~ ♡♥ คลอดลูกแล้วยังได้บุญ คุณเองก็ทำได้ ♡♥~
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆคงจะงงว่า คลอดลูกแล้วได้บุญอย่างไร ได้แน่นอนค่ะถ้าคุณได้ทำการบริจาค STEM CELLS (เซลล์ต้นกำเนิด) จาก CORD BLOOD นั่นเอง
อยู่ที่เมืองไทยคุณก็บริจาคได้ค่ะ แพทอยู่ที่อเมริกา แพทได้บริจาคให้สาธารณะชนค่ะ ไม่ได้เก็บไว้ให้ครอบครัวตนเอง เพราะแพทคิดว่าโอกาสที่จะได้ใช้น้อย คุณหมอเองก็แนะนำให้บริจาคให้สารธารณะชนด้วยค่ะ ถ้าประวัติการเจ็บป่วยของครอบครัวไม่มีอะไรที่ร้ายแรง
แพทอยากที่จะช่วยคนที่เค้าต้องการจริงๆ เพื่อช่วยชีวิตพวกเค้าให้มีชีวิตอยู่รอด ดีกว่าทิ้งลงขยะไปเสียไม่ก่อให้เกิด ปย อันใดค่ะ
นึกถึงที่ได้บริจาคทีไร ทำให้ใจอิ่มเอมทุกครั้งไปค่ะ เพราะเราได้ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ในชีวิตของแพทก็คงบริจาคได้เพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นค่ะ เนื่องจากแพทจะมีลูกแค่ 2 คน อิอิ
อย่างไรก็ตามแพทอยากให้เพื่อนๆที่มีโอกาสจะมีลูก เก็บไว้พิจารณาด้วยนะคะ
เรามาทำความรู้จักกับ Umbilical Cord Blood Stem Cells กันดีกว่านะคะ
อาจจะยาวสักนิดนึง แต่แพทคิดว่ามันเป็น ปย มากๆ และได้ความรู้ด้วยค่ะ ที่สำคัญ ยังได้บุญมหาศาลอีกด้วย
สิ่งที่น่ารู้เกี่ยวกับสเตมเซลล์จากเลือดสายสะดือ (Umbilical Cord Blood Stem Cells) คืออะไร ?
สายสะดือ (Umbilical Cord) เป็นส่วนสำคัญต่อการเชื่อมโยงระหว่างทารกในครรภ์กับมารดา ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนสารอาหารและของเสียผ่านทางสายสะดือนี้จนกว่าทารกจะคลอดออกมา
นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งสำคัญของเซลล์ต้นกำเนิดบางชนิดที่เรียกว่าสเตมเซลล์ (Stem cells) ซึ่งมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนเป็นเซลล์อื่นๆ ได้โดยเซลล์ที่พบในสายสะดือนี้จะเปลี่ยนเป็น
เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cells) มีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนให้แก่ร่างกาย
เซลล์เม็ดเลือดขาว (Write Blood Cells) มีหน้าที่เป็นภูมิต้านทานเชื้อโรค
เกร็ดเลือด (Platelets) มีหน้าที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดในกรณีที่มีบาดแผล
ปัจจุบันวงการแพทย์สามารถนำสเตมเซลล์ไปรักษาโรคซึ่งรวมถึงโรคมะเร็งต่างๆ โรคไขกระดูกฝ่อ โรคโลหิตจางแบบธาลาสซีเมียที่พบมากในคนไทย การรักษาด้วสเตมเซลล์เป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่เป็นที่สนใจ และมีงานวิจัยใหม่ๆ ออกมาอย่างมากจนเป็นที่คาดหมายว่าการักษาโรคด้วย Stem cells Therapy จะเปลี่ยนเป็นการรักษาโรคแบบเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง
นอกเหนือจากนั้นอาจสามารถนำไปใช้ในการปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนอวัยวะที่เสียหายในร่างกายได้ในอนาคต อาทิ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคสมองเสื่อม
ประโยชน์ที่ได้รับจาก Stem Cells
การปลูกถ่ายโดยการใช้ Stem Cells สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ดังนี้
มะเร็งในเม็ดเลือด เช่น Leukemia และ Lymphoma
โรคโลหิตเนื่องจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เช่น Thalassemia และ Sickle cell anemia
โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบเมตาโบลิซึม
ภาวะภูมิคุ้มกันโรคต่อต้านตนเอง (Autoimmuneb diseases)
โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency ailments)
ความผิดปกติของหัวใจ
อาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
อย่างไรก็ดี ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ สเตมเซลล์นั้นต้องสามารถเข้ากันได้ระหว่างผู้ป่วยและผู้บริจาค อีกทั้งต้องมีจำนวนมากเพียงพอสำหรับการปลูกถ่ายด้วย จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ไม่พบผู้ป่วยที่ได้ประโยชน์
จากการรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเตมเซลล์ในประเทศไทยมากนัก ทั้งที่วิธีรักษาดังกล่าวสามารถทำได้ในโรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้การที่มีทางเลือกในการรักษาสเตมเซลล์ของเราเองไว้สำหรับไว้ใช้ในอนาคต จึงเป็นทางเลือกที่ได้ประโยชน์กับเจ้าของสเตมเซลล์เป็นอย่างมาก
การปลูกถ่ายสเตมเซลล์ทำได้อย่างไร
การรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเตมเซลล์ (Stem Cells Transplant) คือตัวอย่างหนึ่งของการบำบัดโรคโดยใช้สเตมเซลล์ โดยการนำสเตมเซลล์ของตัวเอง ที่เก็บไว้หรือของผู้บริจาคที่ปกติ ฉีดเข้าระบบไหลเวียนโลหิตแก่ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการสร้างเซลล์เม็ดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือผู้ป่วยหลังการรักษามะเร็งด้วยการให้เคมีบำบัดหรือฉายแสง จนทำให้สเตมเซลล์ของผู้ป่วยเสียหายหรือตายไปด้วย
เมื่อสเตมเซลล์ถูกฉีดเข้ากับร่างกาย จะฝังตัวในไขกระดูกของผู้ป่วยและเริ่มกระบวนการแบ่งตัว และกลับกลายเป็นเซลล์เม็ดเลือดที่จำเป็นทั้งสามชนิดในตัวผู้ป่วย จนระดับเซลล์เหล่านั้นกลับเข้าสู่ภาวะปกติหรือหายจากโรคดังกล่าว เทคนิคดังกล่าวได้เริ่มในการรักษาเป็นครั้งแรกในผู้ป่วยเด็กอายุ 5 ขวบ ที่ป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Fanconl Anemla ที่ทำให้เกิดโรคซีดรุนแรงเมื่อเกือบยี่สอบปีก่อน
ซึ่งผลการรักษาดังกล่าวได้เปลี่ยนโฉมวงการแพทย์ในการใช้สเตมเซลล์จากเลือดสายสะดือ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทิ้งไปกับสายสะดือและรก จนปัจจุบันมีผู้ป่วยทั่วโลกมากกว่าสามพันคนที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้
สเตมเซลล์สามารถพบได้ที่ใดบ้าง
นอกจากเลือดในสายสะดือ (Umbilical Cord Blood) แล้วสเตมเซลล์สามารถพบในส่วนต่างๆ ของร่างกายผู้ใหญ่ได้ในปริมาณน้อย เช่น
ไขกระดูก (Bone marrow) ปกติในไขกระดูกสามารถพบที่สเตมเซลล์ได้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นที่มาของการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิธีดั้งเดิมของการปลูกถ่ายสเตมเซลล์
เลือด (Peripheral blood)เราสามารถพบสเตมเซลล์ได้จากเลือดที่เจาะออกมาจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย วิธีนี้เป็นวิธีหลักในการเก็บสเตมเซลล์ในผู้ใหญ่ ซึ่งต้องใช้เลือดในปริมาณที่มากพอที่จะสกัดได้สเตมเซลล์ในจำนวนที่ต้องการ
เนื้อเยื่ออื่นๆ ดังเช่น เนื้อเยื่อไขมัน (Adipose tissue) ผิวหนัง (Epithelial) น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาหรือแม้กระทั่งเส้นผมก็พบสเตมเซลล์ได้เช่นกัน แต่มีจำนวนน้อยและยังอยู่ในระดับงานวิจัยเท่านั้น
ความแตกต่างที่สำคัญของการเก็บสเตมเซลล์จากส่วนต่างๆ ของร่างกายคือ การเก็บสเตมเซลล์จากเลือดสายสะดือสามารถทำได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต คือ เมื่อเกิดการคลอดเท่านั้น เพราะต้องนำสายสะดือและรกทิ้งไป ขณะที่การเก็บจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายสามารถทำได้หลายครั้ง
การปลูกถ่ายสเตมเซลล์ โดยใช้เซลล์ของเราเองดีกว่าอย่างไร ?
การปลูกถ่ายสเตมเซลล์ด้วยเซลล์ของเราเองมีข้อดีอย่างมากเหนือกว่าวิธีเดิมที่นำสเตมเซลล์ที่ได้มาจากผู้บริจาคหรือการปลูกถ่ายไขกระดูกเดิมดังนี้
ปราศจากภาวะการปฏิเสธเนื้อเยื่อ (Graft vs Host Disease GvHD) ซึ่งโรคดังกล่าวเกิดจากการไม่เข้กันของเซลล์ระหว่างผู้บริจาคและผู้ป่วยอาการของโรคดักล่าวอาจรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ และยากที่จะหลีกเลี่ยง แม้จะเป็นผู้บริจาคที่ตรวจความเข้ากันได้ในเบื้องต้นแล้วว่ามีความเข้ากันได้สูงกับผู้ป่วยก็ตาม
มีผลข้างเคียงอื่นๆ จากการปลูกถ่ายน้อยกว่า เช่น ภาวะเลือดออกในสมอง (Cerebral Hemorrhage) ซึ่งอาจเกิดจากความสดใหม่ของสเตมเซลล์ในทารกมมากกว่าเมื่อเทียบกับสเตมเซลล์ที่พบในผู้ใหญ่ จึงเกิดภาวะนี้น้อยกว่า
ไม่เกิดความเสี่ยงกับผู้บริจาคในขั้นตอนการจัดเก็บ ผู้บริจาค (โดยมากมักเป็นญาติ) อาจต้องมีความเสี่ยงจากการจัดเก็บสเตมเซลล์จากไขกระดูกบางรายอาจต้องวางยาสลบซึ่งเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนและการติดเชื้อ ขณะที่การจัดเก็บ Stem Cells จากสายสะดือคือไม่มีความเสี่ยงใดๆ ต่อมารดาและทารก
โอกาสเกิดการติดเชื้อที่แพร่กระจายจากการให้เลือดต่ำกว่ามีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการตรวจหาสเตมเซลล์จากผู้บริจาค ที่เข้ากับเราได้นั้นมีราคาแพง
ไม่ต้องเสี่ยงต่อการรอคอยผู้บริจาคเป็นเวลานาน การรอคอยผู้บริจาคที่มียีนที่เข้ากันได้กับผู้ป่วยไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งอาจรอนานเกินกว่าผู้ที่ป่วยจะรอไหวและทำให้เสียชีวิตไป่อนเมื่อโรคลุกลาม โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยมีเชื้อชาติที่พบได้น้อยหรือเป็นลูกครึ่ง อย่างไรก็ดีการปลูกถ่ายสเตมเซลล์ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน เพราะมักเก็บเลือดมาไดจำนวนน้อยทำให้มี Cord Blood Stem Cells ในปริมาณที่ไม่มากพอสำหรับการรักษาผู้ป่วยเด็กโต
ปัจจุบันจึงมีความพยายามในการเพิ่มปริมาณของ Stem cells เพื่อสามรถใช้ได้หลายครั้งและกว้างขวางมากขึ้น การเก็บรักษา Cord Blood Stem Cells เพื่อนำไปใช้ในอนาคตได้หรือไม่ ?
หลังจากทารกคลอดออกมา แพทย์จะทำการตัดสายสะดือและส่งทารกให้กุมารแพทย์นำไปดูแลต่อ เราจะเจาะเลือดจากสายสะดือในขั้นตอนนี้ ใส่ในชุดเก็บที่บริษัทจัดเตรียมมาให้ ซึ่งจะได้เลือดจากสายสะดือมาประมาณ 30 - 100 ซีซี. ซึ่งกระบวนการดังกล่าวไม่ก่อให่เกิดความเจ็บปวดหรืออันตรายแต่อย่างใดกับทั้งมารดาและทารก
อีกทั้งใช้เวลาเพียงประมาณสามนาที หลังจากนั้นนำเลือดที่ได้ไปตรวจคัดกรองการติดเชื้อต่างๆ สกัดหาสเตมเซลล์และเข้ากระบวนการแช่แข็งภายใต้อุณหภูมิ 196 องศาเซลเซียส เพื่อรอเวลาถูกนำไปใช้ในอนาคต
โดยปกติสามารถจัดเก็บเซลล์ต่างๆ ด้วยวิธีดังกล่าวได้เป็นเวลาหลายปี (มากกว่า 15 ปี) ก่อนนำไปใช้ โดยสามารถคงสภาพของเซลล์ทั้งหมดไว้ได้เหมือนเดิม
มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะได้ Cord Blood ?
หลายท่านอาจสงสัยว่าการจัดเก็บสเตมเซลล์จากเลือดสายสะดือ เป็นการสิ้นเปลืองที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือไม่โดยเฉพาะครอบครัวที่ไม่มีประวัติป่วยเป็นโรคใดๆ เลย นักวิทยาศาสตร์หลายคนนิยมที่จะใช้สเตมเซลล์ที่สกัดจากตัวอ่อนซึ่งมีคุณสมบัติในการเจริญเติบโตเป็นเซลล์ต่างๆ ได้ดีกว่า แต่ก็กำลังเป็นที่ถกเถียงทางด้านศีลธรรมอย่างมาก เนื่องจากกระบวนการสกัดสเตมเซลล์หมายถึงการทำลายตัวอ่อนนั้นทิ้งไป
จากการวิจัยทั่วโลก พบว่ามีโอกาสที่จะนำสเตมเซลล์ดังกล่าวไปใช้เพียง 4 ต่อ10,000 หรือ 0.04% ซึ่งต่ำมาก จนไม่แน่ใจว่าการจัดเก็บจะเกิดประโยชน์หรือไม่อย่างไรก็ตามพบว่า
1. ตัวเลขดังกล่าวนับเฉพาะการรักษาในปัจจุบันเท่านั้น ไม่นับการค้นคว้าใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยสเตมเซลล์ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ วันในอนาคต
2. ตัวเลขดังกล่าวเป็นค่าเฉลี่ยของคนทั่วๆ ไปที่ปราศจากความเสี่ยง บางครอบครัวอาจต้องพิจารณาปัจจัยทางพันธุกรรมในครอบครัวของตนเองร่วมด้วย เช่น อัตราการเกิดมะเร็งหรือโรคเลือดที่ค่อนข้างสูงในบรรดาญาติๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงขึ้นจนโอกาสนำไปใช้สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระบุไว้
3. สำหรับเด็กที่มีเชื้อชาติเป็นลูกครึ่งหรือมีเลือดผสม โอกาสที่จะพบ Stem cells ของผู้บริจาคที่เข้ากันได้นั้นยิ่งน้อยกว่าเด็กปกติอื่นๆ มาก การที่ไม่เก็บสำรองไว้อาจมีความเสี่ยงแบบเดียวกับบุคคลที่มีหมู่เลือดพิเศษ ซึ่งหาผู้บริจาคยาก
ในระหว่างการเก็บ Cord Blood นั้น จะมีความเสี่ยงต่อมารดาและทารกหรือไม่
ไม่มีความเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้นเนื่องจาก Cord Blood จะถูกเก็บหลังจากทารกคลอดและสายสะดือจะถูกตัดออก ซึ่งโดยปกติ Cord Blood นั้นไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ใดๆ ฉะนั้นการเก็บจะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด สะดวก และปลอดภัยต่อมารดา และทารกและไม่เป็นการรบกวนปกติ โดยเฉลี่ยแล้วใช้เวลาในการเก็บไม่เกิน 5 นาที
โรงพยาบาลจะต้องเตรียมชุดอุปกรณ์ในการจัดเก็บ Cord Blood หรือไม่
คำตอบคือไม่ต้อง เพราะว่าคุณจะได้รับชุดอุปกรณ์ในการจัดเก็บจากบริษัทที่ได้ตกลงกันไว้ เพื่อที่จะได้นำไปจัดเก็บ Cord Blood Stem Cells ของลูกคุณ ชุดอุปกรณ์จัดเก็บนี้จะบรรทุกชิ้นส่วนที่ต้องใช้ในการเก็บ Cord Blood อย่างไรก็ตามคุณต้องระลึกเสมอว่า จะต้องนำชุดอุปกรณ์ติดตัวไปกับคุณที่โรงพยาบาลและมอบให้กับแพทย์หรือพยาบาลเมื่อถึงเวลาคลอด
การเก็บ Stem Cells เหมือนกับการทำประกันชีวิตหรือไม่ คำว่าประกันชีวิต แท้จริงเป็นการใช้คำในความหมายตรงกันข้าม เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว การประกันชีวิตเป็นการประกันว่า ภายหลังจากเสียชีวิตบริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวหรือทายาท แต่ไม่ให้ประโยชน์กับผู้ทำประกันขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ด้วยวิทยาการที่ล้ำหน้าในปัจจุบันทำให้มนุษย์สามารถเลือกที่จะมีประกันชีวิตที่แท้จริง ซึ่งสามารถนำไปใช้รักษาชีวิตหรือยืดอายุขัยเจ้าของหรือผู้ทำประกัน นั่นคือการเก็บรักษา Stem Cells ไว้เป็นหลักประกันสุขภาพ สำหรับการรักษาที่จะเป็นในอนาคตได้
ทำไมต้องลงทุนเก็บ Stem cells
การเก็บ Stem Cells ของท่านเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมหาศาล ไม่สามารถประเมินค่าได้สเตมเซลล์อาจจะเป็นทางสู่ชีวิตใหม่ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเพราะไม่ว่ามนุษย์เราจะมีการเตรียมตัวที่ดีเพียงใด ก็ไม่สามารถลดความเสี่ยงที่เกิดจากความเจ็บปวดและความเสื่อมของร่างกาย ซึ่งบางครั้งอาจจะหมายถึงชีวิต สเตมเซลล์ของท่านที่เก็บสำรองก่อนเกิดวิกฤติของชีวิตอาจเป็นทางออกของปัญหารุนแรงเหล่านั้น
การฝากสเตมเซลล์ก่อนการเจ็บป่วยจะทำให้ได้สเตมเซลล์ที่มีคุณภาพดี ปราศจากการปนเปื้อนจากโรค ซึ่งจะมีคุณประโยชน์เหนือกว่าการเก็บสเตมเซลล์ที่อ่อนแอภายหลังจากการเจ็บป่วยการรักษาสเตมเซลล์ที่แข็งแรงในวันนี้
เป็นการเพิ่มศักยภาพในการรักษาโรคหลายโรค ที่อาจเกิดในอนาคต ซึ่งกับนักวิทยาศาสตร์ยังคงศึกษาความมหัศจรรย์ในการนำไปใช้รักษาโรคและการค้นพบใหม่ๆ ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
การและขั้นตอนในการเก็บ Umbilical Cord Blood เป็นอย่างไร?
1. ทารกคลอดออกมาจากครรภ์มารดาพร้อมกัน Umbilical Cord (สายสะดือ)
2. Umbilical Cord จะถูกตัดออก หลังจากนั้นแพทย์หรือพยาบาลจะดำเนินการดูดเลือดออกจาก Umbilical Cord นั้น ในขณะเดียวกันทารกก็จะถูกนำไปทำความสะอาดและตรวจร่างกาย
3. เลือดจาก Umbilical Cord จะถูกจัดเก็บไว้ในถุงเก็บเลือด ซึ่งอยู่ในชุดอุปกรณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้
4. หลังจากนั้นจะนำ Cord Blood ไปที่ห้องปฏิบัติการของบริษัทที่ได้ตกลงจัดเก็บสเตมเซลล์
5. ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคการแพทย์จะทำการแยก Stem Cells ออกจาก Cord Blood นั้น และ Stem Cells จะถูกเก็บรักษาไว้ในแทงค์แช่แข็งในไนโตรเจนเหลว เพื่อสามารถนำไปใช้ในอนาคต
เมื่อไรที่ควรตัดสินใจเก็บ Umbilical Cord Blood Stem Cells
ถ้าหากเป็นไปได้ คุณพ่อคุณแม่สามารถติดต่อกับบริษัทที่ให้บริการได้ตั้งแต่รยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หรือระยะ 3 - 6 เดือน จนถึงระยะสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เพื่อที่บริษัทผู้ให้บริการจะได้จัดเตรียมชุดอุปกรณ์ในการจัดเก็บ Cord Blood ไว้ก่อนในกรณีคลอกก่อนกำหนดและให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวกับท่านได้
Stem Cells ยังสามารถใช้กระบวนการฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยที่รักษามะเร็งได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่สามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ได้คือ
โรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) โรคเบาหวาน โรคประสาทที่มีปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวน้อยลงและอาการสั่น (โรคพาร์กินสัน)
ทำไมต้องเก็บรักษาเลือดในสายสะดือของทารก
การเก็บ Stem Cells จากเลือดโดยสายสะดือของทารกถือเป็นสิ่งพิเศษที่คุณสามารถมอบให้แก่สมาชิกในครอบครัวได้
Stem Cells มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆ หรือยืออายุของสมาชิกในครอบครัวของคุณการเก็บเลือดจากสายสะดือไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด และไม่มีภาวะเสี่ยงต่อทั้งมารดาและทารก
วิธีการเก็บง่าย ใช้เวลาน้อยแต่ต้องเก็บทันทีหลังคลอด เพื่อนำไปจัดเก็บ Stem Cells ในห้องปฏิบัติการที่มีคุณภาพต่อไป
การใช้ Stem Cells จากสายสะดือจะเกิดการต่อต้านจากเซลล์ในร่างกายน้อยกว่าการใช้ Stem Cells จากไขกระดูก
Tip ที่ควรรู้เกี่ยวกับการเก็บ Stem Cells
โปรดแจ้งผู้ที่ทำคลอดของท่านให้ทราบว่าท่านต้องการเก็บ Stem Cells จากสายสะดือทารก และโทรศัพท่ติดต่อบริษัทที่ตกลงในการจัดเก็บเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโรงพยาบาลหรือมีการเปลี่ยนกระบวนการในการคลอด
สิ่งสำคุญที่สุดคือให้แจ้งให้บริษัทที่ตกลงจัดเก็บทราบทันทีเมื่อท่านไปถึงโรงพยาบาลเพื่อคลอดทารก เพื่อที่บริษัทดังกล่าวจะได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปทำการจัดเก็บ และนำเลือดจากสายสะดือของทารกท่านเข้าสู่กระบวนการการจัดเก็บ Stem Cells ต่อไป
ข้อมูลการวิจัยต่างประเทศ
การพัฒนาเนื้อเยื่อจากสเตมเซลล์สร้างความหวังต่อวิทยาศาสตร์ เดอะ เดลี่ โอกลาโฮม. ตุลาคม 2545 สติลล์วอเทอร์ บนชั้นสี่ของอาคารศูนย์วิศวกรรมศาสตร์ที มหาวิทยาลัยโอกลาโฮมาสสเตท นักวิจัยหนุ่มคนหนึ่ กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานวิจัยที่อาจเรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในสุดยอดงานวิจัยทางการแพทย์เท่าที่เคยปรากฏมาก่อน
Sundra Modihally ได้ค้นพบวิธีการที่สามารถสร้างเซลล์ผนังเส้นเลือดจาก Cord Blood Stem Cells ได้เรียบร้อยแล้ว เขาคาดว่าภายในห้าปีนับจากนี้จ สามารถพบวิธีที่สามารถผลิตเส้นเลือดขึ้นมาได้ทั้งเส้น หลังจากนี้เขาวางแผนที่จะเปลี่ยนสเตมเซลล์เป็นเซลล์ตับและลิ้นหัวใจต่อไป เขากล่าวต่อว่าแนวทางดังกล่าวในที่สุดจะสามารถนำไปสังเคราะห์อวัยวะทุกชิ้นขึ้นมาได้ ซึ่งสามารถนำมาช่วยเหลือผู้ป่วยที่กำลังรอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะทั่วโลก ซึ่งเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเหล่านั้นที่สามารถได้รับอวัยวะจากผู้บริจาค ส่วนที่เหลือต้องเสียชีวิตในที่สุด
เฉพาะเส้นเลือดที่นำมาใช้ในการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจในสหรัฐอเมริกาอย่างเดียวก็มีความต้องการกว่า 300,000 เส้นต่อปี โดยนำมาจากเส้นเลือดจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้หรือทำมาจากสารสังเคราะห์ พื้นฐานของการค้นพบนี้คือการดัดแปลงทางพันธุกรรมในสเตมเซลล์ที่พร้อมต่อการเปลี่ยนเป็นเซลล์อื่นๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้เซลล์ที่เขานำมาใช้ มาจากสายสะดือของทารกที่ปกติถูกนำไปทิ้งหลังการคลอด
โดย Madihally ค้นพบ คุณสมบัติมหัศจรรย์ดังกล่าวอย่างบังเอิญขณะที่เขากำลังทำวิจัยระดับปริญญาโทอยูที่ฮาร์วาร์ด เมื่อจบการศึกษาจึงนำงานดังกล่าวมาทำต่อทีโอกลาโฮมาโดยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ จนนำมาสู่การค้นพบในที่สุด กระบวนการดังกล่าวจะสามารถทำให้แพทย์ได้อวัยวะจริงมาปลูกถ่ายให้ผู้ป่วย แทนที่จะนำมาจากอวัยวะเทียมที่ทำจากไททาเนียมหรืออวัยวะที่นำมาจากร่างกายของคนอื่น การรักษาโรคด้วยสเตมเซลล์สร้างความตื่นตะลึงแก่วงการแพทย์โดย สตีฟ โดว ดิ เอดจ์ 12 เม.ย 2546
ซีดนีย์ Cord Blood จะสามารถซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจในผู้ป่วยโรคหัวใจหรือสร้างเซลล์ตับใหม่ให้แก่ผู้ป่วยโรคตับได้เร็วๆ นี้แล้ว ก่อนหน้านี้สเตมเซลล์จากสายสะดือก็ถูกค้นพบว่าสามารถนำไปรักษาโรคมะเร้งหลายชนิดได้ ทั้งในผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่ แต่ปัจจุบันสเตมเซลล์กำลังก้าวหน้าต่อไปอีก
ศาสตราจารย์ Marcus Vowel ผู้อำนวยการ The Australian Cord Blood Bank หรือ Aus Cord ที่ Sydney Children' Hospital เชื่อว่าภายในสองปีจากนี้ไป ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจวาย อาจได้รับการรักษาโดยการฉีดสวเตมเซลล์ที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรมแล้ว เพื่อที่เจริญเติบโตต่อไปเป็นกล้ามเนื้อหัวใจใหม่ทดแทนของเดิมที่เสียหาย ทั้งนี้ด้วยกระบวนการที่คล้ายกัน สเตมเซลล์สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ต่างๆ มากมาย อาทิ เซลล์กล้ามเนื้อ สมอง ตับ และกระดูก
มีงานวิจัยอย่างน้อยสองชิ้นในสหรัฐอเมริกาที่สเตมเซลล์จากสะดือสามารถเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อหัวใจได้ในการทดลองกับมนุษย์ ส่วนงานทดลองที่ทำขึ้นในออสเตรเลียเองกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ และยังไม่สามารถสรุปผลได้
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังพุ่งเป้าไปที่งานวิจัยทุกอย่างที่เกี่ยวกับสเตมเซลล์ที่จะส่งผลให้การรักษาโครเปลี่ยนโฉมหน้าอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์หลายคนนิยมที่จะใช้สเตมเซลล์ที่สกัดจากตัวอ่อน ซึ่งมีคุณสมบัติในการเจริญเติบโตเป็นเซลล์ต่างๆ ได้ดีกว่า แต่ก็กำลังเป็นที่ถกเถียงทางด้านศีลธรรมอย่างมาก เนื่องจากกระบวนการสกัดสเตมเซลล์ หมายถึงการทำลายตัวอ่อนทิ้งไป
ศาสตราจารย์ Vowel กล่าวว่าสิ่งที่สำคัญ คือสเตมเซลล์ที่ได้จากสายสะดือก็มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ดีเช่นกัน โดยที่ไม่เกิดปัญหาทั้งทางด้านกฎหมายและศีลธรรม
รัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลียได้เปิด Cord Blood Bank ครั้งแรกในปี 1995 หลังจากนั้นมีการเปิดตามอีกในรัฐวิคตอเรียและบริสเบน
ในปีที่ผ่านมารัฐมนตรีสาธารณสุขของรัฐบาลกลางได้เปิด AusCord ขึ้นที่ Sydney Childen's Hospital โดยหวังว่าจะให้ AusCord เป็นศูนย์กลางการบริจาคเลือดจากสายสะดือจากเครือข่ายต่างๆ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 22,000 ตัวอย่างในสี่ปีแรก
การใช้ระโยชน์เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์จากของที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทิ้งลงถังขยะ เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก ศาสตราจารย์ Vowel กล่าวทิ้งท้าย
การบริจาคสเตมเซลล์ เพื่อชีวิตใหม่ต่อเพื่อนมนุษย์
ในแต่ละปีประเทศไทยมีเด็กคลอดประมาณ 8 แสนราย และเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว 7,350 ราย น่าเสียดายที่เซลล์ที่มีคุณค่าจำนวนไม่น้อยถูกทิ้งไป วันนี้คุณสามารถร่วมบริจาคสเตมเซลล์ให้กับเพื่อนมนุษย์ได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
การลงทะเบียนเข้าเป็นอาสาสมัครร่วมโคงการรับบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตฯทำได้ไม่ยาก เพียงผู้บริจาคมีคุณสมบัติครบถ้วนคือ เป็นผู้ที่มีอายุ 17-55 ปี น้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า 48 กิโลกรัม เคยบริจาคโลหิตมาแล้ว 2 ครั้ง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวหรือโรคติดต่อร้ายแรง ไม่มีโรคประจำตัวหรือโรคติดต่อร้ายแรง และไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง
การบริจาคสเตมเซลล์จากรก แพทย์จะเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบริจาคแก่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และมีประวัติสุขภาพแข็งแรง ตั้งครรภ์เดี่ยว (ไม่แฝด) มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 37 สัปดาห์ขึ้นไป คุณแม่ต้องผ่านการคัดกรองการติดเชื้อซิฟิลิส ตับอักเสบบี และโรคเอดส์โดยให้ผลเป็นผลลบ (แปลว่าไม่ติดเชื้อ) ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจะให้ข้อกำเนิดที่ผิดปกติ และน้ำหนักของทารกประมาณไม่ต่ำกว่า 2,500 กรัม
สถานที่ที่ให้บริการจัดเก็บ Stem Cells ในประเทศไทย
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยมีธนาคารเลือดจากรก (Cord Blood Bank) ที่ประสานงานในการเก็บสเตมเซลล์จากรกกับโรงพยาบาลจุฬาฯ โทร. 0 - 2252 - 4106 - 9
THAI Stemlife co.,Ltd. โทร. 0 - 2613 - 1515 - 8 ฮอตไลน์ 24 ชั่วโมง และ 0 - 1340 - 7676
Cordlife Sciences co.,Ltd. โทร. 0 - 2655 - 0450 , 0 - 9450 - 2018*
ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับสเตมเซลล์
//www.bioexchage.com/news/stemcell.com //www.news.wis.edu/packages/stemcell.com //www.stemcellsresearchnews.com //www.parentsguidecordblood.com //www.thaistemlife.co.th //www.cordlife.com.
Create Date : 21 พฤษภาคม 2550 |
|
17 comments |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2550 2:15:16 น. |
Counter : 586 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) 21 พฤษภาคม 2550 0:36:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 21 พฤษภาคม 2550 0:57:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: เสียงซึง 21 พฤษภาคม 2550 1:26:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: random-4 21 พฤษภาคม 2550 6:24:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: thattron 21 พฤษภาคม 2550 8:40:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: หน่อยอิง 21 พฤษภาคม 2550 9:35:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 21 พฤษภาคม 2550 9:50:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: ขนมตะโก้ 21 พฤษภาคม 2550 11:03:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: namfonJC 21 พฤษภาคม 2550 11:12:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: หนูชล 21 พฤษภาคม 2550 11:13:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: กุมภีน 21 พฤษภาคม 2550 12:51:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: smack 21 พฤษภาคม 2550 18:22:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: Htervo 6 มิถุนายน 2550 16:57:16 น. |
|
|
|
|
|
|
|
หนี่ฯ ยังไม่นอน แวะมาทักทายพี่แพทฯ คะ
ได้อ่านแล้ว มีประโยขน์มากๆ
ขอขอบคุณพี่แพทมากนะคะ