,คนของเขาค่อนข้างเท่าเทียมกัน,มีสวัสดิการรัฐที่ดี,มีเงินให้ไปท่องเที่ยวในแต่ละปี.. แต่สังคมไทยทำไมจึงมีคนรวยที่รวยล้นฟ้าเพียงแค่ไม่กี่คน?( =ยอดปีรามิด),แต่คนที่รอรับเงินแจกแค่50บาทมีอยู่ทั่วประเทศ?( =ฐานปีรามิด).. เคยมีนักบวชพุทธบางสำนักพูดถึงประมาณว่า.. ไม่มีคนที่มีฐานะร่ำรวยคนใด(?),ที่จะไม่มีกิจการหรือบรรพบุรุษที่ได้เปรียบจากสังคมมาก่อนเลย(?)..ประมาณนี้.. และหลายครั้ง,หลายกรณี.. มีข้อน่าคิดว่า..คนที่มีปัญหาชีวิตหลายคน(บางคนถึงกับตัดสินใจคิดไม่ยาว,ตัดช่องน้อยไปแล้วก็มี?),ที่ทำไมต้องรอให้สื่อบางสื่อเอาชีวิตที่ลำเค็ญ?หรือพิการ?มานำเสนอต่อสาธารณะ,แล้วเปิดบัญชีขอรับบริจาค?.. แล้วคนไทยก็ล้วนใจดี,พากันบริจาคผ่านบัญชีไปให้,จนบางรายได้รับเงินบริจาคอย่างมากมาย,ยังกับถูกรางวัลที่หนึ่งจนอาจเปลี่ยนแปลงฐานะรวยกว่าผู้ที่บริจาคให้เสียอีกไปเลย(?).. แต่กลับไม่มีใครคิดว่า..ยังมีคนลำบาก?หรือคนพิการ?(รวมทั้งผู้ป่วยติดเตียง,และคนไร้บ้านที่อยู่ใต้สะพาน,ทางลอดต่างๆที่ยังไม่เป็นข่าวยังคงไม่ได้รับส่วนเฉลี่ยจากเงินบริจาคที่ให้กับเฉพาะบางรายที่เป็นข่าวมาให้กับพวกเขาบ้างได้หรือไม่?.. เราอยากให้ออกกฎหมายว่า..ให้คนที่ประสงค์อยากบริจาคให้กับผู้ทุกข์ยาก,ให้บริจาคได้เฉพาะในบัญชีของรัฐแบบรวมศูนย์ได้เท่านั้น(?)(ห้ามเปิดบัญชีเฉพาะรายใดรายหนึ่งโดยเด็ดขาด?).. และให้นำไปเฉลี่ยให้ผู้ทุกข์ยากลำบาก,พิการ,จรจัดอย่างทั่วถึง,เป็นธรรม..ดีหรือไม่?..(เพราะเราไม่อยากเห็นว่า..สังคมนี้ตรงกับคำพังเพยที่ว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้า..นั่นเลย?)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 23 กันยายน 2566 เวลา:4:39:46 น.
(ความคิดเห็นส่วนตัว).. ช่วงนี้สังคมไทยมักมีการฟ้องร้องกันมาก.. เรามองว่า.. สังคมใดก็ตาม.. ที่มีการฟ้องร้อง?กันมากเกินไป?..(โดยเฉพาะเรื่องหยุมหยิม,สัพเพเหระ,มโนสาเร่?ซึ่งควรมองแบบใจนักเลงว่าขอกันกินมากกว่านั้น?น่าจะดีกว่า?)(ส่วนหนึ่งอาจมาจากความนิยมในการติดตามดูซีรี่ส์ละครต่างๆในสื่อบางส่วนที่ต้องคอยติดตามดู,ติดตามลุ้นว่าเมื่อไหร่ฝ่ายพระเอก,นางเอกจะได้รับชัยชนะในตอนจบจากการถูกกลั่นแกล้งเสียที?..ก็เป็นได้?).. ซึ่งจะทำให้สังคมนั้นไม่เจริญรุดหน้าเท่าที่ควร? ,เสียเศรษฐกิจ?(อาจได้ประโยชน์เฉพาะผู้รับงานด้านกฎหมาย?ทั้งหลายเท่านั้น(?),ที่จะมีฐานะดีขึ้น?และมีงานมากขึ้น?..หรือไม่?).. แต่เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะแย่ลง(?).. เพราะการฟ้องร้องแต่ละคดีเสียเวลามากๆ,เสียค่าใช้จ่าย,เหน็ดเหนื่อยกับการต้องเดินทางไปศาลแล้วๆเล่าๆ,เป็นปีๆ,และเสียสุขภาพจิตในการรอผลของคดีซึ่งมีถึง3ชั้นซึ่งอาจใช้เวลาใน"บางคดี"ถึง10-20ปีก็ยังมี(?)[สังคมเราจึงไม่ควรส่งเสริม,เร่งเร้า",หรือมีการถามนำโดยสื่อบางส่วนเพื่อให้มีการฟ้องร้องในเรื่องเล็กๆน้อยๆ(เช่น..การพูดหมิ่นกันไป-มา?)มากจนเกินไป(?)].. จะสังเกตว่า.. คนเชื้อสายจีนแต่ดั้งเดิม,ทำไมเขาจึงมีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมากกว่าคนไทย.. เพราะDNAทางสมองของเขาได้รับการปลูกฝังจากบรรพบุรุษมาดังนี้คือ.. ถ้าจะให้เป็นความกัน..สู้กินอุจจาระดีกว่า..ประมาณนี้ครับ.. คดีที่อาจจำเป็นต้องมีการฟ้องร้องคือคดีที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นซึ่งเป็นผลประโยชน์ของส่วนรวม,และคดีที่เป็นอาชญากรรมและอาชญากรรมต่อเนื่องที่มีความรุนแรงและร้ายแรง,สร้างความเสียหายต่อสังคมเท่านั้น.. แม้แต่คดีที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรต่างๆ,เราก็ไม่อยากให้มีการฟ้องร้องกันเลย(?).. เพราะมีส่วนบั่นทอนความคิดริเริ่ม?ของเด็กรุ่นใหม่ในการเริ่มทำมาหากินของคนไทย(ซึ่งเป็นการบั่นทอนเศรษฐกิจโดยรวมเป็นอย่างมาก?).. แต่ถ้ามีการละเมิดจริง?.. น่าจะใช้หรือให้มีหน่วยงานที่เข้าไปชี้แนะก่อน(โดยยังไม่ต้องเอาโทษ?)..โดยขอให้ยุติหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้ต่างจากต้นแบบของผู้ริเริ่ม,ดูน่าจะสร้างสรรค์กว่า,ซึ่งไม่ควรให้มีกฎหมายที่เอื้อให้เกิดประโยชน์?กับเจ้าของลิขสิทธิ์?ที่มากล้นจนเกินไป?,จนอาจกลายเป็นการคิดหารายได้?เพื่อสร้างความร่ำรวย?อีกวิธีการหนึ่ง(?)..ไปนั่นเลย?..หรือไม่?..ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 171.97.73.196 วันที่: 24 กันยายน 2566 เวลา:13:29:32 น.
สังคมที่ผู้ใหญ่ๆในสังคมไม่ค่อยกล้าแสดงความเห็นใดๆ,เพราะกลัวเปลืองตัว?หรือกลัวทัวร์ลง?.. แล้วคุณจะคิดอย่างไร?.. ถ้ายุคการเมืองกีฬาสี,อาจมีบางคน,บางกลุ่มไปเป่านกหวีดเพื่อขับไล่คนบางคนที่อยู่คนละข้างทางการเมือง",และกรณีที่มีคนบางคนไล่คนบางคนออกจากร้านอาหารเพราะเหตุผลทางการเมือง.. ว่ามันก็ดูเป็นบริบทคล้ายๆกัน?..หรือไม่?(มีสื่อบางท่านของบางช่องพูดเหมือนมองเรื่องจริยธรรมประหนึ่งว่า.. ตนเองพูดอย่างเป็นกลาง?,แต่ไม่สำรวจตนเองว่า..ที่ตนเองมักวิเคราะห์เพื่อประโยชน์ให้กับการเมืองบางฝ่ายนั่น..เพราะ..ตนเองยังต้องพึ่งพาค่าจ้างจากเจ้าของสื่อบางสื่อที่อิง,เกี่ยวพันอยู่กับกลุ่มการเมืองบางฝ่าย?..หรือไม่?.. ธรรมดาการรับค่าจ้างจากใคร?,ก็ต้องพูดอวยนายจ้างคนนั้น?..จะพูดอย่างไร?,ก็ดูจะไม่มีน้ำหนักซักเท่าไรหรอก?.. ใช่หรือไม่?).. เช่นเดียวกัน.. การที่บางคนมักอ้างว่า..จำเป็นต้องประกอบอาชีพ?ในบางอาชีพ?ที่สังคมไทยไม่ยอมรับ?นั่นเพราะเหตุผลว่า..ต้องดิ้นรน,หาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว?สารพัดเหตุผล?นั้น.. เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ในสังคมควรออกมาแสดงเหตุผลว่าควรยอมรับได้หรือไม่??.. แต่ทำไมไม่คิดว่า.. น่าจะออกมาเรียกร้องให้รัฐบาล(ไม่ว่าคณะรัฐบาลไหนๆ?ก็ตาม)ว่า..ควรจัดสรรระบบรัฐสวัสดิการแบบกลุ่มสแกนดิเนเวียที่แม้ตกงาน,ไม่มีรายได้?ก็สามารถทำเรื่องขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายต่างๆจากรัฐเนื่องจากการตกงานจากทางรัฐบาลได้[[โดยไม่จำเป็นต้องอ้างว่า.. ต้องยอมทำอาชีพที่ไม่ถูก(ผิด)หลักศีลธรรม?(บางอาชีพ)นั้นๆ.. ที่ทำให้ค่านิยมทางศีลธรรมเสื่อมถอยลงไป?,และยังอาจเป็นตัวอย่างให้แก่ลูกหลาน,หรือเยาวชนรุ่นหลังที่จะทำตาม,เพราะมีต้นแบบที่ทำให้ดูไว้ก่อนอยู่แล้ว?]].. อย่างนี้ดีหรือไม่?..(ยังคงอยากย้ำเรื่องความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย.. ขณะที่คนบางคน,บางกลุ่มต้องประกอบอาชีพที่ไม่เหมาะกับหลักศีลธรรมเพราะเหตุอ้างความยากจน,ไม่มีทางออก?.. แต่อีกหลายคน,หลายกลุ่ม,หลายตระกูล?ซึ่งอยู่ยอดปีระมิด?,กลับมีสถานะรวยล้นฟ้า?,ใช้อีก10ชาติก็ไม่หมด?.. สังคมจึงควรช่วยกัน,หาทางลดความเหลี่อมล้ำเหล่านี้?ลงบ้าง?บางส่วน?..ดีหรือไม่?)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.15.47 วันที่: 1 ตุลาคม 2566 เวลา:16:43:32 น.
วันนี้ได้ชมรายการเรื่องเล่าฯ(13-10-66)เรื่องยันฝึกตามหลักสูตร.. เราอยากบอกว่า..เรารู้สึกส่วนตัวว่า.. ระบบของสังคมเรามีความไม่เท่าเทียมจริงๆ.. เพราะเราไม่เคยเห็นว่า.. ลูกของเซเล่บ?หรือดาราหนุ่มๆ?(บางส่วนหรือส่วนมาก)ทั้งหลาย,จะเคยมีปัญหาจากการเข้ารับการฝึกต่างๆในระบบของรัฐ?แต่อย่างใดเลย(?) .. ส่วนมาก,ผู้ที่มีปัญหาในการฝึกหนักถึงเจ็บ,ถึงเสียชีวิตนั้น,มักเป็นกับลูกชาวบ้านระดับล่างถึงปานกลาง?กันทั้งนั้น(?).. เราจึงอยากขอเสนอแนะว่า.. เคยเห็นมั้ย?.. นักมวยเวลาชกแล้วล้ม,พอลุกขึ้น,กรรมการห้ามมวยจะมีการถามโดยการนับ1-10เชิงถามว่าไหวมั้ยๆ?,ถ้านักมวยยังไหวก็จะผงกหัวหลายๆครั้งทำนองตอบว่ายังไหวหรือไหวครับ..ประมาณนั้น.. แล้วกรรมการก็จึงจะตัดสินใจให้ชกต่อได้.. แต่ถ้าไม่มีการตอบสนองใดๆ,ปล่อยให้กรรมการนับจนครบ10,กรรมการก็จะยุติการชกไปเลย..ประมาณนี้ครับ.. เราเองก็เคยฝึกวิชาทหารมาเช่นเดียวกัน,จะมีช่วงหนึ่งที่ให้ข้ามห้วยด้วยสลิงเหล็ก2เส้น,เราตัวสูงไม่มาก,คนที่สูงกว่าอยู่ขนาบ,เหมือนจะคอยยกสลิงให้เหมาะแก่ตัวเอง,จนทำให้เราเกือบไม่สามารถเหยียบสลิงเส้นล่างได้,ตอนนั้นก็เกือบจะตกห้วยไปเลย(ซึ่งก็ว่ายน้ำไม่เป็นด้วยอีก?),แต่ก็โชคดีที่ผ่านมาได้,แต่ระดับวิชาทหารก็ดูเหมือนบทฝึกยากๆ.. เช่น.. ว่ายน้ำก็จะมีประกาศว่า.. ถ้าใครว่ายไม่เป็นก็ไม่ต้อง..ประมาณนี้..ก็ถือว่ายังดีอยู่บ้าง.. เราก็จึงเห็นว่า.. ครูฝึก(บางส่วน)ควรให้การดูแล,ห่วงใยทหารใหม่เหมือนกับเป็นพี่น้องหรือลูกหลาน,คอยถามไถ่ว่าไหวมั้ย?..ถ้าใครรู้ตัวว่าไม่ไหวจริงๆ,ก็ให้ขออนุญาตพักการฝึกได้..ประมาณนี้ครับ..(เพราะโดยทั่วไป,มนุษย์มีศักดิ์ศรีทุกคน,ที่อยากผ่านการฝึกให้ได้เหมือนกับเพื่อนๆ,ถ้าไม่หนักจริงๆ,ก็คงไม่มีใครอยากขอหยุดพักกลางครัน?..หรอกครับ?.. ...ด้วยความเคารพทุกท่านครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.205 วันที่: 13 ตุลาคม 2566 เวลา:10:40:33 น.
(A)วันนี้ได้ดูรายการข่าวหัวข้อสุดช้ำ! ยายอายุ75ปี ถูกหลอกให้รัก(11-10-66).. มีความเห็นและข้อแนะนำดังนี้.. เราส่วนตัวเคยฝึกเกี่ยวกับเรื่องการนั่งสมาธิต่างๆ.. ตอนหลังพยายามฝึกอ่านจริต,สายตา,ท่าทีของคนและน้ำเสียงในการพูดจาต่างๆก็รู้สึกว่า..ตนเองพอจะอ่านออกว่า..บุคคลท่าทีอย่างไร?,พูดจาอย่างไร?,แล้วมักจะเป็นคนอย่างไร?ได้ไม่ยากนัก..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.205 วันที่: 13 ตุลาคม 2566 เวลา:15:29:48 น.
(B)และเมื่อได้ชมข่าวสารการล่อลวงต่างๆ,จึงมานั่งคิดวิเคราะห์ว่า..ทำไมคนหลายๆคน(แม้แต่คนที่อยู่ในวงการสื่อสาร,เล่าข่าวต่างๆ..ก็ยังมีด้วย),ก็ยังสามารถถูกล่อลวงจากมิจฉาชีพหรือแก๊งคอลฯได้ด้วย(?).. ซึ่งหลายๆกรณี..ก็มักเกิดจากความโลภ(?)ที่อยากได้เงินแบบง่ายๆ?จากผู้ชักชวนลงทุนต่างๆ?นั่นหนึ่งประการ.. ทำให้คล้ายมึนงง,ตามัวไปชั่วขณะนั่นก็1อย่าง.. และมีบางกรณีถึงกับเป็นเหตุให้เกิดเหตุถึงกับต้องทำร้ายคนในครอบครัวไปถึง3-4คน?ก็ยังมี..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.205 วันที่: 13 ตุลาคม 2566 เวลา:15:38:32 น.
(C)ซึ่งในเค้สบางเค้สนี้,จะมีวีธีการหลอกทำนองว่า..ขั้นแรกพอเหยื่อลองลงทุนน้อยๆแล้วได้เงินคืนหรือได้กำไรปันผล(ตามที่บอกไว้)ในระยะเวลาที่รวดเร็วก็เป็นหลักจิตวิทยาที่จูงใจให้เชื่อถือไว้ส่วนหนึ่งก่อน.. ต่อมาเมื่อเริ่มขยับเงินลงทุนสูงขึ้น,ก็เริ่มจะมีผู้ล่อลวงที่อ้างเหตุนู่นนี่?เพื่อชะลอการจ่ายเงินตามที่บอกไว้?,ในเวลาที่เหยื่อต้องการที่จะถอนเงินออกว่า..มีเรื่องทำรายการผิดพลาด?,จะต้องมีเงื่อนไขต่างๆ?ตามมา,ฝ่ายเหยื่อนั้น,เมื่อได้เสียเงินไปจำนวนเล็กน้อยบางส่วนแล้ว(แม้บางรายจะเริ่มไหวตัว,รู้ว่าน่าจะถูกหลอกแล้วมั้ง?),แต่ก็โดยมากมักจะอยากได้เงินลงทุนคืน?(และมักไม่ยอมแจ้งความ,หรืออาจถูกพูดเชิงขู่ว่า..ถ้าไปแจ้งความ,อาจจะไม่ได้เงินคืนเลย?).. ซึ่งผู้หลอกลวงมักจะรู้จักจิตวิทยามนุษย์(ของผู้ตกเป็นเหยื่อ)ข้อนี้ดี..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.205 วันที่: 13 ตุลาคม 2566 เวลา:15:55:59 น.
(D)สุดท้ายจึงคล้ายเป็นวงจรอุบาทว์?ที่เหยื่อหลายราย(บางส่วน)จึงมักถูกหลอกให้โอนเงินให้เพิ่ม?,เพื่อจะปลดล็อค?เพื่อจะเอาเงินเก่ากลับคืนมา?,และเมื่อยิ่งเสียเงินมากขึ้น?และยังคงไม่ได้เงินกลับคืนมาอีก?,ก็จะยิ่งเสียดายมากยิ่งขึ้น?(ก็ยิ่งหลงกลหลอกต่างๆ?มากยิ่งขึ้น?).. จึงที่สุดจากถูกหลอกเงินแค่หลักหมื่น?ก็ลามไปจนเป็นเงินหลักล้าน?.. หรือจากหลักแค่แสน?ก็กลายเป็นหลักหลายสิบล้าน?ไปเลยก็มี?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.205 วันที่: 13 ตุลาคม 2566 เวลา:16:14:01 น.
(F)จึงอยากแนะนำว่า.. ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มรู้ว่าเราคงถูกหลอก?แล้วล่ะ!?.. ก็ต้องหัดทำใจแข็ง,ตัดใจทันทีว่า..ต้องตัดการติดต่อ(ไม่ต้องกลัวคนในครอบครัวจะต่อว่า),ไม่ต้องอยากได้เงินส่วนน้อยนั้นคืนไปเลย,แล้วรีบแจ้งอายัดบัญชี,หรือแจ้งความไว้ก่อนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้.. โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ที่มาหลอกลวงนั้นจะเป็นผู้ใด?(แม้จะเป็นคนสนิทที่ใกล้ชิดเอง?)ก็ตาม(?).. อย่างนี้ก็จะทำให้ลดความเสียหายจากหนักเป็นเบาได้ครับ.. ...ด้วยความปรารถนาดีครับและด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.205 วันที่: 13 ตุลาคม 2566 เวลา:16:19:06 น.
วันนี้ดูรายการเรื่องเล่าฯ(15-10-66).. คารมดี,ใช้จิตวิทยาจูงใจได้ดีอาจไม่ได้แปลว่าสิ่งที่ทำนั้นต้องถูกต้องเสมอไป?.. ใช่หรือไม่?.. คนไทย(บางส่วน)มักใจอ่อน,เชื่อง่าย,หลงคำหวาน?(อย่างกรณีหญิง74ปีที่ถูกหลอกจากหนุ่มเสียงนุ่ม?หมดไปราว18ล้านบาท..เป็นต้น..นั่นปะไร?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 15 ตุลาคม 2566 เวลา:12:26:32 น.
คนไทยส่วนมากยังไม่ใช่คนร่ำรวย.. การที่คนไทย(บางส่วน)จะได้เงินมาด้วยนโยบายจัดสรรใดๆ(ที่..ที่สุดก็ต้องมาไล่เบี้ยจากเงินภาษีของเขาเอง,ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม,วิธีใดวิธีหนึ่ง)นั้น.. ไม่ว่าใคร?..ก็ย่อมต้องการทั้งนั้นแหละ?(โดยไม่จำเป็นต้องไปถามก็ได้..ว่ามีใครต้องการเงินมั้ย?)..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 15 ตุลาคม 2566 เวลา:12:34:28 น.
แต่สิ่งที่สังคมไทย(บางส่วน)ไม่มั่นใจ(?).. นั่นก็คือ..ความโปร่งใส,ตรวจสอบได้?(แม้แต่สถานดูแลสุขภาพ?ของบางชั้น?ก็ยังตรวจสอบได้ยากเลย?.. ใช่มั้ย?)..นั่นต่างหาก(?).. การดูแลสังคมใดๆ?นั้น.. ผู้มีอำนาจดูแล?ต้องไม่คิดแบบเชิงธุรกิจ?ที่คิดว่า.. จะต้องการซื้อใจประชาชน?ให้ได้?,โดยใช้นโยบายประชานิยม?ต่างๆ..โดยไม่ดูภาพรวมต่างๆ?..(แต่สมมุติว่า.. เป็นเงินส่วนตัวที่เหลือใช้?ที่เก็บรวบรวมจากผู้ที่เป็นเศรษฐีทั้งหลาย?,แล้วนำมาแจก..ก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอก?.. ใช่หรือไม่?)..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 15 ตุลาคม 2566 เวลา:12:45:36 น.
เหมือนอย่างเรื่องนโยบายรับจำนำผลิตผลบางอย่าง?ของบางรบ.?.. ซึ่งประชาชนหลายภาคส่วนก็พึงพอใจกันทั้งนั้นแหละ?.. รวมทั้งผู้ที่หาช่อง,ลักลอบ?นำผลผลิตจากเพื่อนบ้านชายแดนเข้ามาสวมสิทธิ์ในประเทศเรา?ตามที่เคยได้ยินกันมา?นั่นเขาก็ล้วนพึงพอใจในนโยบายนั้นๆ?ด้วย?.. แต่มีคำถามว่า.. ทำไมผู้ที่บริหารนโยบายนั้นๆ?(บางท่าน)ต้องถูกกักขัง?อยู่ในเรือนจำ?จนถึงบัดนี้ด้วยล่ะ?.. ตอบได้มั้ย?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 15 ตุลาคม 2566 เวลา:13:00:59 น.
สังคมเรา..บางครั้งก็ต้องโทษประชาชนเรากันเองนั่นแหละ.. ที่ไม่นำเอาหลักศาสนา.. เช่น.. มงคลชีวิตข้อที่1ที่ว่า.. อเสวนา จ พาลานัง.. นั้นเป็นมงคลชีวิตอย่างยิ่ง.. ประมาณนั้น.. เพราะสังคมเรา.. บางครั้ง,บางคนก็นับถือศาสนาแค่สิ่งฉาบพอก( =เปลือก,พิธีกรรม)ของศาสนา..เท่านั้น.. เช่น.. หวย,เบอร์,การพนันก็เป็นอบายมุขก็เป็นทางเสื่อม.. แต่สังคมเราก็มีผู้นิยมเรื่องหวย,เบอร์,การพนันขันต่อ?กันอย่างมาก,ถึงมากที่สุด(?).. ,แม้กระทั่งสื่อบางสื่อ?ก็อยากได้เรตติ้งผู้ชม?,ก็ยังพยายามนำเลขนั่น,เลขนี่?มานำเสนอแก่ผู้ชมรายการต่างๆอีกด้วย(?).. เมื่อใช้เงินทางผิด..แล้วจะหวังความเจริญรุ่งเรือง?แก่ชีวิตครอบครัว?และชีวิตของสังคม?..ได้อย่างไร?..ใช่หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 17 ตุลาคม 2566 เวลา:13:06:51 น.
อยากให้สื่อดังๆช่องต่างๆน่าจะลองไปตามขอสัมภาษณ์บรรดาเศรษฐี50อันดับของไทย.. จากคนในครอบครัวของเขาหรือตัวเขาเองว่า..นิยมเรื่องหวย,เบอร์หรือการพนันต่างๆ?..หรือไม่?.. จะได้พอรู้ว่า.. ที่เขามีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจขึ้นมาจากเดิม,ที่มีแค่เสื่อผืน,หมอนใบ?นั้น.. เพราะเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 17 ตุลาคม 2566 เวลา:13:14:33 น.
ส่วนตัวเราจริงๆ..(ขอสมมุตินะ).. เราว่า..หรืออยากเสนอแก่ตัวแทนปชช.ทั้งหลายว่า.. ผู้ที่เคยทำธุรกิจใหญ่ๆ?มาตลอดชีวิต(?),หรือมีเครือญาติใกล้ชิด?ที่ทำธุรกิจใหญ่ๆ?,ควรออกกฎหมายให้ไม่มีสิทธิ์รับตำแหน่ง?เป็นผู้บริหารสังคม?ในตำแหน่งที่สูงๆ?..อย่างนี้..จะดีหรือไม่?.. เพราะเราไม่คอยเชื่อหรอกว่า.. ผู้บริหารสังคม?(ไม่ว่าตำแหน่งไหน?)ที่พื้นเพครอบครัวเคยทำธุรกิจใหญ่ๆ?,แล้วแนวคิดต่างๆ?,เมื่อเริ่มคิดในเรื่องการออกแนวทางบริหารสังคม?ในเรื่องใดๆ?ก็ตาม(โดยเฉพาะผู้ที่มีความคล่องแคล่ว,คล่องตัว?ในการบริหารธุรกิจ?ที่สูงมาก?).. แล้วจะตัดใจได้เด็ดขาด?,ไม่วกเวียนความคิด?ไปถึงเรื่องผลประโยชน์ซับซ้อน?,หรือเงินทอน?,หรือคอมมิชชั่นต่างๆ?,ที่จะหาทางบูมเมอแรง?ให้เกิดเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจของครอบครัว?,หรือธุรกิจของเครือญาติ?ของตัวเอง?.. ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 17 ตุลาคม 2566 เวลา:13:36:59 น.
มีเกร็ดตลกในวงกาแฟนะ.. มีคนพูดอยู่หลายคนทำนองว่า.. เอ๊..ทำไมคณะที่มาร่วมทำงานให้กับสังคมก็มีหลายคณะ.. แต่ทำไมเขาไม่ทักท้วงคณะที่จะทำเรื่องแจก.....?นั้นนะ?,ว่าอาจมีนัยยะที่ไม่ค่อยถูกต้องตามกฎระเบียบต่างๆ?ที่กำหนดกันไว้?.. ก็ได้พูดสมมุติกันขึ้นมาทำนองว่า.. ก็เช่น.. มีคนหนึ่งเห็นน้องของเพื่อนกำลังจะเดินเข้าไปในบ่อนพนัน,ก็ไปกระซิบบอกเพื่อนที่เป็นพี่ชายว่า.. เฮ้ย..น้องของลื้อมันเข้าไปเล่นในบ่อนนะ!..ลื้อทำไมไม่ห้ามปรามวะ?,ยังเรียนหนังสืออยู่,ยังเรียนไม่จบ,เดี๋ยวก็เสียคน,หมดเนื้อหมดตัวหรอก?.. ฝ่ายพี่ชายของเด็กคนนั้นก็เลยบอกกับเพื่อนว่า.. เฮ้ย..ช่างมันเถอะ..ชีวิตใครชีวิตมัน.. เพราะข้าเองก็กำลังจะเข้าไปเล่นในบ่อนนี้เหมือนกันว่ะ!.. !?!?!.. เฉลยคำตอบ..ประมาณว่า.. ก็คณะที่เห็นอีกคณะที่เขาทำไม่ค่อยถูกต้อง,แล้วเขาก็พากันเงียบเฉย(?).. นั่นเพราะที่เขาไม่ยอมพากันมาทักท้วง.. เพราะคณะของเขาที่อาสาเข้ามาดูแลสังคม?(และพอดีได้รับเลือก)คณะนี้นั้น,เขาก็มีแนวทาง,ทัศนะที่มุ่งหวังทำเพื่อเงินทอน?,หรือคอมมิชชั่นต่างๆ?,แก่คณะของเขาที่ได้รับมอบหมาย,ให้เข้ามาดูแลงานบางอย่าง?..เช่นเดียวกัน?..นั่นไง?.. เพราะถ้าขืนไปทักท้วงอีกคณะเข้า,เกิดอีกคณะไม่พอใจขึ้นมา,ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกทักท้วงหรือวีโต้?ในงานที่ได้รับมอบหมาย?ของคณะตนเองกลับคืนมาได้เช่นเดียวกัน?..ไงล่ะ?.. เดี๋ยวนี้ใครก็อย่าไปคิดว่า..ปชช.นั้นไม่ฉลาด?(=โง่?).. เพราะยุคสมัยนี้ปชช.ต่างรู้ทันนกม.?กันหมดแล้ว?.. เพียงแต่ยังไม่รู้ว่า..จะแก้ปัญหาอย่างไร?กับคณะทำงาน?(บางคณะ)ที่มีกลฉ้อฉล?กันอย่างไรดี?..เท่านั้นครับ.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 17 ตุลาคม 2566 เวลา:15:02:23 น.
ดูไล้ฟ์สดของช่องอมรินทร์,18-10-66.. มีความเห็นดังนี้.. เดี๋ยวนี้เรามีเรื่องของดิจิตอลฟุตพริ้นท์.. ดังนั้น..ข้อมูลต่างๆมีการบันทึกไว้หมด(?).. อยากขอเสนอให้สื่อช่องต่างๆควรนำ"คลิปบางคลิป"มานำเสนอ.. เช่น..กรณีที่มีนกม.(บางท่าน)ที่เคยพูดรับปากกับปชช.ประมาณว่า.. จะยืนอยู่เคียงข้างกับปชต.?,แต่ภายหลังเมื่อมีความผิดพลาดจากการบริหารนโยบาย?(ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้เกิดขึ้น?..ก็ตาม),แต่สุดท้ายก็มีการหลบออกไป?(ของบางท่าน),มีแต่ลูกน้องที่ยังถูกจำขังอยู่?เท่านั้น(?)..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 18 ตุลาคม 2566 เวลา:12:07:23 น.
จึงอยากให้สื่อบางส่วนลองถามผู้บริหารนโยบายสำหรับนโยบายแจก.....?ครั้งใหม่?.. ว่าถ้ามีการผิดพลาด?ขึ้นมาอีก(?.).. ผู้บริหารนโยบายทุกระดับ?จะกล้ารับปากกับปชช.?ได้หรือไม่?ว่า.. จะไม่ทำเหมือนกับบางท่าน?ที่อยู่ในอดีตคณะบริหารนโยบาย?(ที่ผ่านๆมา).. คือ.. ขอให้รับปากว่า..ผู้บริหาร(คณะใหม่)ทุกท่านจะไม่มีการหลบไปอยู่ที่อื่น?ที่เกินกว่าขอบเขตการบังคับใช้กฎหมาย?ของกระบวนการยุติธรรมทุกระดับ?..ได้หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 18 ตุลาคม 2566 เวลา:12:10:53 น.
และอยากฝากให้ข้อคิดว่า.. ปชช.อย่าเพลินในความที่พูดชี้แจงได้อย่างคล่องแคล่ว?ของใครก็ตาม?(?).. เพราะไม่ได้เป็น"เครื่องการันตี?"ว่า.."คำพูดนั้นๆ?"จะต้องถูกต้องเสมอไปจ้ะ?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 18 ตุลาคม 2566 เวลา:12:25:05 น.
เพราะยิ่งบุคคลใด?ที่พูดจาได้คล่องแคล่วมากเท่าใด(?),ยิ่งชี้ว่าบุคคลนั้น?ย่อมสามารถปกปิดความในใจ?,และมุมซ่อนเร้นในส่วนตัว?ได้มาก,ได้เก่ง?..เท่านั้นจ้ะ!? ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 18 ตุลาคม 2566 เวลา:12:28:19 น.
(เช่น.. ข่าวของคนพูดคล่อง?"(บางคน)ที่ใช้"สารบางอย่าง?"เพื่อทำร้ายคนที่เขาเข้าไปสนิทสนมด้วย?..ตามที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆนี้?..นั่นไง?).. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 18 ตุลาคม 2566 เวลา:12:31:31 น.
ได้ดูบางรายการ,ของวันที่2-11-66,เรื่องหลอกให้หย่า?( =แค่ไว้เผื่อประโยชน์บางอย่าง?,เพราะอาจมองว่าอีกฝ่ายเป็นคนใจอ่อน,ไร้พิษสง?).. และมีความเห็นส่วนตัวดังนี้.. คู่ใด?ที่ได้คู่ชีวิตที่จริงใจต่อกัน(ไม่มีเรื่องคบซ้อน?,เล่นกิ๊ก?,เล่นชู้?),ไม่มีเรื่องนอกใจซึ่งกันและกัน?,ถือว่าเป็นคู่ที่โชคดีตลอดชีวิต(?).. แต่อยากบอก,อยากพูดตามประสบการณ์ส่วนตัวว่า.. หญิงชายที่ครองคู่(ส่วนมาก,หรือจำนวนไม่น้อย?)มักมาจากเรื่องผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายคาดหวัง?(อาจเป็นเรื่องรักอยากลอง?เหมือนลองซื้อหวย?ประมาณนั้น),เมื่อหมดประโยชน์?(หรือเริ่มเบื่อ,เพราะจำเจ?),หรือเพราะสาเหตุสารพัด,จิปาถะ?ก็มักจะหาเรื่องที่จะมีคนใหม่?และหาทาง(ขอ)เลิกจากคนเก่า?.. ถ้าฝ่ายใดจิตอ่อน?,ยังผูกพัน,ให้อภัย?ก็มักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่ออีกฝ่าย?,หรือมักทำให้อีกฝ่ายเห็นเป็นฐานรองบ่อน?หรือตัวสำรอง?เพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง?,ยามต้องการประโยชน์ต่างๆ?(เฉพาะหน้า?),หรือมีความต้องการบางอย่าง?(ประมาณแก้ขัด?)ได้เสมอ(?).. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2566 เวลา:20:02:06 น.
ข้อสรุปส่วนตัวกรณีหลอกให้หย่า?(จากความเห็น,ประสบการณ์ส่วนตัว)..
1.ความรักมั่น,รักเดียวใจเดียว?นั้น,ควรต้องแสดงออกด้วยการกระทำ?,มิใช่แค่คำพูดเมื่อครั้งเริ่มแรก?ที่แสดงออกว่ารักกัน?..เท่านั้น(?).. เพราะมักจะมีผลไปถึงระดับDNA?(ทางจิตวิญญาณ?หรืออาจมีผลไปถึงการเบี่ยงเบนดีเอ็นเอทางกายภาพ?ด้วย?),ที่ลูกที่เกิดขึ้นมามักจะรับการถ่ายทอดพฤติกรรม?จากบุพการี?.. เช่น.. ถ้าเป็นลูกหญิง,ถ้าเห็นแม่เจ้าชู้?,คบซ้อน?,หลายใจ?,เมื่อประสบการณ์เรื่องหญิง-ชายมากขึ้น,มักจะเลียนแบบตามแม่?,โดยมิจำเป็นต้องสอน?(หรือสอนไม่ได้?),โดยมักอ้างว่าในใจตนเอง?ว่าทำตามแม่?,หรือแม่ก็ยังทำ?.. หรือถ้าเป็นลูกชาย,เป็นธรรมชาติที่ลูกชายมักจะอยากเก่งเรื่องทางเพศ?ตามพ่อ( =มักคิดว่าบริหารเสน่ห์?,มีหญิงพัวพันหลายคน?,มองว่าเท่?,และภูมิใจในความเป็นชาย?),โดยที่ถ้าพ่อมีหญิงเป็นภรรยา?หลายคน?,ที่สุดเมื่อประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น?,มักจะอยากทำสถิติให้ได้ทัดเทียมกับพ่อ?(เพราะเห็นพฤติกรรมเหล่านี้?อยู่เรื่อยๆ,จนชินตา,จนซึมซับว่าเป็นเรื่องธรรมดาของเพศชาย(?),หรือถ้าเป็นไปได้,ก็อยากทำให้ได้จำนวนเหนือกว่าพ่อ?ด้วยซ้ำไป(?)..
2.ความดี,ความตั้งใจครองคู่,ความมั่นคงในการต้องการเป็นครอบครัวมักจะเป็นกับคู่คนแรก(โดยเฉพาะกับหญิง), หรือมักจะพูดได้ว่าภรรยาคนแรกมักดีกว่าภรรยาที่ถัดๆมาเสมอ(?)(ประมาณนั้น),โดยเฉพาะเมื่อหญิงใด?ที่รู้ทั้งรู้ว่าสามีมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว(หรือเคยมีภรรยามาแล้ว),และยังยอมเป็นภรรยารอง?หรือภรรยาน้อย?,มักประเมินได้ว่า..จะหาความจริงใจที่ยั่งยืน?จากภรรยาคนถัดมา?ได้ยาก(?),เพราะมักมุ่งหวังผลประโยชน์อื่นๆ?(เช่น..เรื่องทรัพย์?,สถานะ?)จนยอมที่จะเป็นน้อย?หรือเป็นรอง?,หรือแย่งคู่คนอื่น?(โดยมองข้ามหลักศีลธรรมของศาสนา?,อาจมองเพียงว่าใครดี,ใครได้?)ก็ยังยอม(?).. เพราะหลักคิดคือ..เมื่อเธอกล้าที่จะทำผิดหลักศีลธรรม?( =แย่งของรักจากผู้อื่น?มาได้?),ก็คงยากที่ผู้ชายจะมุ่งหวังความจริงใจ?ที่จะครองคู่จนตลอดชีวิต?จากหญิงผู้นั้น?ได้..(เพราะจะให้รักของมือสอง?มากกว่าของมือหนึ่ง?ได้อย่างไร?).. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2566 เวลา:4:53:59 น.
สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ..ใช่หรือไม่?.. ไม่สมควรที่จะเป็นลักษณะของการหลิ่วตาข้างหนึ่ง?หรือหลับตาข้างหนึ่ง?.. แต่ทุกๆฝ่ายควรเอื้อต่อระบบศีลธรรมของทุกๆศาสนา..(โดยไม่สนับสนุนหรือเข้าข้าง?,หรือให้ท้าย?ต่อคู่ครองบางคน?ที่มีลักษณะไม่กตัญญู?ต่อผู้ผลักดัน,สนับสนุนในหน้าที่,การงาน?,จนมีผลทำให้ครอบครัวพังทลาย?..ใช่หรือไม่?.. เพราะหลักกฎหมายก็ยังเคยได้ยินมาว่า..จะมีคดีที่บุพการีสามารถเรียกคืนทรัพย์ที่มอบให้กับบุตรได้.. ซึ่งเราเห็นส่วนตัวว่า..น่าจะสังเคราะห์เข้ากับการที่ภรรยาที่ได้อุดหนุนช่วยเหลือต่างๆ?(อย่างกรณีที่ภรรยาเป็นแม่ค้า,ช่วยให้สามีได้เป็นผอ...เป็นต้น),จนสามีได้หน้าที่การงานที่สำคัญ?,แล้วภายหลัง..เมื่อตน(สามี)ได้หน้าที่,การงาน?ที่สำคัญ,มีเกียรติ,มีหน้ามีตา?,แล้วกลับมาขอเลิกร้างจากภรรยา?โดยไม่มีสาเหตุสำคัญ?(นอกจากกรณีภรรยามีชู้?).. เราเห็นว่า..หัวหน้างาน?หรือผู้ใหญ่ๆของสังคม?ไม่ควรเพิกเฉย?,เอาหูไปไร่,ไปสวน?,หรือปล่อยให้ผู้กระทำสิ่งเหล่านี้?(ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด?ก็ตาม?)ได้อยู่ในหน้าที่,การงาน?(ที่มีเกียรติ?),ที่เคยได้รับการอุดหนุนจากคู่ครองคนเดิม?อีกต่อไป(?)(คล้ายคำที่ว่าพอได้ดี..แล้วก็ดันหัวเรือส่ง?) ประมาณนั้น?..หรือไม่?.. หรือไม่ควรใช้อำนาจหน้าที่?เพื่อช่วยเหลือกันเอง?ให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี?ต่อสังคมต่อไปหรือไม่?.. ซึ่งอาจเป็นเหตุที่จะทำให้สังคมไทยขาดไร้ซึ่งความอบอุ่นในครอบครัว?,ขาดสัญลักษณ์แห่งความเป็นคนดี?(อันคือความกตัญญู,รู้คุณผู้มีคุณต่อตน?)หรือไม่?.. ซึ่งทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยผลกระทบ?ซึ่งทำให้เกิดปัญหาในครอบครัว?ตามมาอย่างมากมาย?..หรือไม่?.. ซึ่งลูกบางคนอาจรู้สึกน้อยใจ?,จนอาจคิดผิด?,พาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงจรยาเสพติด?หรือสังคมเพื่อนฝูง?ที่อาจชักจูง,นำพา?ไปสู่สิ่งที่เลวร้าย?ตามมา?..ได้หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2566 เวลา:7:38:21 น.
(กรณีข่าวหญิงบางคนอ้างถูกหลอกทำคุณไสย,มนต์ดำ?).. อยากถามสังคมว่า.. สังคมเราจะเอายังไงกันดี?.. สมมุติว่า.. มีหมอมนต์,หมอเสน่ห์บางคนอาจอ้างว่าไปเรียนมนต์?จากไหนก็ไม่ทราบได้(?)(มีบางคนเคยอ้างว่าไปเรียนมาจากประเทศข้างบ้านเรา?ที่กิตติศัพท์เรื่องการทำคุณไสย์,มนต์ดำ?นั้นลือเลื่อง?),เพราะมักมีภาษาที่คนไทยฟังไม่เข้าใจ,หรือฟังไม่ออก,ซึ่งอาจมีการเขียนเป็นตัวอักษรยันต์?บ้าง?,มีเรื่องการสักยันต์?บ้าง?.. ประมาณว่า.. ต้องยอมรับว่า..สังคมเรามักชอบอะไรที่เป็นทั้งภาษาพูด?และภาษาเขียน?ที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง?..ว่างั้นเถอะ(?)..ประมาณนั้น..นั่นแหละ,แล้วก็จะมองว่าขลัง?และเชื่อ?.. ที่จริงเราคิดว่าน่าจะเป็นอุปาทานในจิต?ที่เชื่อ,ศรัทธา,ฝังใจ?ของผู้แสวงหา?ไปเองมากกว่าหรือไม่?(เพราะอุปาทานของคนบางคน?"บางทีมันก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ?และพิสดาร?และยากจะอธิบายให้กระจ่างได้?,ซึ่งถ้าเชื่อมากๆ?หรืออุปาทานจัดๆ?,บางทีก็เกิดอะไรแปลกๆ?ขึ้นได้(?)(แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปได้กับทุกคน?).. สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องของเทคนิค?,หรือจิตวิทยา?ที่อาจารย์มนต์บางคน?อาจใช้เพื่อเป็นประโยชน์,เพื่อให้ลูกศิษย์เชื่อถือ(?).. แต่มีข้อท้วงติงสำหรับสังคมไทย,ซึ่งชื่อว่าสังคมพุทธ(ซึ่งมีชาวพุทธราว95%)นั้นว่า.. สื่อบางส่วน?สมควรส่งเสริม,หรือนำมาพูดถึงแบบให้เกียรติ?หรือให้คุณค่า?เกินไปหรือไม่?,และสื่อบางท่านก็ยังมีพูดทำนองว่า..ตนเองก็เชื่ออยู่นะ(?),ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมคล้อยตามสื่อได้?..อะไรประมาณนี้..หรือไม่?.. เพราะอยากบอกว่า.. มันไม่ใช่หลักคำสอนของพุท?เลย(?).. ยิ่งถ้าเป็นนักบวชพุทธ(ที่สวมจีวร)แล้วมาทำคุณไสยเหล่านี้?,ที่เรารู้คือผิดมหาศีลของพุทธแน่นอน(?),แต่การลงโทษนักบวชนี้,เราไม่รู้ว่าจะต้องใช้ระเบียบใด?..อย่างไร?..หรือไม่?.. จึงอยากถามสำนักพุทธศาสนาว่า.. ทำไมจึงยอมให้เมืองพุทธมีทั้งอาจารย์คุณไสย?,อาจารย์มนต์ดำ?,อาจารย์สักยันต์ให้ขลัง?ที่ทำผิดหลักมหาศีลของพุทธ?กันเต็มไปหมด?.. แม้โดยอาจอ้างว่าเขาไม่ได้เป็นนักบวช?(ก็ตาม?),แต่การแสดงออกเช่นการใช้ภาษาบาลี?ที่ท่องเป็นมนต์คาถาต่าง?ที่ฟังไม่รู้ความหมาย?เพื่อให้ดูขลัง?ต่างๆ(?).. ที่เป็นเหตุให้คนเกิดความศรัทธา,เชื่อถือ?(โดยเฉพาะเป็นมากกับหญิง?)ที่มักมาให้ลงมนต์นั่น,นี่?สารพัด(?),ซึ่งมีหญิงจำนวนมากที่ตกไปในกลของบางอาจารย์ที่มักลามไปสู่เรื่องการละเมิดทางเพศ?(ตามที่เป็นข่าวอยู่เป็นระยะๆ?)มาโดยตลอด(?).. จึงเห็นว่าสำนักพุทธควรออกระเบียบ,แล้วนำเสนอไปยังสภา,ให้กำหนดให้ลัทธิบางอย่างเหล่านี้ที่ไม่ตรงกับหลักพุทธ,ให้ถือว่า..มีส่วนแอบอ้างคาถา(ภาษา)พุทธ?และนำพุทธรูป?มาเป็นลักษณะพุทธพาณิชย์?(หรือเครื่องจูงใจ?),และทำให้คนหลงใหล,งมงาย?ในสิ่งอันไม่ใช่หลักการของศาสนาพุทธ?..โดยรณรงค์,หาทางแก้ไขกันให้จริงจัง,และต่อเนื่อง.. จะดีหรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2566 เวลา:15:18:35 น.
ดูรายการเจาะลึกทั่วไป,13-11-66ได้ข้อคิดดังนี้..
(หลักคิดของเราเอง).. 1.ถ้าประชากรเล่นหวยเยอะ,หรือติดหวยแสดงว่า..การศึกษาวิชาคณิตศาสตร์เรื่องหลักความน่าจะเป็น(Probability)น่าจะล้มเหลว(?).. 2.การพนัน(หรือติดพนัน)จะทำให้เงินทุกกระเป๋าในกลุ่มพนันลดลงโดยรวม(ถ้าคิดแบบระบบปิด),เพราะจะเล่นอย่างเดียว,โดยไม่กินอาหารเลย?คงไม่ได้(?).. ดังนั้น.. เงินในระบบต้องหมดไปกับอย่างน้อยค่าอาหาร,หรืออาจมีค่าไฟ,ค่าแอร์,ค่าเช่าห้อง,ค่าจิปาถะเพื่อการดำรงอยู่,สุดท้ายทุกคนจะจนลง(=เศรษฐกิจโดยรวมแย่ลง)(แน่นอน)(=เป็นการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดผลิตผลใดๆ).. 3.คนจนเล่นหวย,คนรวยเล่นหุ้นคืออย่างไร?.. เพราะคนจนมีเงินน้อยจึงใช้หวยเป็นเครื่องเสี่ยงโชค( =การพนันชนิดหนึ่ง),หวังรวยทางลัด,เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อหุ้น.. ส่วนคนรวยที่พอมีเงินเท่านั้นจึงจะนิยมเล่นหุ้น(เรียกสวยๆว่าการลงทุนที่มีความเสี่ยง?)(ความเสี่ยง?=การพนันชนิดหนึ่ง?ก็ว่าได้?)(เช่น.. "บางบริษัท"อาจมีการตกแต่งรายละเอียดทางการเงิน?ให้ดูสวยดี,น่าลงทุนด้วย?,ประมาณนั้น?..เป็นต้น).. แต่จริงๆเป็นเรื่องความเสี่ยงที่มีหลักวิชาการตามสมควร,คือจะมีการคาดคะเนอนาคต?ตามหลักการต่างๆ?,แต่ก็คาดคะเนผิดได้,และถ้าคะเนผิด?เมื่อไหร่?,ก็มีสิทธิ์ขาดทุน(หรือ=เสียพนัน?)นั่นเอง?,ไม่ต่างกัน(?).. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.112.185 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2566 เวลา:11:51:49 น.
กรณีรายการโหนฯ,15-11-66(ตอนพลังจิต)..
(ความคิดเห็นส่วนตัว).. 1.ถ้าเป็นแถบชาวตะวันตกคนมักเชื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์มากกว่าเรื่องของการรักษาด้วยพลังจิตต่างๆ.. เพราะระบบต่างประเทศเขามีเรื่องของ"สวัสดิการแห่งรัฐคอยโอบอุ้มเกื้อหนุน,เขาจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเรื่องของความเชื่อต่างๆ.. แต่เรื่องของความเชื่อหรือพลังจิตมักจะมีมากในหมู่ชนทางซีกโลกตะวันออก,เพราะจัดอยู่ในสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากจน,ซึ่ง พอจะคิดถึงว่าต้องการไปรักษาในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์,ก็ต้องคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายซึ่งอาจทำให้เงินที่สะสมมาตลอดชีวิตต้องหมดไปในชั่วพริบตาก็เป็นได้..ประมาณนั้น.. จึงมักอาศัยการลองผิดลองถูกในเรื่องวิชาลี้ลับของอาจารย์ที่ได้ฝึกฝนเรื่องของวิชาอาคมและพลังจิตต่างๆกันเป็นจำนวนมาก.. เพราะอาจคิดว่า..ไปลองดูก็ไม่เสียหาย,คงไม่ได้แย่ไปกว่าเก่า,แต่ถ้าเผื่อโรคหายมาก็ถือว่าโชคดี,หรือโชคช่วย..ประมาณนั้น.. จริงๆมีแง่มุมวิเคราะห์ต่างๆมากมาย.. เช่น.. อาจคล้ายเหมือนกับการแก้บนกับรูปบูชาต่างๆก็เหมือนกัน.. จะมองว่า..เป็นที่พึ่งของคนบางส่วนก็ได้.. แต่บางทีก็ถูกมองว่า..อาจเป็นความงมงาย?หรือเป็นเรื่องของจิตวิทยามนุษย์?( =สถิติ)หรือไม่?.. เช่น.. บางทีมีการพูดกันว่า.. อาจมีคนไปขอโชคลาภหรือบนบานอะไรไว้จำนวนมาก,ใน100คน,อาจมีคนที่จับพลัดจับผลูได้ตามคำขอสัก1คน,คนที่คิดว่าตนได้รับโชค(ซี่งอาจจะเกิดขึ้นเพราะเหตุอื่นๆสารพัด?ก็เป็นได้,ซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับองค์รูปปั้น?ที่ไปบนบาน,ขอโชคลาภแต่อย่างใดเลย?,ก็ได้เช่นกัน?),ก็จะไปแสดงการรำแก้บน?หรือนำของมาถวาย?ซะเอิกเกริกใหญ่โต?,จนคนที่ไปพบเห็นการแก้บน?นั้นก็พากันไปพูดกันปากต่อปาก?ว่าองค์รูปปั้นนี้คงศักดิ์สิทธิ์นะ(?),คนผู้นี้คงได้โชค,จึงมาแก้บนเอิกเกริกขนาดนี้?..ประมาณนี้.. แต่ลืมคิดไปว่า..ผู้ที่ไม่ได้รับโชคที่มีอยู่อีกถึง99คนนั้นเล่า?,ทำไมเขาจึงไม่ออกมาพูดประกาศว่า..ฉันไม่ได้รับโชคดอกนะ,เพราะทางจิตวิทยาก็คือ,เมื่อตนไม่ได้รับโชคตามที่ขอไว้,ก็ย่อมจะพากันหลบหน้าหนีหายไป,เพราะถ้ามาพูดอะไรมาก,ก็ยิ่งจะอับอาย,เพราะอาจกลัวถูกต่อว่าหรือสมน้าหน้าว่า..เป็นคนอับโชค?เอง?,หรือเป็นคนไม่มีบุญ?..อะไรประมาณนั้น..หรือไม่?..นั่นเอง..
โดย: สมจิต IP: 124.122.16.69 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2566 เวลา:18:51:04 น.
2.เราเคยเรียนรู้ทางคริสต์มาบ้าง.. พระเยซูเองก็เคยมีการรักษาคนป่วยหรือคนพิการโดยแค่ผู้ที่มีความเชื่อเข้ามาสัมผัสถูกตัวของพระเยซู,โรคนั้นๆก็จะหาย,หรืออาการพิการ..เช่น..คนตาบอดก็หายบอด,คนขากะเผลกก็เดินได้.. เช่นนี้เป็นต้น.. ส่วนตัวเราเองก็ปกติอยู่คนเดียว,หลายครั้งก็ต้องช่วยเหลือ,เอาตัวให้รอดด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุด,โดยอาศัยความเชื่อส่วนตัวกับความเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ.. เช่น.. ปวดท้อง,ปวดหัว,ฯลฯ..ด้วยเช่นกัน.. โดยการใช้สะพานพลังจิตโดยใช้มือของเรานี่แหละไปลูบซ้ำๆที่บริเวณที่กำลังเจ็บปวดต่างๆนั้น,และก็จะมีสวดคาถาที่เราเชื่อถือหรือยึดถือ..เช่น..คาถาเจ้าแม่กวนอิมในเวลาที่กำลังเอามือลูบไปด้วย.. เป็นต้น.. และ99%ก็มักจะได้ผล,คืออาการเจ็บปวดต่างๆ(ที่ไม่รุนแรงมากนักนะ)ก็จะทุเลาเบาบางไปในชั่วระยะเวลาอันไม่นาน.. คือเรามองว่า..ทุกคนมีพลังจิตและสามารถใช้พลังจิตกับเรื่องของตัวเองที่ไม่ใช่เรื่องรุนแรงได้แทบทุกคน.. นั่นแหละ..
โดย: สมจิต IP: 124.122.16.69 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2566 เวลา:19:34:26 น.
3.หลายๆปีมาแล้ว.. เราเคยได้ดูรายการดังรายการหนึ่งทางทีวีโซเชี่ยล,มีหญิงคนหนึ่ง(เป็นคนไทยนี่แหละ)ที่มาออกรายการแล้วพิสูจน์เรื่องพลังจิตให้ดู,โดยการคล้ายๆทำให้วัตถุเบามากๆชนิดหนึ่งตั้งอยู่บนสิ่งที่แหลมๆและหมุนได้โดยง่าย,แล้วเขาก็แสดงการใช้พลังจิตให้วัตถุที่ประดิษฐ์ขึ้นมานั้นหมุนไปทางซ้ายก็ได้,หรือทางขวาก็ได้,แล้วแต่มือของผู้ใช้พลังจิตนั้นจะโบกพัดไปทางไหน,วัตถุนั้นก็จะหมุนตามไปทันที.. อันนี้เราก็เคยลองฝึก,พยายามจะทำตามเช่นเดียวกัน,แต่ทำไม่ได้.. เพราะเคยได้ยินว่า.. คนเล่นกับพลังจิตนั้นมักจะมีอายุที่ไม่ยืน,เพราะเกี่ยวกับการต้องใช้พลังงานของระบบกล้ามเนื้อหัวใจที่มากเกินไป,อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนล้า,และชำรุดเร็ว(?)(เราจึงไม่ได้ฝึกฝนอีกต่อไป,เพราะส่วนตัวเคยหลอดเลือดหัวใจตีบ,และทำบอลลูนไปแล้ว1เส้นแล้วด้วย).. เราเพียงอยากบอกว่า..ธรรมชาติของมนุษย์โดยเฉพาะชาวตะวันออกมีแนวโน้มจะเชื่อหรือถูกสะกดให้จิตใจหรืออุปาทานจิตส่วนลึกของตัวเอง(จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม)เป็นไปตามการกำหนดหรือคำพูดของผู้ที่ทำการสะกดจิตต่างๆได้ง่าย.. โดยผู้สะกดจิตอาจใช้ทั้งเทคนิคเสียงพิเศษ?,และ/หรือแอ็คชั่นการแสดงออกต่างๆ?(เพื่อจูงอุปาทานจิต?ของผู้ป่วยให้คล้อยตามได้โดยง่าย?)ประกอบด้วย,แต่โดยมากมักไม่ยั่งยืน,อาจเป็นๆหายๆต้องกลับมาหาผู้สะกดจิตอีกเรื่อยๆ,แต่โรคที่รุนแรง.. เช่น..โรคมะเร็ง,หรือโรคเก๊าส์,โรคไต,โรคตับ,โรคความดัน,โรคหอบหืด.. เป็นต้น.. นั้น..เรามองว่าน่าจะรักษาให้หายขาด,โดยอาศัยแค่ความเชื่อเรื่องพลังจิตเพียงอย่างเดียวนั้น ..น่าจะเป็นไปได้ยากครับ..
โดย: สมจิต IP: 124.122.16.69 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2566 เวลา:20:38:27 น.
4.เราเคยรู้ว่า.. การวิจัยเรื่องยาต่างๆมักจะมีการใช้ยาหลอก(Placebo).. คือเป็นเรื่องของการประเมินผลว่า..ยามีฤทธิ์ตามประสงค์มากน้อยแค่ไหน?.. โดยจะไม่มีการบอกกับผู้อาสาทดลองว่า..ตนได้รับยาหลอกหรือไม่?.. เมื่อผลออกมาแล้ว,ก็จะนำมาประเมินว่า.. ยาตัวนั้นจะใช้ได้หรือไม่?..ประมาณนั้น.. เช่น.. ถ้าผู้ที่ได้รับยาหลอกจำนวนหลายคน,ก็สามารถรู้สึกอาการดีขึ้นเมื่อได้รับยาหลอกนั้น,เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับยาจริง,ก็แสดงว่า..ประสิทธิภาพของยายังคงต้องทบทวนหรือมีการค้นคว้าทดลองอีกต่อไป.. เช่นนี้เป็นต้น.. คือแสดงว่า..แม้แต่ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ยังยอมรับว่า..อำนาจของจิตอุปาทานของมนุษย์นั้นก็มีความหมายที่จะทำให้เกิดการเข้าใจผิดต่อบริบทต่างๆของการใช้เทคนิค,กลวิธีแปลกๆต่างๆ,เพื่อจะหลอกจิตของผู้ป่วยให้เกิดอุปาทานมากพอในระดับหนึ่งที่จะทำให้ตัวผู้ป่วยนั้น,รู้สึกว่าอาการของตนนั้นดีขึ้น..ก็ได้ด้วย.. แต่ในความเป็นจริงนั้น,อาจจะหายจากโรคได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ,และก็จะกลับมาเป็นอีก(เพราะต้นเหตุแห่งโรคไม่ได้ถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างแท้จริง),หรือถ้าการรักษาโดยอาศัยเทคนิคคำพูดและแอ๊คชั่นต่างๆของอาจารย์สะกดจิตต่างๆที่ไปมีผลต่อระบบภายในร่างกายที่ละเอียดอ่อน?ที่ไม่อาจรู้ได้ในระยะแรก,แต่ก็อาจก่อผลเสียที่ร้ายแรงเพิ่มขึ้นในระยะต่อๆมาได้,เพราะด้วยการรักษาคนป่วยแบบไม่ถูกหลักการทางการแพทย์?ได้ด้วยเช่นเดียวกัน(?)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.16.69 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2566 เวลา:22:28:24 น.
5.สังคมไทยเป็นสังคมประมาณตำนานศรีธนญชัยประมาณนั้น(?).. จึงควรต้องระวังเรื่องหลักกฎหมายที่มักมีนักธุรกิจต่างๆ(โดยเฉพาะทางโซเชี่ยล)มักใช้เป็นช่องทางเพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมายอยู่เสมอ.. เพราะเราเห็นว่าช่วงก่อนๆที่ผ่านมา,มักจะมีการโฆษณาสินค้าที่เว่อร์วังอลังการ?,ดูวิเศษเกินจริง?หรือไม่?.. สุดท้าย..ตอนท้ายโฆษณามักจะบอกว่าถ้าใช้แล้วไม่ได้ผล,หรือไม่ถูกใจ,ยินดีคืนเงินให้ภายในกี่วัน,ก็ว่าไป,โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ..ประมาณนั้น.. จริงๆถ้าไม่ได้ผลตามโฆษณา,ก็ย่อมแสดงว่าโฆษณาเกินจริง?อยู่แล้ว?หรือไม่?,ซึ่งแสดงว่า..ความผิดนั้นสำเร็จแล้ว?,ซึ่งไม่ว่าคุณจะคืนเงินหรือไม่?,ก็ย่อมถือว่า..ทำผิดกฎหมายฐานโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง?หรืออาจเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน?อยู่แล้ว?,ถ้ายิ่งไม่คืนเงิน,ยิ่งจะต้องผิดอีกหลายกระทง?มากขึ้นไปอีก?.. เดี๋ยวนี้มีโฆษณาเช่นนี้อยู่มาก,โดยไม่มีสำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน?.. เช่น..การนำเอาผู้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือยารักษาโรคบางอย่างมาพูดแบบที่ใช้มุกเชิงบอกต่อๆกัน?(ซึ่งเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายเช่นเดียวกัน),ประมาณว่า.. ตัวลูกค้าเองได้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือยานี้แล้วรู้สึกได้ผลดีอย่างนั้นอย่างนี้?..เป็นต้น.. ประมาณทำนองจะหลบเลี่ยงว่า..เจ้าของผู้ผลิตนั้นไม่ได้โฆษณาสินค้าหรือยารักษาโรคเอง?นะ?,แต่เขาใช้แล้วเขามาพูดโฆษณาให้เอง?,แต่จริงๆก็เป็นการที่ผู้ผลิต?นั่นแหละ?ที่เซ็ตทีม?เพื่อถ่ายคลิป?นำไปสู่การโฆษณาที่เกินจริง?ด้วยความจงใจ?นั่นต่างหาก?.. หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.61 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2566 เวลา:0:29:32 น.
6.เราเคยได้ศึกษาความยิ่งใหญ่ของศาสดา,ก็มีโมเสสที่ยกไม้เท้าขึ้น,พลันทะเลแดงก็แยกตัวออกให้มีดินแห้งให้ชาวอิสราเอลข้ามผ่าน,หนีทหารฟาโรห์ที่ขับรถม้าไล่ตามมา,จนพ้นไปได้.. อีกครั้งก็พระเยซูยกมือขึ้นห้ามพายุและน้ำทะเลที่กำลังโหมกระหน่ำจนทำให้พายุคลื่นลมสงบลงในทันใดได้,และการรักษาโรคของพระเยซูที่แค่มีคนไปถูกตัวท่าน,โรคที่เป็นอยู่ก็หายได้.. แต่การศึกษาทางฟากพุทธ,เคยมีคำพูดว่า..อาจารย์ย่อมไม่แสวงหาศิษย์,แต่ศิษย์ต้องเป็นผู้แสวงหาอาจารย์เอง.. แต่เราพบว่า..ทุกวันนี้..อาจารย์คาถาอาคมบางท่านกลับดูเหมือนเป็นผู้แสวงหาศิษย์ไว้ให้มากๆ,เพราะเหตุแห่งเรื่องเงินๆทองๆ?,หรืออาจารย์บางท่านก็มีการเรียกเก็บเงินค่าครู,ค่าวิชาต่างๆ?,เราจึงมองว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องของการใช้พลังจิตที่แท้จริง?(จากจิตของตัวเอง)เหมือนพระเยซูหรือโมเสสแต่อย่างใด?,แต่น่าจะเป็นเรื่องของจิตวิทยามนุษย์?มากกว่า?..หรือไม่?.. เราเคยได้ยินอาจารย์รุ่นเก่าๆหรือพระเก่าๆสมัยก่อนมักพูดว่า.. พระพุทธรูปนั้นไม่ต้องไปปลุกเสกอะไรมากมายหรอก,ถ้ามีคนไปกราบไหว้เรื่อยๆ,พระพุทธรูปก็จะเริ่มลืมตา?หรือเริ่มขลัง?ขึ้นมาเอง(?).. คล้ายประมาณว่า.. ผู้ที่ไปเห็น,ไปไหว้กราบก็จะฝากกระแสกลุ่มก้อนพลังงาน?แห่งความเชื่อ,ความศรัทธา?ไว้ที่องค์พระพุทธรูปนั้นเองโดยอัตโนมัติ,และเมื่อถึงจุดหนึ่ง,พระพุทธรูปก็จะเบิกเนตร?และปล่อยพลัง?เพื่อช่วยผู้ที่ตกทุกข์ที่มากราบไหว้นั่นเอง..ประมาณนั้น.. ดังนั้นเรามองว่า.. อาจารย์รุ่นหลังๆบางท่านอาจใช้พลังงานความเชื่อ?จากลูกศิษย์?เพื่อเพิ่มพลังงานทางจิต?ให้กับตัวเอง?(แต่น่าจะไม่ใช่พลังจิตของตัวเอง?),และเมื่อมีพลังงานจากลูกศิษย์ผู้เชื่อมากขึ้น,ก็คล้ายมีพลังงาน(จิต)สะสม?มากขึ้น,จนทำให้ก่อผลเป็นพลังฤทธิ์เดชที่มากขึ้นเรื่อยๆ(?),ขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน?..หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.61 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2566 เวลา:2:07:26 น.
7.(สมัยนี้ต้องระวังระบบแฟรนไชส์?,ซึ่งกำลังระบาด,แม้แต่ในวงการธุรกิจ?กับเรื่องของความเชื่อ,ความศรัทธา?).. เราเองก็เคยบวชเป็นพระ(ระยะสั้นๆ)ที่สำนักหนึ่ง(แถวทางอีสาน),เราบวชแค่ไม่กี่วัน,เจ้าสำนักก็บอกให้เราไปช่วยรดน้ำมนต์ซึ่งทำเป็นโอ่งใหญ่ทั้งตักราด,และใช้สายยางฉีดให้กับญาติโยมที่มาสำนักนี้[[ซึ่งเราอ่านตามภูมิส่วนตัวนะ.. ประมาณว่า..ผู้ที่บวชนานมักจะรู้หลักจิตวิทยามนุษย์?หรือรู้ธาตุ,รู้ไต๋มนุษย์?ตรงกันว่า..สังคมชาวพุทธไทยมักเป็นคนที่เชื่อศรัทธาในผู้ห่มจีวร?(หรือนุ่งห่มขาว?,หรือฤาษี?,นักบวช?,ผู้บำเพ็ญพรต?)ได้ง่ายมาก(?).. เมื่อเชื่อ,ศรัทธาซะแล้ว,ก็มักจะเกิดพลังอุปาทาน?.. ดังนั้น..บางอย่างที่ดูประหลาดๆ?ก็อาจเกิดขึ้นได้ไม่ยาก?(เช่น.. เมื่อถูกสัมผัสทางกาย,ก็อาจมีอาการขนลุก?,ซาบซ่าน?,ก่อให้เกิดจิตปีติ?,อาการปีติทางใจ?ก็จะไปหนุนให้เกิดคล้ายสารเอ็นโดรฟิน?หรือสารสุข?,ซึ่งเราเชื่อว่าสารสุข?นี่แหละ,ที่จะไปช่วยลดอาการต่างๆที่เจ็บปวดต่างๆได้พอสมควรได้เลยล่ะ?),จึงแม้แต่พระพึ่งบวชได้2-3วันอย่างเราก็ยังใช้ให้ไปรดน้ำมนต์ให้กับญาติโยมแทนเจ้าสำนัก,ซึ่งท่านมองว่า..ก็ย่อมเกิดผลเป็นฤทธิ์เป็นเดช?ได้ไม่ต่างกัน?..ประมาณนั้น]],ซึ่งก็มีผู้ที่มาเชื่อ,มาศรัทธาพระเจ้าสำนักนี้อยู่จำนวนไม่น้อย,เช่นเดียวกัน.. แต่จริงๆแล้ว,เรากลับเคยเห็นมีชายสูงอายุที่น่าจะมีอาการไตวายเรื้อรัง,กดบุ๋ม?คนหนึ่ง(ซึ่งเราเห็นคาตา)เข้าไปอบไอสมุนไพรที่สำนักที่เราไปบวชนี้,แต่อบได้ไม่นาน,ก็หมดสติที่ห้องอบนั้น,จึงถูกญาติโยมลากออกมา,พระเจ้าสำนักนี้ก็ออกมาดู,มากดที่เท้าแล้วบุ๋มลึก,ปรากฏวว่าสิ้นลมแล้ว.. เราก็เห็นท่านเข้าห้องส่วนตัวไปสวด?,ฟังว่าทำพิธีเรียกวิญญาณให้กลับคืนมาเข้าร่าง?,แต่ทำอย่างไรๆ,ชายผู้นี้ก็ไม่ฟื้น,จึงต้องเรียกเจ้าหน้าที่ให้มาเก็บร่างไป,คือสรุปว่าเจ้าสำนักที่มีผู้ศรัทธามาก"นั้น?,จริงๆแล้ว,ก็ไม่ได้ขลังจริง?(ซึ่งก่อนหน้านี้,ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ว่า..มีญาติโยมเอาปลาทอดมาถวาย,พอเปิดฝาปิ่นโตออกมา,กลับกลายเป็นปลาเป็นที่ยังมีชีวิต,ที่ดิ้นได้ซะอย่างงั้น,แล้วก็นำไปปล่อย,ฟังว่าเช่นนั้น,อย่างนี้ก็มี,คือมีคนเล่าปากต่อปาก?..ประมาณนี้).. ดังนั้น..อาจารย์จอมขลังบางองค์ทุกวันนี้,จึงน่าจะไม่ได้มีพลังจิตของตัวเองเป็นส่วนตัวที่ฝึกฝนมา?ที่เก่งกาจอะไรมากมายนักหรอก?,ส่วนมากมักจะอาศัยผสมผเสไปกับพลังงานแห่งความเชื่อ,ศรัทธา?ของลูกศิษย์มาช่วยผสมโรง(โดยใช้เทคโนโลยี่และเทคนิคสื่อสมัยใหม่มาร่วมด้วย,ช่วยโปรโมต?)ให้ดูว่าท่านมีพลังจิต?ที่กล้าแกร่ง?มากยิ่งขึ้น?..นั่นแหละ?..มากกว่านะ?..เรามองว่าอย่างนี้นะ?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.112.77 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2566 เวลา:3:59:33 น.
(A)กรณีข่าวขอทานข้ามชาติ(เนชั่นทันข่าวค่ำ,20-11-66).. เราให้ข้อเสนอแนะแบบเรานะ(เราชอบคิดให้แตกต่างออกไปนะ)..
1.การพิการด้วยจุดบริเวณที่คล้ายๆกัน,ด้วยรูปแบบเดียวกันทั้งกลุ่ม,ย่อมแสดงว่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ(?)..หรือไม่?,น่าจะต้องมีผู้คลุมเกมส์อยู่เบื้องหลัง?อย่างแน่นอน..หรือไม่?..
2.รวมทั้งรูปแบบที่มีเก้าอี้มานั่ง,แต่งชุดนักเรียน?ให้ดูน่าสงสาร,น่าช่วยเหลือ(?)..นั่นก็พึงตั้งข้อสังเกตกันด้วยครับ?..
3.การที่มีหญิงคนไทย?ที่ขับรถหรู?มาคอยติดตามช่วยเคลียร์?,แสดงว่า..หญิงคนที่มาช่วยเคลียร์ต่างๆ?นั่นแหละ,ที่อาจมีส่วน?..หรือไม่?(เบื้องต้นไม่จำเป็นต้องรอหลักฐานอื่นใด?เสียก่อนเลยก็ได้?),แต่น่าจะติดตาม,สืบสวนว่าจะต้องมีส่วนรับรู้?ในขบวนการค้ามนุษย์?เหล่านี้?..ด้วยหรือไม่?,รวมทั้งหอพักที่ให้เข้าพัก?(ถ้ามี)โดยไม่ตรวจสอบที่มาที่ไป?,ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาตรวจสอบบุคคลน่าสงสัย?ก็ควรถือว่าให้การสนับสนุน?กับขบวนการขอทาน?ซึ่งผิดกฎหมาย?นี้ด้วย?..หรือไม่?(ซึ่งถ้าประชาชนทั่วไปฟังข่าวนี้,ก็ต้องอนุมานว่า..น่าจะต้องมีส่วนด้วยกัน?อยู่แล้ว?,และผู้มีหน้าที่ทางกฎหมายควรต้องติดตามตัวมาสอบสวน?,และออกหมายค้นบ้าน,ที่พัก?ของผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด?ด้วย?,อย่างน้อย,ก็ควรให้ประชาชนได้ร่วมรับรู้ว่า..ที่คุณให้เงินเขานั่นน่ะ,เขามีเงินเก็บในบ้านของเขาอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่?(ซึ่งอาจมีเงินสะสม?มากกว่าเงินเก็บของผู้ให้ทาน?นั้นเสียด้วยซ้ำไป?..ก็เป็นได้?),และรวมทั้งมีการโอนเงินในบัญชี?ไปแล้วเท่าไหร่?..เป็นต้น..
โดย: สมจิต IP: 27.145.114.244 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2566 เวลา:7:59:46 น.
(B)4.ควรมีรถออกประกาศ,ประชาสัมพันธ์ในที่มีคนพลุกพล่าน,ที่ขอทานกลุ่มนี้?มักไปนั่งขอเงิน?.. ว่า..ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณ,อย่าให้ความเมตตาของท่านกลายเป็นไปสนับสนุนการกระทำที่ผิดกฎหมายการขอทาน?ของขอทานเหล่านี้?,ที่อาจอยู่ในขบวนการค้ามนุษย์?(สันนิษฐานนะ?)ก็เป็นได้?..
5.ไม่ว่าศาสนาใดๆ?ก็ไม่เคยส่งเสริมให้คนเกียจคร้าน,ไม่ทำการงานใดๆ,งอมืองอเท้า,เอาแต่รอคอยความเมตตาจากผู้อื่นแต่อย่างใดเลย?..(ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า..คนกลุ่มนี้?ได้มีหลักศาสนาใด?ไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจหรือไม่?)..
6.การขอทานใดๆ?ที่ทำเป็นขบวนการ?,มีการชักชวนกันมาเป็นกลุ่ม?,มีหัวหน้าทีม?หรือคนคุมเกมส์?อยู่เบื้องหลัง?ถือเป็นการทำลายการท่องเที่ยว?อย่าง
หนึ่ง?.. ทำให้ผู้ท่องเที่ยวที่เห็นคนขอทานเยอะๆ,ก็อาจอารมณ์บ่จอย?,งานกร่อย?,อาจไม่อยากมาท่องเที่ยวในประเทศไทยอีกเลย?..ก็เป็นได้ครับ..
โดย: สมจิต IP: 27.145.114.22 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2566 เวลา:8:52:25 น.
(C)7.ถ้าเตือนด้วยรถประกาศแล้วยังไม่ได้ผล.. ยังมีคนที่ยังชอบให้เงินกับคนขอทานกลุ่มนี้?อีก,ก็อาจใช้แผนเผด็จศึก?เสียเลย?.. ความเห็นส่วนตัวนะ(ตี๊ต่างว่าเราเป็นผู้ดูแลสังคมนะ).. เราก็จะผลักดันกฎหมายที่ให้เอาผิดเป็นเงินค่าปรับ(อาจ500บาทขึ้นไป?)กับผู้ที่ให้เงินกับขอทาน(ถือว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนคนทำผิด?ด้วย).. ถ้าทำได้เช่นนี้(ซึ่งเป็นการคิดแบบซ้อนกล?,สวนกระแส?,ซี่งเรามีทัศนะการดูแลสังคมแบบนี้นะ).. เราก็จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลา,เสียงบประมาณ?กับการไล่กวดจับ?กับขบวนการขอทานข้ามชาติ?ให้เหนื่อยยากมากเกินไป?,ซึ่งถ้ายังมีการนิยมให้เงินกับขอทาน?ที่อาจมีการจงใจ?(หรือยินยอมให้ผู้อื่น)ทำตัวเองให้พิการ?,หรืออาจมีการตกแต่งผิวหนังแบบนักแสดงหนัง,ละครบางส่วน?(หรือไม่?)ด้วยก็ได้?.. คือมีทัศนะหนึ่งทางรัฐ(ยุทธ)ศาสตร์ปกครอง?คือจับผู้ให้ด้วย?..(โดยอาจใช้นอกเครื่องแบบไปยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ,พอมีผู้ควักเงินให้ก็เข้าไปจับเลย,และทีสำคัญคือต้องสื่อสารคลิปการจับกุมผู้ให้เงินขอทาน?ไปให้ทั่วโลกโซเชี่ยล?,แบบนี้ก็คงไม่มีใครกล้าให้เงินกับขบวนการขอทานเหล่านี้?อีกต่อไป?..เราคิดแบบนี้นะ).. เช่นเดียวกับที่มีบางประเทศในสแกนดิเนเวีย(เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมานะ).. ที่เขาจะมีกล้องวงจรปิดติดอยู่แทบทุกที่,ถ้ามีภาพว่าใครไปซื้อประเวณีกับหญิง?ที่แสดงตัวให้บริการทางเพศ?กับชายกลัดมัน?ในสถานที่ต่างๆ?,เขาก็จะมุ่งจับชายผู้ซื้อประเวณี?ก่อนเป็นเบื้องต้น?.. ซึ่งนานไป,นานไป,เมื่อหญิงไม่มีชายกล้ามาซื้อบริการ,เขาก็จะต้องหลบหายไปเอง?..ประมาณนี้.. หรือขบวนการขอทานต่างๆ?ก็น่าจะใช้วีธีการในทำนองเดียวกัน?.. ถ้าจับ,ปรับคนให้?(เป็นหลักก่อน)ด้วย?..(แล้วเผยแพร่ภาพผ่านสื่อมวลชนให้ทั่วๆ),เมื่อไม่มีคนให้เงินขอทาน,ขอทานก็ไม่มีรายได้,ก็ย่อมหายสูญไปหมด,ไม่กล้า(หรือไม่อยาก)พาพวกพ้องข้ามประเทศ?วนเวียนเข้ามาหากินขอทานในไทย?อีกต่อไป?.. ท่านเห็นด้วยมั้ยล่ะ?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.8 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2566 เวลา:8:58:29 น.
(a)ได้ชมรายการประจักษ์จับประเด็น,21-11-66แล้ว.. มีข้อเสนอแนะดังนี้ครับ..
1.ถ้าเราทั้งหลายอยากให้สังคมดี,มีธรรมาภิบาล,โปร่งใสในทุกมิติ.. ผู้มีส่วนทั้งภาคราชการ,รัฐวิสาหกิจต่างๆและประชาชนต้องช่วยกันนำเสนอว่า.. ข้อมูลข่าวสาร,รวมทั้งวิธีการทำงาน,รายงาน(คลิปหรือเทป)ของการประชุมต่างๆของทั้งภาคราชการ,และรัฐวิสาหกิจ(อาจรวมทั้งบริษัทที่ทำสื่อต่างๆด้วย),ควรต้องมีระเบียบ,กฎหมายที่ชัดเจน,เคร่งครัด,ที่จะต้องให้มีการเปิดเผยได้,ทั้งต้องให้มีแผนกประชาสัมพันธ์ในทุกๆหน่วยงานในสังกัดที่ต้องทำตามระเบียบที่ต้องนำเสนอ,หรือประกาศให้ประชาชนได้รับรู้ผ่านระบบสื่อมวลชนต่างๆได้ในทุกเรื่อง..
โดย: สมจิต IP: 27.145.114.160 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2566 เวลา:13:32:41 น.
(b)2.และบางส่วนที่ไม่สำคัญนัก,ถ้ามีประชาชนอยากรู้และมาติดต่อขอทราบ,ก็ให้สามารถเปิดเผยได้ทุกเรื่องเช่นเดียวกัน,(เพราะมีหลักคิดว่า..ในที่แจ้ง,ที่เปิดเผย,หรือของที่เป็นสารอินทรีย์ที่เปื่อยได้,เมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง,มีแดดส่อง,มีลมพัดก็ย่อมจะเน่าน้อยลง,กลิ่นเน่าน้อยลงและแห้งไปโดยไร้เชื้อจุลินทรีย์และเชื้อราได้ในที่สุด).. เพราะที่ที่มีการปกปิดเป็นความลับถ้ายิ่งมีอยู่มากเท่าไหร่?,ก็จะยิ่งเอื้อให้เกิดการทุจริต,คอร์รัปชั่นด้วยวิธีซิกแซ็ก,ไม่ตรงไปตรงมา,มีนอกมีใน,และมีการเอื้อประโยชน์ให้กับบางกลุ่ม,บางฝ่ายที่อยู่ในทางการเมืองหรือทางธุรกิจ,ที่ผู้ที่มีตำแหน่งทางราชการบางส่วน(ซึ่งมีอำนาจในการอนุมัติในโครงการต่างๆ)มีประโยชน์เชื่อมกับเขาแบบลับๆ(แค่เพียงติดต่อฮั้วประโยชน์กันทางมือถือ,ก็สามารถทำได้โดยไม่ยากแล้ว)ได้มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย..เท่านั้น..
โดย: สมจิต IP: 27.145.114.160 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2566 เวลา:13:36:01 น.
(c)3.แม้จะอ้างว่าเป็นข้อมูลลับที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางอธิปไตยต่างๆก็ต้องให้มีข้อยกเว้นที่ไม่ต้องเปิดเผยให้น้อยที่สุด..และต้องกำหนดว่า..แม้ข้อมูลที่เป็นความลับพิเศษก็ต้องอนุญาตให้มีคณะผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติที่เชื่อถือ,วางใจได้โดยเฉพาะ,และเป็นที่ยอมรับ,เชื่อถือจากประชาชนเป็นที่ประจักษ์ว่า..เป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่งยวดมาโดยตลอด,สามารถรวมกลุ่ม(หรือมีการจัดตั้งทางกฎหมาย)เพื่อรับมอบภาระจากประชาชนโดยรวม,เพื่อให้ไปสอบถามข้อมูลเหล่านั้นแทนภาคประชาชน,เพื่อความโปร่งใส(และไม่ต้องนำมาเปิดเผยกับสาธารณะ)ได้ด้วยเช่นเดียวกัน..
4.สรุปว่า..ทุกมิติที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการทุจริต,ประพฤติมิชอบต่างๆของสังคมไทย,ต้องให้ประชาชนสามารถเข้าไปขอข้อมูลเพื่อตรวจสอบความถูกต้องได้ทั้งหมด,โดยแทบไม่มีข้อยกเว้นเลย..ประมาณนั้นครับ.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.114.160 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2566 เวลา:13:40:45 น.
(A)ได้ชมรายการเข้มข่าวค่ำPPTV,22-11-66ช่วงจับแก๊งนักเรียนรุนแรงแล้ว.. มีข้อเสนอแนะดังนี้ครับ..
เราเคยไปที่โรงพยาบาลหรือคลินิกแพทย์ต่างๆ,มักจะพบว่า..มีการปิดประกาศสิทธิของผู้ป่วยอยู่เสมอ.. เราจึงมีแนวคิดส่วนตัวเพื่อประสงค์ช่วยคิดแก้ไขปัญหาของสังคมว่า..
1.ควรออกกฎระเบียบหรือกฎกระทรวงขอให้แต่ละโรงเรียนติดป้ายประกาศสิทธิของผู้ที่จะสมัครเข้าเรียนหรือสมัครสอบที่มีเนื้อหาบอกประวัติของโรงเรียนว่า..เคยมีความขัดแย้งรุนแรง?กับสถาบันโรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียง?มาแล้วกี่ครั้ง?,มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง?.. เพื่อให้ผู้ที่ต้องการสมัครสอบหรือสมัครเรียนได้รับรู้เป็นเบื้องต้นว่า..เมื่อได้รับรู้ประวัติต่างๆของความรุนแรงระหว่างสถาบันของโรงเรียนที่ตนต้องการสมัครสอบหรือสมัครเข้าเรียนแล้ว,จะยังยินดีสมัครสอบหรือสมัครเข้าเรียนเช่นเดิมอีกหรือไม่?(คือให้แล้วแต่ความสมัครใจ..ว่างั้นเถอะ)..
โดย: สมจิต IP: 27.145.114.90 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2566 เวลา:21:03:56 น.
(B)2.วิธีที่2ก็คือถ้ามีเด็กนักเรียนโรงเรียนใด?ยังมีปัญหาเรื่องความรุนแรงต่อสถาบันอื่น?(รวมถึงเรื่องการรับน้องใหม่?ที่มีกรณีที่ละเมิดต่อสิทธิส่วนบุคคล?ของน้องใหม่?ด้วยวีธีพิลึกพิลั่นต่างๆ?,ที่มีผลจนทำให้บาดเจ็บ,พิการหรือเสียชีวิต?..นั้นก็ด้วย).. ก็ให้ครูหรืออาจารย์ฝ่ายปกครองเป็นผู้รับผิดชอบ(โดยตรง),โดยจะสั่งย้าย?หรืออาจปลดออก?,ไล่ออก?ก็แล้วแต่กรณีว่า..ครูท่านใด?ได้ให้การดูแลนักเรียนในปกครองของตัวเองในระดับไหน?(ได้ดีแค่ไหน?).. ประมาณนี้ครับ..
3.หรืออีกวิธีโดยใช้การแก้ปัญหาแบบขุดราก,ถอนโคน?ไปเลย.. ก็คือ.. เช่น..ประกาศยุบโรงเรียนหรือสถาบันที่มีปัญหาของความรุนแรงอยู่เป็นประจำนั้นไปเลย..(โดยอาจเริ่มดำเนินการเพื่อออกกฎหมายมาใช้บังคับโดยเร่งด่วน.. คือนับตั้งแต่บัดนี้ไปเลย)..แล้วปัญหาเรื่องคู่กรรมต่างสถาบัน?ก็จะได้หมดลงไปอย่างเด็ดขาดในทันที(ที่กฎหมายผ่านสภา).. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.114.90 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2566 เวลา:21:07:00 น.
(A)ได้ชมรายการเรื่องเล่าฯ,24-11-66ช่วงคนห่มเหลืองให้ฆราวาสสักยันต์ให้แล้ว.. มีข้อเสนอแนะดังนี้ครับ..
1.อย่างถ้ามีการสักอะไร?ที่เป็นเช่น..ตำนานหนุมาน?หรือรูปลักษณ์คล้ายนิยายรามเกียรติ์?(ซึ่งจริงๆคือเป็นเรื่องที่มีการจินตนาการ,หรือแต่งเรื่องขึ้นมาเท่านั้น,ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด?).. ถามว่าเวลาผู้ต้องการให้อาจารย์สักสักให้,ตัวผู้ที่ถูกสักยันต์เขาย่อมจะต้องพอรู้ว่า..ตำนานเหล่านี้คืออย่างไร?..ใช่หรือไม่?.. คือคงไม่ใช่แบบไม่รู้ประวัติของรูปที่จะให้สัก?ใดๆมาก่อน?( =ไม่รู้อิโหน่อิเหน่?ใดๆ)เลย(?)..ใช่หรือไม่?..
2.ยกตัวอย่างนะ.. ถ้าลองสมมุติๆว่า..ลองทำให้"ผู้อาสาทดลอง"ไม่มีสติเต็ม100(คิดแบบใช้เทคนิคการทดลองทางวิทยาศาสตร์นะ),แล้วสักรูปบางอย่างให้จนเสร็จ,แล้วปลุกให้มีสติขึ้นมา,แต่ยังไม่ให้รู้เห็นรูปที่ถูกสักให้ว่าเป็นรูปอะไร?ใดๆเลย.. คือสรุปว่า..พยายามไม่ให้เกิดอุปาทานในจิตลึกๆมาครอบงำตัวเขาใดๆเลย.. ถามว่าแล้วเขาจะมีอาการออกฤทธิ์ออกเดช?ตามรูปที่ถูกสัก?นั้นหรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.102 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2566 เวลา:8:26:40 น.
(B)3.อย่างการออกท่าออกทางเหมือนลักษณะลิงลม?หรือหนุมาน?ตามภาพวาดจินตนาการ?สารพัดนั้น?.. ถามว่า..คนไทยเอง(หรือแม้แต่ชาวต่างชาติบางคนที่นิยมในเรื่องการสักยันต์?ด้วยก็ตาม)เพื่อให้รู้สึกตนเองมีฤทธิ์เดชต่างๆ?นั้น?,จะมีใครบ้าง?ที่ไม่มีภาพนึกเรื่องท่าทางออกฤทธิ์ออกเดช?ของเรื่องลิงลม?หรือหนุมาน,พญาวานร?มาก่อนบ้าง?.. ส่วนตัวเราเชื่อว่า..แต่ละคนล้วนแต่มีความทรงจำฝังลึก?เรื่องอาการ,บุคลิกของลิงลม?,หรือหนุมาน?มาก่อนกันแทบทั้งนั้น?.. ใช่หรือไม่?..(เรื่องการสักยันต์?แล้วมีอาการออกฤทธิ์ออกเดช?นั้น,อยากเชิญให้อ.เจษ,จิตแพทย์,พระที่อยู่ในศีลควรได้ออกมาวิเคราะห์,และแสดงทัศนะบ้าง,เพื่อให้สังคมไทยควรตาสว่าง?กันได้แล้ว)..
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.52 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2566 เวลา:8:47:15 น.
(C)4.และอยากขอให้สำนักพุทธ,กระทรวงพม.,กระทรวงศึกษาได้ออกมาทบทวนเรื่องกฎหมายว่า.. ควรให้มีหรือควรยกเลิก(ห้าม)สำนักสักยันต์(บางส่วน)ที่เน้นไปในเรื่องฤทธิ์เดช?,ที่มีลักษณะของการขุดหรือกระตุ้น?เอาอุปาทานของมนุษย์?(หรือรวมทั้งเทคนิคอุปาทานหมู่?หรือจิตวิทยาสะกดจิตหมู่?,โดยใช้บริบทความศรัทธา?ในตัวครูอาจารย์ผู้สักยันต์?)มาใช้เป็นประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง?(ที่มักมีการแอบแฝงใช้ภาษาคาถาต่างชาติ?รวมทั้งบาลี,สันสกฤษ?ที่ปกติคนทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง,ทำให้ง่ายต่อการสร้างอุปาทานในจิต?ของผู้รับการสักยันต์นั้นๆ?มากยิ่งขึ้น?),รวมทั้งอาจมีเรื่องของการใช้พระพุทธรูปของพุทธ?,และการสวดเริ่มต้น?,ที่มักใช้บทสวดของพุทธศาสนา?(ซึ่งผิดเรื่องมหาศีลด้วย),เอามาใช้เป็นบริบทสร้างภาพ?ให้ดูขลังยิ่งขึ้น?มาร่วมด้วย?(เพื่อเพิ่มความศรัทธา?ให้มากยิ่งขึ้น?)ต่อไปอีกหรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.52 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2566 เวลา:8:51:44 น.
(a)ได้ชมรายการทุบโต๊ะข่าว,24-11-66ช่วงทลายแก๊งอาชญากรรมขนาดเล็กแล้ว.. มีข้ออุทาหรณ์ดังนี้ครับ..
สังเกตว่า..สังคมไทยทั้งๆที่เป็นสังคมเมืองพุทธ,แต่นับวันคนยิ่งห่างไกลหลักศาสนาพุทธ(ซึ่งสอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ),คือยิ่งกลับไม่เชื่อเรื่องกรรมหรือวิบากกรรม,เพราะมองว่า..เป็นเรื่องนามธรรมที่พิสูจน์ยาก.. แต่ส่วนตัวเรา,เราเคยเรียนเรื่องกรรม,วิบากกรรมกับบางสำนักพุทธ(สายสีกรัก)มาก่อน,เราจึงมีหลักคิดส่วนตัวในเรื่องกรรม,วิบากกรรมที่เกิดจากการสังเกตในประสบการณ์ของตัวเอง(เป็นการสังเกต,วิเคราะห์ส่วนตัวเท่านั้นครับ)ดังนี้.. 1.อดีตตั้งแต่เด็กมาเลย,เราเคยชอบกินปิ้งปีกไก่(เทียบได้กับแขนไก่,ซึ่งแม่ค้าจะตัดแยกตั้งแต่ประมาณช่วงหัวไหล่ไก่นั่นแหละ),ที่เขาปิ้งแห้งๆ,ไม่แฉะ,มีกลิ่นหอมชวนกิน,จึงติดรสชาติมาก,ซื้อมากินเกือบทุกวัน(หรือบ่อยๆ)ในระยะเวลาเป็นสิบๆปีมา(แต่ปิ้งขาไก่,เราไม่ค่อยชอบนะ,ซึ่งก็ไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับแข้งขาตัวเองสักเท่าไหร่..นั่นเอง),วันหนึ่งเมื่อราว7-8ปีก่อน,อยู่ไม่อยู่,ไม่มีเหตุใดๆ,ก็เกิดหนองผุดขึ้นมาที่หัวไหล่ด้านซ้ายที่อยู่ด้านหลังเอาดื้อๆ(ซึ่งเรามองว่าน่าจะเป็นวิญญาณแขนหรือปีกไก่?มาดลให้เป็นโรคจากกรรมวิบากเป็นแน่?),เพราะหนองเป็นหลุมลึก,จึงต้องไปหาหมอ,หมอก็ดูแล,และให้ไปล้างแผลที่รพ.ทุกวัน,และเปลี่ยนสำลีที่ยัดเข้าไปในรู,และปิดผ้าพลาสเตอร์ให้,หลายวันกว่าแผลจะเริ่มแห้ง,แต่พอแผลสมานตัวกลับกลายเป็นไตแข็ง?นูนขึ้นมาที่จุดที่เคยเป็นหนองนั้น,พอมือลูบไปถูกไตแข็งนั้น,ก็จะรู้สึกรำคาญ,อยากไปผ่าออก,แต่ก็ดันเคยเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ,ทำบอลลูนอยู่1เส้น,จึงกังวลว่า..ถ้าผ่า,อาจมีเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวมาออ,มาคั่งที่บริเวณหัวไหล่,ซึ่งใกล้จุดที่เส้นเลือดเคยตีบมาก่อนนั้น,และอาจมีผลทำให้เส้นเลือดเกิดตีบ"ขึ้นมาเพิ่มอีกจุดหรือจุดเดิมก็เป็นได้ ,ก็จึงยอมทนรำคาญเช่นนี้อยู่ต่อไปจนถึงปัจจุบัน..
โดย: สมจิต IP: 27.145.114.204 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2566 เวลา:22:59:54 น.
(ก.)ขอแทรก"ข้อคิด"ต่อเรื่องสำคัญที่กำลังเป็นข่าวกันอย่างเอิกเกริกอยู่2-3ข่าวในช่วงนี้ก่อนนะ)..
ข้อเสียของระบบอุปถัมภ์(?)(หรือความเป็นคนที่รู้จักมักคุ้น,เคยสนิทสนม,หรือเคยมีนั่นมีนี่กันกับคนเป็นจำนวนมากมาก่อน)ซึ่งสังคมไทยมักมีเรื่องทำนองนี้อยู่มากถึงมากที่สุด..ก็ว่าได้(?).. เราเคยศึกษาเรื่องการมีกิเลสและการตัดกิเลสของพุทธศาสนามาก่อน.. เราแทบจะไม่อยากมีคนรู้จักคุ้นเคยมากๆเลยนะ.. เพราะจริต,นิสัย,อารมณ์,การแสดงออกของจิตวิญญาณต่างๆนั้นมีหลากหลายรูปแบบ,และควบคุมได้ยากมาก(?).. ซึ่งเราแทบจะสรุปส่วนตัวเลยว่า..ไม่ว่ายุคไหนๆโดยเฉพาะยิ่งยุคนี้แล้ว,การรู้จักสนิทกับคนจำนวนมากๆยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี?หรืออาจมีผลร้าย?ต่อตัวของผู้ที่มีตำแหน่งแห่งที่?หรือมีอำนาจในหน้าที่การทำงาน?เพื่อบริหารสั่งงาน,อนุญาต,อนุมัติในเรื่องต่างๆได้?ไปกันใหญ่?..(เพราะอาจปฏิเสธการขอให้ช่วยเหลือนั่นนี่?กับคนที่เคยคบคุ้นกันมาก่อน?ที่อาจโทรมาหา?,หรือมาหาเองเลย?นั้นไม่ค่อยจะได้?..ประมาณนั้น).. เช่น..
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.140 วันที่: 1 ธันวาคม 2566 เวลา:6:03:03 น.
(ข.)ถ้าเขา?(ผู้ใดผู้หนึ่ง?)ถ้าไม่รู้จักคุณ(ที่มีตำแหน่งหน้าที่ในการงานสำคัญ)เลย.. แล้วเขาจะกล้ามาขอในเรื่องเทาๆ?กับคุณโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย?(โดยใช้สำนวนการพูด?แบบคล้ายเคยรู้จัก,คบหา,คุ้นเคย?กันมาก่อน?)..ได้หรือไม่?..(ซึ่งมักมีคำถามแบบป้องกันตัวเอง?ประมาณว่าตอนนี้..คุณอยู่คนเดียวหรือเปล่า?..ประมาณนั้น..เพื่อนำร่องไว้ก่อนเสมอ?)..
2.ยุคสมัยนี้..โทรศัพท์มีการบันทึกเสียงไว้ได้,ไม่ว่าจะเป็นจากผู้โทรมาหรือผู้รับสายเองก็ตาม.. ซึ่งอาจ(แอบ)บันทึกไว้?,เพื่อไว้ทวงถามเมื่ออีกฝ่ายไม่ทำตามคำพูดที่ตกลงกันไว้?ก็ตาม,หรืออาจใช้เพื่อเล่นกลับ?เมื่อถูกอีกฝ่ายเล่นไม่ซื่อ?มาก่อน?..ก็ตาม(?)..
3.การโทรศัพท์ที่ติดต่อกันส่วนตัว?,โดยอาจพูดเรื่องจะช่วยค่าใช้จ่ายนั่นนี่,กันเป็นน้ำหนักกิโลๆ?,โดยไม่ยักพูดถึงว่า..จะให้โอนไปยังชื่ออะไร?,หรือจะให้ส่งเป็นน้ำหนักสดๆ?เลย?,ณ สถานที่แห่งใด?.. นั่นยิ่งเป็นเครื่องชี้?ว่า.. อาจเคยมีการตกลงยื่นเป็ดพะโล้,ยื่นไก่อบฟาง?กันมาแล้วหลายครั้ง?,หรืออย่างน้อยก็ต้อง(เคย)มีซัก1ครั้ง(มาก่อน)แน่ๆ?..หรือไม่?..ใช่หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.104 วันที่: 1 ธันวาคม 2566 เวลา:6:31:17 น.
(ค.)4.ผู้มีหน้าที่ที่มีอำนาจสำคัญต่างๆที่มักต้องชี้แจงเรื่องราวต่างๆต่อหน้าสื่อมวลชนและประชาชน,พึงต้องตระหนักว่า..ประชาชนหรือสื่อมวลชนนั้นเขาก็กินปลา(ที่มีโอเมก้า3)กันเยอะ,เขาอ่านคุณออกได้เสมอ(?),แต่ที่ไม่พูดอะไรต่อหน้าคุณ(?),ก็เพราะอาจกลัวคุณฟ้องเขา(?)..เท่านั้นเอง(?)..(ซึ่งถ้าคุณคิดจะอยากเข้ามาทำงานรับใช้ประชาชน?หรือทำงานภาครัฐ?,คุณจะต้องพูดแบบตรงไปตรงมา?อย่างเดียวได้เท่านั้น(?),และควรต้องชำระตน?หรือตรวจสอบตนเอง?เมื่อครั้งอดีต?ให้บริสุทธิ์?เสียก่อนด้วย?.. หรืออย่างน้อยคน(ปชช.)จำนวนมาก?ก็อยู่กับคนด้วยกัน?,คุ้นเคยกับอากัปกิริยา?ของผู้คนต่างๆ?มาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว(?).. บางครั้ง..คุณอาจแถลงชี้แจงต่อสื่ออย่างหนึ่ง?,แต่จับฟังดูสำนวนการพูด,แววตา,สีหน้า,ท่าทาง?แล้ว,เขา(หรือประชาชนผู้ชมการชี้แจง?)ก็อาจไปพูดกันเองว่า..ดูท่าทางเชื่อไม่ค่อยได้?,เขาอาจพูดกันทำนองว่า..อาจมีนั่น,มีนี่อะไรบางอย่าง?ต่อบางบุคคล?,เพราะเคยรู้จัก?หรือเพราะอาจเพื่อไม่ให้พาดพิง?,จนทำให้เรื่องลาม?,ขุดคุ้ย?มาสู่อะไรที่สีเทาๆ?ของตัวเอง?(จึงต้องพูดเชิงเบี่ยงเบน?,ยับยั้ง?เรื่องราว?..ไว้ก่อน?)ด้วยก็เป็นได้?,จึงรีบชิงพูดเพื่อปกป้องคนที่อยู่ในหน้าที่ใกล้ๆกัน?ไว้ก่อน?..ประมาณนั้น(?)..(ใช่หรือไม่?)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.15.144 วันที่: 1 ธันวาคม 2566 เวลา:7:31:22 น.
(ง.)เพราะในเชิงจิตวิทยามนุษย์นั้น.. การสังเกตว่า..คนไหนเป็นคนซื่อตรง?,คนไหนเป็นคนบุคลิกมีนอก,ใน?นั้น.. ก็โดยทั่วไป,คนทั่วๆไป,ก็พอที่จะมีเซ้นซ์รับรู้ได้ทางแววตา,สีหน้า,ท่าทาง,สำนวนคำพูดพอสมควรอยู่แล้ว(?).. หรือเหมือนถ้าเราเดินผ่านคนที่มีอาการเมาหนักๆ?,ก็น่าจะพอสัมผัสรู้ได้?..ใช่หรือไม่?..ก็ประมาณนั้น?..นั่นแหละ?.. ถึงแม้ประชาชนทั่วไปจะไม่มีอำนาจหรือไม่มีหลักฐานพอที่จะกล่าวหาผู้ที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ก็ตาม,แต่ในเรื่องการสังหรณ์เรื่องเซ้นซ์สัมผัส?ว่าใครบริสุทธิ์?หรือใครไม่ตรงไปตรงมา,เหลี่ยมเยอะ?,เขา(ปชช.+นักข่าว)ก็น่าจะพอจับสังเกตรู้ได้นะว่าใครเป็นอย่างไร?เราว่า?.. ดังนั้น..ต้องคิดว่า..ประชาชนหรือสื่อมวลชนเขาก็กินข้าวปลาอาหาร,มีสารอาหารเลี้ยงสมองเช่นเดียวกับเราเหมือนกัน(?).. ดังนั้น..ประชาชนหรือสื่อมวลชนเขาก็น่าจะรู้เท่าทัน?ต่อผู้ที่มีตำแหน่ง,หน้าที่การงานสำคัญ?กันทั้งนั้นแหละ(?).. อยู่ที่ว่าเขาจะกล้าแสดงออกแค่ไหน?..เท่านั้น?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.15.238 วันที่: 1 ธันวาคม 2566 เวลา:8:02:57 น.
(A)ได้ชมรายการSuthichailive,5-12-66แล้ว.. มีข้อคิดเห็นดังนี้ครับ..
(อุทาหรณ์การฝากปลาย่างกับแมวเหมียว?ของสังคมไทย)สังคมเราต้องคิดกันให้เป็นนะ(?).. ถ้าคุณคิดจะเอาเจ้าแมวเหมียว?(ที่อาจจับหนูเก่ง?)ที่ว่างๆก็ชอบเข้ามาทำทีตีสนิทไซ้แข้งไซ้ขา?ของคุณ(วุ้ย..น่าเอ็นดู๊?),แล้วคุณลองสั่งว่านี่..เหมียว..เฝ้าปลาย่างให้ดีๆนะ.. ถ้าสมมุติคุณเหมียวพูดได้,และพูดว่าเหมียวจะเฝ้าปลาย่างไม่ให้มีรอยขูดขีดเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ.. ถามว่าคุณจะเชื่อคำพูดของเหมียวนี้ได้หรือไม่?.. เพราะสัญชาตญาณ?ของนักธุรกิจใดๆ?ที่ทั้งชีวิตมุ่งแสวงหาคำตอบ?ของคำว่ากำไร-ขาดทุน?(ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม?)จะสามารถสละสมองและหลักคิด?ของความเป็นนักธุรกิจ?แล้วมาทำงานแบบเสียสละเปล่าๆ?(เพื่อช่วยเหลือสังคม?)ได้ล่ะหรือ?.. เพราะสัญชาตญาณของแมว?ซึ่งมีคำพังเพยว่าอย่าฝากแมวไว้กับปลาย่าง?(โดยเด็ดขาด)นั้น.. คงเป็นจริงเสมอตราบโลกแตก?นั่นแหละ.. เพราะถ้าคุณขืนคิดจะฝืนบริบทของธรรมชาติ?.. เช่น.. คิดจะจับ(ดึง)แมวทางหาง?,หรือเอาเชือกผูกหางแมวไว้?, คุณจะเห็นมันต่อสู้ดิ้นรนแบบไม่คิดชีวิต?เลยล่ะ.. หรืออีกที..ถ้าคุณจับหางแมวไม่แน่น?หรือไม่มีวิธีป้องกันที่ดี?, มันอาจสลัดหลุด?และพุ่งกระโจนขึ้นมาบนตัวคุณ?จนถึงใบหน้าและศีรษะของคุณ?ด้วยเล็บคมๆของมัน?จนคุณอาจถึงกับมีรอยขีดข่วนจากเล็บแมว?ไปทั้งตัวได้เลยเชียวแหละ(?).. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.15.250 วันที่: 5 ธันวาคม 2566 เวลา:15:12:26 น.
ประเด็นที่นักแฉ(บางส่วน)ต้องตื่นตัวกันให้มากนะ..คือ.. สิ่งที่นักการเมือง(บางส่วน)และนักแฉ(บางส่วน)ต้องตระหนักว่า.. เมื่อจะทำ,จะพูดอะไรก็ตาม?..ก็คือดิจิตอลฟุตปริ้นซ์ซึ่งอาจทำให้ท่านดิ้นไม่หลุด?.. ดังนั้น..ต้องเปลี่ยนทัศนะให้เป็นคนพูดตรงไปตรงมาเสมอ(?),เพราะถ้าพูดความจริงเสมอ?,จะได้ไม่ต้องคอยกังวล?,จะพูดกี่ครั้งก็จะเหมือนกันทุกครั้ง?,เวลาจะพูดจะได้ไม่ต้องคิดนาน?,เพราะธรรมชาติ..เรามักไม่จำสิ่งที่เราได้โกหกใครไปแล้ว?,แต่ถ้าเราเคยพูดโกหกอะไรกับใครไป?,เวลาเราจะพูดเรื่องนั้นอีกครั้ง?,เราจะตะกุกตะกัก?,และตอบคำถามได้ช้าลง?,เพราะมามัวนึกว่า..ครั้งก่อนเคยโกหกว่าอย่างไรไปแล้วนะ?,ก็จะต้องพยายามพูดให้เหมือนเดิม?,เดี๋ยวถ้าพูดครั้งนี้ไม่ตรงกับครั้งที่แล้ว?,ก็จะถูกจับโกหกได้?,และรวมทั้งการตอบคำถาม?แบบไม่กล้าสบตากับผู้สื่อข่าว?,หรือไม่กล้ามองกล้องตรงๆ?อีกด้วย?..
ดังนั้น..ประเด็นไม่ได้สำคัญอยู่ตรงคำว่า....เถื่อน?หรือ....ไม่เถื่อน?.. แต่ประเด็นที่สังคมและนักข่าวสนใจ?คือ..
1.มีพูดว่า..อยู่คนเดียวหรือเปล่า?..
2.ค่าบริหารจัดการที่เป็นกิโล?..
3.มีย้ำ..ให้ปล่อยตู้ใช่มั้ย?..ปล่อยตู้....ตู้,ให้....โลนะ?..
4.มีพูดว่า..เรื่องนี้เรารู้กัน...คนนะ?,ไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟังก่อนนะ?..
5.ถ้าเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย?.. น่าจะไปพูดติดต่อกัน?อย่างเปิดเผย?,แบบมีคนกลาง?(เช่น.. เจ้าหน้าที่รัฐ?)ร่วมเป็นพยานบุคคล?ร่วมรับรู้,รับเห็น?(โดยไม่ต้องกลัวว่า..จะมีการแอบบันทึกเสียง?ทางโทรศัพท์?หรือไม่?),เพราะไม่มีความลับที่ต้องปกปิด?อยู่แล้ว?..ใช่หรือไม่?..
6.ถ้าเป็นเรื่องตรงไปตรงมา.. แล้ว"อัดคลิป,ปล่อยคลิป?"..เพื่อ...?..
...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.15.250 วันที่: 5 ธันวาคม 2566 เวลา:16:34:53 น.
(A)วันนี้ได้ดูข่าวเกี่ยวกับเซเล่บ(บางท่าน)ถูกสามีนอกใจ.. จึงมีความคิดเห็นให้กับสังคมดังนี้..
สังคมไทยควรพิจารณาเรื่องการตั้งชื่อ(โดยเฉพาะชื่อเล่น),และการมีศีลธรรมในบ้านเมืองให้ดีๆ.. สังคมเรา(รวมทั้งผู้ใหญ่ๆทั้งหลาย),เรามักไม่คำนึงถึงเรื่องชื่อกันสักเท่าไหร่?.. เช่น..อย่างถ้าเป็นเราเป็นผู้ดูแลสังคมนะ.. อย่างเช่น..
1.ถ้าเคยมีข่าวดังอื้อฉาวและมีหนังบางเรื่องที่นำเสนอคดีรุมข่มขืนโทรมหญิง(ที่เป็นเรื่องราวที่ควรถูกประณาม)โดยใช้ชื่อหนังเป็นชื่อของท้องถิ่นหนึ่งในประเทศไทย,ที่เป็นที่ที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว,เราก็จะระงับการฉายหนังเรื่องนั้นทันที,เพราะมองว่าอาจชี้นำสังคม?ไปในทางที่ผิดศีลธรรมทางเพศ?เพื่อมุ่งหวังผลกำไร?ในทางธุรกิจ?เท่านั้น?..หรือไม่?.. และจะจัดการเปลี่ยนชื่อท้องถิ่นนั้นทันที.. แต่เราเห็นว่าผู้ใหญ่ๆ?ในสังคมไทยแทบไม่มีใครแสดงความเดือดร้อนหรือเสนอการแก้ไขชื่อเหล่านี้?แต่อย่างใดเลย?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.234 วันที่: 5 ธันวาคม 2566 เวลา:20:22:17 น.
(B)2.หรือแม้แต่การมีชื่อของสถานท่องเที่ยวบางแห่งที่มีชื่อ....ตา,.....ยาย,ที่ฟังดูแล้วกลายเป็นไปนำเสนอเรื่องที่ชวนให้ไปนึกถึงเรื่องอวัยวะเพศของชายและหญิง?,เราก็จะหาทางเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อสถานที่นั้น?ทันที,และหาทางไม่ทำให้เรื่องราวทางเพศ?กลายมาเป็นจุดขายของสังคมไทย?,เพราะเรามองว่า..อาจมีผลไปถึงDNAของสายพันธุ์ของคนไทย?ที่อาจกลายพันธุ์?เป็นเชื้อสาย?ที่กร้านต่อการทำเรื่องผิดศีลธรรม?ในอนาคตอันยาวไกล?ได้ด้วย?.. เช่นนี้เป็นต้น..
3.เราเองยังเคยแนะนำเด็กหญิงคนหนึ่ง(ที่สำนักสีกรักแห่งหนึ่ง)ที่มีชื่อเล่นที่มีความหมายของคำว่าคู่ซ้อน,คบซ้อน(ประมาณ=คำว่าชู้)ว่าควรเปลี่ยนชื่อเล่นคำนี้เป็นคำอื่นนะ.. เพราะเป็นคำที่คล้ายทำให้นึกถึงเรื่องที่ผิดศีลธรรมทางเพศ?(ดูไม่เป็นมงคลกับชีวิต,ซึ่งอาจก่อเกิดภัยทางเพศ?ให้กับตัวเองได้ด้วยนะ?),แต่ไม่รู้ว่าเขาได้ไปแก้ไขหรือเปล่า?..
โดย: สมจิต IP: 171.97.112.102 วันที่: 5 ธันวาคม 2566 เวลา:20:48:25 น.
(C)4.ส่วนตัวเราเชื่อเรื่องกรรม(ของหลักศาสนาพุทธ)ว่า..น่าจะมีผลต่อชีวิตของเราอยู่บ้างนะ(?).. เช่น.. เราเคยให้ความเห็นทางFB.(เพจหนึ่ง)ทำนองว่า.. ถ้ามีคนที่เป็นคนที่ไม่ค่อยดี?ก็ตาม,แต่ถ้าเขาไปเจอกับคนกินเจหรือนักมังสวิรัติ,หรือร้านอาหารเจ,เขาจะอยากไปทำร้าย?หรือจี้ปล้น?หรือไม่?..(เพราะเราว่าคนเรามักมีจิตสำนึกที่ดีซ่อนอยู่ในจิตใจส่วนลึกของเขาอยู่เสมอ),แต่เรามักเห็นว่าหรือมักมีแนวโน้มตามข่าวว่า.. คนที่ถูกทำร้าย(ในหลายๆเหตุการณ์ตามข่าวต่างๆ)มักเป็นคนที่มีวิถีชีวิตที่ไม่ถูกหลักศีลธรรมของศาสนา?ด้วย?..แทบทั้งนั้น(?).. เช่น.. คนร้ายบางคนมักไปปล้นหรือทำร้ายคนที่เลี้ยงวัว?บ้าง?,หรือเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง?เป็นอาชีพบ้าง?,เพราะเขาอาจคิดว่า.. เอ็งก็ไม่ใช่คนดี?ซักเท่าไหร่?,เพราะก็ยังเอาเปรียบสัตว์อยู่เลย?.. ประมาณนี้เป็นต้น..หรือไม่?..
5.หรือคนที่มักผิดศีลข้อ5ที่ชอบสังสรรค์ดื่มสุราอยู่เป็นนิจ?,หลายครั้งก็มักจะเจอเหตุร้ายกับตัวเอง?,เพราะอาจเกิดจากความรู้สึกว่า..เขาก็ไม่ใช่คนที่เป็นคนดิบดี?อะไรนัก?..ประมาณนี้?..หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.52 วันที่: 5 ธันวาคม 2566 เวลา:21:01:10 น.
(D)5.ดังนั้น.. เรามักสังเกตว่า.. ผู้ที่มีอาชีพร้อง,เต้น?ที่มีร้อง?และเต้น?ไปในเนื้อหาที่ไม่ส่งเสริมจริยธรรมทางเพศ?สักเท่าไหร่?,และ/หรือรวมทั้งผู้ที่มีชื่อเล่นที่ทำให้ผู้ได้ยินเขาแว็บไปนึกถึงเรื่องการมีคู่ซ้อนหรือการคบซ้อน?ดังกล่าวไปแล้วข้างต้น.. หลายคู่,หลายคน?มักจบลงด้วยการที่มีการแยกทางกับคู่ของตน?ให้เห็นอยู่เสมอ(?).. ดังนี้เป็นต้น.. เพราะโดยมาก..ผู้ชาย?นั้น(ซึ่งเราก็เป็นผู้ชายเช่นกัน.. ซึ่งเราคิดว่า..เราเข้าใจผู้ชาย?ได้พอสมควร),ถ้าให้ได้สัมพันธ์กับผู้หญิงชั่วครั้งชั่วคราว?หรือวันไน้ท์สแตนด์?(=สัมพันธ์คืนเดียว?),หรือชั่วระยะเวลาหนึ่ง?เพื่อเสพสุขทางเพศ?นั้น,เขาย่อมยินดี,ถ้าเกิดจากความยินยอม?,และไม่มีข้อผูกมัดใดๆ?นะ?.. แต่พอเขาคิดว่า.. ถ้าจะให้เลือกที่จะเป็นคู่ชีวิต?ตลอดชีวิต?นั้น,เขามักจะต้องคิดมากขึ้น?.. เพราะคู่ต่างๆช่วงโปรโมท?นั้น,ชีวิตชีวายังสด,ใหม่,ใสปิ๊ง?,ก็มักอยู่กันดี,หวานชื่น?กันทั้งนั้นแหละ(?),แต่พออยู่กันนานๆซักหน่อย,อาจเห็นข้อบกพร่องบางอย่าง?เมื่ออยู่ร่วมกันขึ้นมา,เขา(ผู้ชายบางคน)ก็มักมีเหตุผลมาสมทบ?ในความคิดของตัวเอง?ประมาณว่า.. นี่แหละ..ก็ดันเอาคนที่มีลักษณะคล้ายกล้า,ก๋ากั่นทางเพศ?มาเป็นแฟน?,แล้วจะหวังให้เป็นหญิงที่มีคุณภาพทางความคิด?และทางศีลธรรมจรรยาที่สมบูรณ์?ได้อย่างไร?.. และนี่แหละ..ย่อมเป็นเหตุสนับสนุนให้เขา(ผู้ชายบางคน)อาจอยากหาเรื่องนอกใจ?ไปหาคบผู้หญิงคนใหม่..นั่นเอง(?)..
...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 171.97.112.88 วันที่: 5 ธันวาคม 2566 เวลา:21:33:14 น.
(a)(ความเห็นส่วนตัว)..
ข้อคิด,ข้อเตือนสติ,เตือนใจในยุคเทคโนโลยี่สื่อสารเฟื่องฟูและทันสมัย..
1.ทั้งประชาชน,นักร้องเรียน,นักการเมืองทุกๆท่าน,ควรตระหนักให้ดีว่า.. ไม่ควรติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจหน้าที่(ที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ)หรือกระบวนการยธ.เป็นส่วนตัว(หรือลับเฉพาะ),โดยถือความสะดวกโดยใช้โทรศัพท์,เพราะโทรศัพท์แทบทุกระบบ,ทุกชนิด,ทุกเครือข่าย(ในปัจจุบัน)ล้วนมีเทคโนโลยี่อัดเสียงไว้ได้,จนอาจเป็นเหตุให้นำมาใช้แบล็คเมล์?,หักหลัง?,เรียกร้องค่าปิดปาก?,ซึ่งอาจทำให้เสียชื่อเสียง?ได้ในภายหลัง(?),เมื่อเกิดการพลิกล็อค?,เปลี่ยนใจ?,ไม่สมประโยชน์?,หรือไม่เป็นไปตามที่ตกลงกัน?,ซึ่งทำให้แต่ละฝ่าย?หรือบางฝ่าย?เสียทั้งเครคิตหรือความน่าเชื่อถือ?ได้ในภายหลังอีกด้วย(?)..
โดย: สมจิต IP: 171.97.112.10 วันที่: 7 ธันวาคม 2566 เวลา:12:23:39 น.
(b)2.ถ้าสิ่งที่ต้องการตกลงกัน?นั้นเป็นเรื่องที่ปกติ,ไม่มีนอก,ใน?,ไม่มีเรื่องการติดสินบน?.. ก็ควรติดต่อกันอย่างเปิดเผย,มีพยานของแต่ละฝ่ายร่วมรับฟัง,หรือติดต่อขอให้เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยธ.ร่วมรับรู้,รับเห็นด้วยก็จะยิ่งดีมากครับ..
3.ถึงอย่างไร?.. ประชาชนต้องคิดว่า..ทำไมต้องพูดถึงสิ่งที่จะจัดให้?ด้วยคำว่ากิโล?,ถ้าเป็นเรื่องที่บริสุทธิ์,ควรพูดด้วยภาษาตรงๆ.. เช่น.. ขอค่าวิชาชีพทนายความ?กี่พัน?,กี่หมื่น?,กี่แสน?,กี่ล้าน?,ก็พูดตัวเลข?กันไปตรงๆเป็นเงินบาท?ไปเลยน่าจะดีกว่าหรือไม่?,และยังไม่เป็นข้อพิรุธ?ให้ประชาชนนึกระแวง,สงสัยอีกด้วย?.. ใช่หรือไม่?..
4.และประชาชนมักต้องนึกว่า.. ถ้าแต่ละฝ่าย?สามารถตกลงลับๆกันแล้ว?,เผอิญลงตัว?,เรียบร้อย?,ไม่มีเรื่อง?,เพราะสมประโยชน์กันทุกฝ่าย?ไปแล้ว?,เรื่องต่างๆก็คงเงียบหายไปแบบคลื่นกระทบฝั่ง??,โดยอาจไม่มีใครสามารถล่วงรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล?หรือความไม่ตรงไปตรงมา?ของสังคมไทยได้เลย?..หรือไม่?..ใช่หรือไม่?..
...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 171.97.112.10 วันที่: 7 ธันวาคม 2566 เวลา:12:35:39 น.
ได้ชมรายการเนชั่นทันข่าวค่ำ,1-12-66แล้ว.. มีข้อคิดเห็นดังนี้ครับ..
เราได้ดูข่าวนักเรียนขอทุนกยศ.ที่เป็นมุสลิมและปิดแม้ซ,ทำให้เกิดจินตนาการ,แนวคิดส่วนตัวดังนี้..
โลกทั้งผองล้วนพี่น้องกัน,มาจากอีวาและอาดัมเป็นจุดเริ่มต้นเมื่อครั้งพระเจ้าเริ่มต้นสร้างโลก.. เราเคยศึกษาทั้งพุทธและคริสต์มาก่อน.. เราเห็นว่า..จะเป็นไปได้มั้ย?..ถ้าจะมีการตั้งศาสนารวมของคนทั้งโลก,โดยดึงเอาจุดดี,จุดเด่นของแต่ละศาสนาใหญ่ๆมาหลอมรวมกันเป็นศาสนาโลก?.. เพราะทุกศาสนาล้วนมีจุดดีของตนที่แตกต่างจากศาสนาอื่นทั้งนั้น.. เช่น..
1.เอาเรื่องเชื่อหลักกรรมและวิบากกรรมและการบำเพ็ญลดละกิเลสของพุทธ..
2.เอาเรื่องการมีจิตสำนึกที่รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองของคริสต์ที่มีจุดเด่นในเรื่องการสงเคราะห์สังคม,ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นหลัก(อย่างตัวอย่างแม่ชีเทเรซ่า..เป็นต้น)..
3.เอาเรื่องของการคลุมฮิย้าบของหญิงมุสลิม(โดยเฉพาะเมื่อปิดแม้ซในยุคโควิดด้วยแล้ว),ดูแล้วจะไม่มีลักษณะการยั่วยวนทางเพศใดๆเลย.. ซึ่งจะช่วยให้โลกเราลดการก่ออาชญากรรมทางเพศลงไปได้มากด้วย..
ถามว่า..ถ้าเอาหลัก3ข้อของ3ศาสนามาผูกรวมกัน.. น่าจะช่วยให้โลกนี้ร่มเย็นลงมากกว่านี้หรือไม่?..ใช่หรือไม่?..
...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.154 วันที่: 10 ธันวาคม 2566 เวลา:19:28:12 น.
(A)วันนี้ได้ชมรายการข่าวช่อง8,11-12-66ช่วงนักมวยดังกับสาว17แล้ว.. มีข้อคิดเห็นดังนี้ครับ..
สังคมไทยน่าเป็นห่วง.. บอกว่าเป็นพุทธ95%(แต่ไม่เคร่งศาสนาเท่าชาวมุสลิม).. กระดุมเม็ดแรกที่ติดผิดก็คือ.. การปล่อยให้มีการจำหน่ายแอลกอฮอล์แบบค่อนข้างอิสระ(ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้สติคุ้มครองตนเองลดลง,การตัดสินผิดถูกจะถูกทำให้เบลอ,มีความกล้าและคะนองมากกว่าปกติ)..
ถ้าจะบอกว่า..เอ้า..ประเทศฝรั่งเขาก็มีดื่มสุรากันเหมือนกัน.. แต่เราต้องอย่าลืมว่า..พื้นฐานของคนฝรั่งนั้น,ระเบียบบ้านเมืองเขาสอนให้ประชากรของเขามีวินัยไงล่ะ.. เช่น.. ถ้าเมาแล้วจะไม่ขับรถเอง..เป็นต้น..
ดังนั้น.. สำหรับสังคมไทย,เมื่อสติไม่เต็มที่ก็ง่ายที่จะกล้าทำความผิดต่างๆตามมา.. อยากบอกว่า..ถ้าเอาจริงๆนะ.. ช่วยรณรงค์ให้สังคมไทยไร้แอลกอฮอล์[ไม่ใช่มีแต่คำขวัญว่างดเหล้าเข้าพรรษาหรือให้เหล้าเท่ากับแช่งเท่านั้น,ซึ่งไม่สู้จะเป็นประโยชน์เท่าใดนัก(?)..ใช่หรือไม่?]..
เพราะอาชญากรรมต่างๆมักมีจุดเริ่มต้นที่การสังสรรค์ดื่มสุรา(?)กันก่อนเสมอ,อะไรทำให้คนไทยชอบทำลายสติสัมปชัญญะของตัวเอง,จะสังเกตว่า..คนเชื้อสายจีนในไทย,เราไม่ค่อยเห็นเขาติดการดื่มสุรา?กันซักเท่าไหร่นะ?,เราว่า?..
ส่วนคนขายเขาก็โทษคนกิน,เขาบอกว่า..ถ้าคนไทยไม่กินสุรา,เมื่อโรงงานผลิตสุราออกมาแล้วจำหน่ายไม่ได้ก็ต้องเลิกผลิตไปเอง..ประมาณนั้น..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.182 วันที่: 12 ธันวาคม 2566 เวลา:0:17:14 น.
(B)แล้วก็อยากถามว่า.. การเที่ยวเตร่,ไน้ท์คลับ,ผับ,บาร์,คาราโอเกะ,ฯลฯนั้น?.. ผู้ใหญ่ๆทั้งหลายในสังคมท่านไม่รู้หรือว่ามันผิดหลักอบายมุข6ของพุทธศาสนาอยู่โต้งๆ(?).. แล้วท่านผู้ดูแลสังคม(ทุกยุค)ท่านปล่อยให้เปิดกันเต็มบ้านเต็มเมืองได้อย่างไร?.. ซึ่งที่สุดก็มักไปสู่การล่วงละเมิดทางเพศ?,ทั้งยินยอมบ้าง,ถูกล่อลวงบ้าง,ลามไปถึงความอบอุ่นในครอบครัวก็หมดสิ้นไป..
ลูกที่เติบโตขึ้นมาก็ไม่ภูมิใจ?ในตัวพ่อและแม่?.. โดยพ่อมักเป็นผู้เที่ยวกลางคืน?,ส่วนแม่บางคนก็มีอาชีพของคนกลางคืน?,ที่มักไม่พ้นไปจากการละเมิดศีลข้อ3กันเป็นจำนวนไม่น้อย,ซึ่งยากที่จะหลุดพ้นจากปลักตมเหล่านี้ได้(?).. ทำให้สังคมไทย,ครอบครัวไทยล่มสลายตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้,เพราะลูกหลานคนไทยจำนวนหนึ่งไม่มีตัวอย่างที่ดีของบุพการีให้ดูเป็นแบบอย่าง,และเดินรอยตาม..นั่นเอง.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.182 วันที่: 12 ธันวาคม 2566 เวลา:0:23:11 น.
(a)วันนี้ได้ชมรายการลุยชนข่าว,ช่อง8,12-12-66ช่วงเปิดภาพวงจรปิดในโรงแรมแล้ว.. มีข้อคิดเห็นดังนี้ครับ..
การแก้ปัญหาเรื่องการประพฤติผิดทางเพศ,ควรแก้ที่ต้นเหตุ,ซึ่งสื่อส่วนมากมักพูดถกเถียงกันแค่ว่า.. ถ้าอายุต่ำกว่า18,จะยอม,ไม่ยอม,ก็ผิดอยู่ดี..เท่านั้น,เหมือนว่าจะส่งสัญญาณกลายๆว่า.. ถ้าอายุเกิน18,ก็สามารถทำอะไรได้ตามสบายนะ(?)..ประมาณนั้น..หรือไม่?,เพราะจริงๆแม้อายุเกิน18ไปแล้ว,ถ้ายึดตามหลักศาสนาก็คือยังถือว่าผิดเรื่องล่วงประเวณี(ศีลข้อ3)อยู่ดีนั่นแหละ(?)..
ซึ่งถ้าสังคมเราเอื้อต่อหลักศาสนา(อันเป็นเครื่องจรรโลงโลก)โดยเฉพาะศีลข้อ3(ซึ่งชาวพุทธทุกคนรู้จักกันดี),ซึ่งเราเคยนำเสนอในเพจบางเพจมาก่อนหน้านี้แล้ว..ว่า..
1.โรงค้างแรม?(ควรยกเลิกโรงค้างแรมแบบปิดม่าน?,ซึ่งเท่ากับส่งเสริมการทำผิดศีลข้อ3หรือไม่?)ต้องแบ่งส่วนเป็นเขตหญิง-เขตชาย(แยกกัน),หญิงไม่สามารถเข้าเขตชาย,และชายไม่สามารถเข้าเขตหญิง,โดยให้มียามเฝ้าอยู่..
2.ถ้าจะพักแบบครอบครัวต้องมีทะเบียนสมรส(ตัวจริง)มายืนยันด้วย..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.182 วันที่: 13 ธันวาคม 2566 เวลา:0:36:30 น.
(b)3.หญิง-ชายจะมีเพศสัมพันธ์กันได้,จะต้องจดทะเบียนสมรสอย่างถูกกฎหมายกันก่อนแล้วเท่านั้น..(เพื่อเริ่มต้นปรับปรุงDNAให้เป็นDNAที่มีศีลธรรมในอนาคต)..
4.หญิง,ชายที่ไม่ใช่คู่สมรสหรือสามี,ภรรยาจะไปไหนด้วยกันตามลำพัง2ต่อ2ไม่ได้โดยเด็ดขาด..
5.ควรนำเรื่องหลักอบายมุข6ของพุทธมาใช้เป็นหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด..
6.โดยเฉพาะหญิงต้องไม่สัญจร,เที่ยวเตร่ในสถานบันเทิงยามค่ำคืน(?),เพราะก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า..หญิง,ชายนักเที่ยวบางส่วนไปพบปะ,สังสรรค์กันด้วยจุดประสงค์อะไร?,เพราะหญิงควรรู้ว่า..ชายย่อมไม่ประสงค์จะหวังแสวงหาหญิงนักเที่ยว(?)มาเป็นภรรยา?อยู่แล้ว?,เว้นแต่เพื่อความสุขทางเพศ?เพียงวันไน้ท์สแตนด์?เท่านั้น..
7.สรุปว่าควรศึกษา,นำเอาหลักศาสนาของมุสลิมในเรื่องการประพฤติตัวต่อกันของหญิงและชายชาวมุสลิมมาใช้เป็นกฎระเบียบหรือกฎหมายของสังคมด้วย..
...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.182 วันที่: 13 ธันวาคม 2566 เวลา:0:40:33 น.
(c)(ข้อคิดเห็น,ข้อเสนอแนะ)..
สื่อสารมวลชนทั้งหลายควรเสนอข่าวพร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางในเชิงหลักศาสนากันบ้าง(?),คือไม่พูดแต่เฉพาะเพียงหลักการทางกฎหมายเท่านั้น(ซึ่งหลายครั้งเหมือนเป็นการช่วยชี้โพรงฯช่วยเหลือบางฝ่าย?ไปนั่นเลย?)ทำนองว่า..ใครจะผิดน้อย,ผิดมาก?อย่างไร?(เช่น.. ควรนำเสนอว่า..ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่หรือผู้มีชื่อเสียงในสังคมควรวางตัวกันอย่างไร?,เพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กรุ่นหลังมากกว่าหรือไม่?..
หลักการสำคัญคือ..สังคมที่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักของคน95%,แล้วปล่อยให้มีสถานที่บันเทิงเริงรมย์?(อโคจร?)อันเปิดโอกาสให้หญิง-ชายซึ่งไม่ใช่คู่สมรส?ได้มีโอกาสมาพบ,ปะ?(เสี่ยงทายหาคู่ชั่วคราว?)กัน?,โดยมีสุรา?(เครื่องบั่นทอนสติ?,ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี?และการยับยั้งชั่งใจ?)เป็นตัวกลาง?ในการสังสรรค์กัน?ได้อย่างไร?.. ซึ่งถ้าไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ,ก็คงยากที่สังคมไทยจะพ้นไปจากเรื่องราวทำนองนี้ได้(?)..ใช่หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.156 วันที่: 15 ธันวาคม 2566 เวลา:19:20:29 น.
(d)ข้อสำคัญ.. คือ..
1.พุทธสอนเรื่องศีลข้อ3(ไม่ประพฤติผิดในกาม)และศีลข้อ5(ไม่ดื่มสุราเมรัย),ให้มีหิริ,โอตตัปปะ(ซึ่งเป็นธรรมคุ้มครองโลก)..
2.คริสต์สอนเรื่องให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง(แปลความก็คือ.. ต้องมองเห็นหญิงอื่นเหมือนดั่งญาติพี่น้องหรือลูกสาว,หลานสาวของตนเอง?..ใช่หรือไม่?.. เราทุกคนต้องคิดไว้เสมอว่า.. ถ้าสมมุติว่า..เห็นพี่สาว?,น้องสาว?,ลูกสาว?เข้ามาอยู่ในสถานที่บันเทิงอโคจร?เช่นนั้น.. เราจะต้องแสดงออกอย่างไร?.. อาจต้องรีบไปบอกให้ออกจากสถานที่แห่งนั้น?..หรือไม่?..[เคยมีโฆษณาชิ้นหนึ่ง,ซึ่งน่าประทับใจ,คือมีเด็กนักเรียนหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งขึ้นรถเมล์,นั่งท้ายรถ,แล้วถูกวัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่งลวนลาม,ทำท่าจะกระชากลงรถ,และมีหญิงสว.ท่านหนึ่งเห็นแล้วทนไม่ได้,รีบลุกขึ้นพูดว่าทำอย่างนี้ได้อย่างไร?,รังแกผู้หญิงได้อย่างไร?(ประมาณนี้).. แล้วคนอื่นๆก็เริ่มลุกขึ้น,ช่วยกันพูดประณาม,ตำหนิชายกลุ่มนั้น,และกระเป๋ารถเมล์ก็มาช่วยไล่วัยรุ่นชายกลุ่มนั้นให้ลงจากรถไป,เด็กนักเรียนหญิงวัยรุ่นคนนั้นก็ปลอดภัยจากภัยทางเพศ?อย่างหวุดหวิด?.. ใช่หรือไม่?]..
3.ส่วนมุสลิมเขาก็ให้เพศหญิงของศาสนาเขาต้องคลุมฮิย้าบเพื่อไม่ให้ยั่วยวนทางเพศ?,และไม่ให้หญิงเข้าไปในสถานที่บันเทิงอโคจรเช่นนั้นอยู่แล้ว?..ใช่หรือไม่?..
...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.156 วันที่: 15 ธันวาคม 2566 เวลา:19:45:01 น.
(e)(ข้อมูลเพิ่มเติมในหลักการของพุทธ)..
สังคมไทยเป็นสังคมชาวพุทธ(95%).. ถ้าจะเอาหลักศาสนามาพิจารณาร่วมด้วย.. ก็เคยฟัง,เคยอ่านว่า..พระไตรปิฎกมีพูดถึงว่าแค่องคชาติชายล่วงล้ำในอวัยวะเพศสตรีประมาณแค่1เมล็ดงาก็ถือว่าผิดปาราชิกข้อ1สำหรับภิกษุแล้ว.. ซึ่งอวัยวะเพศสตรีไม่ใช่พื้นเรียบเหมือนพื้นกระเบื้อง.. ดังนั้น..แค่อวัยวะเพศสัมผัสกันก็น่าจะเกิน1เมล็ดงา?แล้วหรือไม่?..ใช่หรือไม่?.. ดังนั้น.. ใน"บางเค้ส"จะมองอย่างไร?.. ก็ลองพิจารณากันดูครับ..
...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.156 วันที่: 18 ธันวาคม 2566 เวลา:2:07:33 น.
(A)วันนี้ได้ชมรายการข่าวเด่นประเด็นฮอต,ช่องมติชน,19-12-66ช่วงดราม่าเดือด!เชื่อมจิตแล้ว.. มีข้อคิดเห็นดังนี้ครับ..(ขอคิดด้วยคนนะ).. หลักศาสนายุ่ง
เหยิง?เพราะจิตมนุษย์ช่างปรุงแต่งไปเอง?เป็นหลักนั่นแหละ..
อย่างแม้แต่หลักศาสนาใหญ่ๆ(บางศาสนา)ก็มีวิธีคิดที่ขัดแย้งกันเอง(อย่างพุทธเอาหลักการหมดตัวตน?,ซึ่งเรามองว่าไม่ใช่เรื่องของศาสนา?,แต่อาจเป็นเพียงปรัชญาส่วนบุคคล?เท่านั้น,และก็พิสูจน์ไม่ได้ด้วย(?),อย่างที่กำลังเป็นข่าวดังนี่ไงล่ะ?,และอย่างบางศาสนาก็สอนประมาณว่า.. ถ้าจัดการคนนอกศาสนา,ไม่ถือเป็นบาป,แต่พระเจ้าจะยอมรับ(?)..ประมาณนั้น.. เป็นต้น..)..
เราจึงมีแนวคิดส่วนตัว,คิดว่าองค์กรโลกน่าจะเข้ามาจัดการให้มีหลักศาสนารวมโดยเอาศาสนาใหญ่ๆ.. เช่นพุทธ,คริสต์,อิสลามที่มีจุดเด่นที่ดีมาผูกรวมกันนั่นไง?..
เช่น.. พุทธเด่นเรื่องศีลข้อ3,ข้อ5,หิริโอตตัปปะ(ธรรมคุ้มครองโลก)..
ส่วนคริสต์เด่นเรื่องให้รักคนทั้งโลก,และให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง(ถ้ารักคนทั้งโลก,แล้วจะมีสงครามได้อย่างไร?)..
ส่วนมุสลิมก็มีเรื่องการคลุมฮิย้าบคือไม่ให้ผู้หญิงแต่งตัวยั่วยวนทางเพศ?,อันทำให้สังคมเร่าร้อน?,และทำให้ลามไปสู่การทำผิดหลักศีลธรรมข้ออื่นๆ?ตามมา?.. ใช่หรือไม่?(เช่น กรณีข่าวนักมวยดังบางท่าน..เป็นต้น)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.156 วันที่: 20 ธันวาคม 2566 เวลา:14:39:07 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ผักกาดดองเน่า
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add ผักกาดดองเน่า's blog to your web]
Bloggang.com