ธรรมดาคือธรรมดาที่แสนจะธรรมดา ธรรมดาคือธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา ธรรมชาติคือธรรมดา ที่แสนจะธรรมดาและยิ่งกว่าธรรมดา
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2551
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
11 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
เมื่อยามฝนพรำ

ฝนตกลงมาได้สักสองสามวัน น้ำฝนก็จะขังเจิงนองในท้องนา มองไปทางไหนก็ขาวพรึบพรับไปหมด ชาวนายังไม่เริ่มทำนาหรอกนะ ก็ฝนเพิ่งตกนี่ แต่ภาระกิจที่สำคัญตอนนี้คือการออกไปหาปูหาปลามากินกัน

สมัยเด็กๆ ผู้เขียนอยู่กับตายายแถวอยุธยา แน่นอนว่าได้ซึมซับรับเอาวิถีชีวิตของชาวชนบทมาเยอะแยะมากมายเลยเชียวล่ะ ช่วงวันหยุดก็จะหิ้วตะข้องวิ่งออกไปหาปูหาปลาท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำๆ นั่นแหละ

ฝนตก เปียกฝน ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ มีหมวกสักใบพร้อมตะข้องคู่ใจ ก็วิ่งแข่งกันออกไปกับพี่ๆน้องๆ ลุยไปกลางทุ่งนาโน้น ถึงมีหมวกก็กันฝนไม่ได้หรอก ที่เอาไปด้วยเพราะขัดพ่อใหญ่แม่ใหญ่ไม่ได้ (ก็ตากะยายนั่นแหละ)เอาติดไปงั้นเอง เพื่อจะได้วิ่งเล่นกลางฝนได้แบบมีข้ออ้าง สุดท้ายก็เปียกโชกทุกวันแหละ



ถ้าเป็นเรื่องฟ้าฝ่าฟ้าร้องก็ไม่ค่อยกลัว เพราะในช่วงกลางวันที่ฝนตกพรำๆ ไม่เคยมีอะไรรุนแรง เรื่องของเด็กๆ ขอให้สนุกไว้ก่อนเป็นใช้ได้ เรื่องหวัดเรื่องไข้ไม่ต้องกลัวหัวมันแข็ง...ว่าเข้านั่น

ขณะที่ฝนพรำไม่ค่อยมีแดด หรือบ้างครั้งก็มีแดดบ้าง ที่เรียกว่าฝนตกแดดออกนั่นแหละ แสงแดดที่ส่องทะลุกลุ่มเมฆลงมาปะทะกับเม็ดฝนก็ดูสวยงามไปอีกแบบ

พวกเราจะพากันเดินท่องน้ำไปตามท้องนา พวกหอยปูปลาก็จะพากันเดินขบวนออกมาหาอาหาร เราก็ถือโอกาสจับมันมาเป็นอาหารซะเลย บางคนจับปูไม่เป็นก็โดนหนีบ ผู้เขียนก็เคยบ่อยๆ ขนาดจับเป็นแล้วนะ ไม่แคล้วพลาดท่า โดนหนีบให้เจ็บมือ ปูน้อยหนีบมือ อื้อ หือ อือ....ก็ว่ากันไป



บรรดาลูกหอยโข่งขนาดตั้งแต่หัวแม่โป้งก็จะโดนจับหย่อนลงตะข้องไปตามระเบียบ ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็จะหิ้วตะข้องที่เพียบแปล้ไปด้วยหอยด้วยปู บางทีก็มีปลาบ้าง ตอนกลางวันปลาไม่ค่อยออกมาให้เห็นกันง่ายๆ หรอก ถึงออกมาให้เห็นก็จับได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะพวกเราไม่มีเครื่องมือในการจับปลา มีแต่สองมือเล็กๆ นี่แหละ

พอกลับถึงบ้านแม่ใหญ่จะเอาหอยเอาปูที่จับได้มาทำกับข้าวให้พวกเรากิน เรามาเริ่มกันที่เมนูปูกันก่อนเลยนะ ถ้าต้องการความคล่องคอก็ต้องต้มยำปูนารสเด็ด ขั้นแรกตั้งหม้อน้ำ ทุบหอมแดง ข่า ตะไคร้ ใบมะกูด เกลือเล็กน้อย ใส่ลงในหม้อ ต้มจนเดือด แกะเปลือกใต้ท้องปูทิ้งไป ฉีกแยกกระดอกกับตัวปูออก แล้วเอาลงหม้อทั้งหมด ต้องการกินมากกินน้อยก็ประมาณเอานะ แล้วใส่ข้าวสารลงไปหน่อยหนึ่ง เขาเรียกกันว่าข้าวเบือ เพื่อดูว่าอาหารนั้นมีผิดหรือไม่ ถ้ามีพิษข้าวสารที่ใส่ลงไปจะมีสีดำ (ที่นี่ไม่ว่าจะทำอาหารอะไร ก็มักจะใส่ข้าวเบือ เพื่อจะตรวจสอบก่อนเสมอ) ถ้ามีใบมะขามอ่อนก็ใส่ลงไปเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยว หรือจะใส่ยอดกระเจี๊ยบแดงก็จะได้รสเปรี้ยวไปอีกแบบ หรือถ้าไม่มีก็ใช้มะขามสดสัก 3-4ฝัก ทุบพอแตก แล้วหย่อนลงหม้อต้มไปเลย แต่จะต้องค่อยระวังให้ดี เพราะเมื่อสุก เนื้อมะขามจะละลายออกมาปนกับน้ำต้มยำ ความเปรี้ยวจะออกมามาก ต้องคอยตักเอาออก เรื่องมะนาวไม่ต้องถามถ้าเป็นประเภทแกงประเภทต้มจะไม่ใส่มะนาว ใส่น้ำปลาเพิ่มถ้ายังไม่เค็ม ทุบพริกขี้หนูสดใส่ลงไปอีกหน่อย หรือจะใส่พริกผงคั่วตอนตักใส่ชามก็ได้รสชาติเป็นอีกแบบหนึ่ง อ้อ...อย่าลืมต้นหอมผักชีริมรั้ว เอามาล้างแล้วหั่นเป็นท่อนๆ ใส่หม้อลงไปด้วย เพื่อเพิ่มความหอมน่ากินเข้าไปอีก



ถ้าวันไหนหาปูได้มาก กินไม่ทันก็จะเอามาดอง ปูนาดองนี่อร่อยมากเลยนะ ยิ่งโดยเฉพาะมันปู แกะเอาแต่มันใส่ในข้าวสวยร้อนๆ บีบมะนาว ซอยหอมแดงกับพริกขี้หนูใส่ลงไป คลุกๆให้เข้ากับข้าวสวย กินแกล้มกับยอดกระถิ่น ถั่วฝักยาวริมรั้ว มะเขือเปาะหลังบ้าน ก็สุดยอดไปเลย แหม...คิดถึงแล้วน้ำลายจะไหลซะให้ได้

เอาปูอีกสักรายการก็แล้วกัน ฉีกเอากระดองออกทิ้งไป แล้วเอาตัวปูไปชุบแป้ง จากนั้นเอาลงกะทะทอดให้เหลืองกรอบ ทำน้ำจิ้ม เอาพริกขี้หนูโขลกกับกระเทียม ใส่มะนาว น้ำปลา น้ำตาลทรายนิดหน่อย จิ้มกับปูทอดกรอบแสนจะเลิศรส

หรือใครจะสนใจส้มตำปูก็บอกมาได้เลย ส้มตำนี้ไม่มีมะละกอนะ วิธีการ เอาหอมแดง กระเทียม พริกขี้หนู มะขามสด โขลกรวมกันให้ละเอียด แล้วแกะเอาแต่ตัวปูโขลกให้แหลกเท่าที่จะทำได้นะ แล้วเอามาผสมกับพริกที่โขลกไว้ เติมน้ำปลา น้ำตาลทรายนิดหน่อยเพื่อตัดรส บางคนก็กินกันสดๆ เลยนะ หรือถ้าชอบแบบสุกๆ เหมือนผู้เขียน ก็เอาส่วนผสมที่ได้ทั้งหมดลงคั่วในกะทะสักหน่อย พอสุกก็ใช้ได้ กินกับผักแทนน้ำพริกได้เลย

หรือใครสนใจน้ำยาปูก็บอกนะ ทำเหมือนนำยากะทิ แต่ไม่ใส่กะทิ เครื่องปรุงเหมือนทำน้ำยาแต่ไม่ใช้เนื้อปลา วิธีการคือเอาปูที่ฉีกเอากระดองออก มาโขลกเฉพาะตัวปูให้ละเอียดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วเอาปูที่โขลกแล้วมาผสมกับน้ำสะอาด แล้วเอากระชอนกรองเอาแต่น้ำ เนื้อปูที่ตำไว้จะลายลงมาในน้ำ จากนั้นก็เอาน้ำปูที่ได้ขึ้นตั้งไฟ พอเดือดใส่เครื่องแกงเผ็ด ใส่น้ำปลาปรุงรส เพิ่มต้นหอมผักชีผักสวนครัว แค่นี้ก็ไปหาขนมจีนมากินกับน้ำยาปูได้แล้ว หรือจะเปลี่ยนจากพริกแกงเผ็ดเป้นพริกแกงส้ม เอาผักที่ใช้ทำแกงส้มมาใส่ เติมน้ำมะขามเปียก ก็ได้แกงส้มน้ำปูรสอร่อยอีกอย่าง



มีปูขึ้นโต๊ะมาเยอะแล้ว คราวนี้มาดูที่หอยกันบ้าง เท่าที่จำได้ก็หอยโข่งต้ม จิ้มน้ำจิ้มเปรี้ยวเค็มเผ็ด เอาไม้ไผ่เหลาปลายแหลมเสียบๆ จิ้มๆ กันสนุก แถมอร่อย แงะฝาหอยกันเพลินเลย แต่ขอบอกเคล็ดไว้นิดหนึ่งก่อนเอาหอยมาต้มต้องรอให้มันคายดินออกมาก่อน วิธีเร่งการคายดินก็คือทุบพริกขี้หนูสักกำมือใส่ลงไปในน้ำที่ใช้แช่หอย มันก็คงเผ็ดเลยอ้าปากให้น้ำไหลผ่าน ดินก็ไหลออกมาด้วย เวลาต้มก็โยนตะไคร้พันๆ ม้วนๆทั้งใบลงไปในหม้อ กรณีนี้รากไม่เกี่ยวนะ ใส่เกลือลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อลดความคาว

หรือใครสนใจทำยำหอยโข่ง ก็เอาเนื้อหอยโข่งต้มมาซอยหยาบๆ โขลกหอมเผากระเทียมเผาใส่พริกผงตำให้แหลก แล้วเอาเนื้อหอยลงไปคลุก เติมน้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลนิดหนึ่ง ข่าตะไคร้ใบมะกูดซอย โรยใบสะระแหน่ แค่นี้ก็ได้ยำรสเด็ดสะระตี่แล้ว แม่ใหญ่ชอบใส่มะพร้าวคั่ว ใครๆก็บอกว่ามันมันดี แต่ผู้เขียนไม่ชอบเลยต้องแอบขะยักส่วนที่ยังไม่ใส่มะพร้าวไว้ทุกที หรือจะเอาหอยต้มมาผัดพริกแกงก็ได้รสชาติไปอีกแบบหนึ่งนะ

พูดถึงหอยกันมามากแล้ว มาดูเมนูปลากันบ้าง ผู้เขียนยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ก็เลยจับปลาไม่ค่อยได้ ส่วนพวกเด็กผู้ชายที่โตแล้วและพวกผู้ใหญ่ เขาจะออกหาปลากันในเวลากลางคืน คือจะมีสปอร์ตไลท์คาดไว้ที่หน้าผาก เอาไว้ส่องกบส่องปลา บางคนก็จะถือมีด บางพวกก็ถือฉมวก ออกเดินท่องน้ำยามราตรี สายตาก็สอดส่องหาเหยื่อ เหยื่อที่ต้องการเป็นกบเป็นปลาทุกชนิด ไม่ว่าจะปลาหมอไทย ปลาช่อน ปลาดุก ปลาตะเพียน ปลาหลาด ปลาหยด ปลาไหล แล้วแต่จะเจอปลาอะไรก็เอาหมด



สักตีสองตีสามก็จะกลับเข้าบ้าน พร้อมตะข้องหนักอื้งที่เต็มไปด้วยกบด้วยปลา กบที่ได้มาก็จะกลายเป็นยำกบ ต้มย้ำกบ กบย่าง แล้วแต่จะทำกัน ส่วนปลาก็ทำได้อย่างที่เรารู้ๆ กันคือ ต้มยำ ทอด ผัดเผ็ด หรือจะเอาเก็บไว้กินนานๆ ก็ทำปลากรอบปลาย่าง คือเอาปลาไปย่างแล้วเอาไปตากแห้งก็จะเก็บไว้กินได้นาน หรือจะทำปลาร้า ปลาส้ม ปลาจ่อมกุ้งจ่อม ก็จะเก็บได้นานขึ้นไปอีก และถ้ามากๆจนทำทุกอย่างแล้วก็ยังไม่หมดสักที ก็อาจจะเอามาทำน้ำปลา เรียกกันว่าน้ำปลาเกรอะ

อาหารหลักที่ขาดไม่ได้เลยคือน้ำพริก ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกปลาสด คือเอาปลาสดมาต้มแกะเอาแต่เนื้อปลามาทำน้ำพริก หรือน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกกะปิ สารพัดน้ำพริก แล้วก็หาผักริมรั้วมาจิ้ม ไม่ว่าจะเป็นยอดแค ดอกแค ขี้เหล็ก สะเดา ชะอม กระถิ่น ตำลึง ผักปรัง ถั่วฝักยาว ยอดฟักทอง ดอกฟักทอง ยอดบวบ แล้วแต่ว่าเราจะมีอะไรอยู่ริมขอบรั้วบ้าง หรือจะไปหาผักในท้องนาเอามาจิ้มพริกก็ได้

ในนามีผักอะไรที่กินได้บ้าง คนที่เติบโตในกรุงเทพฯ คงไม่ค่อยรู้กันหรอก เราลงลุยในท้องนากันดีกว่า ผักในท้องนามีมากมายหลายชนิดที่กินได้ เอาที่จำได้ก็แล้วกันนะ เพราะเรื่องมันนานมาแล้ว เช่นผักบุ้งขาวผักบุ้งแดงที่เรารู้จักก็เต็มไปด้วยวิตามินเอ



บัวสายดอกสีแดงที่มักจะขึ้นกลางบ่อน้ำในนาก็นำมากินได้ จะเอามาต้มกะทิกับมะดันสดก็อร่อย หรือจะทำแกงส้มก็เด็ด เอาสายบัวสดมาจิ้มกับน้ำพริกก็อร่อย หรือจะต้มใส่ใบมะขามอ่อนจิ้มน้ำพริกก็ได้อร่อยไปอีกรส

พวกบัวเล็กดอกสีม่วงบ้าง ดอกสีขาวบ้าง ชมพูบ้าง ดอกขนาดเท่าหัวแม่มือนั่นแหละ ก็กินได้เหมือนกัน ใบบัวอ่อนที่ยังม้วนอยู่ก็นำมาจิ้มพริกได้

เดินไปอีกหน่อยก็จะมีผักแว่น ลักษณะยอดสุดก็จะเป็นปุ่มม้วนเหมือนหนวดผีเสื้อ จะทอดยอดเลื้อยไปตามดินใต้น้ำตื้นๆ ใบมีลักษณะกลมเป็นสี่แฉกรสจืดๆมันๆ

จากผักแว่นก็จะมาเจอผักอีกชนิดหนึ่งที่ขึ้นในน้ำ ใบจะมีสีเขียวอมน้ำตาลแดง ลักษณะใบจะกรอบ ดูๆ ไปคล้ายสาหร่ายทะเล หรือคล้ายใบผักกาด รสชาติก็จืดๆ เย็นๆ กรอบๆ ผักชนิดนี้เรียกว่าสันตะวา

ผักอีกชนิดที่ทอดยอดสีเขียมอมน้ำตาลลอยอยู่เหนือน้ำ มีนมคล้ายผักกระเฉด แต่นมนี้จะไม่หุ้มลำต้น แต่จะห้อยเป็นพวงออกมาระหว่างข้อใบ รสชาติฝาดเฝื่อนเล็กน้อย ก็คือแพงพวยหรือบางคนเรียกพังพวยหรือผักปอดน้ำ



หันไปอีกทางก็เจอผักโป่งหรือที่รู้จักกันว่าผักตบชวา ใช่เลยที่ลอยอยู่ตามแม่น้ำเจ้าพระยานั่นแหละ แต่ในทุ่งนาบ้านนอกกินได้ ทั้งช่อดอก ทั้งยอดอ่อนที่มีสายทอดออกจากกอแม่ นำมาต้มกินกับน้ำพริกจะมีรสหวาน

ตามนาที่ชื้นแฉะก็จะมีใบบัวบก ใบกลมๆ ลำต้นอวบน้ำ รสซ่าเผ็ดนิดๆ และยังมีอีกหลายผัก แต่จำไม่ได้แล้ว ที่ไม่ค่อยรู้จักก็มีอีกเยอะ กินเป็นอย่างเดียว



อยู่ต่างจังหวัดไม่ต้องกลัวแคลอรี่จะสูงเกิน เพราะอาหารหลักจะเป็นประเภทน้ำพริกผัก และสัตว์น้ำซะเป็นส่วนมาก และวิธีการทำก็มากมายไม่ซ้ำกัน กินได้ไม่เบื่อ แถมบรรยากาศยังสบายๆ ไม่ต้องมีปัญหาอะไรให้มาหนักใจกลุ้มใจ ทุกคนจึงยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจให้กัน บ้านไหนทำแกงอะไร ทำกับข้าวอะไร ก็หิวไปแบ่งกันกินแบ่งกันชิม ความผูกพันธ์จึงมีมากกว่าคนในกรุง นี่เป็นเหตุการณ์เกือบ 30 กว่าปีมาแล้วนะ แต่สมัยนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปหมด แต่ก็ยังเหลือบรรยากาศเก่าๆบ้าง พอให้ได้รู้วิถีการดำเนินชีวิตสมัยก่อนอยู่ แม้ไม่ค่อยเหมือนเดิมนัก แต่ก็ยังมีกลิ่นไอของความสดชื่นของธรรมชาติให้พอได้เป็นกำลังใจ คลายเหนื่อย

ถ้าใครเหนื่อย เบื่อกับงาน ระอากับคน เซ็งกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ลองหาโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศบ้างนะ แล้วจะทำให้มองโลกสดใสขึ้นอีกเยอะ มีแรงกลับมาทำงานได้กระฉับกระเฉงอีกครั้งแน่นอน

...2000...





Create Date : 11 ธันวาคม 2551
Last Update : 17 มกราคม 2552 16:29:45 น. 0 comments
Counter : 1875 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ไอฟ้า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ธรรมชาติคือความสวยงาม
ธรรมชาติคือความเรียบง่าย
ธรรมชาติคือความสุข
ธรรมชาติคือความรัก
...แค่เราเปิดใจให้ธรรมชาติ
เราก็จะรับรู้และซึมซับ
ความสวยงามที่เรียบง่าย
ที่ส่งมอบความรักให้เราตลอดไป
...ธรรมชาติ
Friends' blogs
[Add ไอฟ้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.