Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
16 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

ถามปัญหาธรรมะ กับพระมหากรีฑา วชิรญาโณ

เนื่องจากผมได้เคยถามปัญหาธรรมะหลังไมค์กับพระมหากรีฑา วชิรญาโณ ที่เว็ปลานธรรมหลายประการ ดังต่อไปนี้


* นมัสการพระคุณเจ้าครับ เท่าที่อ่านมา คาดว่าพระคุณเจ้าเป็นนักปริยัติธรรมเป็นอันมาก ผมมีเรื่องอยากเรียนถามว่า ภิกษุต้นบัญญัติปราชิกทั้งหลาย อันมีพระสุทินเป็นต้น มีรูปใดที่ได้ลุถึงอรหันต์หรือไม่ครับ
- เจริญพร คุณสมภพ เท่าที่อาตมาภาพศึกษามาไม่พบว่าได้บรรลุธรรมอะไรเลย เพราะพระภิกษุต้นบัญญัติปาราชิกนั้น ถึงแม้ไม่เป็นอาบัติ แต่ก็มีความวิปฏิสารมาก (เดือดร้อนใจมากนั่นเอง) ไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้

* โดยปัจจุบันมีความเห็นผิดเรื่องเปลือกของศาสนามากมาย เช่นเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาสุวรรณภูมิ เป็นต้น และอีกหลายเรื่อง พระคุณเจ้าเห็นว่าน่าจะมีการแก้ความเห็นเหล่านี้ให้ถูกต้องไหมครับ
- เจริญพร เรื่องราวเกี่ยวกับตำนานต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณามากในการเรียนรู้ เพราะว่า สืบทอดกันมา แบบไม่ใช่เถรวาทโดยตรง แต่เราจะปฏิเสธตรง ๆก็คงไม่ได้ ตำนานต่าง ๆ บางทีก็ปรากฏในคัมภีร์โบราณ และตำนานเหล่านั้น เป็นความเชื่อของท้องถิ่น เราปฏิเสธไปก็กระทบความเชื่อของท้องถิ่น เราทำได้อย่างเดียว คือ ศึกษาแล้วนำความเซื่อนั้นมาทำให้สมบูรณ์ คือ หาเหตุผล อาตมาภาพเองไม่ปฏิเสธของโบราณ แต่จะหาเหตุผล จากคัมภีร์ฝ่ายเถรวาทมาไตร่ตรอง แล้วทำให้ตำนานเหล่านั้นหายไป แล้วใช้พระธรรมในเถรวาทเข้าไปแทน ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่แตะต้อง อย่างพิธีการต่ออายุ ซึ่งนำผ้าขาวมาบังสุกุลเป็นบังสุกุลได้ เป็นการกระทำมานั้นอาตมาภาพปฏิเสธไม่ได้ อาตมาภาพเอง ใช้การไตร่ตรองเรื่องกรรมมาเป็นตัวช่วย อาตมาภาพเลยบอกว่า เพียงเอาผ้าบังสุกุลไม่สำเร็จหรอก ที่จริงเพียงไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างดี อย่างเคารพจริง การต่ออายุก็สำเร็จได้ ก็แล้วแต่ว่า กรรมหมด ก็ยังต่อได้ อายุหมด ก็ต่อได้ แต่ถ้าสิ้นอายุขัย ก็ต่อไม่ได้ เพราะบุญเกิดจากการไหว้ เป็นเหตุให้เจริญด้วยอายุ วรรณ สุข พละ อาตมาภาพ หาเหตุผลแล้วปรับสิ่งที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ ไม่ขัดต่อหลักธรรม

* ได้อ่านคำตอบจากพระคุณเจ้าแล้ว ทำให้กระผมเหมือนพ้นจากความตาบอดขึ้นมาได้ ว่าควรจะนำความเชื่อนั้นมาทำให้สมบูรณ์ดีกว่า ไม่ควรยืนยันความถูกความผิดฝ่ายเดียว ทั้งๆที่นี่ไม่ใช่ศาสนาแห่งความขัดแย้ง แต่คือศาสนาแห่งความสงบสันติแท้ๆ แต่กระผมมองไม่ค่อยเห็น คงเหมือนพุทธดำรัสที่ว่า "สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกเห็นว่ามี ตถาคตก็เห็นว่าสิ่งนั้นมี สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกเห็นว่าไม่มี ตถาคตก็เห็นว่าสิ่งนั้นไม่มี เพราะตถาคตจะไม่เถียงกับโลก...... ราวๆนี้ครับ ก็ต้องขอขอบพระคุณพระคุณเจ้ามากนะครับ ที่ช่วยชี้ทางสว่างให้ผม
- เจริญพร คุณสมภพ
อาตมาภาพเอง มองเห็นว่า เรื่องบางอย่างพูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เพราะไม่มีเหตุผล พูดไปก็เท่านั้น อาตมาภาพ อาศัยหลักที่พระพุทธองค์ มีผู้ทูลถามเรื่องโลก พระองค์ก็ไม่ตรัส พระองค์ตรัสเรื่องอื่นที่มีประโยชน์ คือ เรื่องที่หาข้อตกลงไม่ได้ เสียเวลาเปล่า และเรื่องบางอย่างก็ดีมีประโยชน์ถ้าทำถูกต้อง เช่นสิงคาลมาณพไหว้ทิศ พระองค์ก็ตรัสว่า การไหว้ทิศในอริยวินัยของพระองค์ก็มี แล้วพระองค์ก็แสดงการไหว้ทิศที่ถูกต้อง คือ ทิศ ๖ อาตมาภาพ เมื่อก่อนก็ชอบไปจับผิดผู้อื่น ซึ่งเป็นโทษมากสำหรับการศึกษาปริยัติ เพราะเป็นปริยัติเหมือนคนจับงูพิษไม่ถูกวิธี มีแต่เกิดมานะ ถือตัวจัด แข็งกระด้าง ขึ้นเท่านั้น ปริยัติอันบุคคลศึกษามาเพื่อประโยชน์ใด ก็ห่างเหินจากประโยชน์นั้น ตอนหลังมาศึกษาเจอปริยัติ ๓ อย่าง ก็เลยเปลี่ยนวิธีศึกษา คือศึกษาเพียงทำให้อรรถปรากฏ หาเหตุผล ที่อ้าง ตรงไหนไม่เข้าใจ ก็ไม่ปฎิเสธ เพราะเป็นคำของครูบาอาจารย์ ปัญญาของเราน้อยจึงทำให้ไม่เข้าใจ ย้อนสอบทานคำที่ผ่านมา และคำต่อไป เพราะคำที่ครูบาจารย์กล่าวไว้ต้องลงกันไปด้วยกันได้ เหมือนน้ำเดียว เราสังเกตุดูถ้าเราเป็นคนละน้ำกันสนทนากันไม่รู้เรื่อง สนทนากันก็ขัดแย้ง เป็นศัตรูกัน เรื่องธรรม จึงมีขอบเขตขอบการศึกษา คือศึกษาเพื่อทำให้ศีลขันธ์ยังไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ สมาธิขันธ์อยังไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ ปัญญาขันธ์อันไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ ธรรมวินัยนี้ ที่เรากล่าวเราแสดงมันเป็นสภาวะกำจัดความทุศีล ความเห็นที่ผิดอยู่แล้ว พูดไปตามธรรม แสดงไปตามธรรม เป็นประโยชน์ที่สุด
ขอให้คุณสมภพเจริญในธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปเทอญ
เจริญพร


* โดยเรื่องปกิณกะนั้น ในครั้งแรกผมเข้าใจว่า ทุกๆเรื่องเกี่ยวกับพระองค์จะต้องถูกบันทึกไว้หมด แต่ความจริงไม่ใช่ อนึ่ง ปกิฏกะเทศนา ที่ทรงเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 4 ที่เหลือให้ได้ดวงตาเห็นธรรม มีเนื่อหาว่าอย่างไรบ้างนั้น ก็คงไม่ขึ้นสู่การสังคายนาเช่นกันใช่ไหมครับ นอกจากรับรู้ว่า เรื่องนี้เป็นปกิณกะเทศนาเท่านั้น
- ปกิณณกกถา ที่จริงต่อมาในภายหลัง ก็มาบันทึกไว้เป็นอรรถกถานั่นเอง ปกิณณกกถา เป็นกถาที่ยกขึ้นสู่อริยสัจ ๔

* คัมภีร์อนาคตวงศ์ ถูกแต่งขึ้นโดยพระสาวกรุ่นหลัง ซึ่งไม่ใช่พุทธดำรัสใช่ไหมครับ แม้โดยข้อความ จะอ่านแล้วดูน่าเชื่อเพียงไรก็ตาม เพราะโดยกาลมสูตรไม่ให้เชื่อ เพียงเพราะเป็นข้อความในคัมภีร์
- คัมภีรอนาคตวงศ์ แต่งขึ้นในภายหลัง แต่อาตมาภาพคิดว่า เป็นคัมภีร์ที่ได้รับการยอมรับของอาจารย์ตั้งแต่อดีต เราก็ควรพิจารณาดูตามหลักกาลามสูตรข้อสุดท้าย พิจารณาดูถ้าข้อความเหล่านั้นเป็นเหตุให้เกิดกุศล ก็พึงถือเอา ถ้าไม่เป็นเหตุให้เกิดกุศล ก็ไม่ต้องถือเอา

* พระมาลัย พระสีวลี คือเรื่องแต่งหรือเปล่าครับ กรณีพระสีวลี ที่ผมไม่แน่ใจว่าแต่งหรือไม่ทั้งที่ยังไม่สอบทานพระไตรปิฏกอันมาก เพราะเห็นว่าเป็นพระอรหันต์ที่ให้ทางด้านโชคลาภ(ตามที่เขาเล่ากัน) จึงเกิดความไม่แน่ใจขึ้น
- พระมาลัย ฟังดูชื่อแล้ว ก็คือพระที่อยู่ในมลยชนปทในเกาะสิงหล ถ้าพิจารณาดูช่วง ๑,๐๐๐ ปี หลังจากพระพุทธโฆสาจารย์ เดินทางไปแล้วได้รจนาคัมภีร์วิสุทธรรม เกาะสิงหลศาสนาเจริญมาก ถึงกับมีคำว่า ในเกาะสิงหล ไม่มีพระภิกษุผู้เป็นปุถุชนเลย จึงน่าจะมีจริง แล้วเรื่องราวก็ก่อให้เกิดกุศล ก็ควรศึกษาดู เพื่อให้กลัวบาป เป็นเหตุให้เจริญมรรคได้เช่นกัน ส่วนพระสีวลี เป็นพระเถระรูปหนึ่งที่มีในสมัยพุทธกาลเป็นเอตทัคคะในข้อผู้เลศด้วยลาภ เป็นลูกของนางสุปปวาสา อยู่ในครรภ์นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน อ่านได้ในอังคุตตรนิกายเอกนิบาต เกี่ยวกับพระภิกษุผู้ได้เอตทัคคะ และในเถระคาถาก็น่าจะมี

* ผมพิจารณาจะเลิกเสีย ซึ่งการจุดธูปบูชาทุกอย่าง ผมคิดถูกไหมครับ? แต่เทียนยังเห็นว่าเป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่างอยู่ จึงไม่เลิก
นี้เป็นการเลิกครั้งที่สอง ในแง่ศรัทธา ครั้งแรกคือการเลิกเอาพระเครื่องห้อยคอเมื่อ 10 ปีก่อน
- การบูชาที่จริงแล้วอยู่ที่เรารู้จักคุณของพระรัตนตรัย ส่วนเทียนหรือรธูปนั้น ถ้าเรารู้ความหมายว่าจุดเทียนจุดธูปเพื่อบูชาพระรัตนตรัยด้วยแสงสว่าง และด้วยกลิ่นหอมก็ใช้ได้ ใช้เป็นอารมณ์ อยู่ที่การมนสิการคือการกระทำไว้ในใจ ส่วนพระเครื่องถ้าบูชาในแง่เป็นที่ระลึก เป็นเครื่องหมายให้รู้ถึงความนับถือพระรัตนตรัยของเราแก่บุคคลเหล่าอื่นก็ใช้ได้ ถ้าไม่ต้องมีพระเครื่องแต่เราระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย จะดีกว่า ตรงที่นามธรรมไม่มีใครลบหลู่และเหยียบย่ำได้ เราจะได้ไม่ต้องขัดใจกับการที่มีบุคคลอื่นไม่เคารพและเหยียบย่ำ เพราะเมื่อมีการสร้างขึ้นมาเป็นตัวแทนพระพุทธองค์ ก็ต้องเคารพ จะลบหลู่ก็ไม่ได้ และขัดใจในเมื่อบุคคลเหล่าอื่นเหยียบย่ำ อย่างที่เราเห็นพบในปัจจุบัน

* ภิกษุผู้บูชาได้เฉพาะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น แม้เทวดาก็ไหว้ไม่ได้ เนื่องจากสยามวงศ์มีพระพุทธรูปที่ผสมกับเทวดาอยู่ คือพระพุทธรูปที่ใส่เครื่องทรงอย่างกษัตริย์หรือเทวดา มีทองเพชรนิลจินดาประดับเป็นต้น มีโดยชื่อ พระสยามเทวาธิราช เป็นต้น ภิกษุมีความลำบากใจ ในการจะทำการสักการะพระพุทธรูปตามคตินี้ อย่างไรหรือไม่ครับ
- ที่จริงพระพุทธรูปก็คือพระพุทธปฏิมา ส่วนการมีเครื่องทรงก็เพราะคนต้องการจะบูชาให้พิเศษ ไม่เกี่ยวกับเทวดา ส่วนเทวดา พระภิกษุจะแสดงความเคารพเช่นการกราบไหว้ในฐานะเป็นที่เคารพที่เป็นที่บูชา ไม่ถูกต้อง ถ้าแสดงความเป็นมิตร โดยการมอบธรรมทานให้ หรือกล่าวระบุถึงเทวดาเหล่านั้น ก็ใช้ได้ เป็นมิตรกันนับถือกัน

* ภิกษุสยามวงศ์ทั้งหลายออกบิณฑบาต โดยไม่มีสังฆาตินั้น ผิดวินัยหรือเปล่าครับ
- ข้อนี้ อยู่ที่ว่า การถือผ้าไตรจีวรครบชุดอยู่ในช่วงเวลาอรุณขึ้น หลังจากอรุณขึ้นแล้ว เราจะเก็บพระสังฆาฎิแล้วใช้เฉพาะ ๒ ผืนก็ได้ แต่ต้องให้ได้อรุณในวันนั้นก่อน เพราะในพระบาลีก็มีกล่าวไว้ว่า ทรงบาตรและจีวร ยกเว้นการเดินทางไกลต้องมีผ้าไตรจีวรครบชุด การไม่ต้องถือผ้าไตรจีวรครบชุด ก็ต่อเมื่อได้อานิสงส์การอยู่จำพรรษา และอานิสงส์กฐิน

* พุทธทำนายที่แท้จริง มีเอ่ยชื่อเมืองอยุธยา และกษัตริย์อยุธยาที่สำคัญบางพระองค์เอาไว้ไหมครับ ซึ่งอาจถูกแต่งขึ้นสมัยอยุธยา
- พุทธทำนาย ที่แท้จริงคือการทรงทำนายมหาสุบิน ๑๖ ส่วนพุทธทำนายอื่น ๆ น่าจะเป็นคำของนักบวช หรือฤาษี ที่ได้อนาคตํสญาณ กล่าวไว้ แต่คนรุ่นหลังกล่าวโดยแอบอ้างว่าพุทธทำนาย เพื่อให้คนเลื่อมใสและเชื่อถือ ซึงมีส่วนถูกบ้างเหมือนหมอดู

* พุทธดำรัสหนึ่ง ที่อ่านแล้วไม่คุ้นเคย ราวว่าไม่ใช่พุทธดำรัสนั้น "ดูกรอานนท์ ตถาคตคิดเป็นห่วงและสงสารสัตว์โลกอย่างยิ่ง คนที่จะมีอายุอยู่ในครึ่งยุคปลายหลังพุทธกาล ตถาคตจะช่วยได้ก็เพียงให้คาถาที่อุบาสกอุบาสิกาบูชาอยู่ แม้แต่พระพุทธศาสนาเองก็จะสลายไปตามโลก เป็นที่สุดของโลกนี้ บุคคลที่เคารพบูชาในพระพุทธศาสนาจะเป็นฝ่ายรุ่งเรืองเสมอ แล้วก็จงหมั่นอุตส่าห์ภาวนารักษาศีล ๕ ศีล ๘ เถิด ปวงนิกรทั้งหลายอย่าได้ประมาทเลย จงเคารพบูชา พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ บุคคลใดมิได้เชื่อฟัง ผู้คนเหล่านั้นจะพากันตายไปหมดสิ้น เพราะจะพากันหลงตามคนพาลเหล่านั้นแล ให้ท่องคาถาต่อไปนี้ไว้
พุทฺธเย จ มงฺมาพิโช ทานโส ตาปตฺตโส สตฺถาคา รงฺโชโสวจนํ ตโต คนฺนํ เตริยมาเห มรคตา มลกตเล วรชาตา ปุรปุรา
พระคาถานี้ เป็นของคู่ตัวท่านเพื่อป้องกันภัย ให้สวดมนต์ภาวนาจะมีอายุยืนนาน ป้องกันภัยต่างๆ และจะได้พบท่านผู้มีบุญเป็นที่เที่ยงแท้ เมื่อท่านจะมาในกาลภายหน้านั้นแล"
เราจะสรุปอย่างไรดีครับ และบุคคลผู้แต่งเรื่องมุสาป้อนให้เป็นพุทธดำรัสนี้ จะมีผลกรรมสนองอย่างไร
- มีความไม่เคารพในพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ก็จะห่างเหินจากพระดำรัสของพระพุทธเจ้า จะเรียกได้ว่าบาปยิ่งกว่าบาป ต่อให้พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๑๐๐ องค์ ๑,๐๐๐ องค์ ก็พลาดจากพระดำรัสของพระพุทธเจ้า เหมือนคนฆ่าตัวตาย นี้ก็บาปยิ่งกว่าบาป เพราะเกิดมาอีกพอท้อแท้หรือมีอุปสัคก็จะฆ่าตัวตายอีก เป็น ๑๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐ ชาติ

* การให้ทานแก่ขอทานปลอม โดยเราไม่แน่ใจหรือแน่ใจว่าเขาเป็นขอทานปลอม แต่เรายังให้ทานด้วยอารมณ์สุจริต เหมือนการให้ทานกับขอทานจริง เราจะได้อานิสงฆ์เท่าเดิมไหมครับ
- ทานจะมีผลมาก หรือไม่มาก อยู่ที่วัตถุ ปฏิคคาหก ทายก เจตนาในกาลทั้ง ๓ คนมาหลอกเรา เราจะรู้หรือไม่รู้ ให้ไป ผลทานก็น้อย เพราะผู้รับปราศจากคุณ เหมือนเราให้ทานแก่พระภิกษุผู้ทุศีล โดยเข้าใจว่ามีศีล ผลก็น้อย เพราะนาบุญไม่ดี แต่ก็เป็นบุญ เพราะปัจจัยของบุญมีหลายอย่าง

* เมื่อตายแล้ว จะเกิดใหม่ขึ้นทันทีไหมครับ เช่นนั้นชาติต่อไป จะเกิดเป็นมนุษย์ได้เสมอไปไหมครับ ถ้าตายแล้ว แต่ยังไม่มีการปฏิสนธิ?
- ตายแล้วเกิดทันที แล้วตายแล้วจะเกิดเป็นมนุษย์อีก ยากมาก

* พวกกายทิพย์ทั้งหลาย อาจเป็นพรหมที่รอการนิพพานเป็นต้น จะพิจารณากายในกายได้ไหมครับ
- การพิจารณากายในกายนี้ ใช้ได้เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น เพราะกายทิพย์พิจารณาเห็นความไม่งามยาก

* โดยเหตุว่าตายแล้วเกิดเป็นมนุษย์ใหม่นั้น ยากนัก เพราะจิตเกิดดับอย่างละเอียดมากนัก เมื่อดับที ต้องเกิดใหม่เมื่อมีปฏิสนธิในมนุษย์เท่านั้นใช่ไหมครับ? จึงได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง
- ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก การกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกยาก เพราะการเป็นมนุษย์นั้นต้องบำเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วนบริบูรณ์ จึงจะกลับมาเป็นมนุษย์ได้

* ผมจะมีธรรมใดตั้งไว้ในใจครับ เพื่อส่งผลให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ชายอีก โดยไม่เกิดเป็นเทวดา โดยไม่เกิดเป็นสัตว์นรก ฯ
- ประพฤติกุศลกรรมบถให้บริบูรณ์ โดยเฉพาะข้อ 3 คือการงดเว้นจากความประพฤติผิดในกามทั้งหลายแม้ด้วยความคิด และกระทำกุศลอย่างใดก็ตามให้ปรารถนาความเป็นมนุษย์อีก

* กรณีกายทิพย์พิจารณาเห็นความไม่งามยากนั้น หมายถึงไม่มีทางเห็นความไม่งามเลย หรือเห็นได้แต่ยากครับ โดยเฉพาะเทวดาชั้นล่างๆ ที่สำคัญ กายทิพย์ของสัตว์นรก มีความไม่งามด้วยหรือไม่ครับ
- การพิจารณายาก เพราะสวรรค์เป็นภูมิที่งดงามไม่มีอสุภะเลย อารมณ์ก็งดงาม แล้วจะพิจารณาอสุภะได้อย่างไร ส่วนสัตว์นรกไม่เรียกว่ากายทิพย์หรอก เพราะนรกนั้นมีแต่ทุกข์ไม่มีความสุขเลย เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น ยกเว้นชวนะแรกเกิดหลังปฏิสนธิจิต

* พุทธดำรัสความจริงเรื่อง โลก หรือ จักรวาล เท่าที่ได้ยินเลาๆมา เป็นพุทธดำรัสจริงเปล่าครับ เพราะเท่าที่ผมทราบ เมื่อภิกษุไปถามเรื่องนี้โดยขู่ว่าจะสึก แม้พระองค์ก็ไม่ทรงตอบ?
พุทธดำรัสเรื่องโลก "ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกนี้กลม" นั้นเป็นความจริงสิ่งเดียวเท่านั้นหรือเปล่าครับ
- เรื่องเกี่ยวกับโลก เมื่อพระภิกษุทูลถาม พระองค์ไม่ตรัสตอบ เพราะเป็นเรื่องอจินไตย แต่เมื่อจะตรัสเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลก พระองค์ก็ตรัสเรื่องโลกเหมือนกัน

* ต้นบัญญัติทั้งหลาย โดยเฉพาะปราชิกนั้น ในส่วนที่เป็นอนุบัญญัติ ต้องมีภิกษุทำก่อน จึงเกิดอนุบัญญัติขึ้นเสมอไปไหมครับ โดยเหตุว่า มีภิกษุเสพเมถุนกับเปรต หรืออมนุษย์อื่นๆนั้น เคยมีขึ้นหรือไม่ หรือมีภิกษุใช้ไสยศาสตร์ฆ่าผู้อื่นหรือไม่ เพราะผมหาไม่พบในหนังสือนิทานต้นบัญญัติครับ
- มีเกี่ยวกับอมนุษย์ คือ ยักษ์และเปรต เพราะมีทั้งอมนุษย์หญิง อมนุษย์สองเพศ อมนุษย์ปัณเฑาะว์ ส่วนภิกษุใช้ไสยศาสตร์ฆ่าผู้อื่น ไม่มี

* กุศลกรรมบถนั้น มีอะไรบ้างครับ เหตุว่าข้อ 3 คือเรื่องไม่ให้ประพฤติในกาม ก็คงเป็นศีล 5 เช่นนั้น 5 ข้อที่เหลือคืออะไรบ้างครับ
- กุศลกรรมบถ ๑๐ อย่าง
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี [เจตนาเครื่องเว้น จากการยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป]
๒. อทินนาทานา เวรมณี [เจตนาเครื่องเว้น จากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้]
๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี [เจตนาเครื่องเว้น จากการประพฤติผิดในกาม]
๔. มุสาวาทา เวรมณี [เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเท็จ]
๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี [เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดส่อเสียด]
๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี [เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดคำหยาบ]
๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี [เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเพ้อเจ้อ]
๘. อนภิชฌา [ความไม่โลภอยากได้ของเขา]
๙. อัพยาบาท[ความไม่ปองร้ายเขา]
๑๐. สัมมาทิฏฐิ[ความเห็นชอบ]


* กุศลกรรมบถ ๑๐ อย่าง ก็คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ใช่ไหมครับ เมื่อตอนผมเรียนเรื่องนี้ ผมก็สงสัยว่าทำไมไม่มี "ห้ามดื่มสุรา" ร่วมอยู่ด้วย คงเพระว่า ศีล และ กุศลกรรมบถ เริ่มแยกออกจากกันนับตั่งแต่ข้อ มุสาวาทา เป็นต้นไปใช่ไหมครับ?
- ศีล 5 นั้นใช้เพียง กายสุจริต 3 วจีสุจริต 1 งดเว้นจาการดื่มสุราอีก 1 เป็นนิจจศีล ส่วนกุศลกรรมบถ ครบสุจริต 3 จึงไม่จำเป็นต้องมี เพราะกุศลกรรมบถสมบูรณ์ยิ่งกว่าศีล 5 ถ้าดื่มสุราแล้วกุศลกรรมบถจะสมบูรณ์ได้อย่างไร

* ภิกษุสมัยพุทธกาล มีปรากฏว่าโดยสารด้วยเรือบ้าง มีการจ่ายค่าโดยสารเรือไหมครับ?
- ไม่น่าจะมีการจ่ายค่าโดยสาร เพราะเมื่อก่อนนักบวชเป็นที่รู้กันว่าไม่รับเงินรับทอง ย่อมได้รับการสงเคราะห์จากคฤหัสถ์ผู้รู้แล้วเข้าใจ

* ผมไม่แน่ใจว่า พยานาคปลอมตัวขึ้นมาบวชในสมัยพุทธกาล หรือหลังพุทธปรินิพพานครับ โดยเหตุว่า การฝากที่ระลึกอะไรเอาไว้ จะทำในขณะที่พระศาสดาดำรงค์พระชนชีพอยู่ได้หรือไม่ เหมือนการฝากสไบของภิกษุณี ให้เป็นอังสะของภิกษุเพื่อเป็นที่ระลึก คล้ายเป็นการเพิ่มไตรจีว
- พยานาค แปลงกายบวชมีในสมัยพุทธกาล ส่วนคำหลังไม่ทราบที่เป็นที่มาที่แน่ชัด

* การตำหนิพระโดยปุถุชน ในเรื่องที่สมควรตำหนินั้น บาปหรือไม่ครับ โดยเหตุว่า สิกขาบทส่วนใหญ่ ก็เกิดขึ้นจากชาวบ้านติเตียน
ซึ่งแม่ชีธนาพร จะสอนไม่ให้ตำหนิเลย ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อย่าตำหนิเลย
- การตำหนิภิกษุ ก็ตำหนิได้ถ้าท่านทำไม่เหมาะไม่ควร เพราะการทำไม่ดี ก็ต้องได้รับการตำหนิติฉินนินทาอยู่แล้ว ไม่ผิดหรอก

* สมัยพุทธกาล มีการทำวัตรอย่างไรหรือไม่ครับ
- มีวัตรมากมาย เช่นวัตรที่ลานพระเจดีย์ วัตรในโรงอุโบสถ อุปัชฌายวัตร์ เป็นต้น เรียกว่า วัตร 80 ทุกวันนี้ ข้อวัตรเหล่านี้ ขาดหายไป จะมีอยู่บ้างก็สายพระศิษย์ของหลวงพ่อชา

* เมื่อภิกษุลุถึงพระอเสขะแล้ว มีหน้าที่ใดๆต้องกระทำเพียรต่อไปหรือไม่ครับ หรือเพียงบิณฑบาตอยู่วันๆเท่านั้น
- มีหน้าที่ดำรงค์ไว้ซึ่งสัทธรรม อนุเคราะห์ประชาชนโดยทำให้ทานที่ถวายในท่านมีผลมาก

* การจะให้ภิกษุสยามวงศ์เลิกวัฒนธรรมการรับเงินรับซองได้นั้น คงต้องร่วมมือกันทั้งอุบาสกอุบาสิกาด้วย ให้เลิกวัฒนธรรมถวายซอง มาให้ปัจจัยที่ภิกษุขาดแคลนแทน แม้ว่าการให้เงินจะสะดวกดี แต่ภิกษุก็ต้องมีภาระนำไปซื้อของอยู่ดีในภายหลัง และโดยซื้อได้ตามใจ อาจเกิดกิเลสขึ้นได้ พระคุณเจ้าเห็นว่าอย่างไรครับ
- คงยาก ผู้ที่จะทำได้ก็คือ ผู้เป็นใหญ่เช่นในหลวงเป็นต้น เพราะการจะทำให้ถูกต้องแก้เหมือนพลิกแผ่นดิน เพราะเงินทองมันซึมซาบไปทุกวัดทุกวา เช่นวัดพุทธโสธร วัดบวรนิเวส วัดมหาธาตุ วัดธรรมกาย เป็นต้นเขาจะยอมหรือ ต้องทิ้งหมด

* โดยเรื่องเกี่ยวกับเพลง พระวินัยห้ามร้องเพลงเท่านั้นหรือไม่ครับ ถ้ากำหนัดฟังกำหนัดดู ผิดไหมครับ
- ผิดทั้งนั้นถ้าเป็นกามคุณอารมณ์ เพราะผู้ปริโภคกามคุณ ไม่เรียกว่าสมณะ ไม่เรียกว่าศากยบุตรหรอก

* โดยศีล 10 ในหนังสือ มนต์พิธี ห้ามไม่ให้นั่งที่สูง อันมีรวดลายวิจิตร ก็ตรงกับธรรมาตรที่ภิกษุสยามวงศ์ใช้เทศนา จะผิดไหมครับ
- ไม่น่าจะหมายถึงธรรมาสน์ ที่กล่าวถึงนั้นหมายที่นั่งที่นอนอันเป็นเครื่องใช้ของพระภิกษุต่างหาก ส่วนอาสนะที่อุบาสกอุบาสิกาจัดถวายในบ้านเมื่อนิมนต์ไปก็ดี ธรรมาสน์ก็ดี ไม่ใช่ที่หมายถึงในคำนั้น

* เทวดาที่รับเครื่องเซ่นจากมนุษย์อยู่ หากมิได้รับเครื่องเซ่นนั้น เทวดาจะต้องอดตายไหมครับ
- เทวดามีอาหารของตนอยู่แล้ว แต่ก็ยินดีด้วยอาหารที่มนุษย์บูชาเช่นกัน เหมือนพระราชามหากษัตร ทรงมีพระกระยาหารอย่างดี ก็ทรงยินดีด้วยอาหารที่ประชาชนบูชาฉะนั้น

* เมื่อทำบุญหรือให้ทานแต่ละครั้งไปแล้ว ควรอธิฐานสิ่งใดไหมครับ โดยผมแล้วไม่ได้อธิฐานอะไร รับเพียงความอิ่มเอิบที่เกิดขึ้นเท่านั้น ที่ไม่กล้าอธิฐาน เพราะกลัวว่าจะฟุ้งซ่านมากเรื่องมากความ เพราะโดยหัวใจศาสนาข้อสามระบุให้ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส แต่หลายคนรวมทั้งในพุทธประวัติได้อธิฐานด้วย แล้วผมควรจะอธิฐานใดๆไหมครับ
- การทำบุญก็เหมือนฝนตกห่าใหญ่ ทำให้เปียกและเย็นสบาย ชาระร่างกายได้ แต่พอฝนส่างแล้ว น้ำก็ซึมลงในดินหมด ถ้าเราใช้ภาชนะรองเก็บน้ำไว้ ก็สามารถนำน้ำมาใช้ได้ในยามต้องการจะใช้ ฉันใด ฉันนั้น การอธิษฐานก็เหมือนการรองน้ำเอาใช้ เราจะอธิษฐานว่า ขอให้บุญที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว จงช่วยปกปักรักษาบิดามารดาญาติมิตรของข้าพเจ้าให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ปราศอุปสัคอันตราย เป็นต้น บุญกุศลก็สามารถปกปักรักษาบุคคลที่เป็นที่รักของเราได้เช่นกัน ข้อที่บุญกุศลที่เราทำเป็นไปเพื่อประโยชน์ตามที่ประสงค์ก็เพราะเราอธิษฐาน

* นิทานเรื่อง "ทำบุญกับโจรขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับอรหันต์ตกนรก" เมื่อภรรยาท้อง ได้หิวอาหารแบบในพระราชวัง ผู้สามีจึงปลอมตัวเป็นพระเข้าไปบิณฑบาต แต่เกรงว่าจะมีคนจำได้ จึงเดินก้มหน้าเข้าไป พระราชาเห็นพระก้มหน้าคิดว่าเป็นพระที่เคร่ง เกิดความศรัทธา แล้วให้เข้ามาใส่บาตรให้ แล้วใช้ให้อมาตติดตามไปดู เมื่อพระผู้นั้นไปถึงบ้าน ก็เทอาหารแล้วโยนบาตรโยนจีวรหายไปในพุ่มไม้ จึงกลับมากราบทูลว่า ทั้งบาตรทั้งจีวรหายไปในพุ่มไม้เลยพระเจ้าค่า พระราชาคิดว่าพระหายตัวได้ จึงเกิดความปลื้มใจยิ่งขึ้น เมื่อทรงสวรรคต จึงได้ไปเกิดบนสวรรค์
มหาอมาตได้ขึ้นครองราชต่อ นิมนต์พระอรหันตมาฉันอาหารในวัง แต่ใจคิดแต่ว่าเป็นพระปลอม เมื่อตายแล้ว จึงตกนรก
เรื่องนี้เป็นความจริงแค่ไหนครับ โดยเหตุว่าผู้ปลอมตัวเป็นพระนั้น ไม่มีนาบุญ พระราชาจึงไม่น่าขึ้นสวรรค์ด้วยความสำคัญผิด
- มีข้อความอยู่ในสาสนวังสปทีปิกาที่อาตมาภาพโพสลงในกระทู้ เชิญมารู้จักพระพุทธพจน์กันเถิด แต่มีเพียงบางส่วนไม่ได้กล่าวว่าพระราชาไปสวรรค์หรอก ถ้าเรามองดูทานนั้นพอจะผลได้ร้อยเท่า ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในในทักขิณาวิภังค์สูตร ทานอันให้แก่บุถุชนผู้ทุศีล มีผลร้อยเท่า ก็พออนุมานได้กระมัง ถ้าพระราชาทรงมีศีล

* พุทธประวัติที่ปรากฏว่า พระพุทธองค์ทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง เพื่อครุ่งคิดหรือพิจารณานั้น มีปรากฏไหมครับ โดยเฉพาะตอนมีเรื่องจะบวชให้ภิกษุณี
- ทรงนิ่งเพราะทรงพิจารณามีเฉพาะตอนแรกเมื่อทรงตรัสรู้ใหม่ ๆ ส่วนตอนอื่นไม่พบเพราะทุกเรื่องราวพระทรงทราบได้ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ พระสัพพัญญุตญาณ เป็นไปพร้อมกับพระทัยของพระองค์

* โดยเรื่องการอธิฐานหลังทำบุญ เหมือนการรองน้ำฝนจากฝนที่ตกห่าใหญ่เอามาใช้ เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าได้พ้นจากความเขลามาเรื่องหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาไม่ได้อธิฐาน ซึ่งแต่นี้ไปจะตั้งใจอธิฐานให้สมควรแก่บุญนั้น
แต่โดยการทำบุญที่ผ่านมานั้น ในใจลึกๆผมเองก็ยังหวังให้บุญกลับคืนสนองในเรื่องที่ทำเป็นต้น ดังนั้น การทำบุญอย่างนึง แต่อธิฐานไปอีกอย่างนึง จะได้สมดังอธิฐานไหมครับ? อย่างการให้ทาน แล้วอธิฐานให้ฐานะเราดีขึ้น ก็ดูจะสมควรแก่เหตุดี แต่ถ้าให้ทานแล้วอธิฐานให้มีรูปลักษณ์งดงาม หรืออธิฐานให้มีสติปัญญาดี ซึ่งนั่นไม่ใช่บุญจากการถือศีล ไม่ใช่บุญจากการเจริญภาวนา เราจะได้สมดังอธิฐานไหมครับ
- บุญที่เราทำไม่ใช่แต่เพียงทานเท่านั้น ที่จริงถ้ารู้จักบุญ การนอบน้อมพระรัตนตรัย เป็นบุญมีผลมากมายกว่าทานมากนัก เรื่องอธิษฐานนี้ อาตมาภาพเอามาจากอกิตติชาดก ซึ่งพระโพธิสัตว์ทำทานทุกครั้ง ก็จะอธิษฐานว่า ขอข้าพเจ้า อย่าพึงเห็นคนพาล อย่าพึงได้ยินคนพาล อย่าพึงอยู่รวมกับคนพาล อย่าพึงทำความสนทนาปราศัยกับด้วยคนพาล และไม่พึงยินดีการสนทนาปราศรัยกับคนพาล เป็นต้น
การอธิษฐาน จะสำเร็จหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สำคัญอยู่ที่ความคิดปรารถนาที่เป็นกุศลต่างหากเล่า


* การรับบาตรรับจีวรจากอาจารย์นั้น โดยสมัยที่ยังไม่มีอังษะ เท่ากับภิกษุเปลื่องท่อนบนอยู่ในอารามหรือเปล่าครับ
- ถ้าไม่มีอังสะ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อก่อนการเปลือยอก ไม่ได้เป็นการอุจาดเหมือนปัจจุบัน

* เกี่ยวกับคัมภีร์อนาคตวงศ์ โดยพระคุณเจ้าให้ผมพิจารณาดูถ้าข้อความเหล่านั้นเป็นเหตุให้เกิดกุศล ก็พึงถือเอา ถ้าไม่เป็นเหตุให้เกิดกุศล ก็ไม่ต้องถือเอานั้น โดยเรื่องธรรมะลึกซึ่งก็ไม่กล้าพิจารณาด้วยสติปัญญาตนเองมากนัก แต่โดยข้อความว่าการบรรลุธรรมเสื่อมลงทุก 1000 ปี โดยปัจจุบันนี้ไม่มีอรหันต์แล้วนั้น จะถูกต้องหรือไม่ เพราะคุ้นๆว่ามีพุทธดำรัสว่า โลกจะไม่ว่างเว้นจากอรหันต์ หรือเพราะอย่างน้อยๆโสดาบันในไม่เกิน 7 ชาติที่แล้ว ย่อมเป็นอรหันต์ได้ในปัจจุบันใช่ไหมครับ
- พระพุทธดำรัสนั้น หมายความว่า ถ้ามีบุคคลเจริญอริยมรรคอันมีองค์ ๘ ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ พระอรหันต์ก็ไม่ว่างจากโลก ส่วนพระโสดาบันนั้น มีหลายประเภท มีประเภทหนึ่ง เป็นพระอรหันต์ปรินิพพานในชาติที่ ๗ หมายถึงเกิดในภพภูมิสูงขึ้นไป จนถึงพรหมโลก

* พระที่มีอัตฐิเป็นพระธาตุนั้น คืออรหันต์แน่นอนใช่ไหมครับ เช่นหลวงปู่มั่นเป็นต้น(ผมไม่แน่ใจชื่อนัก)
- ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า เป็นพระธาตุต่าง ๆ น่าจะอยู่ที่การอธิษฐานก่อนปรินิพพาน การที่บุคคลจะเป็นอรหันต์หรือไม่ ผู้ที่ทราบได้ก็คือผู้เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน

* ภิกษุที่ฆ่าตัวตาย แล้วได้อรหันต์ก่อนตายได้จริงไหมครับ
- มี พระโคธิกเถระ

* อยากทราบจุดมุ่งหมายของพระคุณเจ้า หลังการศึกษาภาคปริยัติ พระคุณเจ้าจะมุ่งแสวงหามรรคผล อันมีโสดาบันเป็นต้นเป็นอย่างน้อยในชาตินี้ไหมครับ โดยผมก็ไม่ทราบและไม่กล้าถามว่าพระคุณเจ้าได้ธรรมใดอยู่ปัจจุบัน แต่อยากทราบจุดมุ่งหมายของพระคุณเจ้าในเส้นทางพระศาสนาต่อไปครับ
- ที่อาตมาภาพเรียนธรรมวินัยในขณะนี้ ตอนแรกเห็นว่า ธรรมเป็นของละเอียด ถ้าไม่สละทางโลก ยากจะเรียนได้เข้าใจ จึงเข้าโบสถ์กราบพระประธาน อธิษฐานว่า
ข้าพเจ้า ขอสละชีวิตนี้ให้แก่พระพุทธศาสนา ถ้าข้าพเจ้าถอยจากพระพุทธศาสนาเมื่อไร ขอให้พินาศ อย่าได้มีความเจริญเลย 3 ครั้ง หลังจากนั้น ก็เลยเห็นว่า ธรรมะ เป็นของประเสริฐ ควรแก่การศึกษา ควรแก่การทรงไว้ ควรแก่การรักษาไว้ ควรแก่การยกย่อง จึงพยายามศึกษาและแสดงธรรมตามลำดับของครูบาอาจารย์ แสดงนอกจากนี้ไม่ได้ เป็นอันมีเรื่องเดือดร้อนทันที หยุดศึกษาไม่ได้เลย ต้องศึกษและรักษาปริยัติธรรมให้คงอยู่ แล้วก็เกิดความรักในสัทธรรม ต่อมาก็พบว่า สิ่งที่กระทำไม่ได้ส่งไปสู่ฐานะอันธรรมดา เส้นทางที่จะเป็นไปในพระพุทธศาสนา จึงยาวไกลมาก แต่ที่แน่ ๆ ก็คือได้กระทำบุญใหญ่ในพระพุทธศาสนาและปลูกอัชฌาสัยรักในสัทธรรมเสียแล้ว ถอยและถอนไม่ได้

เจริญพร




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2551
7 comments
Last Update : 16 ธันวาคม 2551 8:13:15 น.
Counter : 1380 Pageviews.

 

ในคอมพิวเตอร์ของผมมีแต่ของปลอม และ Hack หรือ Crack ทั้งนั้นผิดศีลหรือเปล่าครับ

ผมยังเคยเจอพระไปหาซื้อแผ่นโปรแกรมผี มันผิดหรือเปล่าครับ

ผมต้องทำอย่างไรครับ ช่วยแนะนำด้วยครับ ยังอยากใช้คอมพิวเตอร์อยู่ แต่จะให้ซื้อท้งหมดคงไม่ไหว

 

โดย: jk IP: 58.147.33.218 2 มกราคม 2552 15:35:44 น.  

 

ไม่รู้ว่าหนูมีกรรมอะไร หนูถูกใส่ร้ายว่าขโมยโทรศัพย์ของเพื่อนไป หนูนั่งโต๊ะนั้นก็จริงแต่หนูไม่ได้เอาไปหนูนอนอยู่ และโทรศัพย์ของเพื่อนก็หายบ่อยมาก หนูรู้ว่ามีขโมยในห้องแต้เพื่อนๆคิดว่าหนูเป็นคนขโมย หนูจะทำอย่างไรดีค่ะ บางครั้งหนูก็โดนด่าแบบแควะๆหนู หนูเครียดมากเพราะหนูไม่เคยขโยพ่อแม่หนูสอนมาไม่เคยให้ขโมยของของใคร

 

โดย: เมย์ IP: 112.142.40.167 31 มกราคม 2553 9:46:00 น.  

 

อยากรู้ว่าถ้าคนเราตายเอาอะไรไปไม่ใช้ไหมคับ เงิน ทอง ชื่อเสียง บ้าน รถยนต์ ก็เอาไปด้วยไม่ได้ แต่ความรู้แหละครับเอาไปได้ไหมคับตอนที่เราตายไปแล้วอ่ะ

 

โดย: ต้อด IP: 183.89.97.34 25 ตุลาคม 2553 20:20:49 น.  

 

ก็แล้วความรู้จากชาติที่แล้ว ติดตัวเรามาถึงชาตินี้บ้างหรือเปล่าหละครับ

 

โดย: สมภพ เจ้าเก่า 26 ตุลาคม 2553 9:25:23 น.  

 

มีอดีตเณร จบธรรมตรีบอกผมว่า เมื่อถึงยุคพระศรีอารยมนุษยทุกคนจะนิพพาน ทั้งหมด อย่าบวชเลย ขอพระคุณเจ้าโปรดเป็นแสงเทียนด้วยเถิด

 

โดย: อนันต์ บูญฮุย IP: 110.169.204.139 26 กุมภาพันธ์ 2555 21:19:56 น.  

 

อย่าเชื่อจินตนาการแต่งนิยายมากครับ

 

โดย: สมภพ เจ้าเก่า 27 กุมภาพันธ์ 2555 9:31:55 น.  

 

พระอาจารย์กรีฑา ท่านจะมาแสดงธรรมที่พุทธมณฑล
ณ อาคารปฏิบ้ติธรรมหลังใหม่ (สีเขียว)
ถนนหลังพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
เวลา 11.30 น.
วันที่ 15 มิถุนายน 2556
สอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณจ๋า 089 254 6229

 

โดย: สุภลักษณ์ วิรักษา IP: 58.181.146.162 14 มิถุนายน 2556 16:40:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สมภพ เจ้าเก่า
Location :
นครราชสีมา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




รูปภาพทั้งหมดในนี้ สามารถนำไปใช้ได้ฟรีนะครับ แต่ไม่ควรลบสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของในรูปออกไป รูปใดไม่มีสัญลักษณ์ อยากให้ช่วยอ้างอิง จาก sompop.bloggang.com ด้วยครับ
Blog ล่าสุด
* สัมภาษณ์เทวดาในพระแก้วมรกต 18 มิ.ย. 60
* การสำรวจหินลอยได้ที่เขาคิชฌกูฏ 3 มี.ค. 60
* บทสัมภาษณ์เจ้าพ่อหลักเมือง กทม. 16 ธ.ค. 59
เรื่องเล่าบอกต่อ
* บั้งไฟพญานาค ถ่ายจากโดรนมุมสูง
* เชิญโหลด 7 ภาพยนต์เฉลิมพระเกียรติ
* เช็คอันดับ Blog ของคุณกับ truehits
Blog แนะนำ
* บทสัมภาษณ์เจ้าพ่อหลักเมืองกรุงเทพฯ 19 ก.ย. 57
* ยานพาหนะที่แล่นตามและทวนน้ำได้โดยไม่ใช้พลังงานอื่น
* ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ปี 2012
New Comments
Friends' blogs
[Add สมภพ เจ้าเก่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.