|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
+++ โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา + เริ่มต้นปี 10 วัน 3 เล่ม และการจากไปของลุงไรท์ ฝรั่งขี้บ่น ++++
เมื่อครึ่งปีก่อน ( 30/6/51 อ้างอิงจากที่ได้จดไว้ในไดอารี่) ผมได้ลากตัวเองเข้าไปชมหนังเรื่องนี้ สารภาพตรงๆ ณ ขณะนี้ผมจำความรู้สึกเมื่อดูหนังจบออกมาแทบจะไม่ได้แล้ว จำได้คร่าวๆว่าไม่ได้รู้สึกชอบมากเป็นพิเศษ ผมแค่รู้สึกเสียดายจัง ที่หนังแบบนี้ได้ฉายอยู่อย่างจำกัดโรง ครั้นจะเขียนเพื่อช่วยกระตุ้นให้คนไปดูก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก ก็คิดว่าเมื่อออกมาเป็น DVD แล้วค่อยเขียนถึงแล้วกัน คงจะมีคนเข้าถึงได้มากกว่า..
ช่วงเดือนแรกหลังจากหนังลาโรง เป็นปกติที่ผมจะเข้าร้าน DVD บ่อยมาก(ตอนนี้ก็ยังบ่อยอยู่) สายตาก็มักจะสอดส่ายหาหนังเรื่องนี้ว่าออกมารึยัง คำตอบมีเพียงแค่สายลม วันเวลาล่วงเลยผ่านไป เดือนแล้วเดือนเล่า วันแล้ววันเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วเล่า นาทีแล้วนาทีเล่า...ผมก็ลืมเรื่องนี้ซะสนิท.....จนกระทั่ง เมื่อวันก่อน ผมมีโอกาสได้เข้าไปที่ร้านขายDVD สายตาผมพลันไปเจอกับหน้าปกหนังไทยคุ้นๆ ผมอุทานออกมาเบาๆ " อ่าวเห้ย! แม่งยังออกอยู่อีกเหรอว่ะ " (แต่ผมไม่ได้ซื้อกลับมานะ ฮ่าๆ)
ผมกลับมาถึงห้อง หยิบไดอารี่ค่อยๆพลิกหาหน้าที่เขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ออกอ่านอีกครั้ง...คงถึงเวลาแล้วกระมัง
-------------------------
โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา แม่น้ำ ภูเขา ทะเล กว้างใหญ่ อย่าไปไหนปักษ์ใต้บ้านเรา ผมเชื่อมั่นว่าบทเพลงนี้คงจะเคยผ่านสองรูหู ใครหลายๆคนมานับครั้งไม่ถ้วน แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเพลงนี้ใครเป็นคนร้อง หรือใส่ใจว่าคนที่แต่งเพลงนี้ต้องการที่จะสื่อถึงอะไร ไม่เช่นนั้น เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คงจะไม่เกิดขึ้น..
หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากหนังสารคดีเรื่องแรก ที่พาเราขึ้นเหนือไปป๊ะ(พบ)กับ " เด็กโต๋ " มาคราวนี้ สองผู้กำกับคู่ดูโอ้ ป๊อป อารียา และ นิสา พาเราลองลงใต้ไปสัมผัสกับชีวิตอีกขั้วหนึ่งที่ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ร้ายๆตลอดหลายปีที่ผ่านมา
สำหรับใครที่คิดจะมาดูหนังสารคดี Feel Good อบอุ่น อิ่มเอมใจแบบ เด็กโต๋ คิดว่าจะมีฉากประทับใจเหมือนตอนที่ เหล่าเด็กๆบ้านแม่โต๋ได้เห็นทะเลเป็นครั้งแรก แล้วตื่นเต้นวิ่งลงไปเกลือกกลิ้งอย่างเมามัน บางคนบอกพร้อมกับร้องไห้น้ำตาอาบแก้มว่า หนูเป็นคนแรกของตระกูลที่ได้มาเห็นทะเลเป็นๆน้ำเค็มปี๋
ภาพเหล่านั้นหาได้มีในเรื่องนี้ไม่ เพราะปักษ์ใต้บ้านเรา นำเสนออย่างเรียบง่าย realistic (หากเรามองข้ามการเซทฉากไป)เป็นสถานการณ์ปัญหาจริงที่ผู้คนเหล่านั้นได้ประสบพบเจอ และด้วยเนื้อเรื่องที่เรียบง่าย ทำให้เราต้องปะทะความคิดของตัวเราเอง ตั้งคำถามกับเรื่องราวต่างๆอยู่ตลอดเวลา
หนังแบ่งออกเป็นช่วง ตัดสลับกันไป ซึ่งแต่ละช่วงก็เป็นปัญหาที่แต่ละคนต้องพบเจอ และหาทางออกแตกต่างกันไป บ้างก็ต้องกัดฟันสู้ด้วยตนเอง เพื่อครอบครัวอยู่รอดมีข้าวกิน ดังเช่นบังหมาด ชาวประมงที่ถูกพิษสึนามิเล่นงาน บ้างก็ต้องลงไปช่วยเหลือตอบแทนสังคมในวันที่ชุมชมเดือนร้อน หรือจำใจปลดพนักงานออกเพื่อความอยู่รอดของกิจการอย่าง บริษัทหาดทิพย์ บ้างก็เลือกที่จะตอบแทนโอกาสที่ได้รับ ด้วยการจัดค่ายอาสาพัฒนาชุมชน เพื่อส่งต่อโอกาสดีๆที่ตนได้รับให้กับคนที่ยังไม่มีโอกาสต่อไปอย่างน้องเบียร์ รวมไปถึง พี่ก้อย เจ้าของร้านอาหาร ที่นอกจากจะต้องดูแลลูกจ้าง และลูกค้าเป็นอย่างดีแล้ว เวลาว่างก็มักจะจัดทริป เพื่อดูแลสังคม เช่นการเดินเก็บขยะริมหาดอีกด้วย
แม้เรื่องนี้จะไม่ได้บอกทางออกให้กับเรา แต่สิ่งที่เราได้เห็นในเรื่องก็คือ ไม่ว่าปัญหาต่างๆนั้นจะใหญ่โต รุนแรงเหมือนดั่งเป็นอุโมงค์มืดมิดแค่ไหน แต่ถ้าคนในสังคมนั้นช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ไม่มัวนั่งโทษโชคชะตา อย่างที่บังหมาด ว่าไว้ คนเราจนได้ไม่เป็นไร แต่อย่าจนน้ำใจ จนความคิด เมื่อนั้นผมเชื่อว่า แสงสว่างจะปรากฏขึ้นที่ปลายอุโมงค์ให้กับคนเหล่านั้นแน่นอน
อย่างที่เพลงว่าไว้ ความดีอยู่ในใจเรา เราทุกคนล้วมมีมันอยู่กับตัว ไม่ต้องไปเสาะแสวงหาหรือรอแรงบันดาลใจจากใคร อยู่ที่เราพร้อมที่จะทำมันเมื่อไหร่เท่านั้นเอง..
ผมได้แต่แอบหวังว่าหนังเรื่องนี้จะก่อให้เกิดการเห็นใจคนรอบข้าง หรืออยากลุกขึ้นมาทำความดีกันมากขึ้น จนเป็นกระแส Butterfly Effect แต่ดูแล้วผีเสื้อตัวนี้คงต้องทำงานหนักมาก
เพราะทั้งโรงที่ผมดูมีอยู่แค่ 3 คน.. T_T
ปล. ถ้าใครได้ดูในโรงจะได้ชมหนังสั้นสารคดี เรื่อง ประชาธิปตาย จิกกัดพวกผู้มีอำนาจได้เจ็บจี๊ดดี ไม่รู้ว่าเมื่อมาเป็น DVD จะมีให้ได้ชมหรือไม่..
-------------------------
Note : บอกตัวเองว่าปีนี้จะพยายามอ่านหนังสือไทยให้น้อยลง แต่เพียงแค่ 10 วัน ผมก็ซัดไปแล้ว 3 เล่ม แต่ละเล่มก็สนุกมากๆ อ่านแล้วติดงอมแงมเป็นตังเมเลย มี Fighting Publisher ที่ได้เขียนไว้ในblog ที่แล้ว ส่วนอีก 2 เล่มคือ ชาติ ศาสนา ซาชิมิ ของ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา หนังสือของพี่ภิญโญ ไม่เคยทำให้ผิดหวัง เอาประเด็นเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมมาเชื่อมโยงกันได้อย่างแยบยล อีกเล่มคือ GM Cafe เป็นหนังสือรวมบทสัมภาษณ์ ไม่รู้จะเรียกว่าสัมภาษณ์ได้รึป่าว เอาเป็นว่า เอาตัวแทนของคนกลุ่มต่างๆทั้งขาประจำ และขาจรของGM มานั่งคุยสนทนากันถึงประเด็นปัญหาต่างๆในสังคม หนังสือเล่มนี้แอบโกงนิดหน่อย มีบางหัวข้อเคยอ่านแล้วก็เปิดแบบผ่านๆ แต่สนุกมาก เห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้างก็ว่ากันไป แต่ก็ได้เก็บเอาข้อคิด วิธีการคิด มุมมองของผู้ที่มานั่งคุย เอามาปะทะโต้ตอบกับมุมมองของตัวเอง เป็นการเหลาความคิดของเราให้คมขึ้นไปในตัว..
Note 2 : วันก่อนตื่นขึ้นมาเปิดเวปมติชนอ่านข่าวตามปกติ เจอข่าวลุงไรท์ของเราจากไปด้วยโรคมะเร็ง ก็ตกใจพอสมควร เหมือนเพิ่งเจอแกอยู่หลัดๆ (ที่จริงก็นานโขอยู่) มานั่งทบทวนเรื่องเกี่ยวกับแก ก็นึกเสียใจ(นิดนึง..นิดเดียวจริงๆ)ที่เมื่อก่อนชอบไปบ่นแกกับพวกพี่ที่มติชนว่า แกเป็นฝรั่งขี้บ่น..ฮ่าๆ แต่ถึงบ่น ก็ติดตามอ่านงานแกอยู่อย่างต่อเนื่องนะเออ..เมืองไทยสูญเสียนักคิดคนสำคัญไปอีกหนึ่งคน แต่ไม่ต้องห่วงผมเชื่อว่ารุ่นใหม่ๆ เก่งๆ ฝีมือดีๆยังมีอีกเยอะ ว่าแต่...คอลัมน์ของแกที่ว่างลงไปในมติชนสุดฯ ใครจะมาแทนหว่า..เหอะๆๆ
Create Date : 10 มกราคม 2552 |
Last Update : 10 มกราคม 2552 21:32:12 น. |
|
2 comments
|
Counter : 758 Pageviews. |
|
|
|
โดย: grappa IP: 58.9.220.28 วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:18:42:31 น. |
|
|
|
|
|
|
|