ดูตน เพ่งตน ให้เห็น
<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
13 สิงหาคม 2550

บันทึกสู่ปรมัตถ์


กำลังอ่านหนังสือธรรมะคร้าบ..


ไม่เข้าใจ...ถามพ่อดีกว่าครับ...


งง..ยืนหลับพักผ่อน ฝันยังไงก็ไม่รู้ฮะ


ออกกำลังกาย ด้วยโยคะครับ สบายๆๆๆ


สองคนเหรอ ไม่ใช่ ต้องสามคน แล้วพี่ชายผมไปไหนล่ะฮะ



***********

(เรื่องนี้ เป็นเรื่องส่วนตัวเอามากๆ โปรดอ่านด้วยวิจารณญาณครับ)

...................................................................

เมื่อคืนผมอุ้มลุกคนเล็ก...ปรมัตถ์...ขึ้นไปนอนบนบ้าน เมื่อเวลาเที่ยงคืนล่วงแล้ว

วันแม่ ผมและครอบครัวได้พากันไปตักบาตรที่โรงเรียนวัดพรหมสุวรรณสามัคคี เขานิมนต์พระ 76 รูป มาจาก 4 วัด มาบิณฑบาต รับข้าวสารอาหารแห้ง...

แม่ของลูกๆ ผม เพิ่มวันแม่เป็นวันสมาทานศีลแปดอีกวัน ผมไม่ได้ถามถึงความสมัครใจที่สมาทานศีลในครั้งนี้ แต่พอจะคิดได้ว่า เธอน่าจะยึดเอาวันแม่เป็นวันแห่งการทำบุญ เพื่อตอบแทนคุณของแม่...สมาชิกในบ้านเราทุกคน ร่วมอนุโมทนาด้วย...

ศีลข้อที่แปด คือ ห้ามผู้สมาทานศีลนั่งหรือนอนบนที่นอนที่สูง ใหญ่ หรือยัดด้วยนุ่นจนฟองหนา...พวกเราจึงเลือกที่จะนอนบนพื้นที่ชั้นล่างของบ้าน ปูด้วยผ้าพอเป็นที่นอน ไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดความสบายกาย จนเกินความพอดี

นั่นเป็นแนวทางที่เรายึดปฏิบัติมาตลอด

ปรมัตถ์หลับมาตั้งแต่สามทุ่มครึ่ง ลูกในวัยหย่อนหนึ่งวันจึงจะครบ 11 เดือน ดิ้นรนและผุดลุกผุดนั่ง แสดงอาการนอนไม่เป็นสุข เมื่อเปิดไฟดู จึงรู้ว่ามียุงเข้ามาอยู่ในมุ้งครอบของลูกสามสี่ตัว...(มุ้งครอบขนาดใหญ่ ที่ผมเข้าไปนอนในมุ้งดูแลลูกได้ โดยไม่อึดอัด...)

ถ้าเป็นเมื่อก่อน (ผมเคยเขียนถึงกรณียุงมาแล้ว ในหนังสือชื่อ “เป็นเรื่องเล่าที่สอนเราให้เติบโต” ที่ผมเขียนร่วมกับ “หอมหัวใหญ่”) ผมจะต้องใช้ฝ่ามือพิฆาตจัดการยุงทั้งหลายด้วยความแค้น โทษฐานที่กัดลูกของฉัน...

แต่ในค่ำคืนนี้ ผมเลือกใช้แก้วน้ำเปล่า มาครอบยุงที่เกาะตัวเป่งอยู่ พยายามนำเจ้ายุง (ร้าย) ออกนอกมุ้ง แล้วค่อยๆ ปล่อยเขาไป...

สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ...

ใจแผ่เมตตาตามไป ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขๆ...เถิด

พอนำยุงออกจากมุ้งจนหมด ปิดไฟให้ลูกนอน ผ่านไปอีกสักพัก ดูเหมือนยุงจะไม่รับรู้ถึงความเมตตาที่แผ่ให้ มันพากันมุดมุ้งเข้าไปวุ่นวายกับผิวเนื้ออ่อนๆ ขอทารกน้อยอีก

ผมเลยตัดสินใจอุ้มลูกขึ้นไปนอนข้างบน ปล่อยให้ภรรยากับหนูหอมหัวใหญ่ และผักกาดหอม นอนอยู่ที่ชั้นล่าง ผมยังไม่ได้สมาทานศีลแปด จึงพาลูกขึ้นมานอนบนที่นอนในห้องชั้นบน ปรมัตถ์หลับต่ออีกตื่นใหญ่ๆ จึงตื่นขึ้นมากินนมสี่ออนซ์...จากนั้นก็หลับต่อจนถึงตีห้า...เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

คราวนี้ เขาไม่ยอมหลับอีก คลานไปมาบนที่นอน แม้จะกลัวว่าลูกจะตกเตียงนอน เหมือนอย่างที่เขาเคยตกมาแล้ว2 ครั้ง แต่ผมก็ปล่อยให้เขาเรียนรู้ว่าจะไปทางไหน จึงจะมีความปลอดภัย เขาชวนผมคุยด้วยการส่งเสียงที่ไม่เป็นภาษาอย่างผู้ใหญ่รู้ แต่ผมที่เป็นพ่อรู้ว่าเขากำลังสื่อสารกับเราด้วยสิ่งใด เขามีความต้องการต่อสิ่งใด

มือน้อยๆ ชี้ไปที่ประตู...

ผมบอกเขาไปว่า ยังเช้าอยู่ แม่และพี่ๆ ที่นอนข้างล่างยังไม่ตื่น...แต่เขาไม่ยอม พยายามส่งเสียงและป่ายปีนลงจากเตียงเพื่อไปยังประตู...

ผมจึงเป็นฝ่ายตามใจเขา ด้วยการพาออกจากห้อง แวะห้องพระ...ปล่อนเขาลง พร้อมกับบอกว่า กราบพระก่อนนะลูก...

เขาหันมายิ้มชอบใจ คงไม่ชอบใจเพราะจะได้ไหว้พระ แต่ชอบใจที่ได้รับการปล่อยตัวให้เป็นอิสระ พื้นที่ไหนก็ได้ ขอให้เป็นอิสระจากการควบคุม แม้การควบคุมนั้นเราจะเรียกว่าอุ้ม โอบกอด หรืออะไรก็ตาม เขาจะรับรู้ได้ในบางขณะ คือขณะต้องการความปลอดภัย ความอบอุ่น แต่สักพัก พอรู้ว่าโลกอื่นนอกจากอ้อมอกและโอบกอดของเรามีความน่าสนใจกว่า เขาก็พร้อมป่ายปีนสู่ที่แห่งนั้น...

ระหว่างผมจุดเทียนและธูปเพื่อบูชาพระ เขาหันไปสนใจกับหนังสือสวดมนต์สามสี่เล่มที่วางตรงโต๊ะหน้าพระพุทธรูป หนังสือเหล่านี้ หอมหัวใหญ่และผักกาดหอม เคยใช้เป็นคู่มือเมื่อจำบทสวดมนต์ยังไม่ได้ ตอนนี้ลูกทั้งสองไม่จำเป็นต้องเปิดอ่านแล้ว ทั้งสองคนสามารถจดจำบทสวดได้พอๆ กับผู้ใหญ่ที่เข้าวัดเข้าวาอยู่ประจำ

ปรมัตถ์จึงยึดมาเป็นเครื่องทดลองความคมของฟัน เล่มแล้วเล่มเล่า...ทีละหน้าๆ...หลายครั้งเขาหมายตาเอากรอบพระจตุคามที่ผมได้รับมาจากที่ต่างๆ เป็นที่ประลองความคมของฟันแปดซี่อีกด้วย

ผมพาลูกไหว้พระ สวดมนต์ อย่างไม่เร่งรีบ ไม่มีความจำเป็นต้องรีบสวด รีบไหว้ หยุดตัวเองอยู่ในปัจจุบัน ตั้งสติและสมาทานศีลแปด เพราะวันนี้เป็นวันพระ...เป็นวันที่ผมยึดปฏิบัติมากว่าสองปี ตั้งจิตตั้งใจ ไม่ให้ศีลของตนบกพร่อง แม้รู้ว่ายาก แต่ต้องทำให้เป็นปกตี คือเป็นเครื่องดำเนินชีวิตประจำวัน

ทุกอย่างต้องทำอย่างประณีต ด้วยหัวใจที่ศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อพระธรรม และต่อพระอริยะสงฆ์...ไม่ใช่สักแต่ว่าทำเท่านั้น...

เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันครบรอบ 11 เดือน ของปรมัตถ์ ผมจึงปล่อยให้เขาอยู่ต่อหน้า พระนานที่สุดเท่าที่จะนานได้

ชีวิตน้อยๆ กำลังจะย่างเข้าหนึ่งขวบปี แต่ในความรู้สึกของผม ปรมัตถ์ได้สอนอะไรผมมามากมาย สอนให้ผมใจเย็น รู้จักแยกแยะความคิด สอนให้ผมมีสติติดตามความเคลื่อนไหวของเขา ตัวเขาไม่เคยหยุดนิ่ง เคลื่อนไหวทุกวินาที เหมือนจิตของเรา ที่เคลื่อนไหวไกวแกว่งตลอด

สติคือพ่อและแม่ที่ต้องคอยตามดูลูกน้อยทุกขณะก้าวย่าง ไม่ให้เถลไถลไปนอกลู่นอกทาง

จิตมีธรรมชาติที่ไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนไหว แล่นเร็ว แปรเปลี่ยนตลอด...

นั่นละคือจิต...ที่ปรมัตถ์สอนผมมาตลอด 11 เดือน…



ชีวิตต้องเตรียมตัวให้พร้อมฮะ


Create Date : 13 สิงหาคม 2550
Last Update : 13 สิงหาคม 2550 10:57:31 น. 14 comments
Counter : 1075 Pageviews.  

 
น้องหนูหอมน่ารักไหมคะ (ถามเล่นๆค่ะ)


โดย: หนูหอมค่ะ (big onion ) วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:11:38:13 น.  

 
ตอบหนูหัวหอมว่า น่ารักจ๊ะ

ตกลงว่ามีกันสามคนเชียวหรือ คือหอมหัวใหญ่และผักกาดหอม และปรมัตถ์

สมาทานศีลแปด คือถือศิลแปดใช่ไหม เราเห็นมาตั้งแต่เด็ก แม่เราก็ถือศิลแปดทุกวันพระ ไม่นอนบนที่นอน ไม่กินข้าวเย็น สวดมนต์ บางครั้งก็ไปนอนวัด แต่ทั้งครอบครัวแม่เราก็ทำอยู่คนเดียวแหละ

รักษ์พูดถึงยุงอย่างไม่กล้าตบ แต่เดี่ยวนี้เขาทำไม่ตียุงเป็นไฟฟ้าแล้วนะ เป็นไม้แบด






โดย: แพรจารุ วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:21:01:40 น.  

 
ครอบครัวหนูหอมน่ารักมากค่ะ
ทึ่งจัง..ที่นำลูก ๆ เข้าใกล้ชิดศาสนาได้ถึงเพียงนั้น

นึกแล้วก็อายค่ะ..ที่ตัวเองค่อนข้างละเลย
แต่เมื่อตอนเด็ก ๆ มีพ่อและแม่พาไปวัดบ่อยมาก ๆ นะ
พอโต..(แก่..)กลับไม่ค่อยมีโอกาส

ไม่อยากพูดว่าไม่มีโอกาสเพราะที่จริงมันเป็นที่ตัวเราเองมากกว่า
เวลาก็มีวันละ 24 ชั่วโมงเหมือนกัน
งานการก็มีเหมือนคนอื่น
ศรัทธาในศาสนาก็มี..เหมือนคนอื่น
แต่ทำไม...ปฏิบัติศาสนกิจน้อยมาก

ขอถือเอาครอบครัวหนูหอมเป็นตัวอย่างก็แล้วกันนะคะ

ปกติบล็อกของดิฉันไม่ค่อยมีสาระหรอกค่ะ
ท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ
ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยม...ขออนุญาต add บล็อกนะคะ
เผื่อแวะมาอีก มาหาความสงบในใจค่ะ


โดย: ชิงดวง วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:22:40:22 น.  

 
ตะแรกคิดว่าเจ้าตัวเล็กอ่านปรมัตถ์ +++
อ้อ ตัวเล็กชื่อปรมัตถ์ เข้าใจตั้ง สร้างสรรค์จังค่ะ
ปรมัตถ์ คงสอนธรรมะคุณพ่อคุณแม่ไปอีกนานล่ะค่ะ
ยิ่งตอนจะเข้าโรงเรียนสามคนรวด โอ้...

คนมีลูก ก็มีความสุขกับเรื่องของลูก
และหาแรงดาลใจจากเด็กๆได้เสมอนะคะo22.gif>


โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:10:25:04 น.  

 
สวัสดีครับรักษ์

วันนี้ผมไปค้นหาบางอย่างใน Mydoc.เจอจดหมายฉบับหนึ่งที่ผมเขียนถึงลูกสาว และได้เล่าเรื่องนี้ ให้เธอฟัง รู้ผมจำว่าผมเคยส่งให้คุณอ่านทางอีเมล์นานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าคุณได้อ่านหรือเปล่า เพราะคุณไม่ได้ตอบผมทางอีเมล์

เผื่อว่าคุณยังไม่ได้อ่าน ผมก็เลยเอามาให้คุณอ่านเล่นๆ


-----------------------------------------------------

ลูกรัก


เมื่อคืนพ่อหยิบหนังสือชื่อ “เป็นเรื่องเล่าที่สอนให้เราเติบโต” มีชื่อภาษาอังกฤษเก๋ๆว่า Once Upon a time พ่อซื้อหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว ก็ตั้งแต่ที่พ่อเห็นครั้งแรกที่วางแผงนั่นแหละ (ธันวาคม 2547) เป็นการรวมผลงานระหว่างพ่อกับลูกสาววัย 6 ขวบ พ่อชื่อรักษ์ มนัญญา ลูกสาวชื่อจิรภิญญา สมเทพ ชื่อเล่นของเธอน่าเจียวกับไข่มาก คือ “หอมหัวใหญ่”

พ่อก็เขียนเรื่องของพ่อ ลูกสาวก็เขียนเรื่องของลูกสาวและเป็นผู้วาดภาพระบายสีประกอบเรื่องด้วย

เป็นเรื่องเล่าธรรมดาๆในชีวิตครอบครัวของพ่อแม่ลูก แต่พ่อกลับรู้สึกว่าแต่ละเรื่องไม่ธรรมดาเลย พ่อเคยอ่านบทกวี เคยอ่านเรื่องสั้นของเขามาไม่น้อย แต่พ่อกลับชอบงานเขียนที่เล่าเรื่องแสนจะธรรมดาของเขาชุดนี้มาก

เป็นเรื่องจริงที่เล่าอย่างอย่างเรียบง่ายแต่มีมุมมองที่แหลมคม ความคมในความหมายของพ่อบางทีอาจไม่ได้อยู่ที่การเล่นคำหรือสำนวนโวหารหรอก แต่พ่อว่าความคมเกิดจากการมองเห็นแง่มุมของชีวิตมากกว่า แม้แต่คำนำพ่อว่ายังคมเลย ,ลองอ่านดูสิ...

“การที่ผมได้เริ่มเขียนงานชุดนี้ ผมเริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น ทำให้ผมเขียนงานชุดนี้ได้เรื่อยๆ เขียนแล้วก็กลับมาอ่าน ทบทวนและตรวจสอบตัวเอง บางครั้งก็มองเห็นความผิดพลาดบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่งานเขียน แต่เป็นความผิดพลาดของตัวเอง ผมเริ่มได้คิดว่า การให้อภัยแก่ตัวเองอยู่ใกล้เคียงกับคำว่าแก้ตัวให้ตัวเองเป็นอย่างมาก…

ผมต้องขอบคุณคนที่อยู่ใกล้ชิดชีวิตผมทุกๆคน ทั้งภรรยาและลูกๆที่ทำให้ผมได้มองเห็นความเป็นจริงที่เหมาะแก่ตนเอง ทำให้ผมรู้ว่าควรจะเว้นสิ่งใด และรู้ว่าควรจะทำสิ่งใดบ้าง”


นี่ไงประสบการณ์ชีวิต พ่ออ่านแล้วบอกตัวเอง ประสบการณ์ที่ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วย หรือปีนหน้าผาสูงชัน หรือเดินทางหมื่นลี้ หรือต้องเสพยาเสพติด แต่ทว่าเป็นประสบการณ์ที่เกิดจากการเดินทางภายใน เป็นการเดินทางของชีวิต , ทำความรู้จักกับชีวิตระหว่างการก้าวไปข้างหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านเข้ามาให้เรียนรู้

หนูหอมหัวใหญ่นั่นแหละที่สอนสิ่งเหล่านี้ให้แก่พ่อของเธอ สอนให้เรียนรู้ที่จะรักอย่างไร้ขอบเขต สอนให้เรียนรู้ที่จะอดทน สอนให้รู้จักความอ่อนโยน ฯลฯ

ถ้าไม่ได้เรียนรู้จากสิ่งที่ประสบมาแล้วก็ไม่อาจเรียกว่าประสบการณ์ได้เลย เพราะประสบการณ์นั้นไม่ใช่เพียงแค่การผ่านและพบเท่านั้น แต่ทว่าต้องได้เรียนรู้จากสิ่งที่พบและผ่านมาด้วย บางคนผ่านร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมาทั่ว แต่ทว่าไม่ได้รู้จักตัวเองหรือชีวิตดีขึ้นเลย เพราะไม่ได้เรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านมานั่นเอง

สีสันของรูปประกอบของลูกสาวดูสดใส แต่เรื่องที่ผู้เป็นพ่อเขียนนั้น พ่อกลับได้สัมผัสถึงความเศร้าจางๆอยู่ในนั้น แต่ทว่าก็มีความรักเป็นพลังยิ่งใหญ่โอบอุ้มอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ลูกต้องย้ายโรงเรียนบ่อยอย่างเรื่อง “หนึ่งปี 4 โรงเรียน” “เรื่องยุงกลางคืน” พ่อก็ชอบ สำหรับเรื่อง“ต๋าผู้ยิ่งใหญ่” พ่ออ่านแล้วก็นึกถึงรายการที.วี. “ฅนค้นคน” อะไรประมาณนั้น

ในเล่มนี้พ่อชอบเกือบทุกเรื่องแหละ จะไม่ค่อยชอบก็เฉพาะเรื่อง “จดหมาย ถึง ยอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช” พ่อว่าไม่น่าจะมารวมอยู่ในเล่มนี้เพราะมันไม่ค่อยเข้ากัน

รักษ์ มนัญญาคนนี้ สมัยหนุ่มก็เป็นเพื่อนกับพ่อมารุ่นราวคราวเดียวกับแก้ว ลายทอง สมพงษ์ ทวี’ ที่ยังจดจำกันถึงทุกวันนี้ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราอยากๆไปหาวิมล ไทรนิ่มนวล เพื่อนพ่ออีกคนที่อยู่ประตูน้ำพระอินทร์ เขาจำนำปากกาเพื่อเป็นค่ารถ สมัยก่อนปากกายังจำนำได้เลย

ตอนนี้นานๆเราจะได้พบกันสักครั้ง นานๆเราจะเขียนเมล์ถึงกันสักครั้ง นานๆเราจะโทรศัพท์ถึงกันสักครั้ง ยิ่งเติบโตก็ยิ่งห่างกันแต่เมื่อคืนนี้พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านทำให้พ่อรู้สึกใกล้ชิดเขาขึ้นมา ใกล้ชิดเพราะความรู้สึกในความเป็นพ่อ พ่อรู้สึกอยากคุยกับเขาจัง แต่ทว่าตอนนี้พ่อไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเขา

วันนี้เป็นวันหนึ่งที่พอรู้สึกเหงาๆอยู่เหมือนกัน นานแล้วที่พ่อไม่ได้รู้สึกอย่างนี้ คิดถึงเก้าอี้ไม้โยกหน้าจอที.วี.แล้วนั่งดู DVD โดยไม่ยอมลุกไปไหน หรือนอนคุยกันพ่อแม่ลูก ขัดคอกันบ้าง หัวเราะยั่วเย้ากันบ้าง พ่อห่างบรรยากาศอย่างนั้นมานานพอสมควรแล้ว

ด้วยรัก

พ่อ


โดย: พ่อพเยีย วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:20:07:57 น.  

 
รู้สึกดีครับ พี่รักษ์ กับการใช้ชีวิตนิ่งๆ อยู่กับคนที่เรารัก


โดย: pu_chiangdao IP: 202.5.87.148 วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:23:07:12 น.  

 
หวัดดี แพร จารุ

การถือศีลแปดก็คือการสมาทานศีลแปดนั่นแหละครับ เริ่มตั้งแต่ข้อหนึ่ง คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เป็นต้นไป จนถึงข้อที่แปด คือ การเว้นจากนอนที่นอนที่ใหญ่ หนา อ่อนนุ่ม เกินไป

ต้อขออภัย ที่นำเรื่องส่วนตัวมาเล่า ไม่ใช่เพราะว่าอยากอวดตัวหรอก แต่เป็นการเล่าเพราะอยากให้ชุมชนชาวบล็อกที่รักทุกท่านได้รู้ว่า อานิสงส์ของศีลนั้นมีอยู่จริง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ถูกต้องแล้ว

เมื่อลองทำแล้วจะรู้เอง

สำหรับคนในบ้านของเรา คือตัวเรา และภรรยา จะรักษาศีลแปดในวันพระ คือ เริ่มสมานทานศีลตั้งแต่เช้า จะไม่กินข้าวและของเคี้ยวอื่นๆ หลังเที่ยง จนถึงวันใหม่ และยกเว้นข้อห้ามตามหลักของศีลอื่นๆ ด้วย

นอกจากนี้ ก็จะพาลูกๆ ทำสมาธิ เท่าที่จะทำได้จ้ะ


โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:0:28:31 น.  

 
สวัสดีครับ คุณชิงดวง

ดีใจมากที่คุณชิงดวงกลับมาที่บล็อกนี้อีก และเราคงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนธรรมทัศนะกันตามกำลังสติปัญญาต่อไป

ผมรู้สึกดีใจที่ข้อเขียนเหล่านี้เป็นแรงใจให้คุณชิงดวงมีใจน้อมต่อการทำบุญ จะด้วยการให้ทาน รักษาศีล หรือภาวนา ก็เป็นเรื่องที่ควรแก่การอนุโมทนา

เมื่อก่อน ผมเองก็เคยอายที่จะบอกว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่กล้าที่จะบอกเพื่อนๆ ว่า ผมไม่ดื่มสุราแล้วนะครับ...เป็นต้น แต่พอเวลาผ่านไป เราค่อนข้างมั่นใจว่า สิ่งที่เรานั้นเป็นเรื่องดี เราจึงกล้าพอที่จะเปิดเผยให้คนอื่นรู้ และอยากให้คนอื่นๆ ได้ทำดูบ้าง การให้ธรรมะเป็นการให้ที่ประเสริฐ...พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้ หรืออีกนัยหนุ่ง การให้ความรู้ (วิชชา) เป็นการให้ที่ชนะการให้ทั้งหมด...

การลงมือปฏิบัติธรรม เริ่มต้นได้ทุกเมื่อ ไม่เลือกเวลากลางวันหรือกลางคืน แม้แต่นั่งอยู่ในห้องประชุมหรือโหนรถเมล์ ก็สามารถทำได้ เลือกเอาธรรมะข้อที่เหมาะต่อจริตเราเป็นหลักมาลองทำ แล้วใจจะสงบและระงับและรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ

ขอเป็นแรงใจให้คุณชิงดวงได้ทำในสิ่งที่ดี ขอให้ค้นพบทางสว่างและสงบของตนเอง

อย่าลืมแวะมาเล่าประสบการณ์ดีๆ ให้อ่านนะครับ



โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:0:40:50 น.  

 
หวัดดี ยิปซีสีน้ำเงิน

ปรมัตถ์ หมายถึง จิต เจตสิก รูป และนิพพาน...อีกนัยหนึ่ง หมายถึง สิ่งมี่ค่าและประโยชน์สูงสุด...

ปรมัตถ์เกิดในช่วงที่จิตใจของผมและภรรยากำลังแสวงหาทางเดินชีวิต เราต่างปรารถนาสิ่งเดียวกัน คือการปฏิบัติธรรม...หลังจากสะปเสะปะมากับโลกย์อันวุ่นวายด้วยดวงตาเศร้าๆ มาตลอด

อันที่จริงลูกก็คือตัวตนด้านหนึ่งของเรา อยากรู้ตัวเราก็มองดูที่ลูก นั่นละเงาของเรา...

หากจะถามตัวเองว่าเป็นไง เมื่อมีลูกเอาตอนแก่...ขอตอบว่าดี...เราสอนเขา เขาสอนเรา วุ่นวายและสงบ อยู่ที่ตัวเราเอง


โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:0:48:18 น.  

 
หวัดดีครับ พ่อพเยีย

ผมจำได้ถึงเมล์ที่พ่อพเยียส่งมาให้อ่าน แต่จำไม่ได้ว่าได้ตอบกลับไปหรือไม่ แต่ก็ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ส่งมาให้อ่านอีกครั้ง

หนังสือเล่มที่ว่านี้ เป็นบันทึกเล็กๆ ที่มีหอมหัวใหญ่ หรือหนูหอม มาร่วมวาดและเขียนบันทึกเล็กๆ ตอนนั้นหนูหอมอายุเจ็ดขวบ เพิ่งจะขึ้นปอสอง

พ่อพเยียจำเรื่องสั้นที่ผมเขียนเรื่องหนึ่งได้ไหม อ้อ อยู่ในรวมเรื่องสั้นชุด "เกมวิสามัญ" ดูเหมือนจะชื่อ "บันทึกลับ" ถ้าจำไม่ถูกต้องก็ขออภัย เพราะหนังสือเล่มนี้อยู่ที่บ้านต่างจังหวัดครับ

ผมเขียนถึงพ่อคนหนึ่ง ที่ปั่นซาเล้ง เก็บของเก่าไปขาย แล้ววันหนึ่งเขาไปได้สมุดบันทึกเก่าๆ มาเล่มหนึ่ง เมื่ออ่านดู เขาจึงรู้ว่า เป็นสมุดบันทึกที่เขาเคยเขียนถึงลูกสาวของเขาที่เขาไม่มีโอกาสเลี้ยงดู...

ดูเหมือนพ่อพเยียเคยบอกว่าอ่านแล้วสะเทือนใจ...

ก็นำมาเล่าทบทวนความจำของคนวัยอย่างเราๆ เท่านั้นหรอกครับ


โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:0:55:48 น.  

 
หวัดดี ภู เชียงดาว

กว่าจะนิ่งก๋วิ่งวุ่นจนวุ่นวายใจแหละนา...

ขอบคุณที่แวะมานะ อากาศทางภูเขาเมืองเหนือเป็นไงบ้าง ถ้าพบมหรรณพก็บอกด้วยว่า คิดถึง...


โดย: รักษ์ (big onion ) วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:0:59:27 น.  

 
ไม่รู้เป็นไงค่ะ พี่ชายชอบเลี้ยงลูกด้วยไม้แขวนเสื้อกะเข็มขัด จนคนรอบข้าง รู้กิตติศัพท์กันดี
ตอนนี้หลานไปห้าง เด็กมันซื้อของยังกับคนบ้าเก็บกดแน่ะค่ะ คนรอบข้างก็กลุ้มอยู่ค่ะ เด็กมันหยิบของอย่างกับว่าจะไม่ได้กลับมาห้างอีกแล้วค่ะ


โดย: quilt วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:5:30:58 น.  

 
หวัดดีครับ quilt

หลานอายุเท่าไรแล้วครับ

ถ้าอายุพอรู้ความ คือประมาณห้าหกขวบขึ้นไป ก็เป็นที่เชื่อได้ว่า หลานต้องการความใส่ใจจากคนรอบข้าง

การเรียกร้องสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นหนึ่งในการแสดงออกของนิสัยดังกล่าว เด็กจะมีความชอบใจที่ตนเป็นผู้ชนะ และมีผู้ใหญ่เอาใจ

การจะเปลี่ยนแปลงนิสัยดังกล่าว เป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจแทนพอสมควร แต่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้นะครับ

ถ้าพ่อแม่หรือผู้ใหญ่มีความอดทนและใจเย็นพอ ค่อยๆ เปลี่ยนความต้องการของเด็กทีละน้อยๆ โดยไม่ให้แกรู้ตัวว่ากำลังถูกบังคับ การสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมาแทนนิสัยเก่า จึงเป็นทางที่น่าจะช่วยได้

เพียงแต่ว่าพ่อแม่มีความหนักแน่นและใจเย็นพอแล้วหรือยัง

พ่อแม่ต้องคอยดูแลลูก (อันนี้ ทุกคนต้องเถียงว่า พ่อที่ไหนละจะไม่ทำอย่างนั้น) คือ ต้องทำด้วยความรัก ไม่ใช่ทำเพราะหน้าที่เท่านั้น คือรัก เมตตา และมุ่งหวังว่าจะสอนให้เขาเป็นคนดีจริงๆ

และควรหลีกเลี่ยงคำพูดเยาะเย้ย ถากถาง กระแนะกระแหน เช่น ฉันเป็นพ่อของแกนะ ...แกต้องเชื่อฟังฉัน...คำพูดเช่นนี้ จะทำให้เกิดการต่อต้านจากเด็กครับ

ที่สำคัญอย่างยิ่ง เล่านิทานหรือหาหนังสือที่สอนเกี่ยวกับเรื่องบุญบาป ให้อ่านด้วย หรือไม่ก็พาเข้าวัดบ่อยๆ จะเป็นการปลูกฝังนิสัยด้านดีครับ

ถ้าไม่ท้อก็พอได้ครับ...
หรือถ้ายังชอบเลี้ยงลูกด้วยลำแข้งอยู่ ก็ยิ่งยากและหนา


โดย: พ่อหนูหอม IP: 202.57.170.190 วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:23:21:49 น.  

 
ตอนนี้น้องมะตูมกำลังตั้งไข่ค่ะ เดินได้หลายก้าวแล้วค่ะ (กำลังซนค่ะ)


โดย: หนูหอม (big onion ) วันที่: 18 สิงหาคม 2550 เวลา:14:51:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

big onion
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบเขียน อ่าน เดินผ่านถนนคนเขียนหนังสือมาประมาณสามสิบฝน แต่ยังเขียนไม่ได้ดี หันมาสนใจต่อการเพ่งดูตนเอง มากกว่าเพ่งโลกภายนอก รู้ว่าตนเองแก่เอามากๆ สบายใจดี


เดินรอบตัวเอง
[Add big onion's blog to your web]