|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
17 มิถุนายน 2550
|
|
|
|
อดีต ปัจจุบัน อนาคต
สวัสดีครับ
ผมไปงานมหกรรมรักการอ่าน ที่เมืองทองธานี ที่กระทรวงศึกษาธิการเป็นแม่งาน ผมเห็นบรรดาเด็กนักเรียนที่มากันเป็นกลุ่มๆ แล้วก็ดีใจ แม้ว่าพวกลูกๆ หลานๆ นักเรียนเหล่านั้นจะมาเพราะทางโรงเรียนเป็นผู้พามา
บางคนอาจไม่ได้มาด้วยความสมัครใจ
ถึงกระนั้นก็ยังเป็นเรื่องที่น่ายินดี
เพราะการที่โรงเรียนพานักเรียนมาชมงานที่เกี่ยวข้องกับการอ่านแบบเป็นหมู่เป็นคณะ ก็แสดงถึงความเอาใจใส่ของคณะผู้บริหารโรงเรียนนั้นๆ ว่ามีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพของความเป็นครูของตนมากน้อยเพียงใด
การที่เด็กนักเรียนมากันเป็นกล่มเป็นก้อน ก็เป็นการดี เพราะว่า พวกเขาจะได้ปรึกษาหารือกัน มีอะไรก็และเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แบบว่า หลายหัวดีกว่าหัวเดียวน่นแหละครับ
ถ้าขืนปล่อยมาแบบเดี่ยวๆ อาจจะไม่ถึงงานก็เป็นได้ อาจพลัดหลงเข้าไปที่ร้านเน็ต เล่นเกม หรือไปในที่อันไม่เหมาะต่อสถานภาพความเป็นนักเรียนของตนก็เป็นได้เช่นกัน
ถ้าเป็นอย่างนั้น จะมีผลเสียมากกว่าผลดี
ผมเลยถือโอกาสเดินเบียดบรรดาลูกหลานนักเรียนเปิดหูเปิดตากับหนังสือที่สำนักพิมพ์ทั้งหลายเขานำมาจำหน่าย ถึงในกระเป๋าไม่ค่อยมีสตังค์ แต่ก็ขอให้ได้ดูได้สัมผัส จับต้องและเปิดอ่านบ้าง แค่นี้ก็สุขใจพอแล้ว
เมืองทองธานีกับบ้านที่ผมพัก ห่างกันคนละมุมเมือง โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ การที่จะเดินทางมาเมืองทอง จึงเป็นเรื่องยากแสนยากของผม ในชีวิตผมเคยมาที่เมืองทองก่อนหน้านี้เพียงแค่ครั้งเดียว
ผมไม่ได้มาดูพี่เบิร์ดหรอกครับ ขอบอก...
ครั้งนั้นผมมาร่วมสัมมนาเกี่ยวกับการแปลหนังสือ ดูเหมือนจะจัดโดยมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช แต่จะเป็นอาคารไหน หรือซอกมุมใดของเมืองธานี ผมจำไม่ได้เสียแล้ว
ที่จำเป็นต้องมาเมืองทองครั้งนี้ เพราะทางสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ที่มีคุณยุทธ โตอดิเทพย์ เป็นนายกฯ และได้ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาจัดการแข่งขันการอ่านทำนองสรภัญญะ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ขึ้น
ผมได้รับเชิญแกมบังคับจากท่านนายกฯ ให้มาเป็นผู้ดำเนินรายการ พูดโก้ๆ ก็เป็นพิธีกรน่ะ ทั้งที่ผมไม่มีความรู้เรื่องการอ่านทำนองสรภัญญะเลยสักนิดเดียว เคยได้ยินแต่ลูกสาว (หอมหัวใหญ่) สวดสรภัญญะ สรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ แต่การอ่านทำทองสรภัญญะนี้เป็นยังไง ผมไม่รู้กติกามาก่อนจริงๆ
แต่เพราะการบังคับแบบเลี่ยงไม่ได้ของท่านนายกฯ ผมจึงรับปาก แม้ว่าจะออกตื่นๆ ว่าจะทำไงดี ถึงจะไม่ขายหน้าท่านผู้รู้ทั้งหลาย
ท่านยุทธได้บอกเป็นเชิงให้กำลังใจว่า ไม่ต้องห่วงหรอก พิธีกรยุคใหม่นี้ เขาจ้อได้ทุกเรื่อง ไม่เห็นเป็นไร
ครั้นผมจะแย้งว่า ผมน่ะมันยุคเก๋าจนเก่าแล้วนะครับ แต่ก็เกรงใจท่านยุทธ ไหนๆ ก็ไม่มีทางเลี่ยงแล้ว เลยขอมาตายดาบหน้าอย่างนั้นแหละ
พูดถึงเหตุการณ์บนเวทีแล้ว ผมก็เอาตัวรอดมาได้แบบไม่ขายหน้าทสักเท่าไร เพราะความสามารถเชิงการอ่านทำนองสรภัญญะของลูกๆ หลานๆ นักเรียนตัวแทนจากภาคต่างๆ ที่เข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 โรงเรียนด้วย แต่ละโรงเรียนก็มีความเก่งแบบพอดู๋ดี๋สูสีกัน ผมสังเกตจากท่าทางหนักใจของกรรมการตัดสิน
สุดท้ายก็มีโรงเรียนที่สมหวังและสมหวังน้อย ตามบทบาทและกติกาของการแข่งขัน
ผู้ไม่ชนะก็ไม่ถึงขนาดหลั่งน้ำตาเสียอกเสียใจ ผู้ไม่แพ้ก็ไม่ถึงกับกระโดดโลดเต้น ไม่เหมือนกับการแข่งขันร้องเพลงในทีวี น่นเพราะการจัดการบริหารความตื่นเต้นของทีมงาน ที่สร้างความกดดันให้ผู้เข้าแข่งขัน จนถือการแพ้การชนะเป็นเรื่องใหญ่ จนแต่ละโรงเรียนจ้องแต่จะชนะอย่างเดียว
ผมว่าถ้าทุกฝ่ายเป็นฝ่ายชนะหมด มันก็หมดสนุกเหมือนกัน
แต่การแข่งขันการอ่านทำนองสรภัญยะในครั้งนี้ มีแต่ผู้ไม่แพ้ ทุกคนทุกโรงเรียนได้รับความรู้เพิ่มเติม ได้รับประสบการณ์ และได้เปิดโลกทรรศน์ทางการอ่าน ทุกอย่างจึงลงเอยด้วยความพอดี
อ้อ...ในช่วงวันสองวันมานี้ ผมเพิ่งได้ทราบว่า ทางกระทรวงศึกษาธิการ พยายามที่จะพัฒนากระบวนการอ่านหนังสือของคนในประเทศ ให้ก้าวหน้าขึ้น ผมจำไม่ได้ในระบบการคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่พอจำตัวเลขได้ว่า เมื่อก่อนหน้านี้ หลายปีต่อเนื่องมานะครับ คนไทยเราอ่านหนังสือเฉลี่ยแล้ว คนละ 7 บรรทัด/ปี ไม่ว่าผมได้ไปร่วมสัมมนาหรือฟังการสัมมนาที่ไหน ก็มักได้ยินตัวเลข 7 บรรทัด 7 บรรทัด มาประมาณ 10 ปี เห็นจะได้
แล้วตอนนี้ทางกระทรวงศึกษากำลังเร่งรัดให้ตัวเลขของการอ่านหนังสือในบ้านเรา เพิ่มเป็นคนละ 12 บรรทัด / ปี ให้ได้
ผมไม่รู้ว่าตนเองควรจะดีใจหรือไม่
เอาเป็นว่า ควรจะดีใจนะครับ เพราะอย่างน้อยก็เห็นความพยายามของกระทรวงหลักทางด้านการศึกษาออกมารับปากว่าจะเพิ่มจำนวนบรรทัดการอ่านของคนในชาติขึ้น เอาใจช่วยกันหน่อยก็คงจะดี
เรามาช่วยกันสร้างรากฐานทางกระบวนการพัฒนาชีวิต จากการอ่านหนังสือดีๆ คนละเล่มสองเล่ม แล้วจะรู้ว่า โลกนี้ ยังมีมุมสวยๆ และทางเดินดีๆ ให้เดินบ้าง
ผมว่าคนที่อ่านหนังสือและเขียนหนังสือ อย่างน้อยก็มีเรื่องดีๆ มาพูดคุยกัน มีเรื่องดีๆ มาแบ่งปันกัน น่นคือความต้องการอย่างหน่ง ของพวกเราไม่ใช่หรือครับ
ขอทักทายทุกท่านที่แวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ด้วยความเต็มใจ หากมีส่งใดจะเสนอแนะ อย่าได้รีรอ ผมจะของคารวะท่านด้วยน้ำเย็นๆ จากหัวใจ เพราะที่บ้านหลังนี้ ไม่มีน้ำผสมแอลกอฮอล์ครับ สวัสดี รักษ์ มนัญญา
Create Date : 17 มิถุนายน 2550 |
|
6 comments |
Last Update : 19 มิถุนายน 2550 23:15:47 น. |
Counter : 678 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย 20 มิถุนายน 2550 7:59:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: ยาย (แพรจารุ) IP: 203.113.50.140 20 มิถุนายน 2550 8:13:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักษ์ IP: 58.8.173.65 20 มิถุนายน 2550 13:54:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: ิิรักษ์ IP: 58.8.173.65 20 มิถุนายน 2550 13:59:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักษ์ IP: 58.8.173.65 20 มิถุนายน 2550 14:02:01 น. |
|
|
|
| |
|
|
big onion |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ชอบเขียน อ่าน เดินผ่านถนนคนเขียนหนังสือมาประมาณสามสิบฝน แต่ยังเขียนไม่ได้ดี หันมาสนใจต่อการเพ่งดูตนเอง มากกว่าเพ่งโลกภายนอก รู้ว่าตนเองแก่เอามากๆ สบายใจดี
|
|
|
ขอต้อนรับเข้าสู่ชมุชนบล็อกแก๊งด้วยความยินดี
ผมอ่านเรื่องนี้อย่างผ่านๆ เดี๋ยวเข้ามาอ่านละอย่างละเอียดอีกที
ผม add บล็อกของคุณไว้แล้ว
ตอนนี้ขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ เพราะเดี๋ยวเวลาจะล่วงเลย
เดี๋ยวจะไปบอกเพื่อนๆต่อว่าให้มาคุยกันบ้าง
ด้วยความยินดีครับ