ดูตน เพ่งตน ให้เห็น
<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
18 สิงหาคม 2550

บางบุญ


หอมหัวใหญ่ กับ ผักกาดหอม ที่หน้ากุฏิไม้สัก วัดสังฆทาน นนทบุรี ตอนที่แม่พาไปทำบุญถวายผ้าป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

หอมกับน้องชาย(ที่นานๆ จะได้เสนอใบหน้าอันหล่อๆ ในบล็อกจ้ะ)

**************************************************

บางบุญ


ครูของหนูหอมทำบุญขึ้นบ้านใหม่

หนูหอมกับพ่อไปร่วมงานด้วย

ครูของหนูหอมชื่อครูกัลยาณีกับครูประชา ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน เก่งคนละอย่าง

ครูกัลยาณีเก่งวิชาการทั่วไป สอนเก่ง เอาการเอางาน เสียงดัง จนนักเรียนกลัว แต่นักเรียนก็รัก หนูหอมชอบมองดูใบหน้าที่สดสวยด้วยเครื่องสำอางเด่นตาของครู จนบางทีเผลอเหม่อมองด้วยความเพลิดเพลินจนหูไม่ได้ยินเรื่องที่ครูสอน

ส่วนครูประชาเก่งทางด้านศิลปะ แต่แปลก ครูประชาชอบเรียกตนเองว่าครูวาดเขียน วาดเขียนก็วาดเขียน ฟังแล้วเข้าท่าเหมือนกัน หนูหอมคิด ครูประชาใจดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ

พ่อของหนูหอมไม่ได้เป็นครู แต่ไปโรงเรียนพร้อมหนูหอมกับน้องทุกวัน จนคุ้นเคยกับครูเกือบหมดทั้งโรงเรียน หนูหอมจำได้ว่า พ่อไปส่งหนูหอมตั้งแต่เรียนอนุบาล ตอนนี้หนูหอมอยู่ชั้น ป. ๓ พ่อยังทำหน้าที่ของพ่ออย่างสม่ำเสมอ

จนวันหนึ่งหนูหอมได้ยินท่านผู้อำนวยการคนก่อนเรียกพ่อว่า “ท่านประธาน” ทีแรกหนูหอมสุดจะแปลกใจ ท่านประธานอะไร จนขึ้นชั้น ป. ๑ จึงรู้ว่าพ่อเป็นประธานเครือข่ายผู้ปกครองนักเรียน

เพื่อนๆ ของหนูหอมรู้จักพ่อกันทุกคน แต่พ่อจำเพื่อนของหนูหอมไม่ได้สักที เวลาถ่ายรูปด้วยกันพ่อจะถามว่าคนนี้ชื่ออะไร บอกไปแล้วพ่อก็ลืม ลืมแล้วถามใหม่ จนจำไม่ได้ว่า พ่อถามชื่อของเพื่อนๆ หนูหอมกี่ครั้งแล้ว

พอเจอะหน้าเพื่อนของหนูหอม พ่อจะทักทายและทำเป็นแกล้งอ่านชื่อที่ปักอยู่ตรงเสื้อ อย่าคิดว่าพ่อจะจำได้นะ พ่อลืมตั้งแต่หันหน้าไปอ่านป้ายชื่อเพื่อนคนอื่นแล้ว

ถึงพ่อจะลืมชื่อเพื่อนของหนูหอมจนเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องที่พ่อสอนหนูหอมกับน้อง รับรองได้ว่าพ่อไม่เคยลืมเลย พ่อมีเรื่องมาสอนใหม่ๆ แทบทุกวัน คำสอนเรื่องเก่าสะสมเป็นไว้เป็นตั้ง พ่อยังขยันหาเรื่องใหม่ๆ มาสอนอีก จนบางทีสมองน้อยๆ ของหนูหอมกับน้องก็เบลอๆ เหมือนกัน

โดยเฉพาะเรื่องบาปบุญนี่ พ่อเน้นหนักเป็นพิเศษ

บางครั้งหนูหอมอดคิดค่อนแคะพ่อในใจไม่ได้ พ่อสอนเรื่องบาปบุญเก่งกว่าพระอาจารย์สอนจริยธรรมเสียอีก

พระอาจารย์ยังมีอารมณ์ขัน เล่าเรื่องตลกให้ฟัง แม้แต่เรื่องศีลท่านยังเล่าให้หัวเราะได้ แต่เวลาท่านอาจารย์ฝึกให้นักเรียนนั่งสมาธิ หนูหอมกลับนั่งตัวนิ่ง อดกลั้นไม่ให้ขันติกลายเป็นขันแตกแทบแย่ เพราะเรื่องตลกขบขันที่ท่านอาจารย์นำมาทดสอบสมาธิ เพื่อนทั้งห้องอดไม่ได้ต้องหัวเราะกันคิกคัก บางคนแกล้งเกาหัวเกาหูกลบเกลื่อน

สรุปว่าเพื่อนทุกคนตกสมาธิทั้งห้อง ยกเว้นหนูหอมคนเดียว ที่ได้รับรางวัลเป็นพระพร้อมสร้อยไว้ห้อยคอ ตอนนี้หนูหอมต้องแบ่งสร้อยพร้อมพระให้น้องชายไปบ้าง เพราะเกรงว่าถ้าห้อยพระหลายองค์เกินไป เดี๋ยวคอหนูหอมจะเอียง

เหตุที่หนูหอมทำใจให้นิ่งได้เพราะพ่อเคยฝึกให้นั่งสมาธิเกือบทุกวัน ทีแรกพ่อให้นับถึงสิบบ้าง ยี่ยิบบ้าง ก่อนเขยิบก้าวไปนับถึงห้าสิบ ครั้งหนึ่งพ่อเคยพานั่งสมาธิจนขาชา กว่าจะเหยียดออกต้องใช้เวลานานหลายนาที

หลังจากออกจากสมาธิและแผ่เมตตาบทที่ว่า สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ...จบแล้ว พ่อเอ่ยปากว่า

“วันนี้เรานั่งกันสามสิบนาที”

หนูหอมรู้สึกว่าตัวเองขนลุกซู่ เหมือนมีลมเย็นทะลักจากร่างกายข้างบนไปตามแข้งขา แล้วไปเย็นซ่านที่ปลายเท้า จะบอกพ่อว่าตัวเองกำลังเกิดปีติอย่างเต็มที่ก็ไม่กล้า เพราะไม่รู้ว่ามันเป็นปีติหรือเปล่า แค่ฟังๆ พ่อกับแม่เล่ามาอีกที

หนูหอมได้รับการถ่ายทอดความรู้จากครูกัลยาณีเป็นพิเศษ เมื่อตอนกำลังจะขึ้นชั้น ป.๒ ตอนนั้นครูกัลยาณีเป็นครูประจำชั้น ป.๒ กำลังคัดเลือกนักเรียนที่มีเกณฑ์การเรียนดีส่งไปสอบชิงทุน หนูหอมเป็นหนึ่งในสองคนที่เรียนในห้องของครูกัลยาณีที่ได้รับคัดเลือก

ตอนนั้นแหละที่หนูหอมประจักษ์แจ้งถึงความมุ่งมั่นจริงจังของครูกัลยาณี ครูหอบหนังสือแบบเรียนและแบบฝึกหัดของนักเรียนชั้น ป. ๓ มาให้อ่านแล้วทดสอบอย่างหนัก จนหนูหอมเครียดกับท่าทีจริงจังของครูกัลยาณี

“สอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” พ่อปลอบใจ หลังจากเห็นท่าทางเครียดของหนูหอม “คิดว่าได้กำไรที่ได้เรียนเอาความรู้ก่อนเพื่อนๆ และไม่ต้องเสียเงินจ้างครูพิเศษมาสอนด้วย”

แม้พ่อจะออกตัวเหมือนไม่กังวลเรื่องผลการสอบ แต่พ่อกลับสานต่อความจริงจังของครูกัลยาณีทุกอย่าง ตอนพาหนูหอมกับน้องไปบ้านตายายที่ต่างจังหวัด พ่อยังขนการบ้านที่ครูกัลยาณีสั่งไว้เป็นปึกๆ ไปด้วย จนหนูหอมไม่ได้เล่นน้ำสงกรานต์ ไม่ได้ไปเที่ยว ตั้งแต่เช้าจนเย็นมีแต่การบ้าน อ่านแบบเรียน และทดสอบแบบฝึกหัด

พอโรงเรียนเปิดเทอม หนูหอมจึงเข้าไปเรียนในชั้นเรียนของครูกัลยาณี แต่แปลก...ครูกลับไม่สอนหนูหอมเหมือนอย่างที่สอนเพื่อน ขณะครูสอนเพื่อน หนูหอมต้องทดสอบแบบฝึกหัดของนักเรียนชั้น ป. ๓ อยู่คนเดียว ท่ามกลางเพื่อนที่เล่นส่งเสียงลั่นทั้งห้อง

ตอนนั้นหนูหอมกับเพื่อน เหมือนอยู่บนดาวคนละดวง เพียงโคจรเฉียดกันไปเฉียดกันมาเท่านั้น

บางคืนหนูหอมต้องหอบเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าไปนอนค้างที่บ้านครูกัลยาณี จนเกือบกลายเป็นลูกสาวครูทั้งสองไป

ครูกัลยาณีปฏิบัติอย่างนี้กับนักเรียนรุ่นมาแล้ว จนชื่อเสียงด้านความจริงจังขจรขจายทั่วโรงเรียน

เมื่อผลสอบปรากฏออกมาว่าหนูหอมสอบได้เป็นนักเรียนทุน ครูกัลยาณีจึงเดินยิ้มไปทั่วโรงเรียน

ผลของการเคี่ยวเข็ญอย่างหนักของครูกัลยาณีในครั้งนั้น ส่งให้หนูหอมมีความอดทนสูง มีสมาธิดี จนคุณครูชั้น ป. ๓ ออกปากชมว่า ครูกัลยาณีส่งนักเรียนที่ฝึกดีแล้วมาให้สอน ทำให้สบายตัวสบายใจไม่น้อย

ตอนที่ครูกัลยาณีกับครูประชามาซื้อบ้านหลังใหม่แห่งนี้ หนูหอมเคยมา ตั้งแต่ช่างยังต่อนู่นเติมนี้อยู่เลย เมื่อครูทั้งสองทำบุญขึ้นบ้านใหม่ หนูหอมจึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะติดตามพ่อมาด้วย

เมื่อมาถึงบ้านของครู หลังไหว้ครูผู้เป็นเจ้าของบ้าน หนูหอมมีโอกาสเดินดูสวนหย่อมที่หน้าบ้าน ครูประชาบอกพ่อว่าเป็นความภูมิใจที่อยากอวดฝีมือ เรื่องการสร้างบ้านนั้นเป็นเรื่องของช่าง แต่เรื่องการจัดสวนครูประชาขอลงมือเอง ครูประชามีความสุขมากเมื่อพูดถึงสวน หนูหอมเห็นว่าสวนหน้าบ้านฝีมือการแต่งของครูประชาสวยดี มีต้นไม้เล็กๆ มีน้ำตก ดอกไม้ มองดูแล้วเพลินตาเพลินใจ น่าที่ครูประชาจะอยากอวดอยู่หรอก

พ่อจับหนูหอมถ่ายรูปคู่กับต้นไม้และน้ำตกในสวนหลายรูป หนูหอมคิดว่ารูปคงออกมาสวยดี

เวลาประมาณสี่โมงเช้า พระสงฆ์ ๙ รูปเดินทางมาถึงบ้านงาน ลุงมัคนายกเริ่มพิธีทางศาสนา พ่อเรียกหนูหอมเข้าไปกราบพระ ได้ยินเสียงลุงมัคนายกพูดเป็นนัยว่า ใครอยากได้บุญขอให้มาไหว้พระและสมาทานศีล แต่เท่าที่หนูหอมเห็นในตอนนั้น นอกจากลุงมัคนายกแล้วก็มีพ่อกับหนูหอมเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงหน้าพระสงฆ์

สักพักจึงมีครูที่โรงเรียนทยอยเข้ามาอีกสี่ห้าคน

หนูหอมเป็นเด็กคนเดียวที่นั่งพับเพียบต่อหน้าพระ ครูประจำชั้นคนปัจจุบันของหนูหอมชื่อลลิตา ตอนนี้ครูกำลังมองดูนักเรียนของตนด้วยสายตาแปลกๆ ครูคงไม่เคยเห็นนักเรียนที่ตนสอนมาหนึ่งเทอมกล้าเข้าใกล้พระ แต่สายตานั้นมีความสุขและภาคภูมิใจเจืออยู่ไม่น้อย หนูหอมยิ่งระมัดระวังตัว เกรงว่าครูจะตำหนิ

หนูหอมกับพ่อรับศีลด้วยเสียงดังสม่ำเสมอ ไม่มีอาการวอกแวกลังเล เมื่อก่อนพ่อบอกว่าเวลารับศีลข้อที่ห้าพ่อจะทำเสียงงึมงำในคอ ไม่กล้ารับศีลข้อละเว้นสุรา เวลานี้พ่อรับศีลข้อห้าได้อย่างมั่นใจ หนูหอมภูมิใจที่พ่อเลิกดื่มเหล้า

หนูหอมยังจำภาพที่แม่นั่งรอคอยพ่ออยู่จนดึกดื่นได้ติดตา และไม่อยากเห็นพ่อกลับบ้านพร้อมกลิ่นเหล้า หนูหอมศรัทธาและเชื่อมั่นต่อพ่อมากขึ้น เมื่อพ่อบอกว่าจะเลิกเหล้า แล้วพ่อก็ทำได้อย่างที่บอกกับแม่และลูกๆ

การเลิกเหล้าของพ่อนำสมาชิกในครอบครัวของหนูหอมเดินสู่ทิศทางใหม่อย่างรวดเร็ว

พ่อตื่นตีห้า เตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม ก่อนปลุกหนูหอมและน้อง พอลูกทั้งสองรับประทานอาหารเช้า พ่อจะออกไปใส่บาตรพระ พ่อทำอย่างนี้จนเป็นนิสัย พ่อจะบอกให้หนูหอมกับน้องอนุโมทนาบุญร่วมกับพ่อเสมอ

“ถึงเราไม่ได้ทำบุญด้วยตนเอง ถ้าเราอนุโมทนาบุญด้วยใจศรัทธาไปกับเขา เราจะได้รับอานิสงส์เช่นเดียวกัน”

พ่อเคยบอกเรื่องบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่างให้ฟังหลายครั้ง แต่หนูหอมยังจำไม่ได้หมดทุกอย่าง ครั้งต่อไปคงต้องจดบันทึกไว้ในสมุดคู่ใจ จะได้จำได้ครบทั้ง ๑๐ อย่าง

พ่อสรุปไว้ให้หนูหอมจำขึ้นใจว่า บุญกิริยาหรือลักษณะแห่งการทำบุญทั้งสิบอย่างนั้น รวมแล้วก็อยู่ในทาน ศีล และภาวนา การให้ทานมีอานิสงส์น้อยกว่าการรักษาศีล แม้ให้ทานกี่ร้อยครั้งยังสู้การรักษาศีลห้าข้อให้บริสุทธิ์เพียงวันเดียวไม่ได้ แต่การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ทุกข้อเป็นเวลาหลายสิบปีก็ไม่มีอานิสงส์เท่ากับการทำภาวนาให้ใจสงบเป็นสมาธิเพียงแค่อึดใจเดียว

“เพียงแค่ช้างกระดิกหูเท่านั้น” พ่อเคยบอก

หลังจากรับศีลเรียบร้อย ลุงมัคนายกกล่าวคำอะไรสักอย่างเป็นภาษาพระ ท่านใส่เสียงสูงๆ ต่ำๆ คล้ายทำนองเสนาะ เหมือนหนูหอมสวดสรภัญญะที่โรงเรียน หนูหอมถามพ่อในตอนหลัง พ่อบอกว่าลุงมัคนายกอาราธนาพระปริตร แต่พ่อไม่ได้อธิบายความหมายของพระปริตรให้ฟัง คงเกรงว่าหนูหอมจะไม่เข้าใจ สักวันหนึ่งหนูหอมจะต้องถามพ่อเรื่องนี้ให้ได้

ครูประชากับครูกัลยาณีสาละวนอยู่กับการต้อนรับแขก จนไม่มีเวลามานั่งฟังพระเจริญพุทธมนต์ โดยเฉพาะครูประชาต้องรับโทรศัพท์ครั้งแล้วครั้งเล่า แขกที่จะมาร่วมงานนั่นแหละโทรฯ เข้ามาถามทาง ครูประชาเลยไม่มีเวลาสงบนั่งฟังพระสวดเลย

“การฟังพระสวดเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ” พ่อเคยบอกหนูหอม “นั่นคือการได้รับฟังพระธรรมเทศนา ยิ่งเป็นข้อที่รวมอยู่ในส่วนของการภาวนา ยิ่งได้รับอานิสงส์มาก ถ้าเราฟังพระเจริญพุทธมนต์ด้วยใจสงบ จิตใจตั้งมั่นอยู่กับการเสียงสวดมนต์ ก็เหมือนเราได้เจริญสมถกรรมฐาน เห็นไหมว่า เราไม่ต้องเสียสตางค์สักบาทเลย”

นึกถึงคำพูดของพ่ออย่างนี้ หนูหอมยิ่งตั้งใจ จนตัวเกร็งด้วยความตั้งใจ

“อย่าลืมทางสายกลางซิลูก” พ่อสังเกตเห็นท่าทางของลูก จึงเตือนด้วยเสียงเบาๆ

หนูหอมหันไปยิ้มให้พ่อ ก่อนปล่อยใจไปตามเสียงพระสวด ไม่เหลือบตามองที่ครูลลิตา ไม่ใส่ใจว่าครูปัญญาจะผุดลุกผุดนั่งรับโทรศัพท์กี่ครั้ง จนกระทั่งพระสวดจบ
หนูหอมจึงร่วมยกอาหารถวายพระด้วย

“เราต้องถวายของด้วยมือของเรา” พ่อบอกอย่างนี้เสมอ “เพราะมือของเรานี้แหละที่เคยทำบาปมา ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ตบยุงตายก็หลายหน หยิกข่วนเพื่อนให้บาดเจ็บก็เคย พอมีโอกาสเราต้องให้มือของเราได้น้อมทำบุญเสียบ้าง ยกข้าวของถวายพระนั่นแหละ ให้มือของเราได้เปลี่ยนมาเป็นส่วนของการสร้างบุญ ดีกว่าสร้างบาป จริงไหม”

หนูหอมจำคำพูดข้อนี้ได้อย่างดี จึงตั้งใจถวายอาหารพระเป็นพิเศษ จนเสร็จเรียบร้อย พ่อกับหนูหอมจึงกราบพระแล้วออกมานั่งที่ซุ้มข้างสวนหน้าบ้าน ครูลลิตาเดินผ่านออกมาทางด้านนี้เหมือนกัน ครูมองหน้าหนูหอมแล้วก็ยิ้ม

“หนูหอมทำให้ครูแปลกใจมากเลยรู้ไหม” ครูพูดขึ้น

หนูหอมทำสีหน้าไม่เข้าใจ หันไปมองหน้าพ่อ พ่อยิ้มเหมือนครูอีกคน

“การที่หนูหอมแสดงให้ครูเห็นเมื่อสักครู่นี้ ทำให้ครูภูมิใจในตัวหนูหอมมาก หนูเป็นเด็กดี ดีทั้งการเรียนและวางตัว”

ครูลลิตาบอก ก่อนหันไปพูดกับพ่อ

“คุณสอนลูกได้ดีมากค่ะ”

“ทางโรงเรียนก็มีส่วนครับ” พ่อออกตัว

“โรงเรียนให้ได้แต่ความรู้ แต่เรื่องกิริยามารยาทนี้ ทางบ้านต้องช่วยค่ะ” ครูชี้แจง

“ผมทำ เท่าที่จะสามารถทำได้” พ่อบอก

“แต่คุณทำหน้าที่ได้ดี อยากให้มีพ่ออย่างคุณมากๆ ค่ะ” ครูพูดด้วยจริงใจ

“คุณครูอย่าชมผมเลยครับ” พ่อพูดหนักแน่น “จริงๆ แล้ว การฝึกและสอนลูกมันเป็นหน้าที่ของพ่อนะครับ ไม่มีพ่อคนไหนไม่อยากสอนลูกและอบรมลูกให้เป็นคนดีหรอก แต่สังคมทุกวันนี้ซับซ้อนจนพ่อแต่ละคนทำหน้าที่ของตนไม่ได้เท่าที่ควร ผลกรรมเลยตกไปอยู่ที่เด็ก”

“แต่พ่อที่ทุ่มเทหัวใจให้ลูกหายากเข้าทุกวันนะคะ” ครูลลิตายืนยัน “ครูอยากให้มีพ่ออย่างคุณเยอะๆ”

จากนั้นครูลลิตาขอตัวไปนั่งกับเพื่อนครูที่มาด้วยกัน พ่อหันมาลูบหัวหนูหอมโดยไม่พูดอะไร แต่หนูหอมรู้ว่านั่นคือสิ่งที่มีค่ามากที่พ่อมอบให้

“ถ้าตั้งใจทำดี ไม่ต้องไปคิดว่าจะไม่มีใครเห็น”

พ่อเคยพร่ำสอนอย่างนี้จนแทบจะกลายเป็นวาทะประจำตัวพ่อเข้าไปแล้ว

วันนั้นหนูหอมกับพ่ออยู่ที่บ้านของครูกัลยาณีจนบ่ายสองโมง เมื่อจะลากลับครูกัลยาณีเดินมากอดหนูหอม พร้อมกับขอบคุณพ่อที่ไปร่วมงาน

“ขอบคุณนะคะที่มาร่วมงาน” จากนั้นหันมาทางหนูหอม “วันจันทร์เจอะกันที่โรงเรียนนะ”

แขกเหรื่อของครูกัลยาณีและครูประชายังสังสรรค์กันอยู่อีกมาก เมื่อพ่อกับหนูหอมลากลับ พ่อบอกว่าเราต้องรู้จักเวลา...วางตัวให้เหมาะสม ไม่พิรี้พิไรจนเกินไป และไม่ต้องทำตัวร้อนรนเหมือนมีไฟลนก้น ให้เกียรติเจ้าของงานตามความเหมาะสม ทั้งไม่ประจบประแจงและไม่วางท่าเย่อหยิ่ง ทุกอย่างคือความพอดีที่คนเราจะพึงทำอย่างสม่ำเสมอ

หนูหอมมองพ่อด้วยความประทับใจ พ่อไม่ดื่มเหล้า แต่พ่อไปร่วมงานของคนที่ดื่มเหล้าได้ด้วยความปลอดโปร่งใจ ไม่มีท่าทางรังเกียจหรือเบื่อหน่าย หนูหอมคงต้องเรียนรู้อีกเยอะกว่าจะทำได้เหมือนพ่อ

แต่ตอนนี้หนูหอมรู้สึกอุ่นใจ มีพ่อเป็นแบบอย่างอยู่ข้างกาย หนูหอมมั่นใจว่าแบบอย่างที่พ่อเป็นไม่บิดเบี้ยวอย่างแน่นอน

หนูหอมแอบอมยิ้ม เมื่อมองไปสบสายตาของพ่อ พ่อก็ยิ้มเหมือนกัน...

…...............



สองพี่น้อง กำลังให้อาหารปลา ที่วัดสังฆทาน นนทบุรี


Create Date : 18 สิงหาคม 2550
Last Update : 18 สิงหาคม 2550 0:31:14 น. 11 comments
Counter : 1301 Pageviews.  

 
อ้าว พ่อหนูหอมอยู่นนทุบรีเหรอคะ
วัดสังฆทานใกล้บ้านมาก แต่ไม่ชอบไปเลย
ไม่ชอบเห็นเขาเวียนเทียนกระป๋องเหลืองกัน.....

น้องหอมเอย ได้พ่อดีเป็นศรีแก่ตัวจริงๆ
คล้ายพี่โดมเลยนะคะ พี่รักษ์ เลิกเหล้าแล้ว
พ่อและสามีที่ดีก็กลับมาอยู่บ้าน....นับถือค่ะ


โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน วันที่: 18 สิงหาคม 2550 เวลา:9:42:17 น.  

 
เอากุญแจบ้าน แม่อุ่นมาให้เลยค่ะ ไม่ต้องเชิญกันล่ะ ไขเข้าไปได้เลยนะคะ ยินดีต้อนรับ พ่อหนูหอม ค่ะ
ขอบคุณที่ไปทักทายนะคะ


โดย: แม่อุ่น วันที่: 18 สิงหาคม 2550 เวลา:10:17:22 น.  

 
หวัดดี ยิปซีสีน้ำเงิน

ผมไม่ได้อยู่ที่เมืองนนฯหรอกครับ เคยไปเมืองนนฯบ้างเท่านั้นเอง

ผมอยู่ที่เมืองธนฯ แต่ก่อนก็เป็นตจว. ของกทม. เช่นกัน เห็นหลายคนกำลังเรียกร้องเอาจังหวัดธนบุรีกลับมา ก็เป็นเรื่องความชอบและไม่ชอบครับ

ความจริงแล้ว ผมกับภรรยาและลูกๆ เคยไปวัดสังฆทานไม่กี่ครั้งหรอก อยากไปแต่ไกลครับ

ภรรยาผมเขาต้องการไปเข้าเนสัชชิกที่วัด แต่ตอนนี้ยังไปไม่ได้ คงรออีกสักระยะ

การไปวัด อย่ามุ่งไปที่การถวายสังฆทานอย่างเดียว ขอให้ไปด้วยใจมุ่งหวังต่อการยกระดับจิตของเราให้สูง สงบ และเข้าใจตัวเองครับ

ทานเป็นเพียงส่วนต้นของการสร้างบุญ อันมี ทาน ศีล และสมาธิ ถ้าเราไปติดอยู่ที่ทานอย่างเดียว ก็ไม่อาจยกระดับจิตใจเราให้สูง บางทีอาจเกิดความเศร้าหมองตามมาอีก เพราะไม่เกิดความสว่างในจิต คือ ปัญญา...

อย่าหาว่าสอนนะครับ

แต่อยากให้เกิดความสบายใจ และความเข้าใจที่ถูก จะได้ไม่เพ่งไปที่เครื่องถวายสังฆทานอย่างเดียว ลองเข้าไปกราบพระบรมสารีริกธาตุที่พระอุโบสถแก้ว นั่งทำสมาธิ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ทรงมีเมตตาต่อชาวโลก ระลึกให้ถึง ให้เห็นปฏิปทาของพระองค์ แล้วจะเกิดปีติ กระป๋องเหลืองจะไม่มาติดที่ตาและจิตของเราครับ

โอกาสอย่างนี้ หาได้ไม่ง่ายนักนะครับ
เมื่อก่อนนี้ ผมเองก็งมงายอยู่ในวังวนความเชื่อที่ผิดๆ เหมือนคนไทยส่วนมาก กว่าจะฝ่ามรสุมทางจิตแต่ละลูกแทบตายครับ จนผ่านมาได้ในระดับที่พอทนฝืนสู้มรสุมต่างๆ ได้บ้าง

จึงอยากให้ผองเพื่อนได้ผ่านมรสุมเหล่านั้นบ้าง เท่านี้ก็พอใจแล้ว
หนูหอมยังเด็ก โลกภายหน้าเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง หนูหอมคงต้องเผชิญมรสุมด้วยตนเอง เราเพียงหาภูมิป้องกันให้ เท่าที่จะทำได้ในวันนี้เท่านั้นครับ

ก็หวังว่า ลูกคงจะสามารถเดินฝ่ามรสุมต่างๆ ได้ เมื่อเจอกับของจริง...


โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 18 สิงหาคม 2550 เวลา:13:38:14 น.  

 
หวัดดีครับ แม่อุ่น

ขอต้อนรับการมาเยือนของแม่อุ่นด้วยความจริงใจ ขออภัยที่บังอาจไปยืนตะโกนอยู่หน้าบ้านแม่อุ่น (ฮา)

เดี๋ยวจะแวบไป add.หน้าบล็อกแม่อุ่นมาไว้นะ ขออนุญาตตรงนี้นะครับ


โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 18 สิงหาคม 2550 เวลา:13:42:21 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณพ่อหนูหอม....ต้องเป็นครอบครัวเข้มแข็งแน่เลย...สอนเด็กๆได้ดีมากเลยค่ะ...
...อีกหน่อยลูก ก็ต้องออกทะเลเอง...เราสอนเพียงแค่การขับเรือ แล้วดูเข็มทิศ...ชี้ให้เด็กมอง.....ลูกต่างหาก ที่ต้องออกเรือด้วยตัวเองไปภายหน้า...
หวังได้แค่ว่าเขาจะประคองมันไปได้ด้วยดี เท่านั้นเอง
..........................

สมัยกาบเด็ก...คิดว่า พ่อแม่รู้ทุกอย่าง เก่งทุกอย่าง
เวลาผ่านไป โตขึ้น...มีอะไรภายนอกมาให้เห็นมากมาย
..เริ่มคิดว่า บ้างเรื่อง พ่อแม่ไม่รู้เสียแล้ว
โตเป็น ผู้ใหญ่...คิดว่า พ่อแม่ช่างไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย
เวลามีปัญหา...กลับ ไปคิดดู ตอนยังเด็ก...
พ่อแม่เรานี้เก่งจริง
รู้ทุกอย่าง....สุดท้าย ทุกข์ใจก็กลับไปหาพ่อแม่อยู่ดี
..................................

เม้นยาว เสมือนจะอัพบล็อกตัวที่นี้ ทีเดียว


โดย: กาบชมพู วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:11:55:44 น.  

 
สวัสดีค่ะพ่อหนูหอม

ขอบคุณที่แวะไปเยือนบ้านหนอนฯ ค่ะ

หนูหอมคงจะอ่อนแก่กว่าหนูแป้งไม่เท่าไหร่

ทั้งหนูหอมและผักกาดหอม กำลังอยู่ในวัยน่ารัก เป็นขวัญใจของบ้านแน่นอนค่ะ

รู้สึกปลื้มทุกครั้งที่เห็นคนเป็นพ่อแสดงความรักลูก โดยเฉพาะผ่านตัวหนังสือค่ะ

จริงอย่างที่ครูหนูหอมว่า
"แต่พ่อที่ทุ่มเทหัวใจให้ลูกหายากเข้าทุกวันนะคะ”

หนอนฯ ขออนุญาต add link ค่ะ
มีเวลาจะได้มาสังเกตการณ์ว่าคุณพ่อกะคุณลูก ๆ ทำอะไรกันบ้าง


โดย: หนอนเมืองกรุงฯ วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:15:03:49 น.  

 
สวัสดีค่ะพ่อหนูหอม
--------------------------
ขอบคุณมากค่ะที่แวะไปบ้าน (บล๊อก)
สาวบ้านนอกฯ กลับมาถึงบ้านแล้วค่ะ

ปล. ระหว่างเดินทาง มีเหตุการณ์ไม่คาดคิด
(มีภาพให้ชมที่บล๊อกฯ ค่ะ)


โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:16:16:04 น.  

 
หวัดดี กาบชมพู

พ่ออย่างผมคงไม่กล้าบอกลูกว่า รู้ทุกอย่าง หรอกครับ

ทุกวันนี้ ยังถูกลูกๆ ต่อว่า ไม่ค่อยรู้อะไรเลย

สมัยนี้ เด็กคิดและก้าวเร็วกว่าสมัยที่เรายังเด็กอยู่มากๆ

จริงอย่างที่คุณกาบว่า อีกหน่อยเราที่เป็นพ่อแม่ คงต้องนั่งรอคอยลูกที่ริมฝั่ง หลังที่ปล่อยให้ลูกเดินเรือฝ่าคลื่นทะเลด้วยตัวเขาเอง

ยินดีอ่านเม้นต์ของผู้ที่มาเยี่ยมทุกคน ด้วยความเต็มใจครับ

จะว่ายาวหรือสั้นก็ได้


โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:23:23:18 น.  

 
หวัดดีครับ หนอนเมืองกรุงฯ

พอดีอยากเห็นหน้าหนูแป้งครับ เลยต้องแวบไปดูซักหน่อย

เห็นแล้วจ้ะ หนูแป้ง...คงเป็นหนูน้อยผู้ร่าเริงเชียว


โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:23:26:21 น.  

 
หวัดดีจ้ะ สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น

ผมเองก็อดีตหนุ่มบ้านนอกนะ ขอบอก...หนุ่มอุบลนะครับ...แต่ตอนนี้เหลือความหนุ่มไม่ถึงกิโลละมัง นี่ฟังจากที่เมียและลูกปรารภธรรมให้ฟังนะ ไม่ได้คิดเอาเอง ถ้าให้คิดต้องบอกว่า ข้าพเจ้ายังไม่แก่....

เดี๋ยวจะแวบไปดูภาพเด็ดๆ ที่บ้านสาวบ้านนอกฯ ด่วนจี๋เลย


โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:23:30:10 น.  

 
สวัสดีพ่อหนูหอม

แวะมาเที่ยวเล่น

ทักทายก่อนนอน

หวังว่าคงมีความสุขในทุกๆด้านนะครับ




โดย: พ่อพเยีย วันที่: 20 สิงหาคม 2550 เวลา:23:16:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

big onion
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบเขียน อ่าน เดินผ่านถนนคนเขียนหนังสือมาประมาณสามสิบฝน แต่ยังเขียนไม่ได้ดี หันมาสนใจต่อการเพ่งดูตนเอง มากกว่าเพ่งโลกภายนอก รู้ว่าตนเองแก่เอามากๆ สบายใจดี


เดินรอบตัวเอง
[Add big onion's blog to your web]