บทเรียนในอดีตทำให้ชลธีในวัย 28 กลายเป็นชายหนุ่มผู้จริงจังกับการ แถมยังไม่ยอมมีแฟนจนพ่อกับแม่กลัวลูกชายจะขึ้นคาน
แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตา (กรรม) พาให้เขาพบสาวสวยวัย 31 ผู้เพียบพร้อม
มธุรินกำลังจะเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดในรอบปี ชีวิตอันสดใสรุ่งโรจน์รอคอยเธออยู่
ถ้าเพียงแต่...
‘เขา’ จะไม่เปลี่ยนใจเธอในวินาทีสุดท้าย!
“ชลธี” ชายหนุ่มผู้มีกรรม! TT^TT
บทนำ ________________________________________________________
ร่างสูงเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้ ทอดสายตามองจอภาพยนตร์ที่กำลังฉายตัวอย่างหนังใหม่อย่างไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดนัก เนื่องจากเป็นรอบดึกจึงมีเพื่อนร่วมโรงค่อนข้างบางตา เขารู้สึกสบายใจกว่าที่ไม่ต้องนั่งดูหนังกับคนแปลกหน้า เพราะนั่นยิ่งทำให้เหงามากกว่าการดูหนังคนเดียว
แต่ชายหนุ่มก็สบายใจได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง หลังจากที่หนังเริ่มฉายไปครู่หนึ่งก็มีคนเดินมานั่งข้างๆ ทั้งที่ยังมีเก้าอี้ว่างอีกมาก เขาเหลือบตามองผู้มาใหม่นิด เป็นผู้หญิง ไม่แน่ใจว่าสวยแต่มองในแสงสว่างจากจอภาพยนตร์แล้วดูดีมาก หรืออาจจะดูดีเพราะเธอใส่แว่นกันแดดก็ได้
ใช่ ผู้หญิงที่นั่งข้างเขาใส่แว่นกันแดดมาดูหนัง เธอไม่ยอมถอดแว่นแม้เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว อาจเพราะพฤติกรรมประหลาดนั้นที่ทำให้เขาสนใจเธอ หรือไม่ก็อาจเพราะเธอมานั่งดูหนังรักคนเดียว...เหมือนเขา
หนังเรื่องนี้จะว่าไปเขาก็ไม่ได้อยากดูนัก เขาไม่ชอบดูหนังรักโรแมนติกแต่ที่มาวันนี้เพื่อเช็กความผิดปกติของหัวใจ ภาพเด็กทารกตัวแดงๆ แก้มยุ้ยๆ ในอ้อมแขนแม่ซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของคนเป็นพ่ออีกทีซึ่งถูกส่งมาทางอีเมลวันนี้ทำให้เขาเกิดคำถามกับตัวเอง
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เขาควรจะมีใครสักคนให้คิดถึง ‘ใครคนนั้น’ ที่ไม่ใช่พี่สะใภ้ของเขาเอง
สามปีที่ผ่านมาเขาพูดได้ไม่เต็มปากว่าเลิกสนใจแพรววนิดในแง่เดิมแล้ว แต่ความชื่นชมในตัวเธอก็ยังเจืออยู่ในลมหายใจทุกคราวที่คิดถึง ไม่ถึงกับเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนวันวาน แต่ลึกๆ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเหงาและหวั่นวิตก
เหงาเพราะไม่มีใครอื่นให้คิดถึงได้โดยไม่รู้สึกละอาย หวั่นวิตกเพราะเขาไม่ได้ปิดกั้นตัวเองจากความรัก แต่ทำไมเขาถึงไม่มีความรู้สึกพิเศษแบบนั้นกับใครอีกเลย
แวบหนึ่งเขาคิดถึงนีรนารา ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ชอบเธอ นอกจากนีรนารามีส่วนคล้ายแพรววนิดมากเสียจนเขาไม่อยากจะเริ่มต้นกับเธอ เพราะเขาไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วเขาสนใจนีรนาราหรือยังลืมแพรววนิดไม่ได้กันแน่
มันน่ากลัวเมื่อคิดว่าตัวเองกำลังอยากให้ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นตัวแทนของใครอีกคน เขาไม่อยากเดินซ้ำรอยเดิมของพ่อและจะไม่ทำเด็ดขาด เพราะผลลัพธ์มันเลวร้ายเกินกว่าจะแก้ไขได้ด้วยความรู้สึกผิดที่เป็นเพียงนามธรรม
ชายหนุ่มปล่อยใจให้จมดิ่งกับเรื่องราวในอดีตแทนที่จะใส่ใจกับเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ กระทั่งเรื่องดำเนินมาจนถึงตอนใกล้จบ มีเสียงสะอื้นของเพื่อนร่วมโรงดังแว่วให้ได้ยิน เขามองจอภาพ เป็นฉากรักที่แสนประทับใจแต่เขาเข้าไม่ถึงอารมณ์นั้น เพราะเอาเข้าจริงก็แทบไม่ได้ดูด้วยซ้ำ ซื้อตั๋วเข้ามาเพื่อรำลึกความหลังแท้ๆ
ชลธีถอนใจแผ่วเบา คนข้างๆ ถอดแว่นออกวางบนตัก เขาเหล่มองโดยอัตโนมัติ หญิงสาวกำลังเช็ดน้ำตา ร่างบางสั่นเทาน้อยๆ จากแรงสะอื้น เธอยกสองมือขึ้นปิดหน้า หยดน้ำตาทะลักล้นออกมาไม่ขาดสาย หนังมันคงซาบซึ้งจริงๆ ถึงมีคนอินจัดขนาดต้องร้องห่มร้องไห้ราวกับญาติเสีย
ครู่เดียวร่างเพรียวระหงก็คว้ากระเป๋าลุกวิ่งออกไปจากโรงหนังทั้งที่เรื่องยังไม่จบดี เขาคงปล่อยให้เธอจากไปเฉยๆ ถ้าหญิงสาวจะไม่ทำแว่นกันแดดตกไว้ที่พื้น ชายหนุ่มก้มลงไปเก็บพอเงยหน้าขึ้นเธอก็วิ่งไปไกลแล้ว
เขาไม่กล้าตะโกนเพราะเกรงใจเพื่อนร่วมโรงหนัง ได้แต่มองจอภาพยนตร์สลับกับร่างที่วิ่งจากไปอย่างลังเล แต่ในเมื่อไม่ได้เสียดายเนื้อเรื่องที่แทบไม่ได้ดูตั้งแต่ต้น ร่างสูงจึงตามออกไปพร้อมแว่นกันแดดของหญิงสาว
เขาเห็นร่างบางในเดรสเข้ารูปสีครีมวิ่งหายไปทางห้องน้ำจึงเร่งฝีเท้าตามไปทันที่หน้าห้องน้ำหญิง
“เดี๋ยวครับคุณ”
หญิงสาวชะงัก หันกลับมา นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองเขาคล้ายตกใจ แต่ครู่เดียวก็สะบัดหน้าหนี เขาอ่านแววตาของเธอออก เธอไม่สนใจเขาเพราะแน่ใจว่าไม่ใช่คนรู้จัก
“คุณทำแว่นกันแดดตกไว้” ชายหนุ่มรีบชี้แจงก่อนที่เธอจะเข้าใจผิด เธออาจจะคิดว่าเขาเป็นพวกมิจฉาชีพก็ได้
หญิงสาวชะงักเท้าอีกรอบ รีบคลำที่คอเสื้อ ไม่เจอแว่นจึงถอยหลังกลับมาและเอียงข้างให้คนแปลกหน้า เหล่มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ เห็นแว่นกันแดดในมืออีกฝ่ายก็รู้ว่าใช่ของตัวเองจึงรีบฉวยมาใส่ในทันที ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าเขาตรงๆ
ผู้ชายคนนั้นสูงมาก ทั้งที่เธอใส่ส้นสูงห้านิ้วยังต้องเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าเขา เขาสวมแว่นตากรอบหนาสีดำเหมือนเด็กเนิร์ด แต่เป็นเด็กเนิร์ดที่ดูดีมากๆ ถ้าผู้ชายทุกคนใส่แว่นแล้วดูดีขนาดนี้คงไม่มีใครใช้คอนแทคเลนส์กันแล้ว
“ขอบคุณ” สุ้มเสียงนั้นแม้ไม่แสดงความเป็นมิตรแต่ก็ไม่ใช่อริ เธอมีมารยาทพอหรอก
เขาก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงยอมรับคำขอบคุณก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป แต่หญิงสาวเหมือนจะนึกได้เลยเอ่ยขึ้น
“หนังยังไม่จบนี่ อย่าบอกนะว่าคุณวิ่งตามฉันออกมาเพื่อจะคืนแว่นเท่านั้น”
เขาเอียงหน้ากลับมานิด “ไว้ค่อยหาเวลามาดูใหม่ก็ได้ ถึงขนาดมีคนอินจัดวิ่งร้องไห้ออกมาจากโรงหนังแบบนี้คงซึ้งน่าดู”
มธุรินกัดริมฝีปากที่เคลือบสีแดงสดจนรู้สึกเจ็บแต่ไม่เท่าที่หัวใจ เดินอย่างคนหมดอาลัยตายอยากเข้าไปในห้องน้ำพลางถอดแว่นกันแดดออก สบตาตัวเองในกระจกเงานิ่ง
หญิงสาวในภาพสะท้อนมีใบหน้าเรียวละมุน เครื่องหน้างามเด่นทุกชิ้น เครื่องสำอางที่ประโคมแต่งมาอย่างหนาตราหนังจระเข้เพื่ออำพรางใบหน้าที่แท้จริง บัดนี้เลอะคราบน้ำตาไม่น่ามองสักนิด หยดน้ำตาร่วงพรูลงมาอีกเมื่อนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มแปลกหน้า
‘...ถึงขนาดมีคนอินจัดวิ่งร้องไห้ออกมาจากโรงหนังแบบนี้คงซึ้งน่าดู’
“ซึ้งบ้าซึ้งบออะไรล่ะ ฉันร้องไห้เพราะดูหนังรักโรแมนติกแล้วไม่อินกับมันเลยต่างหาก นี่แปลว่า...ฉันผิดปกติใช่มั้ย ฮือ...”
|
มาต่อเรื่อยๆนะค่า
มีอนลกับแพรวมาแจมด้วยก็ดี อิอิ