สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2548
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 สิงหาคม 2548
 
All Blogs
 

ชีวิตอันน่าหวาดหวั่น

เรื่องสั้น ชีวิตอันน่าหวาดหวั่น
โดย สุภารัตถะ


กี่คืนมาแล้ว ที่เหมือนถูกบางอย่างในใจเรียกให้ตื่นขึ้นกลางดึก เสียงแห่งความเงียบดังกรอกหูชัดเจน บรรยากาศในความมืดมิด ชวนเคว้งคว้างกดดันจิตซึ่งอยู่ในร่างเพิ่งลืมตาจากความงัวเงีย…

โลกซึ่งวุ่นวายไปด้วยคลื่นพลังของการกระทบกันและกันจากความโลภโกรธหลงอันรุนแรง สร่างซาไปกับการตกภวังค์ของผู้คนจำนวนมากขณะหลับไหล มันเบาบาง..เจือจางลงมากแล้ว พลังเหล่านั้นเข้ามากระทบเราได้แม้ไม่ต้องเข้าไปพัวพัน แต่ก็กลับเหมือนมีส่วนร่วมใช่ไหม?? คล้ายผูกกันด้วยเส้นด้ายซ่อนอยู่เป็นห่วงโซ่ไม่สิ้นสุด เราล้วนอยู่บ้านเดียวกัน บ้านหลังมหึมา...

ในช่วงเวลาของบรรดาเครือญาติส่วนใหญ่ ล้มลงหลับไหล ค่ำมืดขณะนี้ราวเหลือแต่ผม กับความเงียบและจิตใจอันอ่อนแอ อาการฟื้นจากตื่นในยามดึกสงัดดูเบาโหวง ช่างแตกต่างกับการตื่นในยามเช้าสดใส เปรียบดังความสูญหายกับความเติมเต็มเช่นนั้น

ผมลืมตาโพลงขึ้น แต่จิตยังสะเทือนไหวหวั่น รอจนความจำทำงาน เตือนว่าผมเป็นใครและอยู่ที่ไหน จึงพอรู้ตัวบ้าง กระนั้นยังคงแปลกแยกกับโลกจนหนาวเหน็บ รู้สึกถึงความตายอยู่ใกล้ๆ เสมือนหญิงสาวลึกลับหน้าตาอิดโรย หล่อนเคลื่อนตัวเข้ามาโอบกอดรอบคอผม ประสานมือไว้ไม่ยอมปลดปล่อย สายตาเหมือนทวงชีวิตคืนด้วยรอยยิ้มหยัน น่ากลัวจนสะท้านเข้าไปในซอกทรวงด้านใน การเกิดก็เพื่อเรียกหาการตาย ผมเข้าใจ ค่อยๆ แกะมือของเธอออก จิตที่ตื่นในยามมืดมิด คล้ายอยู่ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยภยันตรายเพียงลำพัง มันไร้เรี่ยวแรงและถูกกัดกร่อนด้วยความหวั่นหวาดเต็มพิกัด

พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ เรียกสติ ให้จิตตื่นตัวและมีกำลังบ้าง ใช้เวลาสักพักไล่ความกลัวอันไม่มีที่มาออกไป การตื่นขึ้นโดยไม่ตั้งตัว เป็นเหตุสู่การสัมผัสถึงความขลาด ซึ่งแอบซุกอยู่ในซอกหลืบลึกได้อย่างชัดเจน มันแสดงตนในยามอ่อนแอ ผมสลัดหัวขับไล่ความสะลึมสะลือเพื่อการตั้งหลักมั่น

หลายปีมานี้ จู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนซ่อนความหวาดผวาเหมือนโรคจิต คล้ายคนเป็นโรคกลัวอะไรสักอย่างโดยไร้เหตุผล กลัวจนกลายเป็นความกังวลครอบงำ (phobia) บางคนอาจกลัวที่แคบๆ จนไม่กล้าเข้าลิฟท์ หรือไม่ยอมอยู่ในพื้นที่คับแคบจำกัด บางคนกลัวที่สูง บางคนกลัวเลือด บางคนกลัวนกพิราบ…

โรคกลัวบางสิ่งบางอย่างโดยไม่รู้สาเหตุ จะทำให้คนไข้ แสดงอาการตื่นตระหนกขาดการควบคุมตัวเอง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือสิ่งที่กลัวนั้น ผมเองไม่อาจจัดอยู่ในกลุ่มคนไข้เหล่านี้ เพราะความกลัวของผม คิดว่าอยู่ในภาวะควบคุมได้ มันแค่ดึงดันออกมาเป็นบางครั้ง เปิดเผยจิตที่ขลาดกลัวจับขั้วหัวใจ ซ้ำร้ายยังเปี่ยมไปด้วยความเศร้าสุดซึ้ง แต่ไม่ใช่อาลัยอาวรณ์อย่างพวกคนอกหักรักคุด

…แค่ขณะขาดการตั้งตัว สัญชาตญาณภายในลึกๆ สำแดงตนได้ในสภาพจิตอ่อน เช่นหากตื่นขึ้นมาในตอนดึก จะถูกจู่โจมด้วยความเงียบเหงา หวาดระแวงและสลดหดหู่อย่างวายร้าย เป็นอาการซึมเซา ระโหยโรยแรง กระทั่งสะพรึงกลัวต่อชีวิตอย่าน่าตกใจ หรืออาจเป็นผลที่พอเดาได้ว่า ผมแค่เห็นความจริงบางอย่างในความเป็นไปของชีวิต จนกลัวขึ้นสมอง มันฝังตัวอยู่ และพร้อมปะทุขึ้น เมื่อขาดการยับยั้งในบางเสี้ยวอารมณ์

แต่ผมยังควบคุมตัวเองได้และมีสติพอ เพียงแค่ รู้ว่ามีความกลัวชนิดนี้ซ่อนอยู่ในใจมาเนิ่นนานแล้ว มันรอจังหวะต่อการสำรอกตัวเองออกมาข่มขู่ผม บางครั้งก็เกิดขึ้นทันที ขณะที่คิด โดยเฉพาะคิดถึงอนาคต ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป… ความกลัวจะแล่นเข้าเล่นงานผมฉับพลัน เกิดความรู้สึกเหมือนตกตึก โหวงเหวง มือเท้าสั่น และเจ็บแปลบในช่องหัวใจ อนาคตอันหาความแน่นอนอะไรไม่ได้ ทั้งที่คนอื่นฝันหวานด้านบวกกับมันเสมอ แต่ผมกลัว !!! กลัวจนไม่กล้าหวัง ผมมองเห็นด้านลบ เป็นด้านเลวร้ายไม่ควรแก่การมองข้าม..

ข่าวคราวคนเสพยาบ้า ทำร้ายตัวประกันถึงชีวิต วัยรุ่นดักชิงมือถือตามสะพานลอยทำร้ายเหยื่อถึงพิกลพิการ ตึกถล่ม ชิ้นส่วนบางชิ้นกระเด็นหลุดออกมาทุ่มใส่คนเดินเท้าจนเป็นอัมพาต นักเรียนอาชีวะยกพวกถล่มกัน เหยื่อลูกหลงถึงตายครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ สร้างความกลัวให้ผมอย่างประหลาด กรุงเทพมหานครเมืองศิวิไลซ์ซ่อนนรกเอาไว้ ทั้งที่แต่ก่อน ผมเคยเป็นนักเที่ยวและนักดื่มหลังเลิกงาน แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?? แค่จะออกจากบ้านยังขยาด แม้หลายคนเห็นว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวมากแท้ๆ แต่ผมเห็นมันใกล้แค่เอื้อม ผมสัมผัสถึงมันมาตั้งแต่ยังเป็นข่าววัยรุ่นในต่างประเทศ ที่ชอบใช้ความรุนแรง เสพยาและมั่วกาม..

ส่วนข่าวอุบัติเหตุ จนคนไข้ต้องไปฟื้นในห้องไอซียู ด้วยสภาพราวซากศพยังหายใจ หลังความพยายามรักษาอย่างสุดความสามารถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กินอาหารทางสายยาง มีเพียงแต่ลูกตาที่กลิ้งกลอกไปมา ทำผมขวัญผวากับการมีชีวิตอย่างนั้น มันยิ่งกว่าความตาย ตายในความเป็นอันแสนโหดร้าย เมื่อคนไข้ฟื้นขึ้นด้วยการถูกยื้อหยุดฉุดรั้งให้กลับมาทุกวิถีทาง ในสภาพแทบไม่เหลือเค้าเดิม ญาติๆ หลายคนหลงดีใจ แต่ผมไม่.. คิดดูเถอะ.. อีกกี่คนรอบตัวเขาจะหลงลืมเขาในไม่ช้า หรือไม่ก็แกล้งลืม เขาจะต้องบาดเจ็บมากกว่าความตายต่อไป เขาอาจต้องการไปจากความทรมานนั้นมากว่าก็ได้ ด้วยความตาย..

แม้แต่ข่าวจากต่างประเทศ ภัยธรรมชาติทั่วโลก อีกทั้งการก่อการร้าย สร้างความหายนะกับชีวิตของคนที่หลงรอดมากมายนับไม่ถ้วน ยังสะเทือนผมเหมือนมีส่วนด้วย เป็นผลให้ข่าวความบันเทิง ดารานักร้อง กีฬาโอลิมปิกระดับโลก หรือความสนุกสนานต่างๆ เสมือนเป็นเรื่องหลอกลวงสำหรับผมไปสิ้น ใช่..บางที อาจทำให้ลืมเลือนความรันทดในอีกแง่มุมหนึ่งได้บ้าง แต่ถ้าไม่สามารถลืมได้ โรคร้ายอีกชนิดหนึ่งจะคุกคามผม โรคเบื่อโลกที่แตกต่าง อันแสนเศร้า ชีวิตงดงามหรือรันทดกันแน่??

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เมื่อไม่นาน.. โรคเก๊าท์และไขข้อ ที่เคยได้ยินแต่ว่าคนอื่นเป็น และเคยทำเอาพิศวงว่าเขาเป็นกันได้อย่างไร บัดนี้ กลับคุกคามมาถึงตัวผมเอง ตามวันเวลาแห่งอายุขัย ความสงสัยกลายเป็นเรื่องธรรมดา ผมเองก็เป็นได้ ยิ่งในยุคที่โรคมะเร็งและกระดูกพรุนเป็นกันได้ง่ายๆ คิดเอาโดยสาเหตุของโรคเหล่านั้น พอมองออกรวมๆ โดยไม่ได้เจาะจงรายละเอียดของคนไข้แต่ละราย ก็คือ พิษในอาหารจากสารเคมี และการตัดแต่งพันธุกรรม เพื่อให้เราได้ชีวิตที่ดีกว่า สะดวกกว่า สมบูรณ์กว่า กับช่วงชีวิตสั้นๆ กระมัง?? ความสะดวกซึ่งแลกด้วยความเจ็บไข้

อาชีพอันพึงปรารถนาของคนยุคคุ้มคลั่งลัทธิวัตถุ คือการใช้สมอง คนส่วนใหญ่ แทบไม่ยอมออกแรงกายเพื่องานแม้แต่น้อย เพราะการออกแรงถูกตราว่าต่ำต้อย เป็นเรื่องของคนด้อยโอกาสกว่า และต้องไปออกกำลังกายอย่างหักโหมตามสถานบริการเครื่องออกกำลังกายราคาแพง ผู้คนเฝ้าแต่จ่อมจมอยู่กับคามคิด งานที่ต้องคิด คิดว่าจะหาผลประโยชน์จากคนอื่นได้อย่างไร ด้วยการสร้างภาพอันสวยหรูชวนเชื่อกันและกัน ชีวิตเลอเลิศที่ต้องไปให้ถึง หลายคนเป็นบ้าและเสียศูนย์กับการตะเกียกตะกายไขว่คว้าไปมากกว่าที่จะได้รับ

เพียงกี่คนกัน?? สามารถประสบความสำเร็จในภาพลักษณ์ตามมนุษย์ต้องการ สุขภาพกายและจิตเปลี้ยลงทุกนาที กระเสาะกระแสะ ในสังคมที่เป็นดังเด็กหัวโตแขนขาและลำตัวลีบ ให้ตายซิ !! ผมปวดหลังมาก และเป็นโรคไขข้อ

ความงามของชีวิต ตามค่านิยมสังคมปั้นแต่ง กลายเป็นเรื่องแค่กุขึ้นมาสำหรับผม เราหลงใหลไปกับความงามของชีวิตที่เพ้อไป แต่ชีวิตไม่ยาวพอกับฝันนั้นจนต้องใช้ทางลัด บ้านหลังใหญ่ รถคันโก้ เสื้อผ้าบ่งบอกรสนิยม ตำแหน่ง ฐานะ ชื่อเสียงเงินทอง และอีกมากมายจิปาถะ จะมีใครสักกี่คนได้มันมาโดยถูกต้อง และจะมีเวลาเสพสิ่งเหล่านั้นได้นานเท่าไรกัน

สุดท้าย.. ไม่อาจหลีกหนีเรื่องจริงที่คงอยู่ ความจริงทำให้ผมเจ็บปวด ความตายโอบกอดเราอยู่ทุกที่ทุกสถาน และสิ่งที่ผมคิดว่าน่ากลัวกว่าความตาย คือความแก่และความเจ็บปวด โดยไม่มีใครหน้าไหนหนีพ้น นอกจากเรื่องหาเลี้ยงปากท้องที่แสนหนัก ร่างกายยังเล่นงานเราด้วยความสุขในช่วงเวลาน้อยนิด และสร้างความทุกข์ให้มหาศาลกลับคืน ภาพคนเป็นอัมพฤกษ์ ง่อยเปลี้ย หรือแก่หงักงกเงิ่น ทำให้ผมแทบเสียสติ

นี่ผมกำลังเป็นโรคจิตขั้นรุนแรง???

...ยอมรับ ว่าผมกลัว กลัว.. แม้แต่กับเหตุร้ายๆ ทั้งที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเองด้วยซ้ำ มันอาจเกิดกับคนรอบข้าง …พ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกง่อยถึงสี่คน ต้องกระเตงไปด้วยขณะออกทำนา ลูกๆ ตัวน้อย เติบโตจนอุ้มไม่ไหว สมองเด็กในร่างเทอะทะ กับรอยยิ้มไร้เดียงสา ซึ่งจะต้องอาบน้ำป้อนข้าว เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ และต้องลากต้องแบกไปด้วยทุกที่ ต้องคอยพลิกตัวไม่ให้เจ็บปวดหรือเป็นแผลกดทับจากท่าเดิมหากขาดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่มีปัญญาจ้างใครมาดูแล ..สัตว์เลี้ยงแสนรัก วันดีคืนดี ก็ชักกระตุกกลายเป็นโรครักษาไม่หาย คนเลี้ยงต้องบาดเจ็บทุกครั้งไปเมื่อเกิดอาการชัก ต้องทนเลี้ยงดูกันไปตามยถากรรม จนกว่าเขาจะตาย …แม้แต่แม่สาวน้อยผู้น่าหลงใหล ถึงหล่อนไม่หลายใจจนทำให้เราเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า หล่อนก็อาจมีเหตุให้ต้องพิกลพิการไปต่อหน้าต่อตา อาจจะตาบอดเพราะหมอให้ยาผิด หรือนั่งรถเข็นตลอดชีวิตจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ความรักจะมั่งคงต่อไปขนาดไหน คงต้องพิสูจน์

…ภาพของเจ้าสาวเพิ่งแต่งงาน ต้องดูแลสามีที่เส้นเลือดในสมองแตก หลังแต่งงานกันได้แค่ไม่กี่วัน ยังติดตา …แล้วคุณน้าของผมนั่นอีก ท่านนอนเป็นก้อนเนื้อเล็กๆ มากว่ายี่สิบปีแล้ว..

ผมไม่อาจแค่สบถว่า กรรม !! แล้วทำใจได้ง่ายๆ แต่ผมกลัวและปวดร้าวใจ รอยยิ้มของคนร่าเริงคนหนึ่งในวันนี้ อาจเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและความขมขื่นที่รอเขาอยู่

ผมเลิกนึกถึงความฝันอันแสนสุขโดยปริยาย ฝันซึ่งเป็นที่หลงใหลใฝ่หาของนักหวังทั้งหลาย แค่อยู่กับวันนี้ให้ดี..ก็เพียงพอ ดาราหนังตกม้าหลังหัก นักร้องขับรถชนเสาไฟฟ้าตาย ผมเกลียดความสุขที่เป็นแค่ภาพมายา แล้วพวกฮีโร่ที่สังคมภาคภูมิใจ ก็ทำให้ผมลืมทุกข์ได้เพียงน้อย พวกเขาเมื่อถูกสังคมหลงลืม บางคนก็ต้องมีชีวิตอันเหลือทนด้วยซ้ำไป ความกลัวเล่นงานผมแทนความคิดหวัง บางครั้งผมตกอยู่ในจินตนาการของความกลัวไปไกลแสนไกล..

การก้าวเท้าออกจากบ้าน สร้างความกังวลกับภัยรอบตัว เหมือนที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือทางโทรทัศน์ ผมอาจถูกจ้วงแทงโดยแก๊งค์วัยรุ่น พวกขาดความรักและการอบรมให้เป็นคนดีของสังคม เด็กพวกนี้ชอบฟันอวัยวะของคนอื่นเล่นๆ จนกว่าพวกเขาหรือคนที่เขารักจะถูกกระทำบ้าง ถึงจะเข้าใจว่า สิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องถูกหรือผิด พวกเขาทำให้สังคมน่าเกลียดน่าขยะแขยงไปมากกว่าที่มันเป็นอยู่อย่างน่าอเนจอนาถ หรือตามคลองน้ำเน่าๆ ที่ไม่ติดป้ายเตือน ด้วยทัศนียภาพยากแก่การมองออก ผมอาจขับรถตกลงไป และกลายเป็นเจ้าชายนิทรา เป็นภาระหนักตกกับพ่อแม่ชรา ต้องกลับมาดูแลซากอันหมดประโยชน์..

แม้ขนาดไม่ต้องออกไปผจญภัยนอกบ้าน ผมก็อาจป่วยรุนแรง ชัก น้ำลายฟูมปาก หรือไม่ก็ ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายหงิกงอ หรืออาจเป็นโรคไม่ทราบสาเหตุ กล้ามเนื้อค่อยๆ หดลง จนกลายเป็นก้อนเนื้อไร้สภาพ บางทีผิวหนังอาจผิดปรกติ แตกและลอกเหมือนงู เป็นแผลตกสะเก็ด เน่าเฟะ ลามไปถึงกระดูก กลายเป็นขี้ทูดกุดถัง จนอาจต้องการบังสกุลเป็น กับร่างกายเน่าๆ ของผม และกับคนยุคที่เป็นมะเร็งกันง่ายๆ ผมก็อาจเป็นได้ โรคนี้ใกล้เราเข้ามาทุกวัน เร็วขึ้นทุกวัน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่น่าเดียดฉันท์ หรือไม่ผมก็อาจหัวใจวายเฉียบพลัน


* * * * * * * * * * * * * * * * * *


“คืนนี้ นอนหลับดีไหมคะ”

พยาบาลสาวสวย ถามยิ้มแย้ม ปากอิ่มได้รูป ทาปากสีชมพู ขนตายาวงอนนั่นทำให้ดวงตาเธอสวยซึ้ง ผมตรึกด้วยความสนเท่ห์ แพทย์หญิงกับพยาบาลสมัยนี้ สวยแต่งจนหนีไปประกวดนางงามกันเสียหมด อาชีพโก้หรูอาจเพียงเพื่อประดับบารมี

“เมื่อคืน หลับสบายดีนะคะ”

เธอย้ำหนักในประโยคใหม่ ความหมายเดิม ผมเบือนหน้าหนี แม้หล่อนจะสวยบาดใจขนาดไหน น่าพูดน่าจาด้วยเสียยิ่งกระไร แต่อีกไม่นาน ความร่วงโรยจะมาเยือนหล่อน ผมแอบอมยิ้ม บอกแล้ว !!! ผมควบคุมตัวเองได้ ผมเดาได้เลย เธอเป็นพวกเชื่อโฆษณา เชื่อว่าทุกคนควรมีคอนโดหรูและรถยนต์ แม้เธอจะเห็นคนป่วยเจ็บ ความยากจนและความตาย ขอเวลาอีกสักพัก.. เดี๋ยวผมก็จะตอบคำถามหล่อน และเธอจะแย้มยิ้มดุจเดิม ทั้งที่ด่าผมในใจ..

ผมก็แค่มาพูดคุยกับจิตแพทย์คนสวย และพยาบาลสาวผู้ช่วยของเธอก็แค่นั้น

หลังจากมาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเอกชน ตามสวัสดิการของบริษัทซึ่งผมทำงานอยู่ โรงพยาบาลซึ่งมักจะสรรหาทางให้เราเจ็บป่วยได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว มันอาจหมายถึงเงินหรือความเป็นห่วงเป็นใยเราอย่างจริงจังก็เป็นได้ และทันทีที่ผมอาจเผลอแสดงอาการซึมเซื่องเกินไปหน่อย โดยลืมกระทำตัวกระฉับกระเฉง พูดคุยเรื่องโลกๆ ให้ดูตื่นเต้น แต่กลับพร่ำพูดถึงเรื่อง..ที่ไม่มีอะไรไม่จริง !! ถึงแม้ลักษณะผม อาจจะดูเพ้อพร่ำเพรื่อ แต่ก็ไม่ได้หลอกลวงหรือโกหกใคร

ผมกลัวต่อการมีชีวิตจริงๆ วิตกกับมันจริงๆ ดูซิ !! โรคหลายโรคกำลังเล่นงานผม ทั้งที่ผมเองอายุได้ไม่เท่าไหร่.. แต่ช่างมันเถอะ..

และผมก็สุภาพพอ เมื่อทางโรงพยาบาลเสนอให้ผมเข้าตรวจสุขภาพจิตไปด้วย ราวห่วงผมเต็มกลืน แล้วไง !! ก็แค่พูดกับคุณหมอคนสวยราวนางงาม ด้วยเรื่องธรรมดาๆ ที่ผมเห็น ความจริงไง ความไม่น่าไว้วางใจกับร่างกายของเรา ความจริงซึ่งบางที.. อาจจะไม่สมควรคุยกับใครเลย จากนั้น เธอก็ขอร้องให้ผมแวะมาทุกเย็น เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ไม่แน่ อาจเป็นหนึ่งเดือน และดูซิดู !! ผมต้องมาตอบคำถามแม่สาวพยาบาล กับเรื่องโลกๆ ซึ่งผมแกล้งตอบเธอให้ช้าอยู่เสมอ

...บอกแล้ว ผมควบคุมตัวเองได้ และแก้ความหวั่นวิตกซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัวผมเอง ด้วยการประมาทกับชีวิตให้น้อยที่สุด ส่วนการมาคุยกับพยาบาล ซึ่งยังคงความงามเปล่งปลั่งเหมือนดอกไม้แรกแย้ม ถือเสียว่า เป็นความรื่นรมย์เล็กน้อยของชีวิต..

ผมได้ยินหล่อนแอบกระซิบบอกคุณหมอคนเก่งของเธอว่า
“เขาเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากๆ เลยค่ะ ควรจะได้รับยาผ่อนคลายทางประสาทด้วยนะคะคุณหมอ” ก่อนชำเลืองมองค้อนผม และทำท่าปลงสลับกับความเหนื่อยใจ..




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2548
0 comments
Last Update : 7 สิงหาคม 2549 17:45:41 น.
Counter : 525 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


suparatta
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.