Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
28 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 
ตอนที่ 4 Can you keep a secret?




มธุรินยังหลับสนิทตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง หญิงสาวงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดศีรษะจี๊ดๆ ห้องมืดสนิทจนต้องคลำหาโทรศัพท์มือถือมากดดูเวลาที่หน้าจอพบว่าสองทุ่มครึ่งแล้ว มีมิสคอลจากภาคภูมิสองสาย ข้อความหนึ่ง เธอกดอ่าน

‘มิ้มอยู่ไหน โทร. ไปทำไมไม่รับ พี่เป็นห่วงนะ’

เธอไม่แปลกใจ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่ม คงไม่ทำอะไรเว่อร์ๆ แบบมิสคอลร้อยสายเพื่อแสดงถึงความร้อนใจ แต่ก็ไม่ได้ตามมาที่โรงแรมให้สมกับคำว่า ‘ห่วง’

หญิงสาวถอนใจ ไม่เชิงผิดหวัง แค่รู้สึกเบื่อโดยเฉพาะเรื่องที่เธอพบเจอมาวันนี้

ร่างบางลุกขึ้นนั่ง เปิดโคมไฟหัวเตียง สางผมลวกๆ และตบแก้มตัวเองเบาๆ เพราะเผลอนอนคว่ำ กลัวว่าจะทำให้เกิดริ้วรอยกดทับบนใบหน้า แม้ในสภาวะเคร่งเครียดคนอย่างมธุรินก็ไม่เคยลืมใส่ใจเรื่องความสวยความงาม แม่กับน้ามลสอนว่าเป็นผู้หญิงต้องสวยทุกนาที เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกถึงจำได้ว่ามีแขกมาเยือน

หรือจะเป็นพี่ภูมิ?

มธุรินรีบลุกไปสำรวจตัวเองหน้ากระจกเงา เมื่อมั่นใจว่าดูดีพร้อมเผชิญหน้ากับคนทั้งโลก (ย้ำว่าคนทั้งโลก ไม่ใช่แค่ภาคภูมิคนเดียว) จึงเดินไปเปิดประตู แต่ผู้ชายตัวสูงที่ยืนกอดอกรออยู่หน้าห้องทำให้เธอนิ่วหน้า มองเขาด้วยความหวาดระแวง

“คุณเป็นใครเนี่ย ไปไหนก็เจอตลอดเลย วันก่อนก็เจอ เมื่อคืนก็เจอ วันนี้ก็ยังเจออีก” เธอถามอย่างงุนงง หรี่ตาจับผิดเขา สักพักความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัว

“นี่อย่าบอกนะว่า...นายเป็นแฟนคลับโรคจิตที่แอบสะกดรอยตามฉันมาจากกรุงเทพฯ!” เมื่อปักใจว่าเขาเป็นคนโรคจิต สรรพนามจึงเปลี่ยนไปด้วย

เธอถอยร่นเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว พยายามจะงับประตูปิดลง แต่เขาใช้มือยันไว้ ด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่าชลธีจึงเป็นฝ่ายชนะ นั่นทำให้มธุรินยิ่งตื่นตระหนกไปกันใหญ่ รีบใช้มือปิดหน้าแต่กางนิ้วจนห่างทำให้มองเห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายชัดเจน

“นี่อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ฉันไม่อยากดู นายไม่ต้องถอดนะ ไม่ต้องโชว์เลย ฉันไม่ตื่นเต้นหรอก ฉันเห็นมาเยอะแล้ว เฉยมาก ไม่รู้สึกอะไรเลย เสียเวลาเปล่า นายกลับไปซะดีกว่า”

ชลธีเลิกคิ้ว ถอดๆ โชว์ๆ อะไรของเธอ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

เขาปัดความสงสัยออกจากหัว พยายามจะเริ่มต้นธุระ “คุณเงียบแล้วฟังผม”

“No!!!” เธอร้องเสียงสูง ส่ายหน้าดิก “ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น นายมันโรคจิต อย่าคิดว่าฉันอ่านไม่ออกนะ ถึงฉันจะสวยเว่อร์แต่ฉันก็ฉลาดย่ะ แม่ฉันให้กินปลาตั้งแต่เด็ก วันก่อนนายตามฉันเข้าไปในโรงหนัง เมื่อคืนยังมายืนลับๆ ล่อๆ ที่หน้าห้อง เมื่อเช้าก็ตามไปสังเกตการณ์ที่ไร่ชาอีก คืนนี้ถึงขั้นมาเคาะห้อง นายนี่มันโรคจิตขั้นรุนแรงชัดๆ ไปนะ ไปให้พ้น!”

ชลธีหน้าตึง เพิ่งจะเข้าใจไอ้ถอดๆ โชว์ๆ ของเธอก็ตอนนี้ เหลือเชื่อจริงๆ นี่มธุรินคิดว่าตัวเองเป็น เลดี้ กาก้า หรือยังไงถึงต้องมีแฟนคลับโรคจิตติดตามไปทุกที่ซะขนาดนั้น

“หยุดเพ้อเจ้อแล้วฟังผม” ชายหนุ่มเน้นทุกคำด้วยสุ้มเสียงเรียบเย็น

มธุรินทำท่าจะไม่ฟังแต่พอสบตาเขาแล้วก็พูดอะไรไม่ออก นัยน์ตาคมกริบที่จ้องมองมาแน่วนิ่งเหมือนมีอำนาจลึกลับบางอย่างที่ทำให้เธอไม่กล้าหือ ได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองเขาผ่านรอยแยกของนิ้วที่กางเต็มหน้าตัวเองพลางกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ

‘โธ่เอ๋ยยายมิ้ม กับคู่หมั้นตัวเองทำเล่นตัว แต่ต้องมาเสียสาวให้นายแว่นโรคจิตซะงั้น ชีวิตฉันทำไมมันถึงได้โหดร้ายขนาดนี้ ฮือ...’

เขาแกะมือเล็กออกจากใบหน้างาม หญิงสาวสะดุ้งเฮือก หลับหูหลับตา ร้องลั่นเหมือนหมูกำลังจะถูกเชือด

“กรี๊ด! อย่าถอดนะอย่าถอด ฉันไม่อยากมอง เดี๋ยวตาเป็นกุ้งยิง”

ชลธีถอนใจเฮือกใหญ่พลางกลอกตาไปมา รีบใช้มือปิดปากเธอไว้พร้อมเบียดร่างเข้าไปในห้อง ก่อนจะมีใครผ่านมาเห็นเข้าแล้วคิดว่าเขาเป็นไอ้บ้าโรคจิตไปอีกคน พอกระแทกประตูปิดลงได้จึงปล่อยให้เธอเป็นอิสระ

หญิงสาวรีบหายใจเอาอากาศเข้าปอดก่อนจะถอยร่นไปยืนให้ห่างเขา มองซ้ายมองขวาเพื่อจะหาอาวุธไว้ป้องกันตัว สวยๆ อย่างเธอต้องถูกข่มขืนก่อนฆ่าแน่นอน แค่คิดถึงสภาพศพอุจาดตากับพาดหัวข่าวหลังการตายของตัวเองก็รับไม่ได้อย่างแรง

แม่จ๋า...ช่วยมิ้มด้วย!

ชลธีพ่นลมหายใจหนักหน่วง กอดอก ถามเสียงเรียบ “ถามจริงเถอะคุณ หน้าผมเหมือนคนโรคจิตขนาดนั้นเลย?”

เธอมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ คว้าช่อดอกไม้ของภาคภูมิที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ตั้งแต่เมื่อคืนนี้มายึดไว้เป็นอาวุธเพราะมันคือสิ่งที่อยู่ใกล้มือที่สุด “สมัยนี้หน้าตามันวัดนิสัยคนไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่นายทำต่างหากบอกฉันว่านายเป็นไอ้บ้าโรคจิต!”

เขาเลิกคิ้ว “ผมทำอะไร?”

“ก็นายแอบตามฉันตั้งแต่อยู่ในโรงหนังไง เพราะอย่างนั้นนายถึงได้รู้ว่าฉันพักที่ไหนห้องไหน ใช่สิ เมื่อคืนนายมาดักรอฉัน ดีที่พี่ภูมิอยู่ด้วยนายเลยไม่มีโอกาส แล้วที่นายชกเขาก็เพราะเห็นเขามายุ่งกับฉันใช่ไหมล่ะ เมื่อเช้านี้นายยังตามไปจนถึงไร่ชา พอคืนนี้นายก็มาเคาะประตูห้องฉันอีก นี่นายคิดจะทำอะไรฉันใช่มั้ย” ว่าแล้วก็เบิกตาโต ทำท่าขนลุกขนพอง ถอยห่างไปอีกสามก้าว

ทุกฉากทุกตอนมันสอดรับกับข้อสันนิษฐานของเธออย่างเหมาะเจาะ หลักฐานมัดตัวขนาดนี้เขาดิ้นไม่หลุดแน่ แล้วเธอเองก็อาจจะไม่รอดเหมือนกัน

ทำไงดี ฉันไม่อยากถูกข่มขืนแล้วฆ่า อนาคตที่สวยงามรอคอยอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง แต่ฉันจะไปไม่ถึงมันจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่นะ!!

ชลธีแค่นหัวเราะฝืดๆ แต่แววตาไม่ขำด้วย “ถ้าจะเพ้อเจ้อขนาดนี้ผมว่าคุณน่าจะไปเขียนนิยายมากกว่าเป็นอินทีเรียร์ดีไซเนอร์นะ”

มธุรินผงะไปอีก ริมฝีปากสั่นระริกพึมพำกับตัวเอง “รู้ด้วยว่าฉันทำอะไร คงหาข้อมูลมาหมดแล้วสิ นี่แปลว่าฉันจะถูกข่มขืนแล้วฆ่าจริงๆ ใช่มั้ย ฮือ...”

ชายหนุ่มกลอกตาไปมา ถึงเธอจะพูดเบา แต่เขาได้ยินชัดเต็มสองหู เหลือเชื่อจริงๆ เธอใช้อะไรคิดเนี่ย?

“นี่คุณ...”

เขาพยายามจะหยุดจินตนาการอันล้ำเลิศแต่ไม่สร้างสรรค์ของเธอ แต่หญิงสาวก็โพล่งสวนไปแบบคนที่ต้องรีบคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ ไม่ว่าฟางเส้นนั้นจะเหนียวแน่นปลอดภัยหรือบางเบาไร้น้ำหนักแค่ไหนก็ตาม

“นี่นาย นายอยากจะได้ลายเซ็นฉันรึเปล่า หรือจะเอารูปถ่ายพร้อมลายเซ็นก็ได้นะ นายจะได้เอาไปอวดเพื่อนๆ ไง อยากได้ใช่มั้ยล่ะ เอางี้ละกัน นายออกไปรอข้างนอกก่อนนะ ฉันเซ็นชื่อใส่รูปให้แป๊บเดียวแล้วจะรีบตามออกไป โอเคนะ?”

เขาโคลงศีรษะอย่างเอือมระอา และก่อนจะได้ยินอะไรที่เพ้อเจ้อมากกว่านี้ก็รีบตัดประเด็นเข้าเรื่อง “ผมมาหาคุณเพราะพ่อคุณฝากของไว้ให้”

เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกามาอย่างตื่นเต้นแต่แล้วชั่วพริบตานั้นเองไฟก็ดับพรึบ เครื่องเล่นหยุดชะงัก เล่นเอาเธอหัวทิ่มตำบ่ออย่างหมดสภาพ

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน มองหน้าเขางงๆ เมื่อกี้เธอฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า?

“ผมเป็นผู้จัดการโรงแรม คุณเป็นแขก พ่อคุณฝากของไว้ให้แขกของผม ผมก็ทำตามหน้าที่”

เธอแค่นยิ้ม ชี้นิ้วไปที่ใบหน้าละอ่อนของเขา “น้ำหน้าอย่างนายเนี่ยนะ ผู้จัด...”

พูดได้เท่านั้น สายตาของเขาก็ตวัดมองเธอนิ่งๆ ทั้งที่เขาไม่ได้เอ่ยปากสักคำ แต่นัยน์ตาคมคู่นั้นบอกว่าสิ่งที่เธอกล่าวหาเขาไปทั้งหมดนั่นมันไร้สาระสิ้นดี มีแต่เด็กประถมเท่านั้นแหละที่จะคิดได้

มธุรินหน้าชาก่อนจะร้อนวูบวาบไปทั้งตัว หน้าแหกยับเยินขนาดนี้ต่อให้บินไปถึงเกาหลีก็คงไม่มีศัลยแพทย์คนไหนช่วยซ่อมให้เธอได้ หญิงสาวค่อยๆ งอนิ้วชี้ที่พุ่งไปทางใบหน้าเขากลับเข้าหาตัว ก่อนจะใช้มือนั้นสะบัดปลายผมยาวสลวยแก้เก้อ กระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนจะเรียบเรียงคำพูดใหม่

“คุณ...พูดจริงเหรอ” เมื่อเขาไม่ใช่นายแว่นโรคจิต สรรพนามจึงสุภาพขึ้น

ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่เปิดประตูออกไปหยิบกล่องไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรที่วางไว้หน้าห้องเข้ามาส่งให้หญิงสาว “หลักฐานว่าผมพูดความจริง”

ทั้งที่รู้สึกอับอายจนอยากมุดวอลล์เปเปอร์หนี แต่ด้วยวิสัยที่ต้องรักษาหน้าตายิ่งชีพเธอจึงเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย วางท่าเป็นสาวสังคมผู้มาดมั่น “โทษที ฉันเพิ่งตื่นน่ะ สมองมันก็เลย...เบลอๆ”

เธอยักไหล่ แบมือ และยิ้มเก๋ ก่อนจะเอื้อมมือไปรับของจากเขา “ขอบคุณค่ะ อ๊ะ เดี๋ยวนะ ต้องมีทิปใช่มั้ย”

ชลธีกลอกตาเซ็ง พยายามไม่พ่นลมหายใจใส่หน้าเธอ เขารีบถอยออกไปจากห้องพักแขกพร้อมปิดประตูให้ด้วย

หญิงสาวอ้าปากค้าง ก่อนจะส่งค้อนให้ประตูนิด แต่พอคิดได้ว่าเมื่อครู่เธอพูดจาอะไรน่าขายหน้าออกไปบ้างก็รีบวางกล่องไม้ลง ดึงทึ้งผมตัวเอง สีหน้าเหมือนคนอยากตาย “เมื่อกี้ฉันปล่อยไก่ออกไปทั้งฟาร์มเลย ฮือ...อาย!”



จัดการธุระที่เพื่อนบ้านสูงวัยฝากฝังไว้เรียบร้อยแล้วชลธีก็เดินตรวจตราความเรียบร้อยทั่วโรงแรมอย่างที่เคยทำเป็นประจำ ก่อนจะส่งต่อหน้าที่ดูแลโรงแรมให้กับ Night Manager แล้วค่อยลงไปนั่งดื่มที่ผับชั้นใต้ดินเหมือนทุกคืนที่นอนไม่หลับ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้หมกมุ่นกับเรื่องของคนอื่น แต่เรื่องที่คุณมนต์ธัชพูดกับเขาวันนี้มันยากจะปัดให้พ้นจากความคิดได้

จุดเริ่มต้นมาจากคำขอร้องชวนประหลาดใจของผู้สูงวัย

‘สองทุ่มแล้วยายมิ้มคงไม่ลงมาพบอาแน่ งั้นอาฝากชลเอาของไปให้ยายมิ้มหน่อยได้ไหม’

เขามองกล่องไม้แกะสลักลวดลายไทยงามวิจิตร ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้สูงวัยไม่เอาของไปให้ลูกสาวบนห้องพักด้วยตัวเอง และถ้าจะถามให้ตรงจุดกว่านั้นคือทำไมพ่อถึงไม่โทร. บอกลูกว่ารออยู่ที่ล็อบบี ทำแบบนั้นจะไม่ง่ายกว่านั่งรอด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ หรือ

คุณมนต์ธัชคงสังเกตเห็นคำถามในดวงตาเขาจึงชวนเขานั่งดื่มกาแฟด้วยกัน ผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นคงช่วยให้ผู้สูงวัยผ่อนคลายลง บทสนทนาแบบเปิดใจจึงเริ่มขึ้น

‘ความจริงอามีเรื่องอยากคุยกับลูกถึงมารอพบที่นี่ แต่อาไม่ได้เลี้ยงยายมิ้มมาตั้งแต่เด็กเลยไม่กล้าจะถือสิทธิ์ของพ่อเข้าไปก้าวก่ายชีวิตลูก และอาก็พอจะรู้ว่าถึงพูดไปยายมิ้มก็คงไม่ฟัง แกฟังแต่แม่กับน้า’

จากคำบอกเล่านั้นเองคุณมนต์ธัชถึงต้องเท้าความหลังให้เขาฟัง ชายหนุ่มจับใจความคร่าวๆ ได้ว่าคุณมนต์ธัชแต่งงานกับผู้หญิงที่รักกันตั้งแต่สมัยเรียน ตอนนั้นความรักช่างหวานชื่น โลกทั้งใบเป็นสีชมพู หูตาของเขามืดบอดจนมองไม่เห็นปัญหามากมายที่รอคอยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างในเรื่องนิสัยใจคอ รสนิยม ฐานะ และญาติพี่น้องจนนำมาซึ่งการเลิกราในที่สุด

คุณมนต์ธัชเติบโตมาจากครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อเป็นครู แม่เป็นชาวอเมริกันทำงานเป็นครูสอนพิเศษตามสถาบันสอนภาษาต่างๆ ที่เปิดรับสมัครครูสอนภาษาอังกฤษเพราะไม่มีวุฒิการศึกษาที่จะไปสมัครเป็นครูตามโรงเรียนทั่วไปได้ ส่วนคุณมาลินีเป็นลูกสาวมหาเศรษฐี พ่อเป็นนักธุรกิจพันล้าน แม่เป็นลูกผู้ดีเก่า เงินกับชื่อเสียงบวกกันกลายเป็นชีวิตในสังคมที่หรูหราไฮโซเกินกว่าคนอย่างเขาจะเข้าไปปะปนได้อย่างสนิทใจ

แน่นอนว่าพ่อแม่ของคุณมาลินีไม่เห็นด้วยกับการแต่งงาน แต่ทั้งสองคนก็รักกันปานจะกลืน ลักลอบไปจดทะเบียนสมรสเมื่อเรียนจบ สมัยนั้นผู้หญิงที่แต่งงานจดทะเบียนแล้วยังไม่มีสิทธิ์เลือกใช้คำนำหน้าเป็นนางสาว การจะเอาคุณมาลินีไปใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้วขายต่อให้ลูกเศรษฐีคนอื่นจึงเป็นปัญหาอยู่มาก เพราะกระดาษแผ่นนั้นนั่นเองที่ทำให้พ่อกับแม่ของเธอจำใจต้องยอมรับเขยติดดินอย่างคุณมนต์ธัชเข้ามาในครอบครัว

ผู้สูงวัยไม่ได้เล่ารายละเอียดหลังจากนั้นมากนัก สรุปแค่ว่าเพราะความแตกต่างกันมากเกินไปของเขากับภรรยาที่เริ่มเปิดเผยออกมาหลังใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจึงทำให้การแต่งงานล้มเหลว เขาเลิกกับภรรยาเมื่อลูกสาวอายุได้เพียงขวบเศษเท่านั้น

มธุรินใช้นามสกุลของคุณตาตั้งแต่เกิด เพราะนามสกุลของพ่อมันต่ำต้อยไปสำหรับหลานสาวคนเดียวของเศรษฐีพันล้าน ด้วยเหตุนี้ชลธีจึงไม่เอะใจว่ามธุรินเป็นลูกสาวของนายมนต์ธัช มิ่งกมล อดีตนายอำเภอที่ผันตัวเองมาทำไร่ชาและเป็นเพื่อนบ้านของพ่อเขา

อดีตรักที่ขมขื่นของผู้สูงวัยไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตัดสินอะไรได้ แต่บทสนทนาอย่างเปิดใจของคนเป็นพ่อเรียกความสนใจจากเขาได้ติดหมัด

‘พออารู้ข่าวงานหมั้นของยายมิ้ม อาก็คอยสืบหาข้อมูลของภาคภูมิเท่าที่พอจะสืบได้ รู้ว่าเขามาทำงานกับคุณเกษมจึงเลียบเคียงถามคุณกรองภรรยาของเขาดู อารู้จักคุณกรองดี เราเคยทำงานด้วยกัน แล้วสิ่งที่ได้รู้ก็ทำให้อาไม่สบายใจ’

เขารับฟังเงียบๆ รอว่าผู้สูงวัยจะพูดอะไรต่อ

‘อาไม่อยากให้ยายมิ้มแต่งงานกับภาคภูมิ เขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะทำให้ยายมิ้มมีความสุขได้ อาอยากบอกลูกแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แต่ถ้าจะไม่ทำอะไรเลยก็รู้สึกผิดเหลือเกิน รู้ทั้งรู้ว่าทางที่ลูกเลือกเดินมีเหวลึกรออยู่ ถ้ายังปล่อยให้ลูกเดินลงเหวไปอย่างนั้นอาก็เป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ วันนี้อาตั้งใจมาคุยกับยายมิ้มตรงๆ แต่เห็นได้ชัดว่าลูกสาวอาไม่เปิดใจรับพ่อคนนี้ อาคงต้องกลับซะที ฝากชลเอาของไปส่งยายมิ้มทีนะ ขอบใจมาก’

บทสนทนาจบลงเท่านั้น ผู้สูงวัยฝากกล่องไม้แกะสลักไว้ให้มธุรินแล้วจากไป เขาไม่ได้เสนอจะพาพ่อขึ้นไปพบลูกสาวอีก ปัญหาในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คนนอกไม่มีทางเข้าใจได้ทั้งหมด และเขาก็มองไม่เห็นทางที่จะช่วยเหลืออะไรได้มากกว่านี้อีกแล้ว

เขาสงสัยว่าภาคภูมิบกพร่องอย่างไร คุณมนต์ธัชถึงคิดว่าชายหนุ่มจะทำให้มธุรินมีความสุขไม่ได้ มันต้องเป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่มากแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคนเป็นพ่อคงไม่ตั้งใจมารอคุยเรื่องนี้กับลูกสาวทั้งที่รู้แก่ใจดีว่ามธุรินอาจไม่ยอมรับฟัง หรือแม้จะยอมฟังแต่เธอก็คงไม่ใส่ใจอยู่ดี



มธุรินนอนมองเพดานห้องอยู่นานเท่าไรไม่รู้กว่าจะลุกมาเปิดกล่องไม้แกะสลักของพ่อ ในนั้นมีโฉนดที่ดินผืนหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่กับจดหมายลายมือพ่อ เหมือนเขาจะรู้ว่าเธออาจไม่ยอมลงไปพบจึงเขียนจดหมายแนบมาด้วย หญิงสาวเปิดอ่าน



‘ที่ดินผืนนี้พ่อตั้งใจจะเก็บไว้ให้มิ้มก่อนแต่งงาน เผื่อหนูอยากปลูกบ้านพักตากอากาศสักหลังที่เชียงใหม่ เราจะได้อยู่ใกล้กันมากขึ้น

พ่อติดตามข่าวของมิ้มมาตลอด พ่อรู้ว่าหนูเป็นคนเก่ง แต่พ่อก็อดห่วงไม่ได้ ถ้าหนูพอจะมีเวลา แวะมาหาพ่ออีกนะ แล้วเราค่อยคุยกัน

พ่อ’



หญิงสาวพับจดหมายใส่ซองตามเดิม ก่อนจะหยิบมือถือมาเปิดเครื่อง เธอปิดมันตั้งแต่คนที่เอากล่องไม้แกะสลักของพ่อมาให้กลับออกไป

จวนห้าทุ่มแล้ว เธอเพิ่งรู้ตัวว่านอนหายใจทิ้งอย่างไร้ประโยชน์เกือบสามชั่วโมง

นิ้วเรียวจิ้มดูมิสคอลยี่สิบกว่าสาย จากแม่ น้ามล แล้วก็ภาคภูมิรวมกัน มีข้อความอีกห้า เป็นของแม่กับน้าคนละสอง อีกหนึ่งข้อความจากภาคภูมิ

มธุรินโทร. หาแม่ บอกให้รู้ว่าสบายดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เธอแค่ง่วงเลยปิดมือถือนอนพักแต่เพลินไปหน่อยเท่านั้น

“โธ่...ยายมิ้ม แม่ก็เป็นห่วงแทบแย่ นึกว่าเป็นอะไรไปซะอีก แล้วนี่ยังไงจ๊ะ ตกลงกับตาภูมิได้รึเปล่า”

น้ามลคงเล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว เธอลอบถอนใจไม่ให้คนในสายได้ยิน “ค่ะแม่ แม่สบายใจได้ พี่ภูมิเขาเข้าใจมิ้มค่ะ”

“ดีแล้วจ้ะ แล้ว...มิ้มไปเจอพ่อเขามาแล้วใช่ไหม ไหนเล่าให้แม่ฟังซิ เขาเป็นยังไงบ้าง มีความสุขดีรึเปล่ากับครอบครัวใหม่ของเขาน่ะ”

“มิ้มอยู่ไม่นานค่ะ แจกการ์ดเสร็จก็กลับเลย บ้านพ่อหลังเล็กนิดเดียว ซอมซ่อยังกะอะไรดี ไม่รู้อยู่กันได้ยังไง” เธอตอบเอาใจ ไม่อยากบอกแม่ว่าชีวิตพ่อดูมีความสุขดีกับบ้านหลังเล็กๆ ของเขา

“แม่ว่าแล้วเชียว อดีตนายอำเภอจนๆ จะสุขสบายซักแค่ไหน ยิ่งแต่งกับครูบ้านนอกแบบนั้นก็ไปกันใหญ่ อนาคตไม่ก้าวหน้าเพราะไม่มีผู้ใหญ่หนุนหลัง แล้วเมียกับลูกเขาล่ะ คงพออยู่กันได้ไม่ลำบากมากนักใช่ไหม ว่าแล้วก็น่าเห็นใจอยู่หรอกนะ เฮ้อ...”

สุ้มเสียงของแม่ไม่ค่อยสอดคล้องกับคำว่า ‘น่าเห็นใจ’ นัก มันฟังดูสมใจเสียมากกว่า แต่มธุรินก็ไม่ได้แย้ง เธอแค่สงสัย ข้อมูลที่น้ามลให้มากับพ่อตัวจริงดูไม่เหมือนกันเลย หรือว่าเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้พ่อดูสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

“แม่คะ จริงรึเปล่าที่น้ามลบอกว่าพ่อนิสัยไม่ดี ทำไม่ดีกับคุณตาคุณยายแล้วก็เข้ากับคนในบ้านเราไม่ได้เลย”

“เอ๊ะ ทำไมจู่ๆ ก็ถามเรื่องนี้ละจ๊ะ?”

“มิ้มแค่สงสัยน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เธอตอบเสียงอ่อย ไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำในช่วงเวลาที่เลวร้ายของแม่นัก คนที่เล่าเรื่องพ่อให้ฟังจะเป็นน้าสาวมากกว่า แต่ข้อมูลก็เหมือนจะมีแค่ด้านเดียว ด้านที่ทุกอย่างเป็นความผิดของพ่อทั้งหมด

“ยายมิ้ม...อย่าบอกนะว่าไปเจอพ่อวันนี้ทำให้ลูกไม่สบายใจ แม่บอกแล้วไงว่าไม่มีเขาเราสองคนก็อยู่ได้ อยู่อย่างมีความสุขมากซะด้วย ที่แม่ให้มิ้มไปเจอพ่อเพราะอยากให้เขาเห็นว่าเราเข้มแข็งและมีความสุขดี แม่ไม่อยากให้มิ้มอ่อนแอนะลูก อย่าหวั่นไหว เชิดหน้าเข้าไว้ หนูกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายที่ดีที่สุด หนูมีชีวิตที่น่าอิจฉา พ่อเขาต่างหากที่ควรจะเสียใจ เขาพลาดช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตหนูไปตั้งสามสิบปี เขาคือคนที่ต้องเสียดาย ไม่ใช่เรา”

เสียงปลุกปลอบให้กำลังใจจากแม่ทำให้เธอรู้ว่าจะอ่อนไหวไม่ได้เด็ดขาด แม่เคยเชื่อมั่นในความรักจนยอมขัดใจคุณตาคุณยายไปแอบจดทะเบียนสมรสกับพ่อ สุดท้ายก็ได้รู้ว่าความรักไม่ช่วยให้การแต่งงานยืนยาว แม่เจ็บปวดและบอบช้ำจากความรักอย่างสาหัส แต่แม่ก็รอดมาได้ และวันนี้แม่ยิ่งเข้มแข็งมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า เธอไม่ควรทำให้แม่อ่อนแอ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีอยู่แล้ว

“ค่ะแม่ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ มิ้มจะอาบน้ำแล้ว รู้สึกไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวจะกินยาแล้วนอนพักเลย ฝากบอกน้ามลด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะคะ รักแม่ค่ะ”

“เจอกันพรุ่งนี้จ้ะลูกรัก”

ฟังจากน้ำเสียงดูเหมือนแม่จะวางสายไปอย่างสบายใจ มธุรินถอนใจหนักหน่วง ไม่รู้ทำไม แต่เธอรู้สึกเซ็งๆ

“นอนมาทั้งค่ำ คืนนี้หลับไม่ลงแน่ เอาไงดีเนี่ย” ว่าแล้วก็เซ็งคูณสอง

หญิงสาวเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ นอนแช่น้ำอุ่นครู่ใหญ่ก็ออกมาทาครีมบำรุงผิว ผ่านไปครึ่งชั่วโมงยังคิดไม่ตกว่าคืนนี้จะหลับลงได้ยังไง

เธอนึกถึงยานอนหลับแล้วก็ปัดทิ้ง คงหาไม่ได้ตอนดึกขนาดนี้ เซ็งคูณสามเข้าไปเลย งั้นก็มีอีกอย่าง ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน แต่แหม สามสิบเอ็ดแล้วนะ ยังติดนมอยู่อีก ใครรู้เข้าได้หัวเราะเยาะตาย กำลังจะแต่งงานแล้วด้วย ถ้าพี่ภูมิรู้จะหาว่าเธอ ‘อ่อน’ รึเปล่า

เซ็งคูณสี่เลยทีนี้ ดื่มแก้เซ็งดีกว่า...คิดแล้วก็ชะงัก “เออ ทำไมไม่คิดได้เร็วกว่านี้นะ”

มธุรินยกหูโทรศัพท์ สั่งไวน์ชั้นเลิศมาหนึ่งขวด

ปกติแล้วปาร์ตี้เกิร์ลอย่างเธอไม่ใช่สาวคออ่อน แต่การออกงานสังคมจะดื่มหลายแก้วนักก็ดูไม่ดี เดี๋ยวจะถูกครหานินทาเอาได้ว่าเป็นแม่สาวคอทองแดง น้ามลบอกว่านี่ก็ทำให้ราคาตกได้เหมือนกัน ฉะนั้นเธอจึงจำกัดตัวเองอยู่ที่ไม่เกินสี่แก้ว เธอฝึกปรือมาอย่างดีจึงไม่รู้จักคำว่า ‘เมา’

ทว่าคืนนี้เธออยู่คนเดียว ดื่มคนเดียว ไม่มีใครรู้เห็นเป็นพยาน จะดื่มหมดขวดก็ไม่มีใครว่า เมาแล้วเธอคงจะหลับพับไปเลยจนถึงเช้า แบบนั้นก็ดี ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวายปวดหัวอีก

แต่มธุรินคิดผิด เพราะเธอไม่เคยเมาจึงไม่รู้ว่าเวลาเมาแล้วจะแสดงออกแบบไหน



ชลธีกำลังจะกลับขึ้นห้องพักอยู่แล้วตอนที่สาวสวยในชุดเกาะอกสีดำเดินนวยนาดเข้ามาในผับ รูปร่างเพรียวระหงกับใบหน้าสวยเด่นสะดุดตาชวนให้สายตาทุกคู่หันไปมองอย่างชื่นชม

เขาอาจจะเดินผ่านเธอไปเฉยๆ หากหญิงสาวไม่เดินเซเข้ามาชนอกและทิ้งน้ำหนักตัวให้เขารับไว้เกือบทั้งหมด เท่านั้นยังไม่พอเธอโอบรอบคอเขาไว้เป็นที่พักพิง ก่อนจะช้อนดวงตาเฉี่ยวคมคู่นั้นขึ้นจ้องตาเขา จิ้มนิ้วที่แก้มเขาแล้วหัวเราะเบาๆ แถมยังเอ่ยทักทายอย่างสนิทสนม

“นายแว่น...” ฟังเสียงยานคางนั้นก็รู้แล้วว่าเมา

เขาคงไม่รู้สึกอึดอัดขนาดนี้หากที่นี่ไม่ใช่ผับชั้นใต้ดินของโรงแรมมณีมัญชุ์ เชียงใหม่ สถานที่ซึ่งเขาอยู่ในฐานะเจ้าของและเจ้านาย ผู้ควรวางตัวให้เหมาะสมต่อหน้าพนักงานของตัวเอง

“คุณเมาแล้วลงมาทำไม” เขาเอ็ดพลางรวบมือที่จิ้มแก้มตัวเองเหมือนเห็นเป็นของเล่นเอาไว้

หญิงสาวทำตาโต หัวเราะเหมือนฟังเรื่องตลกที่สุดในโลกพลางส่ายหน้าไปมา “ใครเมา ไม่มี้...ไม่มีใครเมาเลย เจอคุณก็ดีแล้ว ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง เรื่องนี้ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนเลยนะ อยากฟังแล้วละซี่ ได้เลย เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ว่าแต่...คุณเก็บความลับได้ใช่มั้ย?”

เขาถอนใจ “ไม่”

“โอเค งั้นมานั่งนี่ ฉันจะบอกความลับของฉันให้คุณรู้” เธอหัวเราะพลางดึงเนกไทของเขาให้ตามไปนั่งโต๊ะตัวที่ว่างอยู่

“มธุริน!” ชายหนุ่มกัดฟันเตือนด้วยเสียงเรียบจัดและขืนตัวไว้ ตอนนี้พนักงานที่เห็นเหตุการณ์กำลังหันมาให้ความสนใจเขากับแขกสาวสวยของโรงแรมเป็นตาเดียว

เธอทำตาละห้อย ก่อนจะชักสีหน้า “ทำไมล่ะ มาเถอะน่า คุณอยากรู้ ฉันดูออก”

ว่าแล้วก็กระตุกเนกไทในมือให้เขาเดินตามอีก

ชลธีกัดฟันกรอด ไม่รู้จะพูดอะไร รู้สึกอายจนหน้าชากับสายตายิ้มๆ ของพนักงานที่มองมา เขาอยากจะสลัดเธอให้หลุดแล้วรีบเดินหนีไปโดยเร็ว แต่เพราะมธุรินเป็นลูกสาวของคุณมนต์ธัช และเขาก็เพิ่งจะนั่งคุยกับพ่อเธอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี่เอง จะว่าไปก็จวนจะเป็นคนรู้จักกันอยู่แล้ว อีกอย่าง เธอเป็นคนดังในสังคม จะปล่อยทิ้งให้ทำอะไรบ้าๆ บอๆ อยู่ตรงนี้ก็กระไรอยู่ แต่จะพาเธอกลับขึ้นห้องเองก็อาจจะตกเป็นขี้ปากพนักงานไปอีกนาน

จะทำยังไงกับเธอดี?

“นายแว่น!” มธุรินขึ้นเสียงเมื่อเขาไม่ยอมขยับตาม

คำเรียกขานนี่เองที่ทำให้ชลธีหมดความยับยั้งชั่งใจ เขากระตุกเรียวแขนกลมกลึงเข้าหาตัวแล้วโอบร่างนั้นออกไปจากผับโดยเร็ว

ไม่สนแล้วว่าใครจะคิดยังไง ขอเอามธุรินไปเก็บก่อนเถอะ!

“จะพาฉันไปไหน ปล่อยนะ!” คนเมาเริ่มโวยวาย จิกข่วนสารพัดเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยเธอ

ชลธีเห็นท่าไม่ดี ขืนพาหญิงสาวขึ้นลิฟต์หน้าล็อบบีมีหวังทำเขาขายหน้าอีกแน่ ชายหนุ่มตัดสินใจใช้ลิฟต์ขนของ ระหว่างทางก็ต้องต่อสู้กับการดิ้นรนขัดขืนของคนเมาไปด้วย

เล็บยาวของเธอข่วนเอาใต้คางเขาเป็นรอย ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะรวบตัวหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน ไม่ยอมให้เธอทำร้ายเขาได้อีก

“ปล่อยนะ มากอดฉันทำไม” มธุรินโวยวาย รู้สึกอึดอัดที่ถูกกอดจนแน่น กระดิกกระเดี้ยแทบไม่ได้ หายใจยังลำบากเลย

“ปล่อยแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” เขากัดฟันตอบเสียงเย็น แต่คนเมาไม่รับรู้ เธอยังดิ้นรนขลุกขลักไปตลอดทาง

ถึงชั้นที่มธุรินพักเขาก็ลากหญิงสาวออกจากลิฟต์ ฉวยกระเป๋าถือของเธอไปค้นหาคีย์การ์ดก่อนจะดันร่างหญิงสาวเข้าไปข้างใน

“ฉันไม่กลับห้อง พาฉันมานี่ทำไมอ้ะ” เธอบ่นอุบ จ้องมองเขาด้วยแววตากล่าวหา

ชลธีเหลือบไปเห็นขวดไวน์เปล่าๆ ล้มกลิ้งอยู่บนพื้นจึงถอนใจเฮือกใหญ่ อยากจะทิ้งเธอไว้แล้วเดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่คิดว่ามธุรินคงจะลงไปดื่มต่อที่ผับอีกแน่ แค่เขาคิด คนเมาก็เริ่มทำอย่างที่คาดไว้

ชายหนุ่มกลอกตาเซ็ง รีบตามไปรั้งต้นแขนกลมกลึงกลับเข้ามาในห้อง เธอขัดขืนแต่เขาไม่ใส่ใจ รั้งร่างบางเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำจากฝักบัวฉีดใส่หน้าหญิงสาว

มธุรินร้องกรี๊ด หลับหูหลับตาหลบสายน้ำเย็นจัดที่พุ่งเข้าใส่หู ตา จมูก ปากจนไม่รู้จะหลบไปทางไหน มือบ้าที่ไหนก็ไม่รู้มากดหัวเธอไว้ทำให้ขยับไม่ได้เลย เธอได้แต่เอื้อมมือออกไปปัดป้องใครคนนั้นแต่มันไม่ได้ผล ร่างบางทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง ครู่หนึ่งสายน้ำก็เปลี่ยนทิศ มันตกลงมาจากบนหัวเธอจึงพอจะลืมตาขึ้นได้บ้าง

“ไง หมดฤทธิ์แล้วเหรอคุณ” เขาลดฝักบัวลงพอให้เธอหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น

เธอกะพริบตามองนายแว่นงงๆ พลางหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด “นายแว่น...นี่นาย...นายจะฆ่าฉันเหรอฮะ?”

ว่าแล้วก็คว้าฝักบัวในมือชลธีฉีดใส่หน้าเขาเป็นการแก้แค้น

“เฮ้ย!” ชายหนุ่มร้องลั่น สะดุ้งโหยง รีบลุกยืนและปิดน้ำจากฝักบัวซะ จบเรื่อง!

มธุรินชะงัก น้ำไม่ไหล เธอปล่อยฝักบัวลง เห็นว่านายแว่นก็เปียกเหมือนกันถึงจะน้อยกว่าเธอก็เถอะ หญิงสาวจึงตัดสินใจว่าพอแค่นี้ก็ได้ แล้วก็หัวเราะขำ

ชลธีหน้าตึงจัด จ้องมธุรินอย่างโมโห ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องมารับมือกับผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่เรื่องอะไรของเขาสักนิด พอก้มมองสภาพตัวเองยิ่งหงุดหงิด “ดูซิ เปียกหมดแล้ว ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ”

“หนาว...”

เขาหันไปมองต้นเสียง มธุรินนั่งกอดตัวเองหนาวสั่นอยู่บนพื้น เงยใบหน้าเปียกๆ ขึ้นมองเขาตาละห้อย ก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊าก สมกับเป็นคนเมาจริงๆ

ชายหนุ่มยืนเท้าสะเอว ถอนใจเฮือกใหญ่

อยากร้องไห้จริงๆ ให้ตายสิวะ!








Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 28 กรกฎาคม 2556 0:46:26 น. 4 comments
Counter : 1957 Pageviews.

 
เพ้อเจ้อจริงๆ มธุริน แถมเมาแล้วยังแต่งตัวลงไปเสี่ยงซะอีก โชคยังดีที่เจอชล
อ่านไปหัวเราะไปเลยค่ะ นางเอกเรื่องนี้ออกแนวโก๊ะซะจริง โก๊ะแบบรักษามาด
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ


โดย: goldensun IP: 203.144.220.246 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:22:10:49 น.  

 
เรื่องที่แล้วเครียดกระจายเรื่องนี้ท่าทางจะฮากระจาย

รักษาสุขภาพด้วยนะพี่ก็ป่วยติดต่อกันยาวเลยตั้งแต่ปีใหม่ งานก็เยอะเดินทางก็บ่อย เหนื่อย


โดย: พี่หมูน้อย IP: 202.28.249.94 วันที่: 1 มีนาคม 2556 เวลา:9:18:06 น.  

 
เจอขนาดนี้ นายชลจะหลุดมาดสุภาพบุรุษไหมนี่


โดย: ree IP: 110.49.248.169 วันที่: 18 มีนาคม 2556 เวลา:22:27:28 น.  

 
Le tissu l?ger ultra et le bas-remplissage minimum int?rieur fait de ceux-ci les vestes parfaits pour les voyageurs dans les demi-saisons, tels que de septembre ? novembre. Les vestes parfaitement ? l'int?rieur de tout petits bagages et, une fois que vous tirez sur eux, doivent ? quelques minutes ? se remettre en forme. Cette ligne dans disponibles dans des couleurs nouvelles et ?l?gants qui vont des traditionnels rouges et bleus aux couleurs ? pastel ? comme l'aqua et g?ranium, comme bien "Topaz", glace, algues et boue plus innovantes.
//www.cd35-triathlon.fr
Parajumpers //www.cd35-triathlon.fr


โดย: Parajumpers IP: 112.111.165.34 วันที่: 27 ธันวาคม 2556 เวลา:11:50:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ระตา
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




รู้สึกอยู่เสมอว่าการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คือความมหัศจรรย์...และการอ่านออกเขียนได้คือรางวัลของชีวิต...
Friends' blogs
[Add ระตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.