Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
3 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 

ตอนที่ 5 แค่ฝันไป




ชลธีตัดสินใจอยู่นานว่าจะทำยังไงกับมธุรินดี สุดท้ายเขาก็คิดว่าต้องทำให้เธอสร่างเมาหรือไม่ก็หลับไปเลยจะได้ไม่ลงไปหาเรื่องใส่ตัวข้างล่างอีก

ชายหนุ่มนั่งลงตรงหน้าหญิงสาว เธอมองเขาพร้อมรอยยิ้มดีใจเหมือนเด็กๆ แต่ชลธีเห็นแล้วยิ่งหงุดหงิด เขาถอดรองเท้าส้นสูงให้มธุรินอย่างไม่เต็มใจ

เกิดมาไม่เคยถอดรองเท้าให้ผู้หญิงคนไหน แต่เขาต้องทำให้มธุริน ผู้หญิงที่แทบไม่รู้จักกันเลย บ้าบออะไรอย่างนี้!

จากนั้นก็รั้งหญิงสาวให้ลุกยืน เธอเทน้ำหนักตัวมาให้เขารับทั้งหมด คงเพราะรู้สึกหนาวด้วยจึงเบียดกายเข้ามาซบอกเขา ชายหนุ่มย่อเข่าช้อนร่างเพรียวบางขึ้นอุ้ม เธอรีบโอบแขนรอบลำคอเขาโดยอัตโนมัติ เป็นไปเพราะสัญชาตญาณมากกว่าเหตุผลอื่น

หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างงุนงง ใบหน้าคมคายตึงเครียดดุดันแต่กลับชวนมองอย่างประหลาด จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักลึกสีสดใสอย่างคนมีสุขภาพดี มีความรู้สึกบางอย่างวูบขึ้นกลางอก เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน จู่ๆ ก็ร้อนผะผ่าวที่ใบหน้า ร้อนมากเสียจนจังหวะหัวใจเต้นระรัว ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหม แต่มันเป็นอาการที่มาพร้อมกันนี่นา...

ชลธีชะงักไปเล็กน้อย เขาเคยเห็นผู้หญิงสวยมาก็มาก แต่ยอมรับเลยว่ามธุรินสวยมีเสน่ห์หาตัวจับยาก และผิวขาวผ่องที่ตัดกับริมฝีปากอิ่มตึงสีแดงสดของเธอก็ช่างดูเย้ายวนใจจนน่ากลัว

“นายแว่น...นายจะทำอะไรฉัน?”

คำถามนั้นเรียกสมาธิของเขากลับมา “ก็จับคุณอาบน้ำไง”

ว่าแล้วก็วางร่างบางลงในอ่างอาบน้ำ เปิดน้ำอุ่นแทนน้ำเย็นจัดให้เธอแช่สักพัก ขืนใช้น้ำเย็นเพียวๆ มีหวังหญิงสาวได้ไข้ขึ้นก่อนสร่างเมาแน่

“หนาว” เธอประท้วง พยายามตะเกียกตะกายลุกจากอ่างอาบน้ำ

“หนาวก็ต้องทน” ชลธีไม่เห็นใจ กดไหล่บอบบางไว้ไม่ยอมให้ลุกหนีได้

“ไม่เอา ฉันไม่ทน ฉันจะลุก” เธอโวยวาย พยายามปัดมือเขาทิ้ง

“อยู่เฉยๆ เดี๋ยวก็จับหัวกดน้ำซะหรอก” ชายหนุ่มดุเอา รวบมือเธอไว้ด้วยมือเดียว อีกมือกดไหล่บอบบางไว้ และใช้นัยน์ตาดุๆ ข่มขู่อีกแรง

เขาไม่สบายใจนักที่ต้องช่วยเหลือมธุรินในสภาพนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าเรียกแม่บ้านขึ้นมาช่วยต้องมีปัญหาตามมาแน่ มธุรินไม่ควรจะเมาขนาดนี้แถมยังมีชายหนุ่มที่ไม่ใช่คู่หมั้นอยู่ในห้องด้วย ส่วนตัวเขาเองก็เป็นเจ้านายที่เคร่งครัดในหน้าที่ แต่เขากลับอยู่ในห้องของเธอตอนที่หญิงสาวเมาไม่รู้เรื่องและตัวเปียกไปหมด ใครเห็นเข้าจะคิดยังไง

แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าถาม แต่เขาก็ห้ามพนักงานนินทาลับหลังไม่ได้ และเขาจะไม่ยอมสูญเสียความน่าเชื่อถือเพราะมธุรินเด็ดขาด ฉะนั้นคงต้องช่วยเธอเองและจากไปเงียบๆ ดีที่สุด

มธุรินกะพริบตาปริบๆ ลืมความหนาวเย็นไปชั่วขณะ เกิดมาไม่เคยถูกใครทั้งดุทั้งข่มขู่แบบนี้เลย คุณตาคุณยาย แม่ น้ามล ตลอดจนทุกคนในบ้านต่างก็โอ๋เธอสารพัด เธอทำอะไรไม่เคยผิด คำน้อยคำนิดไม่เคยเอ็ดให้ระคายใจ แล้วนายแว่นนี่เป็นใคร ดุเอาๆ แถมยังขู่จะจับหัวเธอกดน้ำด้วย ใจร้ายที่สุด!

ชลธีตกใจเมื่อเห็นมธุรินร้องไห้ เธอจ้องหน้าเขาด้วยแววตาตัดพ้อ เหมือนเขาทำร้ายจิตใจเธออย่างสาหัส “เป็นอะไรอีกเนี่ยคุณ จู่ๆ ก็ร้องไห้”

หญิงสาวปล่อยโฮออกมาเมื่อเขาทัก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องร้อง รู้แค่ว่าอยากจะร้องไห้เท่านั้น

ชายหนุ่มตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ละมือจากหญิงสาว เธอจึงใช้มือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาได้แต่นั่งเงียบๆ ที่ขอบอ่าง ไม่มีคำปลอบใจ ไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่อยู่ตรงนี้ ไม่ลุกหนีไปไหน

คนเมาร้องไห้ต่อไป จนน้ำเกือบเต็มอ่างชลธีจึงปิดก๊อก ให้เธอแช่อยู่อย่างนี้สักพักเผื่อจะดีขึ้นบ้าง

มธุรินรู้สึกว่ารอบตัวอุ่นขึ้น เธอลดมือลง นัยน์ตาแดงก่ำ ได้ร้องไห้แล้วรู้สึกโล่งอย่างประหลาด

“เป็นยังไงคุณ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม ล้างหน้าล้างตาซะ” เขาวักน้ำลูบใบหน้าให้เธอเหมือนทำกับเด็กๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากให้น้ำช่วยเรียกสติมธุรินกลับมา เขาจะได้ไปจากห้องนี้เสียที

หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างงุนงง เมื่อกี้ทำหน้ายักษ์ มาตอนนี้กลับแสดงท่าทีเอาใจใส่ ตกลงว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ?

“รออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวผมหยิบผ้าเช็ดตัวให้”

เขาลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดคลุมที่มีเตรียมไว้เสมอในห้องน้ำมาส่งให้หญิงสาว

“ลุกขึ้นสิ ยืนเองได้ใช่ไหม”

มธุรินทำตามอย่างว่าง่าย แต่อ่างมันลื่นทำให้เสียหลักเกือบล้มหน้าคว่ำ ดีที่คว้าตัวนายแว่นไว้ได้ เธอจึงกอดเขาแน่นเพราะกลัวล้ม ไม่ต้องรอให้เขาจับหัวเธอกดน้ำ ล้มหัวฟาดพื้นก็ตายได้เหมือนกัน

ชลธีรับร่างบางไว้โดยอัตโนมัติ นาทีแรกเขาตกใจ แต่นาทีถัดมาก็อ่อนใจ เขาเหลือกตามองเพดาน พ่นลมหายใจ

เอาเข้าไป เปียกอีกจนได้!

“ออกมาจากอ่างก่อน ก้าวขาเองได้รึเปล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ

เธอช้อนดวงตาเฉี่ยวคมขึ้นมองชายหนุ่ม ก่อนจะทำตามคำแนะนำโดยไม่ยอมปล่อยมือจากตัวเขา เดี๋ยวล้มอีก พอมธุรินก้าวขาออกมายืนนอกอ่างอาบน้ำได้แล้วชลธีก็ดันร่างบางออก ยัดเยียดผ้าเช็ดตัวกับชุดคลุมให้เธอถือไว้

“เช็ดตัวแล้วใส่ชุดนี้ เข้าใจที่ผมพูดรึเปล่า?”

เธอมองตาเขา พยักหน้าหงึกหงักเหมือนตุ๊กตาไขลาน

“โอเค ผมรอข้างนอกนะ รีบเปลี่ยนชุดซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

เขาออกไปรอหน้าห้องน้ำ มธุรินมองตามจนประตูปิดลง

เธอก้มมองผ้าเช็ดตัวกับชุดคลุม แล้วมองไปรอบห้องน้ำอย่างงงๆ เห็นรองเท้าส้นสูงนอนเค้เก้อยู่มุมหนึ่งก็นึกถึงตอนที่เขาถอดรองเท้าให้ นึกเลยไปถึงตอนที่เขาวักน้ำลูบไล้ใบหน้าให้เบาๆ ด้วยความเอาใจใส่ ทั้งที่มึนหัวอยู่มากแต่เธอรู้สึกว่าผิวแก้มร้อนผ่าว ใจเต้นแรงขึ้นด้วย

หญิงสาวยกมือขึ้นแตะอกซ้าย อีกมือลูบแก้มตัวเองเบาๆ ด้วยความงุนงง “นี่ฉันเป็นอะไรไปนะ?”



ชลธียืนรอที่หน้าห้องน้ำอย่างไม่วางใจ เขาไม่คิดว่าสติของเธอจะกลับมาครบร้อยเปอร์เซ็นต์ มธุรินที่เขาเห็นก่อนจะเมาไม่ใช่ผู้หญิงเชื่องๆ ถ้าสติเธอกลับมาจริงคงจะวางมาดเป็นสาวสังคมชั้นสูงได้อย่างน่าหมั่นไส้ และอาจจะไล่ตะเพิดเขาออกไปแล้วก็ได้

รอจนเกือบจะทนไม่ไหวประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมมธุรินที่อยู่ในชุดคลุมของโรงแรมอย่างเรียบร้อย ผิวของเธอขาวจนซีด แต่ริมฝีปากอิ่มยังแดงสดเช่นเคย ลิปสติกของเธอคงเป็นแบบกันน้ำ แน่นอนว่าคงแพงหูฉี่ทีเดียว เส้นผมสีน้ำตาลอมทองเปียกลู่แนบผิวแก้ม เห็นแล้วก็ให้อ่อนใจอีกรอบ

ชลธีเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กในห้องน้ำ ชุดเกาะอกของเธอถูกถอดทิ้งไว้บนพื้น รองเท้าอยู่มุมหนึ่ง ชุดชั้นในก็ถูกทิ้งไว้คนละมุม แก้มเขาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ รีบหยิบสิ่งที่ต้องการแล้วปิดประตูห้องน้ำให้มิดชิด

ถ้ามธุรินเป็นคนรักของเขา เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะช่วยเก็บ แต่นี่เขากับเธอแทบจะเรียกว่าคนแปลกหน้าได้ คงต้องปล่อยไว้แบบนั้นแหละ ให้เธอเก็บเองพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นก็จะมาโวยวายเขาอีก

“เช็ดผมก่อน แห้งแล้วค่อยนอน” เขาส่งผ้าขนหนูให้เธอ แทบไม่กล้าสบตาหญิงสาว

มธุรินรับผ้าผืนเล็กมามองอย่างงุนงง ก่อนจะใช้มันเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นอย่างช้าๆ ในหัวเธอมีเรื่องมากมายตีกันยุ่งเหยิง ที่เช็ดผมตามคำสั่งได้คล้ายเป็นปฏิกิริยาตอบรับโดยอัตโนมัติของร่างกาย แต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร

ชลธีเห็นแล้วก็ขัดใจ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ทั้งคืนก็อาจไม่ได้นอน เขาเองก็จะเสียเวลาไปด้วย ชายหนุ่มลากแขนหญิงสาวไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วแย่งผ้าขนหนูจากมือเธอมาทำให้ซะเอง สัมผัสนั้นแม้ไม่อ่อนโยนเอาใจแต่ก็ไม่ใช่ความหยาบกระด้างรุนแรง

มธุรินมองใบหน้าเคร่งขรึมของนายแว่นผ่านเงาสะท้อนในกระจก ในหัวเธอตอนนี้มีแต่ภาพของเขาที่ถอดรองเท้าให้ ล้างหน้าให้ เช็ดผมให้ รอยยิ้มอิ่มเอมกระจายทั่วใบหน้างาม เผลอเรียกเขาราวกับคนละเมอ “นายแว่น”

ชลธีชะงักมือ มองเธอผ่านกระจกเงา มธุรินสวยเยือกเย็นเหมือนพระจันทร์เต็มดวงในคืนที่ฟ้าไร้ดาว ในความมืดมิดที่เหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด เธอคือพระจันทร์งามที่ฉายแสงโดดเดี่ยวบนฟากฟ้า ทั้งสวยงาม เหว่ว้า และลึกลับชวนค้นหาอย่างน่าพิศวง

เขาละสายตาจากใบหน้างาม เช็ดผมให้เธอต่อไป แต่ก้มลงบอกข้างหูว่า “ผมชื่อชลธี...ไม่ใช่นายแว่น”

‘ชลธี’ เธอทวนชื่อเขาในใจ ไม่คาดคิดเลยว่าชื่อนี้จะยังอยู่ในความทรงจำของเธอไปอีกนาน นานจนหาจุดจบไม่เจอ



มธุรินรู้สึกเหมือนเรือโคลงเคลงไปมาจวนจะล่ม ท้องไส้เธอปั่นป่วนไปหมด แถมใครที่ไหนก็ไม่รู้ยังมาตีกลองอยู่ข้างหูเธออย่างน่ารำคาญที่สุด

ปวดหัว อยากอ้วก ไม่ไหวแล้ว...

หญิงสาวพยายามเปิดปรือเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้น เสียงวิ้งๆ ในหัวยิ่งรุนแรง ตอนจะผุดลุกนี่เลวร้ายที่สุด นอกจากเรือจะโคลงเคลงแล้วเธอว่าต้องเกิดแผ่นดินไหวด้วยแน่ๆ

หรือจะเกิดสึนามิ?

คิดแล้วเปลือกตาที่หนักอึ้งก็เปิดขึ้นพร้อมอาการดีดตัวลุกเหมือนติดสปริง โลกตีลังกาไปสามรอบ เธอจับขอบเรือไว้แน่นแต่รู้สึกเหมือนเป็นขอบเตียงมากกว่า สลัดศีรษะไล่อาการมึนงงอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นภาพเบื้องหน้าได้ชัดขึ้น

“ไม่ได้อยู่บนเรือนี่” พึมพำพลางใช้กำปั้นทุบขมับทั้งสองข้าง ขับไล่อาการปวดจี๊ดๆ กับเสียงวิ้งๆ ที่ยังไม่หายไปซะที แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นในหัว

‘ผมชื่อชลธี...’

เป็นเสียงผู้ชาย แต่ใครคือชลธีกันล่ะ?

มธุรินทั้งมึนและงง เหมือนมีคำพูดต่อจากนั้นแต่เธอนึกไม่ออก และตอนนี้ก็ปวดหัวจนจะระเบิดอยู่แล้ว อาบน้ำให้สดชื่นก่อนดีกว่าเผื่อจะนึกอะไรออกบ้าง

แต่พอก้าวขาลงจากเตียงเท่านั้นก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย คนอย่างมธุรินไม่เคยใส่ชุดคลุมนอน ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือโรงแรม ชุดเดียวที่เธอจะใส่นอนคือชุดนอนเท่านั้น

แล้วเธอเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาถึงนอนทั้งชุดนี้?

เสียงเคาะประตูห้องนอนของเธอดังขึ้นท่ามกลางความมึนงงกึ่งตกใจ ก่อนจะเปิดออกแบบไม่รอคำตอบจากเจ้าของห้อง

“อ้าวคุณ ตื่นแล้วเหรอคะ ป้ากำลังจะมาปลุกตามที่คุณสั่งพอดีเลย อ้อ คุณต้องเช็กเอาต์ตอนสิบโมงนะคะ คุณบอกให้เตือนเรื่องนี้ด้วย คุณตื่นแล้วก็ดีค่ะ นี่กาแฟดำที่สั่งไว้ จะได้สร่างเมาเร็วขึ้น” เสียงนั้นเป็นของหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านของโรงแรม มาพร้อมกาแฟดำและวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งให้ ชลธีสั่งไว้ให้เธอมาปลุกแขกห้องนี้ตอนเก้าโมงและเอากาแฟดำมาเสิร์ฟด้วย นั่นเป็นคำขอจากแขกเอง

“ใครเมา?” หญิงสาวย้อนถามอย่างไม่เชื่อหู มองแม่บ้านด้วยสายตาเหมือนฝ่ายนั้นเพี้ยนไปแล้ว

เธอเนี่ยนะเมา เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด มธุริน จิรโชติ ไม่ทำเรื่องน่าอายแบบนั้นล้านเปอร์เซ็นต์ ยายป้านี่ใส่ร้ายกันชัดๆ!

“ก็ผู้จัดการใหญ่...” แม่บ้านเว้นไว้งงๆ

คำว่า ‘ผู้จัดการ’ เด้งเข้ามาในหู ที่มึนๆ อยู่ก็หายเลย คำนั้นเติมเต็มความทรงจำที่ขาดหายไปได้สมบูรณ์ นายแว่นคือผู้จัดการ ผู้จัดการก็คือ...

‘ผมชื่อชลธี...ไม่ใช่นายแว่น’

“ผู้จัดการ...ชลธี” มธุรินพึมพำ หน้าซีดขึ้นทันตา จากนั้นความทรงจำที่เลือนไปก็ค่อยหลั่งไหลกลับเข้ามาในหัวเหมือนดูหนังเรื่องเดิมซ้ำอีกรอบ เมื่อคืนเธอดื่มไวน์ไปทั้งขวด หมดแล้วก็รู้สึกว่ามันต้องไปต่อ จะหยุดแค่นี้ไม่ได้เด็ดขาด เธอลุกขึ้นมาแต่งตัวแต่งหน้าซะสวยเฉียบ

หญิงสาวคิดถึงตอนที่เธอนั่งแต่งหน้าจนครบเครื่องอย่างนึกทึ่งในความสามารถของตัวเอง เหลือเชื่อจริงๆ ที่เธอกรีดตาได้สวยเป๊ะทั้งที่เมาจนห้ามตัวเองออกไปป่วนข้างนอกไม่ได้

เฮ้ย! นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมตัวเองนะ

เธอสลัดศีรษะไปมา

แล้วไงต่อ?

เธอลงไปที่ผับชั้นใต้ดินของโรงแรม เดินชนนายแว่นแล้วก็...

“อ๋าย...นี่ฉันทำเรื่องน่าอายต่อหน้านายแว่นอีกแล้วเหรอเนี่ย” หญิงสาวยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าที่เห่อร้อนเพราะความอับอาย ทุกฉากทุกตอนทุกคำพูดของเธอกับเขาชัดเจนอยู่ในหัวแล้วตอนนี้

โอย...ตายแล้วยายมิ้ม เกิดมาไม่เคยต้องอับอายขายหน้าขนาดนี้มาก่อนเลย

เธอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอแล้วหันไปจ้องหน้าแม่บ้านอย่างจริงจัง “ตอนนี้เขาอยู่ไหนคะ”

“ไปสนามบินแล้วค่ะ” แม่บ้านเข้าใจว่าหญิงสาวหมายถึงชลธีจึงตอบไปตามตรง

“สนามบิน?” มธุรินทวนอย่างแปลกใจปนโล่งอก เธอไม่อยากเจอเขาอีก ไม่รู้จะทำหน้ายังไง หลังจากทำเรื่องน่าอายซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าเขา ถ้าเป็นไปได้ไม่เจอกันอีกเลยจะดีกว่า

“ค่ะ ผู้จัดการใหญ่ไปดูงานที่โรงแรมอีกสาขา เขาเดินทางบ่อยแบบนี้เสมอแหละค่ะ” แม่บ้านตอบแล้วขอตัวออกไป เพราะได้ทำหน้าที่ตามคำสั่งของชลธีเสร็จสมบูรณ์แล้ว

หญิงสาวถอยกลับมานั่งที่เตียง นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็อายจนหน้าร้อนผ่าวๆ พอตั้งสติได้ก็วิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำ ถึงเขาจะไม่อยู่ที่นี่แล้วแต่เธอก็ไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว

เธอต้องไปจากที่นี่ด่วนที่สุด!



ชลธีอยู่บนเครื่องบินแล้วในตอนที่มธุรินลากกระเป๋าเดินทางมาเช็กเอาต์เวลาสิบโมงตรง ชายหนุ่มนั่งหลับตานิ่งๆ ทั้งที่สมองตื่นตัวตลอดเวลา เขานึกถึงแต่เรื่องที่คุยกับมธุรินเมื่อคืนนี้

หลังจากช่วยเป่าผมให้เธอจนแห้งแล้วเขาก็บังคับให้หญิงสาวนอน เพื่อตัวเองจะได้กลับไปพักผ่อนและเตรียมตัวเดินทางในวันนี้ แต่มธุรินก็รั้งเขาไว้ด้วยบทสนทนาที่เขาไม่คาดคิด

‘นายแว่น...นายรู้ไหมว่าฉันต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยแม้แต่จะถอดรองเท้าให้ฉันอย่างที่นายทำ’

เขาคร้านจะเตือนคนเมาว่าไม่ได้ชื่อนายแว่น เตือนไปก็คงไม่เกิดผลจึงนั่งฟังเงียบๆ

‘เขาแทบไม่เคยดูแลอะไรฉันเลย แต่กลับเรียกร้องจะเอาในสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนหวงแหน ทั้งที่เรายังไม่ได้แต่งงานกัน ตลกชะมัดเลย นายว่ามั้ย?’

เขานึกถึงคืนที่ชกหน้าภาคภูมิ คงเพราะแบบนั้นมธุรินถึงวิ่งหัวซุนออกมาจากห้องพักโดยมีคู่หมั้นตามออกมาด้วย ภาคภูมิเรียกร้องในสิ่งที่เธอยังให้ไม่ได้

คิดแล้วก็อมยิ้ม นึกไม่ถึงว่าสาวสวยเสน่ห์แรงอย่างมธุรินจะสนใจขนบธรรมเนียมประเพณีแบบคนสมัยเก่าด้วย เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจพอๆ กับน่าเอ็นดู

‘ยังมีที่แย่กว่านั้นอีกนะ นายรู้ไหมว่าเขานอนกับคนอื่นทั้งที่หมั้นกับฉันแล้ว เพียงเพราะเขาไม่ได้มีอะไรกับฉัน เขาเลยต้องระบายกับผู้หญิงอื่นไปพลางๆ ทุเรศที่สุด’

เขานิ่วหน้า ปะติดปะต่อคำพูดของคนเมากับคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านสูงวัย อาจจะเป็นข้อบกพร่องนี้ที่ทำให้คุณมนต์ธัชเห็นว่าภาคภูมิไม่ใช่ผู้ชายที่จะทำให้มธุรินมีความสุขได้ ผู้ชายที่ขาดผู้หญิงไม่ได้ถ้าห่างภรรยาหน่อยก็คงไปแอบมีกิ๊กได้ไม่ยาก คิดแล้วก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน งานของภาคภูมิกับมธุรินจะแยกพวกเขาให้ห่างกันอยู่เป็นระยะ ช่องว่างตรงนั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิตคู่

เขามองเธอ พบว่ามธุรินเองก็มองหน้าเขาอยู่แล้ว ‘คุณเสียใจกับเรื่องนี้เลยดื่มจนเมางั้นเหรอ’

เธอเลิกคิ้ว ดวงตาปรือปรอยเต็มที ส่ายหน้าไปมาบนหมอนและพูดเสียงยานคางต่อไปว่า ‘นี่แหละความลับของฉัน นายห้ามบอกใครนะ เหยียบไว้เลยรู้มั้ย ฉันเลือกเขาเพราะเราเหมาะสมกัน เขาก็เลือกฉันด้วยเหตุผลเดียวกัน ฉันอายุสามสิบเอ็ดแล้ว ถ้ายังไม่แต่งงานปีหน้าจะยิ่งมีคนให้เลือกน้อยลง นายรู้ไหม จะหาผู้ชายที่มีคุณสมบัติครบถ้วนอย่างพี่ภูมิมันไม่ง่ายหรอกนะ ฉันหามาตลอด หาจนเหนื่อยแล้ว แต่มันไม่มี ทุกคนน่ะต่ำกว่ามาตรฐานทั้งนั้น น่าเสียดายที่คนสวยๆ อย่างฉันจะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่มีคุณสมบัติไม่ได้มาตรฐาน นายว่ามั้ย?’

เขาถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่ชอบกับสิ่งที่ได้ยินเลย

‘ฟังนะมธุริน ถ้าคุณแต่งงานด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ความรัก แล้วผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้รักคุณเหมือนกัน ชีวิตคู่ของคุณจะไม่มีความสุข ยกเลิกงานแต่งซะ ถ้าคุณไม่อยากเป็นผู้หญิงอมทุกข์’

เธอกะพริบตามองเขาสองสามที ก่อนจะปิดเปลือกตาลงและหลับไปเลย

เขาได้แต่ถอนใจยืดยาว ห่มผ้าให้เธอก่อนจะเดินจากมา

ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่เขาก็ลืมสิ่งที่มธุรินพูดไม่ลง จนถึงตอนนี้แม้จะนั่งอยู่บนเครื่องที่มุ่งหน้าสู่ภาคใต้ของไทย ในหัวเขายังคอยจะนึกถึงแต่เรื่องของเธอไม่หยุด



มธุรินใส่แว่นกันแดดสีชาอันใหญ่ สวมหมวกใบใหญ่มาก หวังว่าจะสามารถปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของเธอได้ ถ้าไม่ได้ลงไปยื้อยุดกับชลธีในผับเมื่อคืน เธอก็คงไม่ร้อนตัวอย่างนี้หรอก แต่ยิ่งทำแบบนั้นหญิงสาวก็ยิ่งดูน่าสนใจมากขึ้นจนเดินผ่านหน้าใครก็จะถูกจ้องเอาๆ

“บ้าจัง จะมองอะไรนักหนาก็ไม่รู้ เกิดมาไม่เคยเห็นคนสวยรึไง” เดินไปบ่นไปจนเกือบจะชนกับภาคภูมิที่หน้าโรงแรม เธอสะดุ้งตกใจเหมือนถูกผีหลอก

“เห็นหน้าพี่ต้องตกใจขนาดนี้เชียว” เขาทักหน้าขรึมๆ

“ก็...ก็มิ้มไม่คิดว่าพี่ภูมิจะว่างมาส่งนี่คะ” เธอแก้ตัวแล้วเสมองไปทางอื่น เห็นคนมองมาทางนี้ไม่ได้ขาดก็ลากแขนเขาออกไปจากโรงแรมโดยเร็ว

“พี่โทร. หาทำไมไม่รับสาย ส่งข้อความมาก็เงียบฉี่ มิ้มคิดจะปั่นหัวพี่รึไง” เขาเล่นงานเธอเมื่อสบโอกาส

“เปล่าค่ะ แต่มิ้มไม่สบาย นอนซมตั้งแต่เย็นวานแล้ว ถ้าเป็นห่วงมิ้มจริงทำไมพี่ภูมิไม่แวะมาดูมิ้มบ้างละคะ ไข้ขึ้นเกือบตาย ดีนะที่พนักงานมาเจอซะก่อนถึงเรียกรถพยาบาลมารับมิ้มได้ทัน ไม่งั้นก็ตายเป็นผีเฝ้าโรงแรมไปแล้ว” เธอโกหกได้หน้าตาเฉย

อย่าคิดจะมาโยนความผิดให้คนอย่างมธุรินได้เลย ต่อให้ผิดจริงฉันก็ไม่ยอมรับหรอก เชอะ!

สีหน้าของภาคภูมิเปลี่ยนไป แตะแขนเธอไว้แล้วก้มมองใบหน้าสวยเด่นที่ถูกบดบังไปกว่าครึ่งด้วยแว่นกันแดด “ไม่สบายเป็นอะไร หายดีแล้วเหรอ ไว้กลับพรุ่งนี้ดีไหม พักอีกซักวันก่อนดีกว่า”

“ไม่เป็นไรค่ะ หมอเขาเก่ง มิ้มหายแล้ว ต้องรีบกลับด้วย เดี๋ยวแม่กับน้ามลเป็นห่วง ถ้าแห่ตามขึ้นมาถึงเชียงใหม่ก็จะเป็นเรื่องใหญ่เปล่าๆ มิ้มไม่อยากบอกแม่เรื่องที่ทำให้มิ้มไม่สบายใจจนไข้ขึ้นน่ะค่ะ”

ภาคภูมิหน้าจ๋อยลง เข้าใจว่าโดนเหน็บแรงๆ เข้าให้แล้ว อย่างที่มธุรินบอก เรื่องนี้ไม่ควรให้แม่กับน้าของเธอรู้เป็นดีที่สุด ไม่อย่างนั้นงานแต่งอาจมีปัญหา เขาไม่อยากเริ่มต้นมองหาผู้หญิงที่เพียบพร้อมอีกครั้ง กว่าจะเจอหญิงสาวที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ามธุรินไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“งั้นพี่ไปส่งที่สนามบินนะ เดี๋ยวเราแวะทานข้าวกันก่อน มิ้มจะได้ไม่หิวระหว่างทาง ทานที่โรงแรมนี่เลยดีไหม”

“ไม่ค่ะ!” หญิงสาวตอบทันควัน “มิ้มเบื่ออาหารที่นี่แล้ว ไปหาอะไรทานที่แอร์พอร์ตดีกว่า เปลี่ยนบรรยากาศไงคะ แต่ก่อนอื่นพี่ภูมิไปส่งรถเช่ากับมิ้มก่อนนะคะ นี่ค่ะกระเป๋า”

เธอส่งกระเป๋าลากให้เขาแล้วเดินนำไปที่รถ ชายหนุ่มได้แต่ลากกระเป๋าเดินตามคู่หมั้นอย่างไม่มีปากมีเสียง เขาต้องทำตัวดีหน่อย ไว้มธุรินหายโกรธเมื่อไรค่อยคุยกันเรื่องนี้อีกที

หญิงสาวก้าวขึ้นรถที่มีคู่หมั้นคอยเปิดประตูให้ มองลอดแว่นกันแดดกลับไปที่ตึกสีอิฐแดง บอกตัวเองว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นแค่ความฝันเท่านั้น อีกไม่นานหรอก เธอจะลืมนายแว่นจนสนิทใจ ไม่มีเขาหลงเหลืออยู่ในความทรงจำ








 

Create Date : 03 มีนาคม 2556
3 comments
Last Update : 28 กรกฎาคม 2556 0:48:52 น.
Counter : 1283 Pageviews.

 

ชลธีรู้ความลับมิ้มแล้ว คงต้องมีเหตุให้เจอกันต่อแน่

 

โดย: goldensun IP: 27.55.8.229 5 มีนาคม 2556 0:07:51 น.  

 

แล้วคู่นี้จะเจอกันอีกรึป่าว.. รอลุ้นนะ

 

โดย: ดอกฝิ่น IP: 119.63.78.250 8 มีนาคม 2556 14:54:37 น.  

 

จะต้องปล่อยไก่ให้นายชลตามเก็บจนหมดฟาร์มเลยหรือไง ยัยมิ้ม เห็นมาดดีแต่หลุดโก๊ะมาโดยตลอด ทำให้สถานการณ์เครียดๆ มีจังหวะชวนหัวขึ้นมาได้

 

โดย: ree IP: 110.49.248.169 18 มีนาคม 2556 22:58:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ระตา
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




รู้สึกอยู่เสมอว่าการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คือความมหัศจรรย์...และการอ่านออกเขียนได้คือรางวัลของชีวิต...
Friends' blogs
[Add ระตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.