Group Blog All Blog |
เที่ยวเกาหลี (Seoul, Korea) ข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับเกาหลี หลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น เมื่อปี พ.ศ. 2488 ประเทศเกาหลีได้แบ่งออกเป็น 2ประเทศคือ เกาหลีเหนือ และ เกาหลีใต้ ประเทศเกาหลีเหนือ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (Democratic People's Republic of Korea) ปกครองโดยระบบคอมมิวนิสต์ ภายใต้การดูแลของสหภาพโซเวียต หลังจากที่แบ่งประเทศและกลายเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว เราจึงไม่ค่อยได้ยินข่าวคราวจากประเทศนี้นัก รวมทั้งไม่เคยเห็นคนเกาหลีเหนือตัวเป็นๆเลย (ส่วนใหญ่มีแต่เกาหลีใต้) แต่ทั่วโลกยังคงต้องจับตาดูเกาหลีเหนืออยุ่ตลอดเวลา เพราะเกาหลีเหนือยังคงคิดค้นและทดลองระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่มีอานุภาพรุนเรงกว่าตอนที่ถล่มเมืองฮิโรชิม่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเกาหลีใต้ มีชื่อเป็นทางการว่า สาธารณรัฐเกาหลี (Republic of Korea) ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย เกาหลีใต้พัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วภายใต้การสนับสนุนของอเมริกา ดังนั้นเวลาคนพูดถึงเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นซีรีย์เกาหลี นักร้องเกาหลี เครื่องสำอางค์ ทัวร์ประเทศเกาหลี แฟชั่นต่างๆ หรือแม้กระทั่งการศัลยกรรมแบบเกาหลี รู้ไว้เลยนะคะว่าเรากำลังพูดถึงเกาหลีใต้ค่ะ บีบีต้องแวะเปลี่ยนเครื่องบินที่เกาหลี เรามีเวลาว่างก่อนเครื่องออก 9ชั่วโมง บีบีเลยไปเลื่อนตั๋วเครื่องบินจากที่ต้องรอเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลี 9ชั่วโมง เปลี่ยนเป็น 2 วันซะเลย จะได้แวะเที่ยวเกาหลีด้วย เช้านี้เราเริ่มกันที่ พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung Palace) พระราชวังแห่งนี้เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดของเกาหลี มีการแสดงโชว์การเปลี่ยนเวรยามของทหารราชองครักษ์ด้วยวันละ 3รอบ (10.30 น., 13.30 น., 15.30น.) มีไกด์ฟรี 4ภาษา คือ ภาษาเกาหลี ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษ หลังจากเราดูโชว์เปลี่ยนเวรยามเสร็จ เราก้อไปรอไกด์ที่หน้าห้องศูนย์ข้อมูล สักพักไกด์ก้อมาค่ะ ไกด์เราเป็นผู้หญิงแต่งตัวเป็นชุดประจำชาติเกาหลีสีชมพูมาเลยค่ะ น่ารักเชียว ด้านหลังของพระราชวังเคียวบกกุง คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลี (National Folk Museum of Korea) ถ้าเรามีตั๋วเข้าชมพระราชวังเคียงบกกุงอยู่แล้วก้อสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์นี้ได้เลย ไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่ค่ะ ตัวตึกของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นเหมือนเจดีย์ซ้อนกันหลายๆชั้น สวยดีค่ะ ด้านหน้าทางเข้ามีหินแกะสลักเป็นรูปสัตว์ 12 ราศี ส่วนด้านในก้อจัดแสดงวิถีการดำเนินชีวิตของคนเกาหลีในสมัยโบราณ เครื่องไม้เครื่องมือ เสื้อผ้า การประกอบอาหาร ประเพณีต่างๆ เจ๋งดีค่ะ ชอบๆ แต่ตอนบีบีไปมันมีกรุ๊ปทัวร์ของเด็กมาพอดีค่ะ น่าจะเป็นเด็กระดับประถมอ่ะค่ะ เสียงดังชะมัด ออกจากพิพิธภัณฑ์มาเราก้อนั่งแท๊กซี่ไปตลาดอินซาดง (Insadong Market ) แต่ปรากฏว่าตลาดที่เราไปถึงคือ ตลาดนัมแดมุน (Namdaemun Market) ซะงั้น แท๊กซี่นะแท๊กซี่ แต่เอาเหอะมาถึงแล้วเดินดูหน่อยก้อได้ ว่าแล้วเราก้อเดินเล่นกันที่ตลาดนัมแดมุนสักพัก ตลาดนี้ขายของเกือบทุกประเภทเลยค่ะ ทั้งของกินของใช้ แต่คนเดินตลาดส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคนขึ้นมาทั้งนั้น ไม่มีเด็กวัยรุ่นเลย หลังจากที่เรามีประสบการณ์แท๊กซี่ส่งผิดมาแล้ว เราเลยเลือกที่ใช้บริการรถไฟใต้ดินแทนค่ะ และแล้วเราก้อมาโผล่ที่ ตลาดอินซาดง (Insadong Market) ได้สำเร็จ ตลาดนี้เป็นตลาดขายของพวกแอนทีคค่ะ นอกจากนั้นยังมีพวกงานศิลปะแฮนด์เมดพื้นบ้านต่างๆวางขายอยู่ด้วย แฟนที่เคารพของบีบีเค้าชอบค่ะ ซื้อของฝากซะกระจายเลย ซื้อของที่นี่ดีอยู่อย่างค่ะ คนขายเค้าจะห่อใส่กล่องกันกระแทกให้เป็นอย่างดีเลย เราไม่ต้องลำบากแพ็คของขึ้นเครื่องกลับบ้านเอง ตอนที่เดินอยู่ในตลาดนี้บีบีเดินผ่านร้านเครื่องสำอางค์ Etude ร้านหนึ่ง เลยแวะเข้าไปดู สักพักทัวร์ลงค่ะ เป็นทัวร์ของคนไทยด้วย มาเพื่อซื้อเครื่องสำอางค์โดยเฉพาะ คิดอยู่ในใจว่าสงสัยไกด์จะได้เปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งเยอะนะเนี่ยะ จริงๆแล้วเครื่องสำอางค์ Etude ที่ขายในสนามบินเกาหลีราคาจะถูกกว่าซื้อจากร้าน Etude ในเมืองค่ะ เพียงแต่ว่าในสนามบินจะมีของให้เลือกไม่มากเท่ากับในร้านในเมือง ออกจากตลาดอินซาดง (Insadong Market) เราก้อนั่งรถไฟใต้ดินไปที่ ตลาดเมียวดง (Myeongdong Market) ตลาดนี้แตกต่างจาก 2 ตลาดที่ไปมามากๆ ตลาดนี้วัยรุ่นเพียบเลยค่ะ แล้วแต่ละคนแต่งองค์ทรงเครื่องกันเหมือนหลุดออกมาจากแมกกาซีนเลย สาวๆเกาหลีหน้าตาน่ารัก แต่งตัวก้อน่ารักด้วย ส่วนหนุ่มๆ ก้อแต่งตัวดีค่ะ เรียกว่าตามแฟชั่นนั่นแหล่ะ ส่วนหน้าตาก้อ อืม..นึกถึงคำพูดของโน้ตอุดมในเดี่ยว 7 ที่ว่า ทรงผมเกาหลีมีประโยชน์ตรงที่ทำให้คนหน้าxxx ดูดีขึ้นมาหน่อย 555 อันนี้บีบีเห็นด้วยค่ะ เพราะว่าถ้ามองผ่านเสื้อผ้าและทรงผมเข้าไปแล้วเนี่ยะ ดูยังไงก้อไม่หล่ออ่ะ ไมเหมือนสาวเกาหลีนะ อันนั้นน่ะน่ารักจริงๆ (งานนี้ชั้นจะโดนสาวกหนุ่มเกาหลีตื้บเอามั้ยเนี่ยะ?) ตลาดเมียวดงถือว่าเป็นศูนย์รวมแฟชั่นล่าสุดของเกาหลีเลยก้อว่าได้ค่ะ อันไหนกำลังอิน ที่นี่มีขายหมด บีบีชอบค่ะ เพลิดเพลินกับการช๊อปปิ้งที่นี่มาก นอกจากการช๊อปปิ้งแล้วบีบีชอบชิมอาหารตามร้านรถเข็นต่างๆด้วยค่ะ ทั้งปลาหมึกย่าง ลูกชิ้นปลา ไส้กรอก แต่ที่โปรดปรานมากที่สุดคือมันฝรั่งทอดค่ะ เค้าเอามันฝรั่งลูกหนึ่งมาฝานเป็นเกลียวบางๆโดยไม่ให้ขาดกันแล้วเสียบใส่ไม้ไปทอด พอสุกเค้าก้อจะเอาผงบาร์บีคิวโรยรอบๆมันฝรั่งค่ะ อร่อยค่ะ นึกถึงภาพแล้วน้ำลายไหลค่ะ วันต่อมาเราตื่นแต่เช้าไป วัดโชเกชา (Jogyesa Temple) กันค่ะ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ในเกาหลีนับถือศาสนาพุทธกันค่ะ แต่คนสมัยก่อนนับถือลัทธิขงจื้อกันอย่างเคร่งครัดค่ะ ทำให้วัดพุทธในเมืองถูกทำลาย ดังนั้นวัดพุทธที่สวยงามจึงต้องไปก่อสร้างกันนอกเมืองหรือตามภูเขาค่ะ วัดโชเกชานี้เป็นวัดพุทธ 1ในไม่กี่ที่ของกรุงโซลค่ะ วัดที่นี่ไม่มีกำแพง ไม่มีป้ายบอกชื่อวัดด้วย (ยังกะมีป้ายแล้วจะอ่านออกงั้นล่ะ) แต่พอไปถึงเราจะรู้เลยค่ะว่าที่นี่คือวัด ที่นั่นจะประดับโคมไฟสีต่างๆไว้เหมือนเพดานเต๊นท์อะไรสักอย่างรอบๆวัดเลยค่ะ สวยเชียว ตอนเราไปถึงในโบสถ์กำลังทำพิธีทางศาสนาอยุ่ค่ะ มีพระนั่งสวดมนต์ มีคนแก่หลายคนนั่งอยุ่แต็มโบสถ์เลยค่ะ รอบๆโบสถ์มีภาพเขียนเกี่ยวกับพุทธประวัติ แต่ที่สะดุดตาบีบีมากที่สุดคือพระพุทธรูปที่อยู่ตรงทางขึ้นโบสถ์ค่ะ เป็นพระพุทธรูปที่แกะจากหิน องค์ไม่ใหญ่เท่าไหร่ แต่หน้าตาของพระพุทธรูปนั้นน่ารักคิกขุอาโนเนะมาก เหมือนการ์ตูนเลย นอกจากนั้นเค้ายังเอาตุ๊กตาหมาตัวใหญ่ๆมาตั้งไว้ข้างๆกันด้วย คือดูแล้วมันไม่น่าเลื่อมใสเท่าไหร่เลยอ่ะ แต่ว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเค้าก้อหยุดไหว้กันหมดนะ ออกจากวัดแล้วเราก้อเดินไปที่ คลองชองเกชอน (Cheonggyecheon) คลองนี้เป็นคลองที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เวลาผ่านไปคลองนี้ก้อเน่าเสียค่ะ จนเมื่อปี ค.ศ. 2003 ที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีจึงมีโครงการฟื้นฟูคลองนี้ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ซะเลย จากคลองเน่าเหม็นกลายมาเป็นคลองที่ใสสะอาด มีน้ำตก มีน้ำพุ มีโคมไฟประดับอยู่ตลอดความยาวของคลอง สวยงามที่เดียว เราเดินเลียบคลองไปเรื่อยๆ จนเมื่อยเลยเรียกแท๊กซี่ไปส่งที่ พระราชวังชางด๊อกกุง (Changdeok Palace) (แอบลุ้นกันกับแฟนว่าแท๊กซี่จะพาไปส่งผิดวังรึป่าวน้อ) พระราชวังชางด๊อกกุงแห่งนี้เป็นพระราชวังที่สวยงามที่สุดของเกาหลี และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกด้วย (องค์กรเดียวกันที่พยายามจะเอาเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั่นแหล่ะ) คราวนี้เราไม่รอไกด์แล้วค่ะ เดินดูเองเลย พระราชวังแห่งนี้สวยงามสมกับที่ได้เป็นมรดกโลกจริงๆค่ะ ถึงแม้ว่าบางส่วนจะโดนไฟไหม้ไปแล้วก้อตาม ด้านหลังของพระราชวังแห่งนี้คือ อุทธยานพีวอน หรือสวนต้องห้าม (Bewon or Forbidden garden) ที่ขึ้นชื่อว่าสวยและร่มรื่นที่สุด แต่ว่าการจะเข้าไปข้างในนั้น นักท่องเที่ยวจะต้องเข้าไปพร้อมไกด์ของพระราชวังเท่านั้น ห้ามเข้าไปโดยลำพังค่ะ ออกจากที่นั่นแล้วเรานั่งรถไฟใต้ดินไปที่ ตลาดอิเทวอน (Iteawon Market) ตลาดนี้เป็นตลาดนานาชาติ เพราะมีแต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติค่ะ ร้านอาหารฟาสฟูดแบรนด์เนมเพียบ บีบีรู้สึกว่าที่นั่นเป็นที่เดียวในโซลที่เห็นป้ายร้านค้าเป็นภาษาอังกฤษเกือบทุกร้าน เราไปถึงบ่ายเศษๆเค้าเพิ่งออกมาเปิดร้านกันค่ะ ของขายส่วนใหญ่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย เราเลยนั่งรถไฟใต้ดินไปแถว หน้ามหาวิทยาลัยสตรีอีหวา (Ewha Womans University) เป็นถนนขายเสื้อผ้าแฟชั่นอีกที่หนึ่ง (คล้ายหน้ามหาลัยรามคำแหงบ้านเราเลยค่ะ) มีทั้งร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมและโนเนม แล้วแต่จะเลือก ราคาไม่ค่อยแพงด้วย ร้านอาหารแถวนี้ก้อถูกด้วยค่ะ มาแถวนี้ไม่ผิดหวังเลยค่ะ ได้เสื้อผ้ากลับไปอีกหลายตัว แถมยังอิ่มอร่อยประหยัดเงินอีกด้วย แฟนที่เคารพมันเลยเหน็บว่าตั้งใจมาที่นี่เพราะอย่างนี้เองใช้มะ ในเมื่อแฟนที่เคารพมันตามใจบีบีมาที่หน้ามหาวิทยาลัยสตรีอีหวาแล้ว บีบีก้อเลยให้มันเลือกที่ที่มันอยากไปมาที่หนึ่ง มันเลือกไปหมูบ้านโอลิมปิคค่ะ เกาหลีเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิคเมื่อปี ค.ศ. 1988 ที่ผ่านมานู้นแน่ะค่ะ ที่ตั้งของหมู่บ้านโอลิมปิคนี่ก้ออยู่นอกเมืองเลยค่ะ ไกลโคตร กว่าจะไปถึงหลงกันอยู่เกือบชั่วโมงแน่ะ เรานั่งรถไฟใต้ดินไปค่ะ แล้วรถไฟที่ไปที่นั่นปลายทางมันแยกเป็นสองทาง แต่รถไฟไม่ได้จอดให้เราลงเพื่อเปลี่ยนขบวนนะคะ มันวิ่งอ้อมเป็นวงกลมไปเลย เราก้อหลง หาทางไปที่นั่นไม่ได้สักที ถามคนแถวนั้นก้อเค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกันอ่ะค่ะ บางคนเค้าก้อทำเป็นไม่ได้ยินแล้วก้อเดินหนีไปเลย จนในที่สุดฟ้าก้อประทานผู้ชายที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้มาให้เราคนหนึ่ง เค้าบอกเราว่าเราต้องฟังประกาศเอาค่ะว่ารถขบวนนี้จะวิ่งไปทางไหน เราก้อฟังไม่ออกอ่ะค่ะ เพราะเค้าพูดเป็นภาษาเกาหลี (แล้วชั้นจะไปฟังรู้เรื่องได้ยังไง) ผู้ชายคนนั้นเลยบอกว่ามันเป็นทางเดียวกันที่เค้าจะผ่านพอดีเลย จะไปกับเค้าเลยมั้ย เวลาถึงที่ที่เราต้องลงเค้าจะได้บอก ขอบพระคุณรุนช่องผู้ชายคนนั้นอย่างแรง เราเลยไปถึงหมู่บ้านโอลิมปิคด้วยประการละชะนี้แล คืนนี้เรากลับไปกินข้าวที่ตลาดเมียวดงอีกรอบก่อนที่จะออกมาเดินดูคลองชองเกชอน (Cheonggyecheon ) บรรยากาศที่คลองตอนกลางคืนสวยและโรแมนติกมากๆค่ะ เห็นคู่รักบางคู่มานั่งกุมมือกันอยุ่ข้างๆคลอง เหมือนในหนังเกาหลีเลย เที่ยวเกาหลีทริปนี้ถือว่าโอเคค่ะ การเดินทางสะดวกสบายดี เสื้อผ้าแฟชั่นวัยรุ่นสวยดี แล้วที่ประทับใจอีกอย่างคือเด็กนักเรียนที่นี่เวลาเห็นคนต่างชาติอย่างเรา เค้าจะหันมายิ้มแล้วก้อพูดสวัสดีเป็นภาษาอังกฤษค่ะ แต่สิ่งไม่ปลื้มเท่าไหร่คือคนที่นี่ไม่ค่อยอยากช่วยอ่ะค่ะ โดยเฉพาะเวลาที่เราถามทาง ก้อเข้าใจอยุ่นะว่าภาษาหลักของเขาคือเกาหลี แต่ภาษาอังกฤษง่ายๆที่เราควรจะสื่อสารกันได้ก้อน่าจะหัดไว้บ้าง โดยเฉพาะคนที่ทำงานในโรงแรมหรือขับแท๊กซี่ จริงๆบนรถแท๊กซี่ทุกคนจะมีสติ๊กเกอร์เบอร์โทรของคนแปลภาษาติดไว้ เพื่อที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะได้โทรไปเบอร์นี้ แล้วคนรับสายจะคุยกับคนขับรถให้ (คล้ายๆบริการDtac Happyที่ติดไว้ตามรถแท๊กซี่ในไทย) แต่ปัญหามันอยุ่ที่ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราจะมีสักกี่คนที่พกมือถือไปด้วย แล้วพอเราจะยืมมือถือของคนขับแท๊กซี่เพื่อโทรไปเบอร์นั้น คนขับแท๊กซี่ก้อไม่เข้าใจอ่ะว่าเราต้องการอะไร สื่อสารกันไม่ได้สักที เฮ้อ! ไม่เก่งเหมือนแท๊กซี่ไทยเล้ย (แท๊กซี่ไทยรู้หมดทุกอย่าง แต่ไว้ใจไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง ก๊ากก) เข้ามาบ้านนี้เพลินได้อีก อยากไปมั่งจัง
โดย: pragoong วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:15:23:48 น.
ขอบคุณมากคะ เขียนสนุกอ่านง่ายมาก อยากไปมานานแล้ว ได้อ่านข้อความของคุณมีประโยชน์มากเลยคะ
โดย: lamlert IP: 87.171.57.158 วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:19:25:42 น.
มาเยี่ยมชมบล็อคนี้ แล้วมีความสุขมากเลย
เพราะภาพสวย และ ตัุวหนังสือน่าอ่าน เขียนหนังสือได้ชวนติดตาม น่าจะเป็นนักเขียนอีกอาชีพนึงนะครับ โดย: Tinnie IP: 110.168.16.34 วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:21:32:58 น.
มีคนชมว่าเขียนดี ปลื้ม จนตัวจะลอยอยู่แล้วค๊าาา
ยังไงก้อขอบพระคุณรุนช่องสำหรับคำติชม และทุกคนที่มาเยี่ยมบล็อคนะคะ โดย: Sugar lip วันที่: 25 กันยายน 2553 เวลา:4:43:00 น.
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ บรรยายสนุกดี เหมือนไปด้วยเลย...
โดย: noinanai วันที่: 26 กันยายน 2553 เวลา:19:28:58 น.
แวะมาเยี่ยมเยียนกันจร้า
แล้วจะแวะมาอีกนะค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะ อยากไปมั๊งจัง แต่ขอไปช่วงหิมะตกนะ หุหุหุ โดย: สาวสะตอใต้ วันที่: 27 ตุลาคม 2553 เวลา:20:43:15 น.
|
Sugar lip
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?] วันหนึ่ง เราจะต้องทำบล็อคหน้าตาสวยๆออกมาให้ได้ คอยดูสิ หึ บีบีได้มาใช้ชีวิตอยุ่ที่อเมริกาถึงวันนี้ก้อเกือบ 3 ปีล่ะค่ะ การได้มาใช้ชีวิตต่างแดนตัวคนเดียว เวลามีปัญหาหรือข้อสงสัยขึ้นมา มันก้อไม่รุ้จะไปถามใคร ภาษาเราก้อไม่ดี บีบีก้อจะหาข้อมูลในเวป google แล้วบีบีก้อจะได้คำตอบออกมาในรูปแบบของ bloggang บีบีเลยรู้สึกถึงความสำคัญของบล็อค รู้สึกขอบคุณคนเขียนบล็อคทุกๆคน ที่เสียสละเวลามาเล่าประสบการณ์ต่างๆที่เป็นประโยชน์อย่างมากมายกับคนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างบีบี ดังนั้นบีบีก้อเลยตั้งใจไว้ว่าจะทำบล็อคเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ และ how to ต่างๆ ของบีบี เผื่อว่าจะได้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆมั่งค่ะ
Friends Blog Link |