Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
15 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 
ตอนที่ 2 ผู้ชายดีๆ ไม่มีขายตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง




นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ชลธีทำอะไรแบบนี้ เขาเปิดหน้ากูเกิ้ล จิ้มชื่อแขกคนหนึ่งของโรงแรม เลื่อนนิ้วไปวางเหนือปุ่มค้นหา ลังเลอยู่ครู่ใหญ่แต่ที่สุดก็จิ้มนิ้วลงไป มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ‘มธุริน จิรโชติ’ อยู่หลายลิงค์จนน่าแปลกใจ

ตอนที่นึกถึงการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเขาไม่ได้คิดว่าสาวสวยผู้มีพฤติกรรมแสนประหลาดจะเป็นคนสาธารณะ แค่คิดว่าอาจจะมีข้อมูลบ้างหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนเธอจะเป็นที่รู้จักพอสมควร

เมื่อสรุปจากหลายๆ ที่มาได้ความว่ามธุรินเป็นลูกสาวสุดรักสุดหวงของคุณมาลินี ไฮโซสาวใหญ่เจ้าของธุรกิจผ้าพิมพ์ลายส่งออกทั่วเอเชียและมีโครงการจะตีตลาดโลกในปีสองปีนี้ ไม่มีแหล่งข้อมูลใดเอ่ยถึงพ่อ ชลธีจึงคิดว่าพ่อของเธออาจจะเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว

ส่วนตัวมธุรินเองเป็นทั้งนักออกแบบลายผ้าให้กิจการของที่บ้านและเป็นอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ด้วย แต่เธอไม่ได้ทำงานออกแบบตกแต่งกับที่ไหนและไม่ได้เปิดบริษัทเอง หญิงสาวซื้อคอนโดมิเนียมทั้งเก่าและใหม่มาตกแต่งใหม่ ก่อนจะขายออกในราคาที่ใครก็รู้ว่าได้กำไรทีเป็นล้าน แถมยังมีงานอดิเรกคือการวาดภาพ เธอเปิดแกลเลอรีขายภาพที่วาดเองและภาพที่ซื้อมาจากศิลปินอื่นด้วย เรียกว่าเป็นสาวไฮโซที่ทั้งสวยและเก่งน่าจับตามองมากใน พ.ศ. นี้

ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ทำให้มธุรินโดดเด่นกว่าสาวไฮโซคนอื่นในวัยไล่เลี่ยกันคือรูปร่างหน้าตาที่เรียกได้ว่า ‘สวยเจ็บ’ จนได้รับเชิญให้เดินแบบในชุดฟินาเล่ของดีไซเนอร์ชื่อดังหลายคน นอกจากนี้หญิงสาวยังเคยเป็นนางเอกมิวสิคให้กับนักร้องอีกหลายคน และมีรับงานถ่ายปกนิตยสารบันเทิงอีกหลายฉบับ

ตามข้อมูลอ้างว่ามธุรินเคยถูกทาบทามเข้าสู่วงการดารานางแบบมืออาชีพ แต่หญิงสาวปฏิเสธ เธอรับทำเพียงจ๊อบสั้นๆ เท่านั้น เท่าที่เห็นผลงานของเธอมีมากพอจะเรียกว่าเป็น ‘คนดัง’ ได้เลยล่ะ

ชลธีพยักหน้าหงึกหงัก เริ่มเข้าใจว่าทำไมหญิงสาวถึงต้องทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก คืนนั้นเธอแต่งหน้าจัดแถมยังใส่แว่นดำไปดูหนัง พอเขาวิ่งตามเอาแว่นไปคืนเธอก็ทำเหมือนไม่อยากให้เห็นหน้า ที่แท้ก็คงกลัวว่าเขาจะจำได้ เป็นคนดังนี่ก็น่าเห็นใจ ทำอะไรต้องคอยระแวงคนรอบข้างไปหมด ทั้งที่เขาเองก็ใช่ว่าจะรู้จักเธอมาก่อน

ชายหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบยี่สิบนาทีก่อน ภาพคู่หมั้นของเธอลอยเข้ามาในความทรงจำจึงอดหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้ รอไม่นานก็ได้เรื่อง

‘ภาคภูมิ ภูมิสิรินทร์’ ทายาทคนโตของสิรินทร์ กรุ๊ป สถาปนิกหนุ่มสุดหล่อที่ทำให้สาวๆ ค่อนเมืองอกหักกันระนาวเมื่อเขาเข้าพิธีหมั้นหมายกับมธุรินเมื่อสามเดือนก่อน มีข่าวแซวด้วยว่าทั้งสองคนรู้จักกันแค่สามเดือนก็หมั้นเลยและอีกราวสองเดือนนับจากนี้ก็จะแต่งกันแล้ว งานทุกอย่างถูกตระเตรียมไว้พร้อมสรรพ ตอนนี้อยู่ในช่วงควงกันร่อนการ์ด

คิ้วหนาขมวดเข้าหากันนิด นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังประตูห้องพักก่อนที่มธุรินจะวิ่งหน้าตื่นออกมา หญิงสาววิ่งออกจากห้องพักโรงแรมในชุดนอนสวมทับด้วยเสื้อคลุมที่หลุดลุ่ยโดยมีชายหนุ่มอีกคนตามออกมา ใครจะคิดเป็นอื่นได้ แต่ทำไมคนสองคนที่กำลังจะแต่งงานกันถึงต้องใช้กำลังด้วย

ขณะที่คิดนิ้วของเขาก็เผลอค้นหารูปจากนิตยสารที่หญิงสาวเคยถ่ายเอาไว้แล้วจิ้มเข้าไปดู ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ามธุรินเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ไม่เหมือนคนไทยแท้แต่ก็ไม่ใช่สาวลูกครึ่ง คล้ายเธอจะมีเลือดไทยผสมสักเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ อีกยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์เป็นเลือดฝั่งตะวันตก ทำให้โครงหน้าเรียวเด่นชัดได้สัดส่วน คิ้วหนาโค้งรับกับดวงตาเรียวยาว จมูกคมได้รูป ริมฝีปากอิ่มตึงเย้ายวนใจ

“แต่ทำไมรู้สึกหน้าคุ้นๆ ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนนะ” เขาสงสัย แต่พอนึกได้ว่าตัวเองกำลังสนใจเรื่องของมธุรินจนผิดปกติก็ตกใจ

เขาจะสนใจเรื่องของผู้หญิงแปลกๆ คนนั้นไปทำไม?

ชายหนุ่มรีบปิดรูปพวกนั้นแล้วหันไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำโดยเร็ว



มธุรินนั่งซึม คิดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน และเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คนแรกที่เธอนึกถึงก็คือแม่ แต่แม่ทำงานเหนื่อยอาจจะหลับแล้วก็ได้ หญิงสาวลนลานไปคว้าโทรศัพท์มือถือมากดโทร. หาที่ปรึกษาอีกคน รอสายพักใหญ่ก็มีคนกดรับ

“น้ามลคะ มิ้มมีเรื่องปรึกษาค่ะ!” เธอรีบกรอกเสียงลงไปแบบไม่มีอารัมภบท

“อะไรกันยายมิ้ม นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอจ๊ะ”

เธอไม่สนใจน้ำเสียงเหมือนคนกำลังงัวเงียของน้าสาว พุ่งเข้าประเด็นทันที

“นี่ไม่ใช่เวลามานอนนะคะน้ามล มิ้มกำลังเดือดร้อน น้ามลตั้งสติแล้วฟังมิ้มให้ดีนะคะ”

จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้มลวิภาฟังอย่างละเอียด ไม่มีหมกเม็ด ผู้เป็นน้าฟังจบก็เต้นผาง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

“แล้วตกลงมิ้มเสียตัวเอ๊ย...เสียท่าเขารึเปล่าจ๊ะ บอกน้ามาตรงๆ นะ เรื่องนี้อย่าโกหกเด็ดขาด”

“ไม่เสียหรอกค่ะน้ามล ไม่งั้นพี่ภูมิจะโกรธหน้าดำหน้าแดงไปแบบนั้นเหรอคะ แล้วนี่มิ้มควรจะทำยังไงดี เขาโกรธขนาดนั้นจะถอนหมั้นมิ้มรึเปล่า หรือว่ามิ้มควรเป็นฝ่ายชิงถอนหมั้นเขาก่อน” คำถามตอนหลังน้ำเสียงไม่มีความมั่นใจสักนิด ใจหนึ่งเธอกลัวเสียหน้าถ้าเป็นฝ่ายถูกถอนหมั้น แต่อีกใจก็กลัวขึ้นคาน นี่แหละประเด็นหลัก

“ต๊าย!” มลวิภาร้องลั่น “ทำงั้นไม่ได้นะจ๊ะหลานรัก นี่มิ้มรู้มั้ย ผู้ชายคนนี้โพรไฟล์เริดชนิดรออีกสิบชาติก็อาจหาดีเท่านี้ไม่ได้แล้ว หนูจะปล่อยให้เขาหลุดมือไม่ได้นะ น้าขอค้านหัวชนฝา!”

“แต่น้ามลสอนมิ้มว่าอย่าง่ายกับใคร ถ้าเจอผู้ชายเอาแต่ได้ให้โละทิ้งทันทีไม่ต้องเสียดาย เราสวยเลือกได้หาใหม่ไม่ยาก...ไม่ใช่เหรอคะ?” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ ก็เพราะโละหนุ่มๆ ที่มารุมจีบทิ้งไปแล้วหลายรายเพราะคำสอนของน้ามลนี่แหละ วันนี้เธอถึงเป็นคนสุดท้ายในกลุ่มเพื่อนที่ยังไม่ได้สละโสด

“ยายมิ้มจ๋า...ที่น้าสอนน่ะถูกแล้ว แต่มีข้อแม้นิดนึงนะจ๊ะ ปีนี้มิ้มสามสิบเอ็ดแล้ว อะไรที่ยอมได้ก็ต้องยอมแล้วล่ะ น้าจะบอกให้ว่าผู้ชายดีๆ ไม่มีขายตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางชั้นนำทั่วไปหรอกนะ มีเงินมากแค่ไหนก็หาซื้อไม่ได้ โพรไฟล์เริดได้เท่าตาภูมิน่ะถือว่าหรูแล้ว ใครปล่อยไปก็โง่เต็มที”

มธุรินนิ่วหน้า “น้ามลจะบอกให้มิ้ม...ยอมๆ เขาไปเถอะงั้นเหรอคะ”

“อุ๊ยตาย ไม่ใช่จ้ะ หลานคนนี้นี่ ถึงจะเป็นรถไฟหรูขบวนสุดท้ายที่เราต้องเกาะไว้ให้มั่นเท่าชีวิต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเอาตัวเข้าแลกนะ น้าหมายถึงให้มิ้มไปง้อเขาต่างหากล่ะ”

หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ และโล่งอกที่ไม่ต้องสังเวยความสาวเพื่อหักคานทอง ก่อนจะต้องคิดหนัก ถามเสียงอ่อย “แต่ถ้าเขาไม่ยอมคุยกับมิ้มละคะ”

“ยายมิ้ม...มารยาหญิงไงละจ๊ะ มีกี่กระบวนท่าก็งัดออกมาเลย ผู้ชายน่ะแพ้ทางผู้หญิงขี้อ้อนทั้งนั้นแหละ”

“แต่น้ามลคะ น้ามลกับแม่สอนว่าเป็นผู้หญิงต้องวางตัวให้งามไม่ใช่เหรอคะ”

“ถูกจ้ะ แต่ในกรณีของมิ้มเนี่ย...” ว่าแล้วก็ลดเสียงให้เบาลงหน่อย “เอ่อ...ไหนๆ ก็สามสิบเอ็ดแล้วนะ อีกอย่างตาภูมิเขาก็เป็นคู่หมั้นเรา อีกเดือนสองเดือนจะแต่งกันอยู่แล้ว อ้อนนิดอ้อนหน่อยกับคู่หมั้นมันไม่น่าเกลียดเท่าไหร่หรอก แต่อย่าไปอ้อนผู้ชายอื่นก็แล้วกันมันไม่งาม”

มธุรินเม้มปากแน่น พยายามทำใจว่าพรุ่งนี้มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ และเธอต้องสู้สุดใจถ้าไม่อยากเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เหลือรอด

“เอาล่ะ นี่ก็ตีหนึ่งแล้วนะยายมิ้ม พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปง้อคู่หมั้นใช่มั้ยจ๊ะ ฉะนั้นทำใจให้สบายแล้วเข้านอนซะ อย่าลืมว่ายังมีภารกิจสำคัญรออยู่นะจ๊ะหลานรัก ทำเพื่อแม่ของหนู อย่าลืมซะล่ะ กูดไนต์จ้ะ”

น้ามลวางสายไปแล้ว หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ ภารกิจสำคัญเพื่อแม่คือเรื่องที่เธอไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้าง้อภาคภูมิไม่สำเร็จ ภารกิจนี้ก็จะล้มเหลว และแม่กับน้ามลก็ต้องผิดหวังมากแน่ๆ

“เอาวะ อย่างที่น้ามลว่าแหละ ผู้ชายดีๆ ไม่มีขายตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางทั่วไป ได้ผู้ชายอย่างพี่ภูมิมาเป็นสามีก็ถือว่าหรูแล้ว ฉะนั้นหน้าด้านเข้าไว้มธุริน เคยได้ยินใช่ไหม ด้านได้อายอด สวยซะอย่างไม่ต้องอาย เขาว่าคนสวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด”

เธอยิ้ม สีหน้าผ่องใสขึ้นเยอะ พอปีนขึ้นเตียงได้ก็หลับไปในเวลาเพียงไม่นาน



ชลธีขับรถผ่านไร่ชาริมเขาเห็นชายวัยกลางคนหน้าตาใจดีกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับใบชาที่อยู่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวจึงจอดรถแวะทักทายตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน “สวัสดีครับคุณอา”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยก็ยิ้มทัก “อ้าวชล กลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่เรอะ”

“ครับ แล้วนี่คุณอาต้องมาช่วยเขาเก็บใบชาเองเลยเหรอครับ”

“อาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำน่ะ คนแก่ก็อย่างนี้แหละ” ผู้สูงวัยหัวเราะร่วน ใบหน้าที่ได้ส่วนผสมระหว่างสองเชื้อชาติมาอย่างลงตัวยังดูหล่อเหลาไม่คลาย

ชลธีคุยต่ออีกสองสามคำก็ขอตัวกลับบ้าน ถ้าประจำอยู่โรงแรมสาขาเชียงใหม่เขาจะแวะมาเยี่ยมพ่อกับแม่อาทิตย์ละครั้งเสมอ ก่อนถึงบ้านพ่อเขาต้องขับรถผ่านไร่ชาริมเขาแห่งนี้ พ่อกับแม่ก็ได้ครอบครัวนี้เป็นเพื่อนบ้านที่ดีมาตลอด เขาเลยพลอยได้รู้จักคุ้นเคยกับครอบครัวคุณมนต์ธัชไปด้วย เจอทีไรต้องหยุดทักทาย

ชายหนุ่มขับรถไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงบ้านหลังน้อยของพ่อกับแม่ สองสามีภรรยากำลังนั่งรับอาหารเช้าด้วยกันที่เฉลียงข้างบ้านฝั่งตะวันออก จากมุมนี้จะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและได้รับแสงแดดยามเช้าที่มากด้วยประโยชน์อย่างเต็มที่

“ชลมาพอดี ทานอะไรมารึยังจ๊ะ” ผู้เป็นแม่ทักทายยิ้มแย้ม เห็นหน้าลูกทีไรก็ดีใจเหมือนไม่ได้พบกันนานเป็นปี คงเพราะเธอกับลูกชายไม่เคยเข้าอกเข้าใจกันมากเท่านี้มาก่อน

“ผมขอกาแฟก็พอครับ อิ่มมาจากโรงแรมแล้ว” เขาตอบพลางนั่งลงข้างพ่อก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังดูรูปถ่ายของหลานสาวคนแรกจากแทปเล็ต

“แกเห็นฟ้าพราวรึยังเจ้าชล นี่ไงหลานสาวคนแรกของบ้าน” ผู้เป็นพ่อว่าพลางเลื่อนแทปเล็ตไปให้ลูกชายดู

ชลธียิ้มบางๆ เห็นสีหน้าเป็นสุขของพ่อก็ดีใจ เขาไม่เห็นพ่อหัวเราะเสียงดังแบบนี้มานานแล้ว “ผมเห็นแล้วครับ แพรวส่งมาให้ดูทางเมล”

ผู้เป็นแม่รินกาแฟส่งให้ลูกชาย “แล้วชลล่ะลูก เมื่อไหร่จะมีใครสักที แม่ได้ข่าวว่าตอนนี้ยายหนูนาก็ยังโสดอยู่นะจ๊ะ”

“อย่างผมน่ะหนูนาไม่สนใจหรอกครับแม่” เขาหัวเราะ สีหน้าเบิกบานอย่างที่พนักงานโรงแรมไม่ค่อยได้เห็น

“แล้วคนอื่นละจ๊ะ ชลยังไม่สนใจใครบ้างเหรอ รีบศึกษากันซะแต่ตอนนี้ อีกปีสองปีค่อยแต่งกำลังดีเลยนะ”

“เมื่อกี้ผมผ่านไร่ชาริมเขา เห็นอามาร์คกำลังเก็บใบชาอยู่ น่าสนุกนะครับพ่อ เราแวะไปดูกันไหม”

“เอาสิ จะได้เดินออกกำลังกายด้วย”

พ่อลูกรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย คุณโยษิตาได้แต่ถอนใจที่ลูกชายเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเฉยเลย แต่เธอก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก ขอให้ลูกมีความสุข ไม่ขมขื่นกับอดีตอีก ไม่ว่าเขาจะโสดหรือมีแฟนเธอก็พอใจทั้งนั้นแหละ



มธุรินตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวสวยเป๊ะ เช่ารถขับไปหาคู่หมั้นถึงรีสอร์ตที่เขาคุมงานก่อสร้างอยู่ ระหว่างทางก็แวะซื้อดอกไม้ช่อใหญ่กับกาแฟสดไปง้อภาคภูมิ อาศัยเทคโนโลยีสุดล้ำจากโทรศัพท์มือถือกับคำบอกเล่าของเขาก่อนหน้านี้ หญิงสาวจึงขับรถมาถึงที่หมายได้ในที่สุด

พื้นที่ก่อสร้างถูกล้อมไว้ด้วยรั้วไม้เตี้ยๆ มีป้อมยามอยู่ด้านหน้าคอยกันไม่ให้คนนอกเข้าไปวุ่นวาย เธอแจ้งว่ามาหาภาคภูมิ สถาปนิกผู้คุมงานที่นี่

“งั้นเดี๋ยวผมขอแจ้งกับคุณภูมิก่อนนะครับ เพราะเขาไม่ได้บอกไว้ว่าคุณจะแวะมาหา” คนที่อยู่หลังป้อมทำหน้าที่อย่างขันแข็ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสาวสวยแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ

มธุรินยิ้มหวานพลางชี้นิ้วไปที่วิทยุสื่อสารในมืออีกฝ่าย เธอยกช่อดอกไม้ขึ้นอวดพลางว่า “ฉันเป็นคู่หมั้นพี่ภูมิ กะมาเซอร์ไรส์เขา ถ้าคุณบอกเขาก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิคะ”

ยามหนุ่มลังเล ใบหน้าเผือดสีลงเล็กน้อย ไม่รู้จะทำยังไงดี

หญิงสาวแสร้งถอนใจเสียงดัง หยิบกระเป๋าสตางค์ใบหรูขึ้นมาเปิดก่อนจะยื่นธนบัตรสีเทาให้อีกฝ่ายสองใบ แม่กับน้าสอนมาอีกแหละว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง เธอเชื่อเพราะใช้มันเป็นใบเบิกทางทีไรไม่เคยผิดหวัง

“แบบนี้พอจะตัดสินใจได้รึยังคะ”

ยามหนุ่มปาดเหงื่อที่หน้าผาก หันซ้ายหันขวา ท่าทางลุกลี้ลุกลน พอไม่เห็นใครจึงเอื้อมมือไปรับสินบนมาใส่กระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว สาวสวยทำให้เขาใจอ่อนไม่ได้แต่เงินทำได้

“ผมจะให้คุณเข้าไป แต่คุณต้องจอดรถไว้ด้านนอกแล้วเดินเข้าไปนะครับ ที่สำคัญอย่าบอกใครว่าเจอผมที่นี่ ถ้ามีใครถามให้บอกว่าไม่เจอใครที่ป้อมยามเลยแอบเข้าไปเอง จำไว้นะครับคุณ เราสองคนไม่เคยเจอกันมาก่อน ไม่งั้นผมเดือดร้อนแน่” เขากำชับนักหนา เตรียมเผ่นไปจากตรงนี้สักสิบนาที ถ้าเกิดเรื่องภายหลังจะได้อ้างว่าไปยิงกระต่าย

สาวสวยย่นคิ้ว ไม่เข้าใจท่าทีจริงจังเกินเหตุของอีกฝ่าย และไม่ชอบใจที่ต้องเดินเข้าไปเองให้เมื่อยน่อง วันนี้เธอใส่ส้นสูงมาซะด้วย สวยจัดเต็มขนาดหนัก แล้วดูถนนหนทางสิ ทั้งขรุขระแล้วไหนยังจะฝุ่นดินพวกนั้นอีก เห็นแล้วก็นึกขยาด กลัวส้นรองเท้าพัง คู่นี้ยิ่งซื้อมาแพงด้วย

แต่ที่สุดก็จำใจต้องทำตามเงื่อนไข เพราะเธอไม่แน่ใจว่าหากภาคภูมิรู้ก่อนเขาจะอนุญาตให้เธอเข้าไปง้อหรือไม่ เธอไม่ควรเสี่ยง เดี๋ยวจะทำภารกิจเพื่อแม่ไม่สำเร็จ

“ตามนั้นก็ได้ค่ะ ว่าแต่บ้านพักพี่ภูมิอยู่ตรงไหนละคะ”

ยามหนุ่มชี้มือบอกทางแล้วรีบหลบฉากไปก่อนจะมีใครรู้เห็นเป็นพยาน เขาทำงานที่นี่มาตั้งแต่ต้น รู้จักคนงานทุกคนและรู้จักสถาปนิกสุดหล่อที่สาวสวยผู้นี้อ้างว่าเป็นคู่หมั้นด้วย เมื่อตัดสินใจรับเงินของเธอมา เขาก็รู้ว่าเรื่องยุ่งยากจะต้องเกิดขึ้นแน่ ฉะนั้นต้องทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น ไม่เคยเจอหน้าหญิงสาว

มธุรินจอดรถชิดริมรั้ว ถือช่อดอกไม้กับกาแฟสดลอดไม้กั้นเข้าไปในพื้นที่ส่วนบุคคล เดินไปตามถนนลูกรังแบบไม่เป็นทางการมากนักเพราะตัวรีสอร์ตยังสร้างไม่เสร็จ คาดว่าตัวถนนคงปรับใหม่ตามแบบแปลนที่วางไว้

หญิงสาวเดินมาหยุดหน้าบ้านพักหลังที่ห้าตามคำบอกเล่าของยาม ดูจากภายนอกไม่มีอะไรโดดเด่นสักนิด หลังเล็กกระจิ๊ดเดียวด้วย ไม่รู้เขาอยู่ได้ยังไง หวังว่าหลังแต่งงาน (ถ้าเขาไม่ถอนหมั้นไปซะก่อน) เธอคงไม่ต้องระหกระเหินตามสามีไปทำงานทั่วราชอาณาจักรหรอกนะ ขืนเป็นแบบนั้นคนสวยต้องกลั้นใจตายแน่ๆ

เธอปัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ตอนนี้ต้องง้อภาคภูมิก่อนจะคิดเรื่องหลังแต่งงาน รอยยิ้มหวานหยดกระจ่างบนดวงหน้าเมื่อยกมือขึ้นเคาะประตู

ครู่ใหญ่ก็มีคนมาเปิดต้อนรับพร้อมเสียงทักไม่สบอารมณ์ “ใครมาแต่เช้าเนี่ย”

มธุรินยิ้มค้าง กะพริบตาถี่ยิบ หวังว่าภาพที่เห็นจะเปลี่ยนไป แต่กะพริบตาเป็นสิบครั้งสิ่งที่เธอเห็นก็ยังเหมือนเดิม หญิงสาวรูปร่างอวบอิ่ม สวมเสื้อเชิ้ตของผู้ชายยังคงจ้องมองเธออย่างไม่พอใจ

“คุณเป็นใคร มายืนเอ๋ออยู่ได้ จะพูดอะไรก็ไม่พูด” เจ้าหล่อนว่าพลางปิดปากหาว

หญิงสาวถอยหลังมาสองก้าว หันไปมองบ้านพักหลังแรกและเริ่มนับ

1...2...3...4... และ ...5!

หลังนี้แน่นอนที่สุด แต่ยายคนนี้เป็นใครกัน กล้าดียังไงมาถามว่าฉันเป็นใคร นั่นมันคำถามของฉันย่ะ!

มธุรินเชิดหน้าขึ้นนิด เธอสูงกว่าอีกฝ่ายเพราะยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูง ประกาศเสียงดังฟังชัด “ฉันเป็นคู่หมั้นพี่ภูมิ แล้วเธอล่ะ เป็นใคร”

อีกฝ่ายนิ่งไปนิด นั่นทำให้มธุรินสะใจอยู่ลึกๆ ที่ได้ประกาศถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของภาคภูมิ แต่ความสะใจก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเจ้าหล่อนตอบโต้กลับมาพร้อมเสียงหัวเราะขบขันมากกว่าจะโมโห

“อ๋อ คู่หมั้นของคุณภูมิเหรอคะ ขอโทษที ฉันไม่ทราบมาก่อน เขาไม่เคยพูดถึงคุณ ถ้างั้น...ฉันขอตัวก่อนดีกว่า ตามสบายเลยค่ะ เข้ามาข้างในก่อนนะคะ เชิญเลยค่ะเชิญเลย”

ว่าพลางเปิดประตูกว้าง จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องพักท่ามกลางความตกตะลึงจนพูดไม่ออกของมธุริน ก่อนจะกลับออกมาในชุดเสื้อผ้าที่ ‘เรียบร้อย’ ตามแบบฉบับของสาวเที่ยวกลางคืน หล่อนโบกมือลาประหนึ่งว่าคู่หมั้นของภาคภูมิเป็นเพียงหุ่นยนต์ไร้หัวใจ ไม่มีความรู้สึก

มธุรินกัดฟันกรอด เขวี้ยงช่อดอกไม้ลงบนพื้นแล้วเทกาแฟสดราด ก่อนจะใช้ส้นสูงขยี้ๆ ให้สาแก่ใจ คู่หมั้นของเธอตื่นมาเจอภาพนั้นเข้าพอดี

“มิ้ม” เขามีสีหน้าตกใจแต่ไม่ถึงกับตื่นตะลึงจนวางตัวไม่ถูก

หญิงสาวหอบหายใจหนักหน่วงด้วยพยายามระงับโทสะสุดความสามารถ ดวงตาคมวาวจ้องหน้าเขาอย่างชิงชัง “นี่เหรอคะเหตุผลที่พี่ภูมิไม่มีเวลาให้มิ้ม”

ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินไปลากแขนหญิงสาวเข้ามาคุยกันในห้องพัก มธุรินสะบัดตัวหนีแต่เขาไม่ยอมปล่อย บังคับให้เธอเข้ามาในห้องจนได้ ปิดประตูและยืนขวางไว้ ไม่ยอมให้เธอหนีไปก่อนจะได้คุยกัน

มธุรินโกรธจนควันออกหู แทบอยากเข้าไปจิกข่วนใบหน้าเฉยเมยไม่เดือดร้อนของเขาให้ยับเยิน แต่ต้องพยายามสะกดใจไว้ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเธอเป็นพวกไร้การศึกษา

“พี่ภูมิทำอย่างนี้เหมือนตบหน้ามิ้ม”

“แล้วที่มิ้มทำกับพี่เมื่อคืนล่ะ เรียกว่าอะไร” ภาคภูมิกอดอก ย้อนเสียงเรียบ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยขาดผู้หญิง เพียงแต่มธุรินไม่เคยรู้ แต่เขาไม่เห็นว่ามันสำคัญยังไง เพราะเชื่อว่าผู้ชายทุกคนก็ต้องมีเรื่องทำนองนี้อยู่แล้ว ยิ่งแฟนไม่ยอมมีอะไรด้วยยิ่งไม่ต้องสงสัยเลย แล้วเธอจะมาโวยวายทำไม

“เรียกว่ากุลสตรีที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีไงคะ หรือพี่ภูมิไม่คิดอย่างนั้น” เธอยอกย้อนเสียงเย็น รอยยิ้มเชือดเฉือน คราวนี้ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะโกรธจนถอนหมั้นอีกแล้ว เขาทำกับเธอถึงขนาดนี้คงไม่มีอะไรต้องเกรงใจกันอีก

ชายหนุ่มแค่นหัวเราะเหมือนเธอพูดเรื่องไม่เข้าท่าที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา แต่เขาไม่อยากถกปัญหานี้กับเธอ มันไร้สาระเกินไป “นี่มิ้มทำเหมือนกำลังหึงพี่เลยนะ”

มธุรินหน้าร้อนเพราะความโกรธ “แล้วมิ้มไม่มีสิทธิ์หึงรึไงคะ”

“หึงน่ะเขาใช้กับคนรักกัน แต่เราสองคนต่างก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าเราหมั้นกันเพราะอะไร หรือมิ้มจะบอกว่ารับหมั้นเพราะรักพี่ ขอโทษนะถ้าพี่ต้องบอกว่าไม่เชื่อ”

หญิงสาวอ้าปากค้าง อยากจะเถียงแต่เถียงไม่ออก อย่าว่าแต่รักเขาเลย ความรักหน้าตาเป็นยังไงเธอก็ไม่เคยรู้จัก วันก่อนไปดูหนังรักโรแมนติกยังต้องร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะมันไม่อินเอาซะเลย

เขาได้ทีรีบแจงต่อไป “เราต่างเลือกกันเพราะความเหมาะสมลงตัวในหลายๆ ด้าน พี่ตัดสินใจแต่งงานเพราะปีนี้สามสิบหกแล้ว มันสมควรแก่เวลาที่จะมีครอบครัวซะที มิ้มเองก็เหมือนกัน ยอมรับเถอะว่าเลือกพี่เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับมิ้มเท่าพี่อีกแล้ว และถ้ามิ้มแต่งช้ากว่านี้ยิ่งจะมีตัวเลือกน้อยลงเพราะอายุเพิ่มขึ้นทุกปี เห็นไหม เราต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เรียนหนังสือ ทำงาน มีครอบครัว มีลูก มันเป็นหน้าที่ของเราทั้งนั้น เราก็แค่ต้องทำมันให้จบ”

มธุรินเถียงไม่ออกอีกตามเคย แต่ชีวิตคนเรามันมีอยู่แค่นี้เองหรือ เกิด โต เรียนหนังสือ ทำงาน มีครอบครัว มีลูก แก่ และตาย ทำไมการมีชีวิตอยู่มันถึงได้ชวนหดหู่ขนาดนี้

ภาคภูมิเดินเข้ามาหาหญิงสาว โอบร่างเธอเข้ามากอดปลอบ แต่มธุรินทำตัวแข็งขืน

“เอามือออกไปค่ะ พี่ภูมิเพิ่งกอดผู้หญิงอีกคนมา มิ้มขยะแขยง”

เขาชะงัก ยอมถอยห่างโดยดี มองหน้าหญิงสาวอย่างเป็นกังวล “นี่มิ้มไม่ได้ตกหลุมรักพี่จริงๆ ใช่ไหม”

เธอแค่นยิ้มบ้าง ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพกันแล้วนี่ “ไม่หรอกค่ะ แต่การแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ อย่างที่พี่ภูมิว่าเราต่างเลือกกันเพราะความลงตัวในหลายๆ ด้าน แต่ในเมื่อมิ้มตัดสินใจเลือกพี่ภูมิด้วยเหตุผลที่เราก็รู้แก่ใจดี ไหนๆ เลือกแล้วมิ้มก็ไม่คิดจะใช้สามีร่วมกับผู้หญิงคนอื่น ถ้าพี่ภูมิคิดจะทำตัวแบบนี้...”

อันที่จริงเธอหวังว่าการแต่งงานจะทำให้เธอได้รู้จักกับความรัก ภาคภูมิคือคนที่เธอเลือก แม่กับน้ามลก็เห็นด้วยที่สุด ไม่มีเหตุผลที่จะมองข้ามเขา ถ้าเขาดีกับเธอเรื่อยไปมันอาจจะมีสักวันที่เธอจะรักเขาได้ แต่ตอนนี้อย่าไปพูดถึงความรักเลย มันไร้สาระจริงๆ นั่นแหละ

“พี่จะเลิกหลังแต่งงาน นั่นเป็นหน้าที่ของสามีที่ดี ข้อนี้มิ้มเชื่อใจพี่ได้” เขารับรองหนักแน่นตามประสาผู้ชายที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง คิดว่าตนคอนโทรลทุกอย่างได้ คิดว่าโลกทั้งใบอยู่ในกำมือ แต่ภาคภูมิไม่มีทางรู้จนกว่าจะถึงเวลานั้นจริงๆ

มธุรินกัดริมฝีปากจนห้อเลือดแต่เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย ใจมันชาๆ เหมือนไม่มีความรู้สึก ที่โกรธจนควันออกหูเมื่อครู่เพราะรู้สึกว่าถูกหยามหน้าเท่านั้น ไม่ได้เสียใจ ไม่ใช่ความเจ็บปวด เธอคิดว่าตัวเองกำลังจะแปรสภาพเป็นหุ่นยนต์ สักวันเธอคงเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้หัวใจจริงๆ ถ้ายังเลือกจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้

“มิ้ม” เขาเรียกเสียงจริงจัง

เธอเหลือบตามองคู่หมั้นของตัวเองนิด

“วันนี้เราจะยังไปแจกการ์ดอยู่รึเปล่า?”

หญิงสาวฝืนยิ้ม มันอาจจะดีก็ได้ถ้าเธอกลายเป็นหุ่นยนต์จริงๆ “ไปสิคะ”

อย่างที่น้ามลบอกนั่นแหละ ผู้ชายดีๆ ไม่มีขายตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง จะใช้บัตรรูดปื้ดๆ เหมือนครีมบำรุงผิวชั้นดีก็ไม่ได้ ทุกวันนี้ถ้าหาได้ดีเท่าภาคภูมิก็นับว่าหรูแล้ว ยิ่งอายุเลยเลขสามอย่างเธออย่าหวังให้สูงจนดูเหมือนยายแก่จอมเพ้อเลย ถ้าไม่ติดเรื่องรูปร่างหน้าตาและฐานะของผู้ชายก็อาจจะพอมีคนดีๆ มาให้เลือกบ้าง แต่คนสวยเป๊ะเว่อร์อย่างเธอนี่สลัดเรื่องภาพลักษณ์ไม่หลุดจริงๆ แล้วจะโทษใครได้

เอาเถอะ ใครเขาก็แต่งเพราะความเหมาะสมกันทั้งนั้น ไม่เห็นเหรอว่าความรักทำให้ชีวิตคู่ของพ่อกับแม่พังมาแล้ว บางทีการแต่งงานด้วยเหตุผลอาจจะยืนยาวกว่าแต่งด้วยความรักก็ได้ ใครจะไปรู้!








Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 28 กรกฎาคม 2556 0:41:39 น. 4 comments
Counter : 1438 Pageviews.

 
ที่ชลคุ้นหน้า หรือจะเป็นลูกคนไร่ติดกัน
มิ้มกับภูมิ คงไม่รอด


โดย: goldensun IP: 27.55.10.9 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:17:29:54 น.  

 
อยากอ่านเรื่อนก่อนน่ะ ยังอ่านไม่จบเลย ทำไงดี


โดย: ดอกฝิ่น IP: 58.11.209.3 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:14:57:47 น.  

 
แพรวกับอนลวางแผงเมื่อไรคุณรตาช่วยแจ้งอีกทีด้วยนะคะ

รออุดหนุนอยู่ค่า ^^



โดย: ปาริฉัตร IP: 125.25.251.77 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:18:12:37 น.  

 
เศร้าจัง แต่งงานไม่ต้องรักกันก็ได้


โดย: ree IP: 180.183.154.12 วันที่: 17 มีนาคม 2556 เวลา:19:40:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ระตา
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




รู้สึกอยู่เสมอว่าการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คือความมหัศจรรย์...และการอ่านออกเขียนได้คือรางวัลของชีวิต...
Friends' blogs
[Add ระตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.