สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
<<
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
4 กันยายน 2548
 
All Blogs
 

ของเป็นยังดิ้นได้

เรื่องสั้น ของเป็นยังดิ้นได้
โดย สุภารัตถะ


ที่ทำงานซึ่งห่างไกลกันมาก..และการมีเวลาได้พบกันเพียงสิบวันต่อสองเดือน ทำให้จันทร์สายซุกซ่อนความสนุกไว้ในความคิดถึง กับการตระเตรียมเนื้อตัวเพื่อจะได้พบกับประวิทย์คนรักเมื่อใกล้วันนั้น ต้องละเอียดละออต่อร่างกายทุกส่วนสัด ราวงานจัดดอกไม้ที่มุ่งมาดให้สวยซึ้งประณีต สร้างความประทับใจให้สาสมกับช่วงเวลารอคอย

ทันทีที่ทั้งคู่เจอะเจอกันในท่าทีสงบดุจทะเลไร้คลื่น อารมณ์ซึ่งถูกกักเก็บ ก็ไม่อาจระงับได้อีกเมื่อย่างกรายเข้าถึงบ้าน พายุและลมโหมให้กระเจิดกระเจิงในความถวิลหาร่างกายของอีกฝ่าย ด้วยการพานพบเสมือนเป็นคราแรกอยู่เสมอ ความไกลสร้างความคะนึงหาได้ย่างวิเศษ ทดแทนความทุกข์สองเท่าด้วนความสุขทวีคูณ และแม้จะอยู่ด้วยกันแล้วอย่างเปิดเผย เขาก็ยังทั้งห่วงและหวงเธอ ด้วยฝ่ายหญิงนั้นยังไม่เคยเอ่ยปากจะตกร่องปล่องชิ้นโดยเขาก็ไม่กล้าบังคับฝืนใจ ความสวยและฉลาดของจันทร์สายคงจะตกไปเป็นของคนอื่นได้ไม่ยากหากเธอต้องการ สร้างความวิตกให้ต้องคอยพะนอด้วยถ้อยคำหวาน และโน้มน้าวให้เธอเชื่อในอนาคตร่วมกัน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



เกือบทุกคนเฝ้าฝันและติดตามหาคนๆ เดียวในโลกเท่านั้น ที่จะรักและเข้าใจกัน เป็นกำลังใจให้กันอย่างไม่ผันแปรแม้ฟ้าล่มดินสลาย ทุกครั้งยามเหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้จากโลกภายนอก มีเพียงประวิทย์ผู้เดียว คอยเป็นที่พึ่งพิงยึดเหนี่ยวและเยียวยาให้ จันทร์สายยอมรับในความอาทรของฝ่ายชาย คิดไม่ออกว่าจะหาใครไหนอื่นมารักเธอได้เท่านี้อีก หลังดูใจจนเชื่อมั่น จึงตัดสินใจยอมรับในฐานะถูกครอบครองเป็นเจ้าของ และไม่ต้องการอิสระอย่างเคยบอกเขาอยู่เสมอว่า “ขอลองคบกันไปก่อน ยังไม่อยากให้ต่างฝ่ายต่างปิดกั้นโอกาสของตนเอง” แต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับ เหมือนหล่นจากผาสูงฉับพลันเมื่อหลุดคำพูดว่าตกลงใจจะอยู่ร่วมกับเขาอย่างคู่ชีวิต ประดุจเป็นการปลดปล่อยพันธะแห่งความกังวลซึ่งพันธนาการประวิทย์ไว้อย่างแน่นหนา ให้กลายเป็นความลังเล ความเงียบชั่วครู่ของเขา ลากเธอไปสู่ความอับอาย

โลกทั้งโลกหันมายิ้มเยาะต่อสถานะของเธอ เสมือนกลายเป็นผู้ขาดอำนาจต่อรอง ด้วยการเสนอตัวเป็นฝ่ายยอมจำนนของตัวเอง เธอสัมผัสได้ถึงความไร้ค่าของการหยุดนิ่ง โดยประวิทย์เองอาจไม่รู้ตัว ว่าลืมเลือนแสดงอาการดีใจออกมา กับความพยายามซึ่งมีมาเนิ่นนานนั้นประสบผลสำเร็จ การไขว่คว้าอาจน่าหลงใหลกว่าการครอบครอง เขาเองก็คงเย้ยหยันเธออยู่ลึกๆ เพราะความฝันอันชวนเชื่อเธอนั้น ความจริงอาจมีเพียงเขาเป็นผู้กุมชะตาเพียงลำพัง

นอกจาก..สิทธิ์ในการตัดสินใจหรือวางแผนชีวิตคู่อย่างช้างเท้าหลัง เพราะเกียรติที่จันทร์สายได้รับอย่างเอาใจ ซ่อนการถูกบังคับในตอนท้ายเป็นบทสรุป เธอยังระแคะระคายข่าวคาวของเขากับผู้หญิงที่อยู่ใกล้ตัวเขาได้มากกว่าเธอ ความผิดหวังซ้ำซากเล่นงานจันทร์สาย ให้ตัดสินใจลุกขึ้นมาเป็นของดิ้นได้อีกครั้ง

“โชคดี ยังไม่ออกจากงานเตรียมเป็นแม่บ้าน ไม่เช่นนั้นคงลำบากกว่านี้” เธอสำนึก ตัดสินใจระงับการจดทะเบียนสมรสพร้อมขอแยกกันอยู่กับเขาสักพัก ถ้าผลออกมาว่าต่างฝ่ายต่างขาดกันไม่ได้จริงๆ ค่อยคิดถึงการอยู่ร่วมกันอีกครั้ง แต่ถ้าต่างทำให้ทั้งคู่มีความสุข ก็ควรจากกันด้วยดี คุณค่าของเธอตบเท้ากลับมางามสง่าขึ้นอีก ดูเขาตระหนกและนิ่งงัน เธอสะใจกับความเงียบของเขาในครั้งนี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



จันทร์สายตอบรับคำนัดพบของประวิทย์เมื่อเขาโทรศัพท์มาหาโดยไม่อิดเอื้อน (ทำให้เขาตกใจ) ทั้งที่ข้อตกลงด้วยปากเปล่า จะพบกันหลังจากหกเดือนที่ทดลองอยู่โดยแยกกันแล้ว (แต่ผ่านไปเพียงสองเดือนเขาก็ต้องการพบเธออย่างเคย) ไม่แม้แต่จะประวิงเวลาสักครู่ก่อนตอบรับ หรือจะแกล้งปฏิเสธเพื่อใคร่ครวญให้เขาโทรมางอนง้ออีกในครั้งที่สองหรือสาม เขาประหวั่นราวขวัญหายกับการรับนัดแบบทันใด แทบไม่กล้าเดา ว่าการอยู่ตามลำพัง คงไม่ทำให้เธอค้นพบว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอแสวงหา ผับผ่าเถอะ..เธอยังไม่รู้สึกถึงการแยกกับเขาอย่างจริงจังหรอก ก็มันเพิ่งผ่านมาสองเดือนเหมือนปกติอย่างเคยเป็นอยู่ เธอจะขาดเขาไปได้อย่างไร หรือเป็นเพราะเธอดีใจจนรีบตอบรับนัดก็เป็นได้ เธออาจคิดเหมือนเขา โหยหาความทรงจำถึงสัมพันธ์อันสุขสมเมื่อพบกันนับวินาทีแรก หลังห่างหายจากกันไปอย่างยาวนาน แต่ความพยายามให้กำลังใจตัวเอง กลับตอกย้ำให้ขลาดกลัวและหลอกตัวเองได้ไม่นานนัก ไม่มีใครหนีความจริงพ้น น้ำเสียงของจันทร์สายที่ได้ยินนั้น มันว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกแม้แต่ความโกรธเกลียด

“อาจเร็วเกินไปที่จะพบกัน” ปลุกปลอบใจตัวเองด้วยการหาเหตุของน้ำเสียงเย็นชาและเฉยเมย การไม่ปฏิเสธการนัดพบ (ทั้งที่เธอควรจะงอนและยังไม่อยากพบเขา) ทำให้ตีความได้หลายอย่าง เขาอยากให้เธอปฏิเสธเพราะนั่นหมายถึงเธอยังโกรธ และถ้าเธอโกรธเพราะนั่นหมายถึงเธอยังมีเยื่อใย เยื่อใยเป็นสิ่งจะทำให้การตามง้อและขอคืนดีได้ไม่อยาก แต่คนเลิกโกรธอาจหมายถึงเลิกรักด้วย ข้อเสนอในการแยกกันอยู่ทำให้ไม่กล้าไปหาเธอถึงบ้าน (เธอคงไม่พอใจแน่) เขาควรจะอยู่โรงงานต่างจังหวัดหกเดือนโดยไม่ขึ้นกรุงเทพฯหรือ? ในเมื่ออยากเจอเธอแทบใจขาด เหมือนสำนึกเตือนขึ้นมาได้ว่า เขาให้ความเกรงใจเธอน้อยลงขนาดไหนเมื่อเธอตกลงเป็นนกน้อยในกรงของเขา (เพราะมั่นใจว่าเธอจะไม่ไปหาใครอีกเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของเธอเอง) แต่ทันทีที่เธอเป็นอิสระ ความรักซึ่งเคยมีต่อเธอ มันกลับดูยิ่งใหญ่และมากกว่าอดีตอย่างไม่อาจสรรหาถ้อยคำมาบรรยาย เขาวุ่นวายใจเมื่อต้องพบกับภาวะราวเธอจะบินหนี

เพื่อปรับความเข้าใจด้วยการนัดพบครั้งนี้ ประวิทย์จองร้านอาหารไทยที่จันทร์สายชอบ ภายในร้านออกแบบให้นั่งรับประทานอาหารกับพื้น คล้ายร้านอาหารญี่ปุ่น

“ที่จริงหลายประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย สมัยก่อนก็กินกับพื้นนี่แหละ” เธอเคยบอกเขา และบอกสาเหตุของการชอบมาร้านนี้ “ที่นี่ทำให้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยเด็ก อาหารไทยอย่างดั้งเดิมก็มีรสชาติอร่อยมาก..”

“ทำไมจันทร์ถึงชื่อจันทร์สาย”

“แม่บอกว่าวันที่จันทร์เกิด แสงจันทร์เหมือนเป็นเส้นรัศมีแผ่ออกรอบทิศ มันช่างสวยจริงๆ เมื่อแม่มองเห็นจากทางหน้าต่าง” รู้ที่มาของชื่อเธอ ณ ร้านแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

โต๊ะนั่งถูกจัดอย่างเป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัวยิ่ง มีดนตรีไทยบริการถึงโต๊ะหากประสงค์ความสุนทรีย์ โดยเครื่องดนตรีไม่เกินสองชิ้น (หนึ่งชิ้นต่อผู้เล่นหนึ่งคน) เล่นไม่เกินห้าเพลง หากต้องการฟังจากวงใหญ่บรรเลง จะต้องเลือกโต๊ะนั่งในห้องรวม แน่นอน จันทร์สายชอบเป็นส่วนตัวมากกว่า นอกจากประวิทย์จะจองร้านที่เธอชอบ ยังจองที่นั่งที่เธอโปรด เป็นมุมดีที่สุดสำหรับการมองออกไปเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติ มันถูกจัดแต่งขึ้นไว้อย่างสวยงาม และยังเลือกนักดนตรีเป่าขลุ่ยเก่งที่สุดในร้าน เพื่อเล่นเพลงยวนเคล้าและลาวกระแซ เธอชอบฟังสองเพลงนี้เป็นพิเศษ

ความไม่มั่นใจหอบเอาร่างประวิทย์มาถึงร้านก่อนเวลาพอสมควร เขานึกอยากเห็นวิวภายนอกและต้นไม้ข้างสระน้ำที่จันทร์สายชอบมองเหม่อออกไป วิวที่ทำเธอตกอยู่ในห้วงภวังค์ล้ำลึกนานนับชั่วโมง และปล่อยให้เขาแอบมองเธอแทน แต่เมื่อมาถึง กลับต้องฉงนสนเท่ห์เมื่อเห็นจันทร์สายนั่งอยู่ก่อน มีพนักงานหญิงนั่งอยู่กับเธอแล้วเช่นกัน ดูเหมือนสาวพนักงานจะหันมาเห็นเขาเข้า เธอคงตรองในท่าทีที่เขามองจันทร์สายอยู่ และคงหันไปบอกหล่อน ทำนองคนนัดเธอมาถึงแล้ว จันทร์สายหันมาทางเขาหลังจากนั้น สายตาดุจไม่มีความโกรธทำร้ายเขาได้ยิ่งกว่าสิ่งใด แม้จะสงสัยว่าทำไมเธอเรียกพนักงานของร้านให้มานั่งด้วย หรือเป็นไปได้ว่า การไม่กล้าพบกันแค่สองต่อสอง นั่นหมายถึงเธอกลัวจะใจอ่อนเพราะยังรักเขาอยู่ สีหน้าดีขึ้นด้วยความดีใจกับความคิดนั้น แต่ก็เสียใจอยู่ครามครัน ถ้าเธอจะไม่เปิดโอกาสให้เขาอยู่กับเธอได้ตามลำพัง

แล้วจะหาเหตุอะไรทำให้พนักงานหญิงคนนั้นออกไปได้เล่า หากมันเป็นความต้องการของจันทร์สายเอง

“ดิฉันขอตัวนะคะ” เหมือนลังเลและขยับตัวลุกขึ้น พนักงานหญิงทำให้ประวิทย์ลอบดีใจกับคำกล่าวและการกระทำของเธอ เมื่อเขานั่งลงถึงพื้น

“อยู่ต่อเถอะ” จันทร์สายน้ำเสียงเนิบ สาวพนักงานหันไปมองประวิทย์และยิ้ม

“อย่างนั้นขอตัวไปทำธุระสักครู่นะคะ” หันกลับไปเหมือนบอกจันทร์สาย

“สัญญาว่าเธอต้องมา..” ฟังเหมือนคำสั่ง คงมีข้อตกลงจะจ่ายค่านั่งให้เธอตามที่พูดคุยกันไว้ เธอไม่ตอบแต่พยักหน้ารับอย่างชั่งใจ

ความเงียบเคลื่อนตัวเข้าครอบคลุมแทนการจากไปของพนักงานหญิง ประวิทย์คล้ายหายใจไม่ออกกับบรรยากาศแสนอึดอัดราวใต้ทะเลลึก ทั้งคู่ถูกแรงบีบจากความเงียบเนิ่นนาน และผ่อนคลายลงเมื่อสาวพนักงานนั้นกลับมา แม้จะไม่อยากให้เธอร่วมโต๊ะ แต่กลับกลายว่า เธอเป็นดังผู้วิเศษมีมนต์เสกให้บรรยากาศคืนสู่สภาพปกติ การสูญเสียบางอย่างทำให้ได้รับบางอย่างตอบคืน ประวิทย์ขอบคุณเธอและเห็นประโยชน์ของบุคคลที่สามขึ้นมาอย่างจับใจ แม้จะยังข้องใจกับการมีพนักงานมานั่งกับจันทร์สาย ความต้องการของลูกค้าคงทำให้ทางร้านยินยอม

“สั่งอาหารเลยนะคะ ดิฉันจะสั่งเบียร์ให้คุณ ดีไหมคะ” ไม่เพียงทำให้บรรยากาศเป็นปรกติแต่ยังทำให้ดีขึ้นอีกมาก เขาไม่ทันสังเกตจันทร์สายลอบมองสาวพนักงานด้วยอาการไม่พอใจนัก

“เรียกดิฉันว่า จินต์ก็ได้นะคะ” เธอกล่าวนอบน้อม ถูกจันทร์สายจับจ้องอย่างไม่วางตาเหมือนสงสัยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ และจะทำอะไรต่อไปอีก

การสนทนาดำเนินไปโดยซับซ้อน ทั้งสามราวมาจากดาวคนละดวง พูดคนละภาษา ต่างสงวนท่าเพราะเกรงใจต่อกัน หรือเป็นไปเพราะไม่มีใครอยากตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เผยจุดอ่อนของตนออกมาให้เป็นที่เสียมารยาทและน่าสมเพช เมื่อต่างเป็นบุคคลที่สามต่อกัน รหัสนัยในการพูดคุยจึงมีมาก ขึ้นอยู่ว่าต้องการจะสื่ออะไรกับใครซึ่งมันไม่ง่าย.. ประวิทย์ไม่สามารถพูดกับจันทร์สายได้ตามต้องการ (เพราะเธอคงประสงค์เช่นนั้น) แล้วจะทำให้เธอใจอ่อนได้อย่างไร ถึงจะหนักใจแต่ก็เลิกโทษสาวพนักงานแล้ว ไม่มีอะไรคาดเดาได้ตามความหวัง ต่อให้ไม่มีเธออยู่ในที่นี้ สถานการณ์อาจแย่ไปกว่าเดิมก็เป็นได้ จันทร์สายเองคงไม่ให้อภัยเขาง่ายๆ เธอพูดน้อยอย่างไม่เคยเป็น มีแต่จินตนาเสียอีก เหมือนแบกภาระกับการเป็นผู้ต้องพูด เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างแห่งความเงียบยาวนานเกินไป เธอเล่นซออู้ได้ไพเราะ จนประวิทย์ไม่รู้ว่าอยากร้องไห้เพราะเสียงซอของเธอหรือเปล่า แปลกใจเพราะเขากำชับกับทางร้านไว้ว่า อยากได้นักดนตรีที่จะมาเล่นขลุ่ยให้จันทร์สายฟังมิใช่หรือ มันช่างเป็นวันเกินการจะควบคุมให้เป็นไปตามความปรารถนาได้ และสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ช่างไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับเจตนาในการมาของเขาสักนิด

“คุณจันทร์จะรับเบียร์บ้างไหมคะ” สาวพนักงานหันไปเอาใจ จันทร์สายพยักหน้ารับ และสร้างความแปลกใจให้กับประวิทย์ยิ่งกว่า เธอดื่มดุอย่างน่าใจหาย หน้าตาของเธอยังคงเรียบเฉยแต่แดงซ่าน เรียกความเสียใจของเขาให้ล้นทะลักออกมา เขาเองแท้ๆ เธอถึงต้องเป็นเช่นนี้ อยากกลับบ้านที่เคยร่วมมีความสุข นึกถึงบทรักในวันแรกพบหลังจากต้องห่างกันไปเกือบสองเดือน มันช่างเปี่ยมไปด้วยความเสน่หา

“จันทร์สบายดีนะ” มองหน้าสาวคนรักซึ่งอาจจะกลายเป็นแค่อดีตหากเขาขอคืนดีไม่ได้อย่างอาลัยอาวรณ์ เป็นห่วงว่าที่ผ่านมา เธอจะปวดร้าว เป็นสุขเป็นทุกข์ขนาดไหน อย่างไร

“แล้วคุณวิทย์ล่ะคะ” จินตนาสาวพนักงานถามทะลุขึ้นกลางปล้องจนเขาตั้งตัวไม่ติด เธอหมายความเช่นใดกันแน่

“ฮ่า..ครับ” ไม่รู้ว่าถามถึงสภาพเขาตอนนี้ หรือจะมีความนัยอย่างเดียวที่เขาถามจันทร์สาย “สบายดีครับ” เธอคงห่วงที่เขาดื่มมากก็ได้

“ไม่เมามากนะคะ” โล่งใจกับประโยคคำถามของเธอถัดมา เขาเหมือนวัวสันหลังหวะ

“อ้า..ครับ ไปห้องน้ำสักหน่อยก็ดีนะครับ” นึกอยากไปล้างหน้าล้างตาแก้เครียดเสียหน่อย

จันทร์สายแอบหยิกจินตนาทันทีที่ประวิทย์ลุกออกไป จินตนารีบจับมือของหล่อนไว้ไม่ให้หยิกแรงไปกว่านั้น หน้าตาเหยเก

“ทำไมเล่นเพลงเศร้าจัง” จันทร์สายถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบ

“จันทร์เมา เหมือนอย่างเคย” เปลี่ยนเรื่อง “ยังเศร้าอยู่ใช่ไหม”

“ไม่หรอก” ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“โกหก จะคืนดีกับเขาหรือเปล่า”

“คิดว่าไงล่ะ” แกล้งหยอก

“ก็ดี จะได้เลิกเมา” เสียงขุ่น แต่ภายใต้โต๊ะที่ไม่ใครเห็นกลับแอบกุมมือของจันทร์สายไว้ด้วยความห่วงใย

“ก็ไม่เมาแล้วนี่ วันนี้แค่ดื่มเล่น ถ้าไม่เลิกเมา คนที่อุตส่าห์ช่วยจะเสียใจแย่”

ประวิทย์กลับมาด้วยรอยยิ้ม ไม่สามารถล่วงรู้ถึงภายในพื้นที่ส่วนตัวซึ่งจันทร์สายพยายามดึงมือออกจากมือของจินตนา ที่กุมไว้ด้วยอารมณ์ต่างจากปากซึ่งบอกจะช่วย เธออาจอยากให้ประวิทย์เห็นก็ได้ หงุดหงิดเพราะคิดว่าจันทร์สายเมาเพราะเขาอีก

อานุภาพของน้ำสีเหลืองอ่อน มีดีกรีเป็นถึงผู้สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมันในระดับหนึ่ง

“คุณก็ดื่มสักนิดนะ” ประวิทย์เชิญชวนจินตนาให้ดื่มด้วย เธอออกตัวว่าเป็นกฎของร้าน

“แค่นิดหน่อย” เขาย้ำ ไม่กล้าเสียมารยาทเมื่อลูกค้าขอร้องซ้ำ เธอเริ่มดื่ม ทั้งคู่เริ่มคุยกันออกรส มีแต่จันทร์สายคอยเฝ้ามองอย่างระวัง

“คุณกลับเถอะ” จันทร์สายตัดบท กังวลกับสิ่งจะเกิดในกาลข้างหน้า จากคำสนทนาของคนทั้งสอง มันทวีความลึกขึ้นเรื่อยๆ

“กลับด้วยกันนะ” เขาชะงักอย่างุนงง ก่อนได้สติหันมาอ้อนวอน จินตนาหายมึน รีบซอกซอนไปดึงมือของจันทร์สายภายใต้สถานที่ที่ไม่มีใครเห็นในบรรยกาศอึมครึมไว้อีกครั้ง จันทร์สายอมยิ้ม ดวงตาของเธอยามนี้สวยงามกว่าดวงดาว

“คุณพักที่ไหน” เธอถามอดีตคนรัก แต่จินตนาถลึงตาเขียวใส่

“โรงแรม” เขามองเธอละห้อย คราวนี้จินตนาเป็นฝ่ายหยิกมือของเธอแทน

“ฮืม ..” เธอตอบแค่นั้น กลั้นความเจ็บปวดไว้ด้วยความสุขอันประหลาด อย่างจะเกิดขึ้นได้เมื่อแรกพบรัก เป็นความรู้สึกอันตราตรึงให้ผู้คนหลงใหลมันครั้งแล้วครั้งเล่า

ประวิทย์ตัดใจจากไป ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็รู้ตัวว่าคงทำได้เท่านี้ เมื่อจันทร์สายบอกว่าจะดื่มต่ออีกสักหน่อย เขาอดห่วงไม่ได้ ต้องฝากให้จินตนาดูแลเธออย่าให้เมามายจนขับรถไม่ไหว เธอบอกไม่เป็นไรกลับแท็กซี่ได้ ยิ่งทำให้เขาห่วงหนักขึ้นอีก ที่สุด ก็จำต้องจำนนกลับไปอย่างคนผิดที่ไม่อาจเกี่ยงงอนข้อบังคับ เมื่อจันทร์สายเสียงแข็ง บอกว่าอย่างนั้นเธอจะเปิดโรงแรมใกล้ๆ นี้นอน

“ไหนบอกเลิกเมาแล้วไง” ไม่ได้โกรธที่เธอเมา แต่มาจากสาเหตุของการเมา

“เมื่อกี้นี้ ดึงมือไว้ทำไม ก็อยากให้คืนดีกันไม่ใช่เหรอ” เสพูดอีกเรื่อง เย้าต่อด้วยเสียงหัวเราะ

“แล้วทำไมจะต้องเมาเล่า” ฉุน.. ทั้งที่ไม่ใช่โกรธด้วยเรื่องที่ถาม

“ก็เมา เพราะวันนี้มีความสุขหรอก” สายตาหยาดเยิ้ม บอกเป็นนัยว่ามันไม่ใช่อย่างที่จินตนาคิดสักหน่อย

“ไปนอนนะ จินต์จะพาจันทร์ไป” พาหล่อนไปยังห้องของเธอซึ่งอยู่ด้านบนร้านอาหาร เกือบสองเดือนมาแล้ว.. จันทร์สายมาที่นี่และดื่มหนัก เธอแอบมองด้วยความเป็นห่วง ความเป็นห่วงทำให้อยากรู้จักเพราะสนใจ ความสนใจดึงดูดย่อมก่อให้เกิดเป็นบ่วงรัด และยินยอมให้สาวนักดื่มพักที่ห้องด้วยความเต็มใจ เธอไม่ใช่พนักงานธรรมดา มีศักดิ์เป็นหลานสาวเจ้าของร้านทีเดียว ส่วนสาวนักดื่มก็เป็นคนสวยมีเสน่ห์อย่างหาตัวจับยาก อีกทั้งไม่แก่ไปกว่าเธอเท่าไร

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



หลังจากได้รับโทรศัพท์เพื่อขอนัดพบจากประวิทย์แล้ว จันทร์สายขอร้องให้จินตนาช่วยเหลือด้วยการนั่งเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะ จินตนาไม่อยากเข้าข้องเกี่ยว สับสนกับความคิดวนเวียนยากสลัดออกราวคนเสียสติ ทั้งอยากให้คนรักคืนดีกันแต่ก็กลับกลัวว่าจันทร์สายจะคืนดีกับเขาจริงๆ เดาไม่ถูกว่าเธอคิดอย่างไร และตัวเองควรคิดอย่างไร

“จันทร์ไม่กล้าพบเขาตามลำพัง เพราะยังรักเขาอยู่ใช่ไหม” ถามซ้ำอีก ขณะนั่งเป็นเพื่อนจันทร์สาย ทั้งที่ถามไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

“ถ้ากล้าพบ หมายถึงหมดรักแล้วหรือไง” ยั่วให้จินตนายิ่งสับสน “จันทร์กล้าพบเขา เพราะอยากให้เขารู้ว่าจันทร์ไม่หวั่นไหวแล้วต่ะหาก” แม้ผู้ตอบจะตอบตรงกับใจ แต่จินตนายากจะเชื่อ สำหรับเธอ การไม่มีเยื่อใยนั้นไม่มีความจำเป็นต้องพบกันอีก เธอคงนึกไม่ถึง คนเรามีวิธีชำระความแค้นในรูปแบบแตกต่างกันไป

“จะคืนดีกันใช่ไหม” ทั้งสงสัยและสงสารจันทร์สาย เธอยังเคารพสิทธิ์การตัดสินใจของอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะการคบกันไม่ได้เริ่มต้นด้วยความหลอกลวง และเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน

“หึงเหรอ”

เงียบไปนาน “จะช่วยต่ะหาก” แอบดูสีหน้าว่าจะดีใจหรือเปล่าเมื่อตนพูดเช่นนั้น ทั้งที่รู้ว่าจันทร์สายได้รับความเจ็บปวดสาหัสขนาดไหนจากเรื่องที่เกิดขึ้น

“ช่วยจริงแน่นะ” หยั่งเชิง เสียใจเพราะเหมือนถูกผลักไสออก “แต่เขาอาจจะมาชอบจินต์แทนก็ได้นะ จินต์ก็สวยหยอกเมื่อไหร่ กลายเป็นจันทร์ต้องหึงจินต์ล่ะไม่ว่า..” ระอาคนรักเก่า หลังจากรู้ว่าเขามีผู้หญิงแม้ไม่รวมเธอก็มากกว่าหนึ่ง

“หึงตาประวิทย์จากจินต์มากกว่า ไม่ใช่หึงจินต์จากตาประวิทย์” น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ จับมือของจันทร์สายมาขบที่นิ้วเบาๆ ช้อนตาขึ้นเพื่อสบตาของอีกฝ่ายตรงๆ แต่เดาใจเธอไม่ออกอยู่ดี จันทร์สายหลบหน้า รีบดึงมือกลับ เกรงว่าจะมีใครเดินผ่านมาเห็น

จินตนาหันไปเจอชายคนหนึ่งกำลังเดินมายังโต๊ะที่เธอทั้งสองนั่ง เขามองจันทร์สายอย่างอาวรณ์ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากประวิทย์ จึงหันไปบอกเธอว่าคนที่เธอรอคอยคงมาถึงแล้ว เธอหันไปมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าชั่วขณะ แต่สายตาของจินตนาที่ชำเลืองมองเธอ กลับฉายแววร้อนรุ่ม จันทร์สายยังเป็นสิ่งดิ้นได้สำหรับเธอเช่นกัน และนั่นมันช่างเป็นคุณค่าอย่างอเนกอนันต์ของผู้ยังมีหนทางอิสระให้เลือกเสมอ ต่างจากการทำตัวพึ่งพิงผู้อื่นโดยเสมือนไร้หนทางไป แม้จะโดยสาเหตุจากความภักดีไม่แปรเปลี่ยนก็ตาม เพราะมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่การจะทำให้คนอื่นเห็นค่าต้องเห็นค่าของตัวเองก่อนเท่านั้น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



การมีชีวิตอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง เป็นจริงเสียยิ่งกว่าความจำเป็นใดๆ หากหลงเชื่อหรือมั่นใจในบุคคลอื่น เท่ากับเป็นการฆ่าตัวเองให้เป็นของตายไปทีละน้อยอย่างไม่รู้สึกตัว และของตายนั้นมันจะเพิ่มความไร้ค่าตามวันเวลาอันไม่อาจย้อนกลับ ก่อนจะไม่สามารถดิ้นได้อีก จงให้ความสำคัญกับตน ด้วยการเลือกหนทางดีที่สุด พลาดน้อยที่สุด เพราะโอกาสจะลุกขึ้นมาดิ้นได้ มันอ่อนล้าและหมดเรี่ยวแรงลงทุกขณะ..




 

Create Date : 04 กันยายน 2548
0 comments
Last Update : 10 มิถุนายน 2549 9:07:27 น.
Counter : 430 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


suparatta
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.