ดูตน เพ่งตน ให้เห็น
 
มิถุนายน 2550
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
17 มิถุนายน 2550

ไก่ป้าแต๋มกับเด็กหญิงจิ้มลิ้ม

เรื่องสั้น ฉ.๒๔๕๖

ไก่ป้าแต๋มกับเด็กหญิงจิ้มลิ้ม


เช้านี้มีฝนตกกระจุ๋มกระจิ๋ม เด็กหญิงจิ้มลิ้มยืนแย้มแจ่มใส มองดูใบไม้โยกย้ายไหวลมบางใบคงชมชื่นอยากสูดดมกลิ่นดิน จึงโผผินบินร่อนลงมา เคว้งคว้างเชื่องช้าน่ารักๆ แล้วมองปอล้อคลื่นโฉบเข้ามาทายทัก แต่ดูเหมือนแมงปอจะอกหัก ใบไม้เหลืองไม่หยุดทักเลยสักนิด พักเดียวก็ร่อนลงถึงพื้นทราย พลิกหงายพลิกคว่ำคะมำลง

“แม่ขา หนูเห็นแมงปออกหัก” เด็กหญิงจิ้มลิ้มร้องเสียงใส

แม่วัยยังสาวฉงนใจยิ่งนัก ถามพร้อมหัวเราะ “ทำไมลูกแม่รู้เล่าคะ”

“เมื่อกี้มันบินเข้าไปหาใบไม้ แต่ใบไม้ไม่สนใจ เอาแต่คิดถึงทรายข้างล่าง โน่นแม่ๆ ลงมาอีกใบแล้ว”

เด็กหญิงวัยสี่ขวบชี้มือไปยังใบไม้ ที่กำลังปลิวเคว้งคว้างๆ ท่าทางเริงร่ายิ่งล้น

แม่วัยยังสาวหัวเราะฉงน คราวนี้เห็นทีว่าต้องค้นหาคำตอบให้แก่ลูก เพื่อปลูกสร้างทั้งความรู้และจินตนาการ หลายครั้งที่เห็นชาวบ้านหาญหักน้ำใจลูกน้อย เพราะมัวแต่คอยกังวลและเกรงกลัว ว่าลูกตนไม่รู้ดีรู้ชั่วเฉๆ ไฉๆ อะไรก็มักยัดเยียดใส่หัวใจอันบอกบาง จนบางครั้งกระเพื่อมสะท้อนในใบหน้าแม่หนตัวเล็กจนยับยู่ยี่ จะเอาอย่างนุ่มอย่างนี่ขึ้นอยู่กับความพอใจพ่อแม่ฝ่ายเดียว

“แม่ว่าแมงปอไม่ได้อกหักนะลูก” แม่วัยยังสาวว่า

เด็กหญิงจิ้มลิ้มหันมามอง อย่างนี้ต้องถาม “แม่รู้ได้ยังไงคะ”

“แม่ว่ามันเป็นเพื่อนกันน่ะ มันไม่ได้เป็น...เอ่อ...แมงปอออกหักหรอกจ้ะ”

แม่วัยยังสาวเกือบตกม้าตาย จะให้พูดว่าแมงปอไม่ได้เป็นแฟนกับใบไม้สาว ก็ช่างตะชิดตะขวางใจ คงไม่แคล้วต้องอธิบายอีกยืดยาว เลยยกเอาความเป็นเพื่อนมากล่าวแทน

เด็กหญิงจิ้มลิ้มพยักหน้าเนินนาบ ดวงตาเอิบอาบด้วยความคิดฝัน ใช่ซิ...ต้องเป็นอย่างนั้นที่โรงเรียนก็พูดกน ฉันเป็นเพื่อนกับเธอ...อย่างเธอกับน้ำอ้อย นิดหน่อยกับลูกหยี รวมทั้งวิลลีกับแตงโม หรือเจ้าโตกับเจ้าเล็ก

“โอ้โห แม่เก่งจังเลย” เด็กหญิงชมอย่างจริงใจ

แม่วัยยังสาวหัวเราะอิ่มใจ ความสดชื่นไหลหลั่งลงสู่อก เธอรีบยกอาหารเช้ามาวาง อุ้มลูกสาวขึ้นเก้าอี้ “กินข้าววีจ๊ะคนดี ร่างกายจะได้แข็งแรง”

“นี่เขาเรียกอะไรคะแม่” เด็กหญิงถามด้วยใคร่รู้ ชูมือชี้ถ้วยแกง

“แกงจืดจ้ะลูกจ๋า”

“มีอะไรมั่งคะ”

“หมูสับกับผักกาดขาว”

“ไม่มีไข่ดาวหรือคะแม่”

“ลูกจะเอาหรือจ๊ะ”

“ไม่คะ พอแล้ว”

เด็กหญิงหัวเราะคิกคัก ตักน้ำแกงซดเสียงดังจ๊วบ แม่วัยยังสาวกลั้นใจนับลูกแกะ กลัวตัวเองกล่าวตำหนิลูกในกิริยาไม่งาม การห้ามไม่ใช่เรื่องดีสำหรับลูกเล็ก ในหนังสือคู่มือการเลี้ยงเด็กเขาว่าไว้ เด็กวัยกำลังใคร่รู้ยิ่งห้ามก็เหมือนยุ เหมือนมีแรงผลักสู่อีกด้าน แม่คนไหนมือเร็วใจด่วน ก็เหมือนจุดชนวนให้เด็กต่อต้านและขัดขืน

“ลูกเคยเห็นหมูกินรำในรางไหมจ๊ะ” แม่วัยยังสาวหาทางบอก

“เคยเห็นซี อู๊ดด้าบ้านลุงไงคะ” พยักหน้าพร้อมยิ้ม

“เก่งจัง แม่เกือบลืมไปแน่ะ” แม่วัยยังสาวยิ้มบ้าง สู่ทางเริ่มแจ่มใส “มัน9กินทำเสียงยังไงเอ่ย”

“จ๊วบๆ ...” คราวนี้ไม่มีช้อนแกง เสียงจึงดังกว่าเดิม

“ดูแล้วน่ารักไหมจ๊ะ” ลองหยั่งเชิงก่อน

“มาย...ม่ายน่ารัก” เสียงซดแกงเบาลง

แม่วัยยังสาวยิ้มอย่างได้ที “ถ้าเรากินข้าวทำเสียงเหมือนหมูน่ารักไหมจ๊ะ”

เด็กหญิงส่ายหน้า “ม่าย...น่ารัก”

แม่วัยยังสาวยิ้มอิ่มใจ

“เก่งจ้ะลูก ไหนลองซดแกงแบบน่ารักหน่อยซิจ๊ะ”



หลังบ้านแม่วัยยังสาวปลูกพืชสวนครัวหลายอย่าง พริก มะเขือ ขนาบข้างกอกะเพราะ ข้างเสาริมรั้วยังมีเถาตำลึง กอตะไคร้ส่ายใบอึงคะนึงยามลมพัด เด็กหญิงเดินลัดไปข้างต้นพริก ได้ยินเสียงแม่บ่นไก่เข้ามาจิกกินไปเยอะ

“ไก่มันไม่เผ็ดหรือคะแม่” ถามด้วยความสงสัย

“ลิ้นไก่ไม่เหมือนลิ้นคน มันจึงไม่เผ็ดจ้ะ” แม่อธิบาย “และอีกอย่าง มันคงไม่ตั้งใจกินจนเผ็ด มันคงจิกไปเรื่อยเสียมากกว่า”

“งั้นเราก็ให้ร่อนแร่มาจัดการ” เด็กหญิงเสนอความช่วยเหลือ

ร่อแร่เป็นหมาของตา มันไปๆ มาๆ ระหว่างสองบ้าน มันมีความชำนาญด้นการขับไล่ไก่เป็นพิเศษ ไก่ตัวไหนหลงเข้าไปในเขตบ้านของตา มันจะไล่กวดให้พ้นประตูบ้าน บางครั้งมันก็กลายเป็นจอมสังหารไก่ภายใต้คมเขี้ยวอันขาววับ

แม่วัยยังสาวหันมามองดูแม่หนูจิ้มลิ้ม เจ้าของใบหน้าอาบอิ่มนี้คงไม่รู้ว่านั่นคือการฆ่า ความไร้เดียงสาและช่างเจรจาทำให้แม่วิตก เธอจะยกหนังสือเล่มใดมาอ้างเล่า เพื่ออธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ ว่าสิ่งใดเหมาะสิ่งใดควร

“ไม่ดีหรอกลูกจ๋า” แม่วัยยังสาวนั่งลงตรงหน้าลูก

“ทำไมหรือคะ” เอียงคอถาม “ร่อแร่ไม่ดีหรือคะ”

“ไม่ใช่ร่อแร่ไม่ดี ถ้าเรายุให้ร่อแร่มาจัดการกับไก่ ไก่อาจจะตายนะลูก”

“ตายเป็นยังไงคะ”

แม่วัยยังสาวส่ายหน้า เกือบอับจบปัญญาอธิบาย “ตายก็ไม่หายใจ เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ถ้าเป็นคนต้องเอาไปเผาที่วัดไงจ๊ะ”

เด็กหญิงจิ้มลิ้มพยักหน้า แต่คงไม่เข้าใจนัก “งั้นเราต้องคอยไล่มันที่ประตู ไม่ให้มันเข้ามาเดี๋ยวร่อแร่มาเห็น ร่อแร่จะกัดตายนะแม่นะ”

“เอางั้นก็ได้จ้ะ”

แม่วัยยังสาวจูงแขนลูกสาวมาจากสวนหลังบ้าน เห็นเจ้าร่อแร่นอนหลับอย่างสำราญอยู่ใต้ต้นมะม่วง ตัวมันครึ่งหนึ่งจมลงไปในกองทราย

“นั่นไงแม่ เจ้าร่อแร่”



บ่ายคล้อย สายฝนเริ่มรอยลงมาอีก แม่วัยยังสาวเรียกว่าฝนกระปริบกระปรอย ทำให้ต้องคอยแล่นเข้าแล่นออกระหว่างบ้านกับลานตาผ้า สีหน้าเหมือนคนเอือมระอาอย่างเต็มที่ ภาระในครัวยังมีอีกพะเรอ แถมยังเจอรังหนูพร้อมลูกอ่อนอีกหนึ่งครอบครัว จิ้มลิ้มเอานิ้วจิ้มตัวสีชมพูกระจิริด ปากน้อยๆ ขมุบขมิบออกฟุตฟิดฟอร์ไฟท์ บรรจงนับได้ห้าตัวอ่อนๆ

แม่ยังสาวสวมถุงมือสีเหลือง ขยุบเอาทั้งลูกหนูสีชมพูพร้อมเศษไม้ใบหญ้า บรรจงใส่ลงลังกระดาษขนาดย่อม ยกออกไปตึงไว้นอกครัว

“เราเลี้ยงไว้ไม่ได้เหรอคะแม่” เด็กหญิงถาม ตาเป็นประกาย

“ไม่ได้หรอกลูก ตัวมันสกปรก มีเชื้อโรค” แม่วัยยังสาวชี้แจง

“แต่ลูกเห็นตัวสีชมพู...ชมพู น่ารักจัง”

“อีกหน่อยมันก็ไม่สีชมพูแล้วละจ้ะ มันจะมีสีเทาๆ วิ่งไล่กันพล่าน กระโจนไปมา กัดข้าวของไม่เลือก แถมยังนำโรคฉี่หนูมาติดเราอีกจ้ะ”

แม่วัยยังสาวอธิบายเสียยาว สร้างมุมมองให้เด็กหญิงจิ้มลิ้มได้ยิ้มคิด หงึกหงักๆ ตามจังหวะพยักหน้า สักพักแม่วัยสาวจึงพาออกมาจากครัว นั่งมองฟ้าหลัวๆ จากหน้าบ้าน ตรงโต๊ะทำงานอเนกประสงค์ของผู้เป็นพ่อ ทั้งเขียนหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์ หรือบางทีก็นั่งยิ้มคุยกับถ้วยกาแฟ ตอนนี้ผู้เป็นพ่อเข้าไปในเมืองยังไม่กลับ เห็นทีแม่หนูจิ้มลิ้ม ต้องรอรับพ่ออยู่ที่ตรงนี้แหละ

ป้าแต๋มแห่งร้านขายของข้างบ้าน ชะโงกหน้าข้ามแนวรั้วโกศลมาคุยด้วย ป้าแต๋มนับเป็นคู่คุยที่ถูกอัธยาศัยของเด็กหญิงไม่น้อย บางทีเด็กหญิงก็จะเดินไปที่ร้าน ซื้อนมเปรี้ยวหวาน บางครั้งพาลจะเอาของเล่น ป้าแต๋มหัวเราะว่าเป็นธรรมดาของเด็กๆ

“วันนี้น้องจิ้มลิ้มไม่ไปเรียนเหรอจ๊ะ” ป้าแต๋มถาม

“ครูบอกว่าหยุดค่ะ” จิ้มลิ้มบอก

“แล้ววันนี้วันอะไรเหรอ” ป้าแต๋มถามต่อ ใครๆ ก็มักจะชวนเด็กคุยกันอย่างนี้

“วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์” ตอบอย่างมั่นใจ

แม่วัยยังสาวหัวเราะขัน ไม่เอ่ยปากขัดจังหวะการเจรจา ป้าแต๋มก็เออออไปด้วย ช่วยให้เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะเริงร่า อีกพักใหญ่กว่าทึงสองจะหมดเรื่องคุย ป้าแต๋มออกตัวว่าจะไปขายของในร้าน เดี๋ยวมาคุยใหม่ ป้าแต๋มว่าอย่างนั้น



แม่วัยยังสาวกับสาวน้อยวัยสี่ขวบ คุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งเหมือนกระดิ่งใบจิ๋วกังวาน เป็นภาพเจนตาของเพื่อนบ้านไปแล้ว เธอเป็นแม่ที่ไม่เคยขึ้นเสียงตวาดว่าลูกสาว ว่ากันว่าใจเธอเย็นและยาวยิ่งกว่าแม่น้ำสายใดในโลก ศีรษะทั้งสองชะโงกเข้าใกล้ชิดกัน ขณะเด็กหญิงจิ้มลิ้มก้มๆ เงยๆ บนโต๊ะ ขมีขมันบรรจงลากดินสอขยุกขยิก ปากก็เจรจาว่านั่นรถหรือนี่เรือ นู่นดอกไม้ และนี่ผีเสื้อสีสวย

ฉันพลันสายตาของเด็กหญิงจิ้มที่ละจากกระดาษก็เจอะไก่โต้งหนุ่ม มันเดินดุ่มๆ ฝ่าฝนปรอยไปทางสวนหลังบ้าน นี่แหละตัวการที่มาจิกกินพริกของแม่...

เด็กหญิงผวาลุกขึ้นยืน ชี้ดินสอไปที่ไก่โต้ง “นั่นไก่”

ปากของแม่วัยยังสาวไวกว่าความคิด “ซิ้วๆ ...ไป๊...ซิ้วๆ ...”

ร่อนเร่ซึ่งนอนอย่างสำราญอยู่ใกล้ๆ เหมือนได้ฟังสัญญาณการปล่อยตัว มันสปริงตัวขึ้นอย่างเร็ว กระโจนเข้าใส่ไก่หนุ่มที่เพิ่งจะเร่งซอยเท้าหนีเสียงไล่ ปากของร่อเร่งับคอของไก่หนุ่มอย่างเหมาะเหม็ง มีเสียงดังอ๊อก...เมื่อขนของไก่กระจุย

แม่วัยยังสาวผวาเอามือปิดตาลูกสาว ตกใจกับภาพที่เห็น ร่อแร่เดินกลับมาสั่นขนให้น้ำฝนกระเซ็นจากตัว แล้วนอนลงในทีเดิม ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องราวที่เพิ่งกระทำมาหยกๆ แถมยังผงกหัวคล้ายจะอวดผลงานเสียอีก แม่วัยยังสาวจดเท้าเดินไปดู ซากไก่โต้งที่เมื่อครู่ยังมีชีวิตอยู่นอนแอ้งแม้งข้างกอตะไคร้

“ไก่เป็นไงคะแม่” เด็กหญิงจิ้มลิ้มถามอย่างตื่นเต้น

“ตายแล้ว” เธอบอกลูกสาวเสียงระโหย “ไก่บ้านใครก็ไม่รู้ นี่เราจะทำยังไงกันล่ะ”

หางเสียงเหมือนปรึกษาตัวเอง ก่อนคว้าลูกสาวกระเตงใส่เอวเดินเข้าในบ้าน ปัญหาไม่คาดคิดเกิดขึ้นฉับพลัน ไม่รู้จะจัดการกับซากไก่เจ้ากรรมนั่นเช่นไร ถึงเจ้าร่อแร่จะเล่นงานมันจนตายในเขตบ้านของเธอเองก็เถอะ หากเจ้าของไก่รู้เรื่องเข้าไม่รู้อะไรจะตามมา แค่คิดก็กลุ้มใจจะแย่ แม่วัยยังสาวเปิดม่านหน้าต่างมองจากในบ้าน ภาวนาให้ซากไก่ตัวนั้นกลับมีชีวิตลุกเดินหนีไป มันจะได้ปลดเปลื้องความหวาดกลัวในใจเธอ แต่ที่ไหนกันเล่า ซากไก่ยังนอนสนิทนิ่งประจานซัดถึงสิ่งบังเกิดขึ้น

“ไหนลูกดูหน่อยซิ” เด็กหญิงจิ้มลิ้มเป็นหน้าต่างดู “มันไม่เดินไปไหนเลยนะแม่”

“เงียบเถอะลูก นั่นแหละมันตายแล้ว” เธอบอกด้วยความกังวล



เด็กหญิงจิ้มลิ้มมองแม่ด้วยความไม่เข้าใจ แม่ไม่ค่อยชวนคุยเหมือนวัยก่อน เด็กหญิงเดินร่อนไปมา ฝ่ายแม่วัยยังสาวได้แต่กวาดตามองตามเป็นครั้งคราว สลับการทอดถอนใจยาวเป็นพักๆ

“แม่สงสารไก่หรือคะ” เลียบๆ เข้ามาถาม

แม่วัยยังสาวโอบร่างน้อยเข้าแนบอก ไม่รู้จะตอบอย่างไร โยกร่างน้อยไปมาคล้ายปลอบใจทั้งคัวเองและลูกรัก สักพักเสียงแห่งความกลัวได้มาดังระรัวข้างรั้วบ้าน เสียงของป้าแต๋มเหมือนแส้ฟาดตรงประตูแห่งความกลัว

“จิ้มลิ้มเห็นไก่ของป้าไหมจ๊ะ”

แม่วัยยังสาวหน้าซีด เหมือนตัวเองเป็นผู้กระทำความผิด ไม่ใช่เจ้าร่อแร่ซึ่งนอนเฉยอยู่หน้าบ้าน เธอใช้ความเงียบเข้ามาจัดการ คิดว่าสักพักป้าแต๋มคงพบซากไก่ แต่เหตุการณ์ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เมื่อลูกสาวผละจากอ้อมอกของเธอ วิ่งตื๋อไปทางประตู เสียงใสกังวานขึ้นทำลายซากแห่งความหวาดวิตกในในเธออย่างย่อยยับ

“เห็นจ้ะ...เจ้าร่อแร่มันฆ่าไก่โต้งแล้ว”

“หา...น้องจิ้มลิ้มว่าไงเหรอ” ป้าแต๋มถามเร่งรัว

“ร่อแร่มันกัดไก่ตายแล้วค่ะ”

“ตายแล้ว...”

“ตายแล้ว...”

แม่วัยยังสาวเดินหน้าตาไม่ดีออกไปเผชิญหน้าความจริง เด็กหญิงจิ้มลิ้มโผมาเกาะมือแม่ก้าวสู่ประตูอันกระจ่าง แดดเย็นรางๆ ส่องเป็นทาง ป้าแต๋มยืนชะโงกหน้าเหนือรั้วโกศล ทำท่าเหมือนคนแปลกใจในท่าทางของแม่วัยยังสาว

“ร่อแร่มันกัดไก่ตายแล้วจ้ะ หนูไม่รู้ว่าไก่ของป้าแต๋ม นั่น...ค่ะ”

เปิดปากให้ความหวาดกลัวหลุดหายไป สิ่งที่เหลือคือความจริงใจ แม่วัยยังสาวรู้สึกถึงความปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว

“น่าเสียดาย ป้าเพิ่งซื้อมาสองวันนี้เอง ถูกเจ้าร่อแร่จัดการซะแล้ว” ป้าแต๋มพูดลอยๆ

“เดี๋ยวหนูจะใช้ค่ามันคืน” แม่วัยยังสาวแสดงความรับผิดชอบ “ป้าแต๋มเข้ามาเอามันกลับไปหน่อยเถอะค่ะ”

ป้าแต๋มเดนิลอดรั้วเข้ามา เสียงผ้าถุงสะบัดพรึบพรับๆ ก่อนคว้าเอาซากไห่โต้งของแกเดินกลับไปทางเดิม แม่วัยยังสาวหันมายิ้มให้ลูกรัก ใบหน้าคลายความกังวล เธอคว้าลูกสาวมากอด พลางกระซิบบอกเสียงเบา

“ขอบใจจ้ะลูกรัก ที่ช่วยปลดปล่อยแม่จากความมืดและความหวาดกลัว ลูกแม่ช่างเก่งและกล้าหาญเหลือเกิน แม่ขอบใจลูกมากๆ”

เด็กหญิงจิ้มลิ้มยิ้มเริงร่า แม่ยังสาวยิ้มทั้งน้ำตา แต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข เสียงกระจุ๋งกระจิ๋งประสานดัง เปรียบดังดนตรีกล่อมชีวิตให้รื่นรมย์อีกวันหนึ่ง




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2550
12 comments
Last Update : 17 มิถุนายน 2550 14:37:40 น.
Counter : 796 Pageviews.

 

ผมเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้ ตอนหอมหัวใหญ่อายุประมาณ ๓ ขวบ ตอนนั้นเธอไปอยู่ที่ต่างจังหวัด ผมจะเดินทางไปหาลูก เดือนละครั้ง เหตุการณ์ในเรื่องจำลองจากเรื่องจริงบางด้าน และส่งพิมพ์ครั้งแรกที่ สกุลไทย

เมื่อย้อนกลับไปอ่าน แล้วยังได้กลิ่นอายของวันคืนเก่าๆ

ลองอ่านดูนะะครับ

 

โดย: big onion 17 มิถุนายน 2550 14:50:09 น.  

 

หน้าอ่านมาก

 

โดย: แค IP: 203.113.71.105 19 มิถุนายน 2550 10:05:04 น.  

 

เป็นเรื่องที่น่ารักจังนะคะ


อ่านแล้วสบาย ๆ ดี

 

โดย: หนอนบ้านนอก 20 มิถุนายน 2550 12:36:27 น.  

 

สวัดสดีครับ คุณแค

ขอบคุณครับ ที่มาให้กำลังใจ
เพียงทักทายสั้นๆ ก็ดีแล้วครับ

แวะมาอีกนะครับ

 

โดย: รักษ์ (big onion ) 21 มิถุนายน 2550 13:32:42 น.  

 

สวัสดีครับ คุณหนอนบ้านนอก

ขอบคุณสำหรับคำชมครับ

ตามไปอ่านที่บล็อกของหนอนบ้านนอกแล้ว เห็นหนอนอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี

อย่าลืมแวะมาให้กำลังใจนักเขียนบล็อกมือใหม่นะครับ

 

โดย: รักษ์ (big onion ) 21 มิถุนายน 2550 13:47:26 น.  

 

ดึกแล้วเรายังทำงานไม่เสร็จ เบื่อ ๆ ก็เลยแวะมาเยี่ยม อ่านเรื่องสั้นที่นานแล้วไม่ได้อ่าน คนมีลูกก็พูดเรื่องลูก เขียนเรื่องลูก เอาชื่อลูกมาเป็นนาม เช่นพ่อพเยีย หอมหัวใหญ่ big onion ข่าวว่า ธารดาว ด้วย (คนไม่มีลูกอิจฉาตาร้อน)
เราก็เลยต้องเขียนเรื่องจุ๊กจิ๊ก พุงป่อง สำลี สีมอย สมาชิกในบ้าน เพื่อนสีขา
แล้วคุยกันใหม่

 

โดย: ยาย IP: 203.113.50.14 22 มิถุนายน 2550 22:54:26 น.  

 

เมื่อวานเราเล่าเรื่องสำลีสีมอยให้คุณฟัง บ่าย ๆ วันนี้ สำลี
จากไปเสียแล้ว มันไอเป็นเลือด

 

โดย: ยาย (แพรจารุ ) 23 มิถุนายน 2550 23:31:43 น.  

 

เสียใจด้วย ที่คุณสูญเสียสำลีไป
แต่พอระลึกถึงคำสอนทางพุทธแล้ว ก็สอนให้เรารู้ว่า ไม่มีสิ่งใดอยู่กับเราตลอดไป ไม่ว่าสิ่งที่เรารัก หรือสิ่งที่เราเกลียด

ลองคิดดูให้ดี สำลีอาจเกิดมาเอาชาติ หลังจากนี้เขาคงไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะได้เรียนรู้และใกล้ชิดมนุษย์ที่รักเขา
พอคุณคิดได้อย่างนี้แล้ว คุณคงไม่อยากเหนี่ยวร้งเขาไว้กับคุณในร่างของเขาที่คุณคุ้นเคยใช่ไหม

 

โดย: รักษ์ (big onion ) 23 มิถุนายน 2550 23:51:13 น.  

 

คุณพ่อเขียนดีจังค่ะ (ว่างๆสอนกันบ้างสิค้า)

 

โดย: ลูกของพ่อ (หนูหอม) (big onion ) 11 สิงหาคม 2550 10:47:38 น.  

 

หนูเห็นด้วยกับพี่หนอนบ้านนอกค่ะ ......................()

 

โดย: หนูหอม (big onion ) 18 สิงหาคม 2550 13:50:42 น.  

 

สำลีคือใครหรือคะ.....................(สงสัย.......จัง)

 

โดย: หนูหอม (big onion ) 18 สิงหาคม 2550 13:54:10 น.  

 

.ชอบมากค่ะ

 

โดย: น้องแอม IP: 117.47.58.249 20 กรกฎาคม 2552 17:31:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


big onion
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบเขียน อ่าน เดินผ่านถนนคนเขียนหนังสือมาประมาณสามสิบฝน แต่ยังเขียนไม่ได้ดี หันมาสนใจต่อการเพ่งดูตนเอง มากกว่าเพ่งโลกภายนอก รู้ว่าตนเองแก่เอามากๆ สบายใจดี


เดินรอบตัวเอง
[Add big onion's blog to your web]