พืชสมุนไพรไทย.... 2
ตะไคร้เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ชอบดินร่วนซุย ไม่ชอบน้ำขัง ปลูกง่ายโดยใช้เหง้าแก่ที่มีราก ตัดต้นและใบออก นำไปปักลงดิน
มีชื่อเรียกต่างๆ ตามท้องถิ่น เป็นต้นว่า ภาคใต้ เรียกว่า ไคร, ภาคเหนือ เรียกว่า จะไคร, ภาคกลางเรียกว่า ตะไคร้แกง, สุรินทร์ เรียกว่า เชิดเกรย เหลอะเกรย, แม่ฮ่องสอนเรียกว่า คาหอม
คุณค่าทางอาหาร
มีสารอาหารได้แก่ แคลเซียม โปตัสเซียม เหล็ก วิตามินเอ บี1 บี2 ซี ไนอะซิน
คุณค่าทางยา
ช่วยขับลม ลดความร้อน แก้ไข้ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย บรรเทาอาการปวดประจำเดือน หรือแม้กระทั่งนำมาใช้ใน เรื่องการเสริมสวย จะช่วยทำให้ เส้นผมดกดำ แก้ผมแตกปลาย ช่วยกำจัดรังแค โดยใช้ตะไคร้สดๆ ตัดใบทิ้งประมาณ 3-4 ต้น ตำให้ละเอียด เติมน้ำสะอาด 2 แก้ว ขยำให้เข้ากัน แล้วคั้นเอาแต่น้ำ ชโลมให้ทั่วผมที่สระไว้แล้ว หมักพักไว้ 10-15 นาที จึงจะสระออกให้หมด
.....................................................................
กระเจี๊ยบ
มีหลายคนมองข้ามผักชนิดนี้ เพราะรู้สึกรังเกียจเมือกเหนียวจากกระเจี๊ยบ ที่จริงแล้วเจ้าเมือกเหนียวนี้ ให้ประโยชน์มหาศาล เมือกเป็นสารเคลือบกระเพาะ ช่วยแก้ปัญหาโรคกระเพาะ หรือลำไส้อักเสบได้เป็นอย่างดี
กระเจี๊ยบเป็นพืชล้มลุกในฤดูฝน เป็นผักที่ปลูกง่าย ไม่ต้องดูแลรักษาก็เจริญเติบโตได้ ปลอดภัยจากสารพิษ ต้นสูงประมาณ 2 เมตร ดอกกระเจี๊ยบสีเหลืองสามารถใช้เป็นไม้ประดับ มีผลเป็นฝักยาวประมาณ 3-4 นิ้ว มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินซี ไนอะซีน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus sabdariffa L. ชื่อวงศ์ : MALVACEAE ชื่อสามัญ : Jamaica Sorrel, Red Sorrel, Roselle, Rozelle ชื่อพื้นเมือง : มีชื่อเรียกต่างๆ มากมายหลายชื่อ เช่น กระเจี๊ยบมอญ มะเขือทราย มะเขือพม่า หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Okra บางคนก็เรียกชื่อตามรูปร่างว่า "ดรรชนีนาง (Lady's Fingers)" รวมทั้งชื่ออื่นๆ ได้แก่ กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเปรี้ยว (ภาคกลาง), ผักเกงเขง ส้มเก๋งเคง ส้มพอเหมาะ (ภาคเหนือ), ส้มตะเลงเครง (ตาก), ส้มปู๋ (แม่ฮ่องสอน), ส้มพอดี (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
คุณค่าทางอาหาร
ใบอ่อนและยอดมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ใช้ต้มหรือแกง กลีบเลี้ยงสีแดง และรสเปรี้ยว มีคุณค่าทางอาหาร ตลอดจนทั้งทำ อาหารหวานบางจำพวก เช่น แยม เมล็ดมีน้ำมันมาก เส้นใยจากต้น ใช้ทำเชือกและกระสอบ ในไต้หวันใช้เมล็ด เป็นยาแผนโบราณ เพื่อเป็นยาระบาย ยาขับปัสสาวะ และยาบำรุง ใช้ทำเครื่องดื่ม เช่น ชา น้ำผลไม้ ไวน์ นำมาคั้นเป็นน้ำกระเจี๊ยบ สีแดง เข้มข้น รสอร่อย
คุณค่าทางยา
ใช้ผลอ่อนรับประทานติดต่อกัน 5-8 วัน โดยการต้มรับประทาน ช่วยขับพยาธิตัวจี๊ด ใช้ผลแห้งมาป่นเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มน้ำตามวันละ 3-4 ครั้ง ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
..........................................................................
มะกล่ำตาหนู
มีลักษณะทรงต้น ใบ ดอก และผลเหมือนมะกล่ำเผือก ต่างกันที่กลีบดอกสีชมพูแกมม่วง และเมล็ดสีแดงสด รอบขั้วสีดำ
ตำรายาไทยใช้รากขับเสมหะ แก้เสียงแห้ง ชงดื่มแก้ไอและหวัด พบว่าใบมีสารหวานชื่อ
abrusosides ซึ่งมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 30 100 เท่า และไม่มีพิษ เมล็ดมีสารพิษชื่อ abrin ถ้ากลืนทั้งเมล็ดไม่มีพิษ เพราะเปลือกแข็งไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร แต่ถ้าขบเมล็ดให้แตกและกินเพียง 1 2 เมล็ด มีพิษถึงตายได้ เมล็ดอ่อนเปลือกบางมีอันตรายมากกว่า อาหารพิษ จะเกิดขึ้นหลังจากกิน 3 ชั่วโมงถึง 2 วัน มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ทางเดินอาหารอักเสบ ตับไตถูกทำลาย ควรรีบปฐมพยาบาลโดยทำให้อาเจียนและรีบนำส่งโรงพยาบาล
ส่วนที่นำมาใช้ คือ ราก
ชื่อวิทยาศาสตร์ Abrus precatorius Linn.
ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE
ชื่อท้องถิ่น กล่ำเครือ กล่ำตาไก่ มะกล่ำเครือ มะกล่ำแดง มะแค้ก ตากล่ำ มะขามเถา ไม้ไฟ
......................................................................... ,, มะกล่ำตาหนู อันนี้แหละที่ ตูนเคยพาไปเที่ยวที่สวนลุมไนท์แล้ว ถ่ายเก็บกลับมาฝากให้ดู ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ ยังจำกันได้รึปล่าว ถ้าจำไม่ได้ก้อ กลับไปดูเน้อ อิอิอิ...
สวัสดีปีใหม่ทุกๆคนจ้า
Create Date : 24 ธันวาคม 2549 |
|
62 comments |
Last Update : 24 ธันวาคม 2549 13:52:33 น. |
Counter : 2129 Pageviews. |
|
|
|