ThiS iS thE wAy iT ShOUld Be

Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
24 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
รากโศก...ปลายสุข (ตอนที่ 3)


รากโศก...ปลายสุข

สองตอนแรกเศร้าและหดหู่ ตอนสามก็ยังเศร้านะคะ แต่วดีไม่ใช่คนท้อแท้ถาวรค่ะ ไม่เชื่อก็อ่านให้ถึงตอนที่สี่เลย




ความเดิม ตอนที่ 1-2 อยู่ที่นี่ค่ะ





ตอนที่ 3




ขอทานน่าจะเป็นคำตอบสำหรับตัวเองตอนนี้ หล่อนกับลูกนอนพักอยู่ในห้องตลอดบ่าย ไม่ได้ออกไปซื้อหาอะไรอีกแล้ว กินขนมกับนมกล่องเดียวที่ซื้อไว้มาตั้งแต่เมื่อวาน

ยามเย็นตอนอุ้มลูกอาบน้ำในอ่างล้างหน้า มีขันพลาสติกเล็กๆ รองน้ำ ขณะที่มือวักน้ำราดแผ่นหลังอ่อนๆ วดีคิดอยากฆ่าตัวตาย คิดกดให้ลูกจมน้ำตาย แล้วตัวเองผูกคอตาม แต่ตกใจมือสั่นเมื่อลูกน้ำอ้อแอ้ยิ้มให้อีกแล้ว เธอยิ้มตอบ ยกมือสั่นๆ ขึ้นลูบผมบางๆ ของลูกชาย


ตัวน้อยชอบเล่นน้ำนานๆ เราคงหาโอกาสพาลูกน้ำไปเล่นน้ำที่ริมทะเลสักวันหนึ่ง พรุ่งนี้จะต้องหาทางช่วยตัวเองอีกให้ได้ ให้ความหวังตัวเองจนน้ำตาคลอเบ้า
----------------------------------------------------------------
ตื่นเช้าตรู่ออกไปซื้อน้ำเต้าหู้กับขนมแห้งสองสามถุง จำเป็นต้องกิน แม้อยากประหยัดใจจะขาด แต่กลัวน้ำนมจะไม่เพียงพอให้ลูก กลับมาห้อง ยังตัดสินใจไม่ได้เรื่องออกขอทาน ก็มีเสียงมาเคาะประตู เจ้าของโรงแรมมาแจ้งให้เธอย้ายออกไปเพราะมีเสียงเด็กรบกวนแขกตลอดคืน วดีแทบกราบ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้มากขึ้น เธอจำเป็นต้องหอบลูกออกมาอีกครั้ง อย่างพ่ายแพ้ หมดหวัง ตอนเที่ยงพอดี เธอไม่รู้หรอกว่าเจ้าของหรือผู้จัดการแค่กลัวว่าเด็กคนนี้อาจโดนทิ้งไว้ในโรงแรมหรือถูกฆ่าหมกไว้ให้โรงแรมต้องลำบากตัวเอง ต้องให้การต่างๆ กับตำรวจ อย่างที่มีข่าวแม่ใจบาปให้เห็นกันบ่อย


เดินผ่านบริเวณร้านเดิมๆ ที่เมื่อวานมาของานทำ มีบางคนจำเธอได้ แต่ก็ไม่มีใครคิดช่วยอะไร วดีรู้สึกปวดหัวและเหมือนตัวรุมๆ เดินเซไปมาหลายครั้งอยากหาที่นั่งพักให้หายเหนื่อย ลองนั่งบนทางเท้าได้ครู่เดียวก็กลัวฝุ่นเข้าตาเข้าปากกลูกชาย


เมื่อสายตาเล็งเห็นห้างดังอยู่ไม่ไกลนัก จึงคิดไปแวะพัก หรือไม่ก็เริ่มขอทานที่นั่น แต่คงเดินต่อไปไม่ไหวจึงเรียกสามล้อเครื่องไปส่ง ระหว่างนั่งรถไปไม่ถึงสิบนาทีเธอจัดเสื้อผ้าให้สะอาดขึ้นเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัวโดนยามห้างไล่ออกมาเหมือนที่เคยเห็นยามไล่คนจรจัดสกปรกมอมแมม
เข้าไปในห้างอากาศเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศทั้งห้าง หล่อนเจอที่นั่งข้างน้ำพุเทียมกลางลานของห้าง

-------------------------------------------------------

นั่งอยู่ครู่หนึ่งมองผู้คนผ่านไปมา สายตาไปปะทะกับคู่ผัวเมียเข็นรถมีเด็กน้อยน่าจะวัยเดียวกับลูกน้ำนอนอยู่ ถ้าหล่อนมีรถเข็นน่ารักแบบนั้นให้ลูกน้ำบ้างก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้หล่อนเหนื่อยรวมกับความเครียดที่เกิดสะสมขึ้นทุกวันทำให้ปวดแขนปวดหลังตลอดไปทั่วร่างกาย สองคนนั้นไปนั่งอยู่มุมหนึ่งหยอกล้อกับลูกน้อยอย่างมีความสุข เพราะอับจนเต็มที แม้จะมีเงินติดตัวอยู่บ้างแต่ก็เล็กน้อยเหลือเกินสำหรับชีวิตแม่ลูกตอนนี้ หล่อนจึงตัดสินใจเริ่มทำสิ่งที่ไม่ต่างจากการ “ขอทาน” โดยการเดินไปขอความช่วยเหลือจากคนที่หล่อนคิดว่าเข้าใจตรงหน้า



“คุณคะ ฉันกับลูกเดือดร้อนพลัดหลงกับสามี รบกวนขอเงินค่ารถกลับบ้านนอกหน่อยได้มั้ยคะ” หล่อนเห็นแววตาของผู้หญิงท่าทางใจดี เหลือบมองลูกน้ำ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คนเป็นสามียั้งไว้ และชายตามองไปทางยามประตูห้าง


วดีจึงต้องรีบเดินหนีเพราะกลัวยามเรียกตำรวจมาจับ แต่หล่อนก็แค่เดินหนีไปอีกมุม อาการปวดตามตัวและศีรษะเริ่มขึ้นอีก หล่อนขอทานในห้างอีกสี่ห้าราย ได้เงินหนึ่งร้อยบาทจากวัยรุ่นท่าทางรวยคนหนึ่ง เริ่มได้เงินมาแล้วก็ต้องคอยมองพนักงานทำความสะอาดและยามที่เดินผ่านไปมา คงมีใครไปบอกว่ามีขอทานแม่ลูกอ่อนเดินไปทั่วห้างอยู่ กำลังจะเดินออกจากห้างนี้เพื่อเดินเข้าสู่อีกห้างติดกัน ก็มีหญิงคนหนึ่งมาขวางไว้



วดีคิดจะวิ่งหนีเพราะคิดว่าเป็นตำรวจแต่เมื่อมองอีกทีจึงเห็นว่าเป็นสุภาพสตรีคนแรกที่เธอขอทานนั่นเอง “ฉันเดินหาเธอตั้งนาน มีลูกอยู่เข้าใจเธอดีว่าลำบากขนาดไหน อยากช่วยแต่ทำอะไรได้ไม่มากหรอก เธอลองไปขอเบอร์โทรบ้านพักฉุกเฉินจากโต๊ะประชาสัมพันธ์ดูสิ ที่นั่นคงช่วยเธอได้” ก่อนจากไปหญิงใจดียัดเงินใส่มือเธอหนึ่งพันบาทพร้อมเสื้อเด็กสองตัว ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสามชิ้น คงดึงมาจากตะกร้าสวยๆ ที่วางไว้ใต้เบาะรถเข็นนั่นเอง วดียิ้มให้ตัวเองเป็นครั้งแรกในความโชคดี



ไม่แน่ใจต่อคำแนะนำที่ให้ไปถามเบอร์โทรอย่างที่ฟังมาจึงตัดสินเดินทะลุสู่อีกห้างหนึ่งที่เชื่อมติดกัน ตรงไปบริเวณที่ขายอาหารสั่งอาหารที่ดูว่าถูกที่สุด เยอะที่สุด และขอน้ำซุบมากิน ตามด้วยยาแก้ปวด แล้วตั้งใจงีบข้างโต๊ะอาหารพอเริ่มเคลิ้มๆ “เธอๆ พาลูกกลับบ้านไป ที่นี่เค้าห้ามนอน ถ้าไม่ไปจะเรียกยาม”


วดีแทบไม่รู้เรื่องด้วยอาการปวดยังคั่งค้างอยู่ แต่ก็งัวเงียเดินออกมา ตั้งใจเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น พอดีเหลือบเห็นห้องเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก จึงเดินเข้าไปดูแทบไม่มีร่องรอยคนใช้ กลิ่นสะอาดกว่าโรงแรมเมื่อคืนอยู่มาก วดีเลยดึงเอาหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่แถวนั้นมาปูบนพื้นสองแผ่นแล้วล้มตัวลงนอน ปูผ้าอ้อมบางๆ บนแขนให้ลูกน้ำหนุนนอนร้องอ้อแอ้พักเดียวก็ปิดตาหลับเช่นเดียวกับแม่โดยที่นมยังคาปากอยู่



เกือบหกโมงเย็นวดีตื่นขึ้นมาอาการปวดหายไป แต่ยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ มีเสียงกุกกัก ที่ปลายเท้า มีคนดันประตูเข้ามา “ตื่นแล้วเรอะ มานอนอยู่นี่ได้อย่างไร ผัวทิ้งไปล่ะซี” หญิงวัยเลยกลางคนใส่ชุดทำความสะอาดมองมา หล่อนถึงได้สังเกตรอบๆ ตัว พบว่าข้างตัวมีผ้าขนหนูหนาๆ สีขาววางบนถุงดำใส่ขยะที่ยังไม่ใช้แนบหลังให้ลูกน้ำที่นอนตะแคงอยู่ “เห็นเด็กมันนอนพื้น กลัวหนาวน่ะเลยเอาผ้ามาอัดไว้ ทีหลังอย่าวางเด็กบนที่เย็นๆ เดี๋ยวปอดบวม” นางพูดต่อ “มีคนพาเด็กมาเปลี่ยนผ้าอ้อม ยายโกหกว่าห้องน้ำเสียน่ะ”

------------------------------------------------------------------------


ตอนแรกตกใจหวาดกลัวคลำดูข้าวของตัวเอง แต่เมื่อเห็นทุกอย่างครบและแววตาใจดีของหญิงชราท่าทางแข็งแรงตรงหน้า วดีมองยายด้วยความตื้นตันใจยกมือไหว้ “หนูขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ยายจ๋าพอจะทราบมั้ยว่าที่ไหนมีห้องให้เช่าถูกๆ บ้าง ไม่มีที่ไปจริงๆ แล้ว” พูดจบไม่มีหางเสียงเพราะน้ำตาหลั่งออกมาเสียก่อน อัดอั้นมานาน พอมาเห็นท่าทางของคนที่เห็นใจจริงๆ บ่อทำนบก็พัง หญิงชรามองหล่อนด้วยท่าทางสงสารแต่ไม่พูดอะไร แนะนำให้หล่อนล้างหน้าล้างตา แล้วเก็บข้าวของออกไปกับตัวเอง เพราะวันนี้งานเสร็จหกโมง ตอนนี้คนงานกะหัวค่ำกำลังมา


พนักงานห้างรอบเช้าและบ่ายโมงเดินออกจากทางออกด้านหลังห้าง ถ้าสังเกตจะพบว่าคนงานหญิงทำความสะอาดคนหนึ่งเดินนำแม่อุ้มลูกท่าทางอ่อนเพลียตามหลังกลับบ้านด้วยกัน เดินไปตามซอกแคบๆ ระหว่างตึกก็หลุดไปพบถนนอีกสายหนึ่งที่จราจรติดขัดน้อยกว่า


นางยืนริมถนนเรียกแทกซี่ พอวดีเห็นอย่างนั้นก็นึกตกใจว่าหญิงชราผู้นี้อาจหลอกลวงหล่อนไปทำมิดีมิร้ายแล้วขโมยลูกหล่อนไปขายให้แก๊งขอทานอย่างที่เคยได้ยิน แต่นางเอ่ยเสียงออกมา “แทกซี่ดีกว่า ปกติยายเดินกลับหรือไม่ก็รถเมล์สามสี่ป้ายเอง แต่เห็นไอ้หนูเหนื่อยเต็มทีแล้วนั่งรถให้สบายดีกว่า ค่ารถคงไม่ถึงร้อย”



ถึงกระนั้นด้วยเจออะไรร้ายๆ มาตลอด เธอก็มิได้คลายความกังวลลงเลย แต่ก็จำใจเสี่ยง
นึกแล้วเสียใจว่าน่าจะกลับไปบ้านเกิด ไปขอความช่วยเหลือจากครูใหญ่ บอกเรื่องราวให้ทั้งหมด คนบ้านนอกย่อมไม่ใจร้ายกับแม่ลูกอ่อนอย่างเธอ ที่ใครๆ ไม่ได้ช่วยเหลือจริงจังเพราะทุกคนคิดว่าตัวเองทะเลาะกับสามีแล้วหนีกลับบ้านแค่นั้น ทำไมถึงคิดไม่ได้นะ หรือไม่ก็หาโรงแรมนอนตั้งแต่บ่าย ไม่น่านอนในห้องน้ำนั่น เงินก็พอมี เพราะกลัวเงินหมดแท้ๆ เลยลืมไปว่าวันนี้จะลำบากจนอาจตายก่อนจะถึงวันหน้า




“คืนนี้นอนบ้านยาย แล้วค่อยหาที่ทาง” ไปถึงซอยที่ค่อนข้างพลุกพล่านเพราะสามารถทะลุไปออกหมู่บ้านใหญ่โตหรูหราที่ติดถนนใหญ่อีกสายได้ แทกซี่จอดนางช่วยพยุงวดีลงจากรถ เดินไปยังอาคารห้องแถวสภาพดีพอสมควรอยู่ฝั่งซ้าย คูหาแรกเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวกำลังปิดร้านถัดมาอีกสี่ห้าคูหายังว่างเปล่าหรือไม่ก็ปิดกิจการ วดีไม่แน่ใจเนื่องจากใกล้ค่ำ มีเพียงไฟสลัวๆ



ถนนฝั่งขวาก็เป็นอาคารพาณิชย์เช่นกันแต่สภาพดีกว่ามีร้านขายของสะดวกซื้อชื่อฝรั่ง ร้านถ่ายรูป และร้านขายอะไหล่ซ่อมรถหรือสินค้าเกี่ยวกับเครื่องจักร นึกว่าที่พักของยายจะอยู่ถัดไปจากอาคารนี้และคงเป็นสลัมที่แอบอยู่เช่นเดียวกับห้องเช่าหลังเก่า


แต่หญิงชรากลับหยุดไขกุญแจประตูเหล็กอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กหมายเลขหก สภาพบ้านดูเก่าซอมซ่อ เพราะขาดการดูแล แต่ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แม้ข้างในจะแคบและรกเต็มไปด้วยของนานาชนิดทั้งที่ใช้การได้และไม่ได้ เข้าไปถึงหญิงชราชี้ให้นั่งพักตรงโซฟาเก่าตัวหนึ่ง แล้วแกเดินเข้าห้องข้างใน เปิดประตูค้างไว้

----------------------------------------------------------------------------

“พาใครมาหรือยาย” เสียงผู้ชายดังมาจากข้างใน วดีนิ่งอึ้ง ตั้งแต่เจอเรื่องเลวร้ายมา หล่อนกลัวผู้ชายทุกประเภท ทุกวัย ได้ยินเสียงยายตอบแล้วยิ่งหวั่นใจ “เด็กพลัดหลงน่ะ หอบลูกมาด้วย ข้าเลยพามานอนนี่” แล้วมีเสียงเดินหนักๆ เหมือนกระทืบเท้าแรงๆ ของตา “หือ ใจดีนะเอ็ง เที่ยวพาชาวบ้านเข้ามาน่ะ ถ้าเป็นพวกสายโจรแล้วจะทำไง”



วดีเกือบน้ำตาไหลเสียใจอีกครั้ง จะสองทุ่มแล้ว ถ้าโดนไล่ออกไปจะทำอย่างไรกัน ตาจ๋าเห็นใจด้วยเถอะ หอบลูกหอบมายังนี้จะให้ปล้นใครที่ไหน หนูกลัวตา ตากลัวหนู แต่ได้ยินน้ำเสียงยายตอบกลับแบบหัวเราะ “น่า ตา ดูเด็กมันก่อน อีหนูไหนเข้ามาซิ ให้คนแก่มันดูหน้าสายโจร” เดินหอบลูกเข้าไป ชายชรามองตะลึง “เฮ้ย เด็กอ่อนนี่หว่า” วดีก็ตกใจเช่นกันที่เห็นชายชราที่น่าจะวัยเจ็ดสิบปีขึ้นไปนั่งเรียบกับพื้นลากขาลีบๆ ไปมาระหว่างครัวกับเสื่อที่ใช้ปูนั่งกลางห้อง


แล้วการสนทนาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ดำเนินไปสั้นๆ จบลงด้วยความเห็นใจจากตายาย เลิกเซ้าซี้กับคำถามต่อไป



ตากระวีกระวาดถดตัวเองไปทำกับข้าวเจียวไข่เพิ่ม ข้าวสวยมีไม่พอ แกก็ลวกเส้นบะหมี่ให้วดีกินจนอิ่มท้อง แล้วยังคะยั้นคะยอให้กินนมกล่องของแกที่มีอยู่ด้วย หล่อนนั่งขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยให้หล่อนเจอคนคู่นี้ กินข้าวเสร็จถึงรู้ว่าห้องกลางชั้นล่างกลายเป็นที่นอนด้วย เพราะตายายแก่แล้วขึ้นไปนอนข้างบนไม่สะดวก แกจึงปล่อยให้ร้าง แล้วใช้พื้นที่ข้างล่างทำทุกอย่าง ส่วนหลังสุดของบ้านเป็นครัวและห้องน้ำ


ระหว่างที่ยายช่วยจัดการเรื่องที่หลับที่นอน ตาเล่าให้ฟังถึงอดีตตัวเองว่าเคยเป็นข้าราชการระดับล่างในหน่วยงานแห่งหนึ่ง ต่อมาเกิดอุบัติเหตุ ขาพิการ กลับไปทำงานไม่ได้ จึงได้บำนาญมาพอใช้เป็นเดือนๆ เพื่อจ่ายค่าเช่าบ้าน น้ำ ไฟ ส่วนค่ากินค่าอยู่ก็ต้องพึ่งพายายที่แก่แล้วยังต้องทำงาน

---------------------------------------------------------------------------

คืนนั้นไม่มีฟูกนอนให้วดี เพราะตายายก็มีแค่คนละผืน ทั้งสองคนอยากเสียสละให้วดีกับลูกแต่เธอรู้ดีว่าคนแก่คงเมื่อยเจ็บกระดูกถ้านอนบนพื้นแข็งๆ ลูกน้ำจึงได้ฟูกที่ทำจากผ้าห่มผืนเก่าของยาย โชคดีที่มีผ้าเช็ดตัวใช้ห่มนอนได้ ส่วนวดีก็เอาเสื้อหนาวสองสามตัวที่ยายให้มารองเป็นที่นอนห่มผ้าเช็ดตัว ก่อนนอน



วดีแทบไม่เคยคิดว่าวันนี้จะจบลงด้วยความสุขเช่นนี้ เมื่อลูกน้ำได้นอนบนฟูกชั่วคราวกลางห้องมองไปมารอบห้องที่มีตายายนั่งหยอกล้อให้หัวเราะออกมาเสียงดังได้ ชายชรายกมือซีดเซียวอุ้มทารกขึ้นไปแนบอก จ้องมองกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยายก็ขอแย่งไปชมบ้างพลางบ่นเรื่องบ้านนี้ฝุ่นเยอะเกินไปสำหรับเด็ก พรุ่งนี้ต้องทำความสะอาดใหญ่ ส่วนตาก็ตำหนิตัวเองที่เผลอพูดคำไม่สุภาพออกมาต่อหน้าเด็กน้อยหลายครั้ง



วดีไม่อยากกระพริบตา กลัวว่าภาพดีๆ ตรงหน้าที่กำลังเกิดขึ้นนี้จะหายไป ท่ามกลางความมืดได้ยินตายายแนะนำให้ทำความสะอาดข้างบนเพื่อวดีกับลูกจะได้อยู่ได้ ส่วนเรื่องหางานทำค่อยคิดกันวันต่อไป


ตื่นเช้าขึ้นมาวดีคิดว่าตัวเองฝันไป แต่เมื่อหันไปมองรอบๆ ตัวจึงกระจ่างว่าเป็นความจริง ยายช่วยเอาผ้าผ่อนที่เหม็นอับของลูกน้ำไปแช่และซักให้ ส่วนตาทำกับข้าวอย่างคล่องแคล่วเหมือนวดีเป็นแขกคนสำคัญของบ้าน อาบน้ำกินข้าวเสร็จ ยายไปทำงานแล้ว จัดการธุระให้ลูกน้ำนอน วดีขึ้นข้างบนตรวจดูชั้นสองที่ว่างเปล่า แค่ทำความสะอาดเช็ดฝุ่นหน่อยก็น่าจะใช้ได้เลย กลางวันอากาศร้อนแต่กลางคืนคงสบายดี ตาบอกว่าเคยคิดหาคนเช่า มีแต่คนอยากได้ห้องข้างล่างไว้ขายของ ไม่มีใครอยากได้ห้องข้างบน เคยจะมีนักศึกษาชายมาอยู่ แกก็กลัวจะเกิดเรื่อง เลยต้องปล่อยร้าง



สองชั่วโมงวดีก็ทำความสะอาดห้องนอนและห้องน้ำข้างบนเสร็จ ขาดแต่เครื่องนอน เลยลองค้นๆ เศษผ้าตามข้างๆ ตู้ของยายก็ได้แค่ผ้าปูที่นอนเก่าๆ ผืนหนึ่ง อยากออกไปซื้อฟูกกับผ้าห่มสักชุด แต่ก็กลัวจะเงินที่เหลือจะไม่พอสำหรับเหตุการณ์วันหน้า เพราะมีเงินเหลืออยู่ทำให้วดีสบายใจ จัดการทำความสะอาดตลอดจนถึงบ่ายแม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข ลืมเรื่องปวดหลังปวดเอวไปพักนึ

---------------------------------------------------------------------

ตอนบ่ายแก่ๆ วดีก็พยายามจัดการของในห้องชั้นล่างที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยกล่องพลาสติกชนิดต่างๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ที่ยายได้มาด้วยการแลกซื้อของในห้างที่แกทำอยู่ ลังกระดาษ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากเปลี่ยนใจรอถามความเห็นยายก่อน ดูเหมือนว่าคนชราทั้งคู่มีชีวิตไปแค่ให้พ้นไปวันๆ เท่านั้น ทั้งที่มีบ้านให้อยู่สภาพใช้การได้ แต่กลับสกปรกและไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ เลย


ตอนเย็นวดีเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาเมื่อมองไปทางซ้ายของประตูบ้านหน้าอาคารพาณิชย์จะมีถนนทอดไปสู่หมู่บ้านหรูหรา ถ้าหล่อนเดินไปขอบริจาคของใช้จากที่นั่นจะมีโอกาสได้หรือเปล่านะ นึกแล้วก็อยากลองเพราะเรื่องน่าอายกว่าอย่างไปขอทานก็ทำมาแล้ว ทำไมจะลองอีกไม่ได้ เลยบอกตาว่าจะอุ้มลูกไปเดินเล่น ระยะทางกว่าครึ่งกิโลเมตร



ไปถึงเห็นหญิงชรานั่งดูสุนัขตัวเล็กๆ อยู่ในสวนสวยหน้าบ้าน วดีตะโกนออกไปพอได้ยิน “ยาย ยายจ๋า มีฟูกที่นอนเก่าๆ หรือผ้านวมเก่าๆ บริจาคหนูกับลูกหน่อยมั้ยคะ” ยายหันมาทำหน้างงๆ แต่มีเสียงเกรี้ยวกราดออกมาจากในบ้าน “เออ มาขอกันเข้าไป หน้าด้านๆ อย่างนี้เลยเหรอ ไม่ทำงานทำการ ดีแต่ขอ ไม่มี ไม่ให้โว้ย ไปไกลๆ” คล้ายน้ำเสียงของคนเป็นหวัดหรือไม่ก็เพิ่งผ่านการร้องให้อย่างหนัก


วดียืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยายคนนั้นลุกขึ้น “รอแป๊บนะ อย่าเพิ่งไป” หันมาบอกวดี แล้วหายไปทางหลังสวนออกมากับผ้าขนหนูผืนใหญ่แต่เก่า คงใช้คลุมสิ่งใดสิ่งหนึ่งกลางแดดมานานเพราะสีจางแต่ดูสะอาด “ผืนนี้เด็กมันใช้คลุมเครื่องซักผ้า ส่วนนี่ผืนใหม่ คงใช้ห่มเด็กได้” วดีกล่าวขอบคุณแล้วเดินยิ้มกลับมา เท่านี้ก็ดีถมไป แค่โดนด่า ก่อนเดินออกมาได้ยินเสียงโต้เถียงกันในบ้านนั้นคงเป็นแม่ลูกกัน
-------------------------------------------------------------------------


เอาผ้าสองผืนมาพับไว้รอขนขึ้นข้างบน ตรวจกลิ่นยังมีร่องรอยน้ำยาซักผ้าอยู่น่าจะเพิ่งซักมาไม่นาน ระหว่างตาทำกับข้าวเย็นรอยาย ซึ่งเลิกงานสองทุ่ม วดีออกมานั่งให้นมลูกอยู่ข้างกล่องลังห้องส่วนหน้าของบ้าน พลางคิดในใจว่ากล่องพวกนี้น่าจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง



แต่แล้วก็ต้องหยุดคิดเมื่อมีรถเก๋งคันใหญ่มาจอด คนในรถเมียงมองมา “เธอหรือเปล่า ที่ไปขอของที่บ้านเมื่อตอนเย็น” วดีพยักหน้าเตรียมใจกับการโดนด่าแต่ก็ยังให้นมลูกต่อไปอย่างใจเย็น ผิดคาด หญิงคนนั้นลงไปท้ายรถหยิบถุงพลาสติกขนาดใหญ่ออกมาสองถุง มาวางให้ “ชั้นขอโทษ ตอนนั้นโกรธผัวอยู่ มันไปมีเมียน้อย ไม่รู้ว่าเธอมีลูกเล็กๆ มาด้วย นี่มีของมาให้ บางชิ้นยังใหม่ เธออยู่นี่เหรอ”


หล่อนพูดไม่มองหน้าวดีที่กำลังพยักหน้ารับ “เดี๋ยวจะไปดูให้ว่ามีของเก่าลูกสาวอะไรอยู่อีกบ้างจะขนมาให้”



แล้วเจ้าของเก๋งคันนั้นก็จากไป ตาตะโกนถามเรื่องราวเลยได้ยกถุงใหญ่สองถุงมาเปิดดู ยายกลับมาพอดีจึงได้มีเรื่องตื่นเต้นด้วยกัน ถุงแรกเป็นชุดเครื่องนอนผ้านวมอย่างดี อีกถุงเป็นผ้าห่มใหม่สองผืน และเสื้อผ้าใช้แล้วของเด็กที่ยังสภาพดีมากๆ ตาปรารภออกมา “คนรวยแบบนั้นมีของเหลือไม่ใช้เยอะแยะ อยู่ที่ว่าเขาจะให้หรือเปล่า อีหนู เอ็งนี่กล้านะ ไปขอเขาอย่างนั้น ทีหลังอยากได้อะไร เอ็งคุยกะตายายก่อน เผื่อช่วยกันได้”



คืนนั้นยายขึ้นมาช่วยจัดห้องให้ นอนข้างบนเสียก็ดีเพราะลูกน้ำตื่นกลางดึกรบกวนให้ตายายนอนไม่หลับไปด้วย ก่อนนอนวดีกราบตายายด้วยความซาบซึ้งใจ และสาบานต่อตัวเองว่าจะหาทางทดแทนบุญคุณครั้งนี้ให้ได้ ยังคิดไม่ตกเรื่องทำมาหากิน แต่คืนนี้วดีหลับสบายและรู้สึกปลอดภัยเป็นครั้งแรกตั้งแต่ลูกน้ำลืมตาออกมาดูโลก

-----------------------------------------------------------------

อีกเช้าวันใหม่วดีรีบตื่นนอนอุ้มลูกน้ำมาวางบนเบาะที่ทำขึ้นจากผ้าขนหนูใกล้กับบริเวณที่นอนของตา แล้วเดินไปห้องข้างหน้าจัดกล่องต่างๆ วางซ้อนกันให้เรียบร้อย จนมีที่พอว่างให้ปูเสื่อนั่งเล่นได้ยามกลางวัน ใช้พนักโซฟาเป็นกำบังกั้นสายตาคนผ่านไปมาได้เพราะประตูเป็นรั้วเหล็กโปร่ง ก่อนยายออกไปทำงาน ก็ตกตะลึงกับห้องกว้างๆ ในบ้านตนอีกห้องหนึ่ง ห้องส่วนนี้ถ้าใครมีรถก็จะใช้เป็นที่จอดรถหรือปลูกต้นหมากรากไม้เล็กๆ แต่บ้านนี้น่าจะเปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่นได้ แกบ่นพึมพำ “กูมัวแต่ไปกวาดๆ ถูๆ ห้างให้เขา บ้านเองจะกลายเป็นโกดังขยะแล้ว ขอบใจนะนังหนู กล่องพวกนี้เอ็งเอาไปใส่ของซี ถ้าขายได้ก็ดีนะ” โธ่ ยายจะมีของที่ไหนมาใส่กล่องล่ะ สมบัติแทบไม่มีติดกายสักชิ้น วดีนึกในใจเมื่อยายจากไปแล้ว



นึกแล้วก็สงสารยายอายุก็ปาไปเกือบหกสิบแต่ยังต้องทำงานหนักก้มเงยๆ ในห้างทั้งวัน ไม่มีวันหยุด แถมตอนนี้มีคนที่ไม่ใช่ญาติโกโหติกาอย่างหล่อนมาเกาะกินอีก นึกแล้วก็ถอนหายใจ

ตอนเที่ยงวดีมาเมียงๆ มองๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่คูหาแรก เด็กร้านถามว่าจะกินอะไร เธอแค่จะมาลองถามหางาน ไม่ได้ตั้งใจกินก๋วยเตี๋ยวเลยแค่บอกว่าขอคิดดูก่อน เด็กร้านเลยหันไปทำอย่างอื่น ระหว่างนั่งดูกิจการภายในร้าน พบว่ามีเด็กในร้านอยู่แล้วถึงสี่คน เจ้าของร้านแต่งกายดี สะอาด นั่งที่โต๊ะมีเครื่องคิดเลขและสมุดบันทึกหนา ร้านมีสองส่วนด้านในที่ดัดแปลงจากบ้านเป็นร้านติดกระจกและก็ด้านนอกที่หล่อนนั่งอยู่ สังเกตลูกค้าพบว่าจะต้องสั่งเครื่องดื่มก่อนก๋วยเตี๋ยวเสมอ เพื่อคนขายจะได้มีกำไรเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ที่กินอาหารที่บ้านจะดื่มแค่น้ำเปล่า


--------------------------------------------------------------

กำลังจะเดินไปสอบถามเรื่องต้องการสมัครเป็นคนช่วยล้างจาน แต่ได้ยินเสียงเจ้าของร้านเรียกให้เด็กออกมาเซ็นต์รับน้ำแข็งที่รถน้ำข้างหน้ามาส่ง มีคนมาส่งสองคน ทั้งน้ำแข็งและน้ำดื่มหลากยี่ห้อ



ฉับพลัน วดีคิดอะไรได้บางอย่างเลยถามเด็กรถส่งน้ำ “น้องชาย ถ้าสั่งน้ำจากรถน้องนี่ต้องทำอย่างไร” เด็กกลับไปที่รถเอานามบัตรส่งให้ “เจ๊อยู่ไหนล่ะ เอากี่ขวดถ้าไกล้ๆ ร้านที่เราส่งประจำก็ส่งให้ได้” วดีชี้ไปบ้านตายาย “ออ แค่นั้นเองเอากี่ขวดล่ะจะยกไปให้เลย ราคาส่งด้วยนะ” เด็กหนุ่มคนนั้นเอานิ้วแหย่ขาลูกน้ำเล่น วดียิ้มให้ “คงหลายอย่างแล้วจะโทรไปบอกสั่ง ว่าจะเอาน้ำอะไรบ้าง” รถน้ำแข็งจากไปแล้ววดียืนยิ้มเห็นแสงสว่างรำไร



“น้อง เส้นใหญ่น้ำ ลูกชิ้นชามนึง” วดีสั่งก๋วยเตี๋ยวมากินด้วยความเอร็ดอร่อย แต่ไม่วายประหยัดโดยการดื่มน้ำเปล่าธรรมดา ก่อนกลับซื้อเกาเหลาที่ราคาแพงมากในความคิดของวดีไปฝากตาด้วยถุงหนึ่ง


คำนั้นวดีก็ลองคุยกับเจ้าของบ้านชรา ซึ่งไม่มีท่าทีต่อต้านแต่อย่างใด แนะนำให้เธอตรวจข้าวของในบ้านที่พอมีอยู่จำพวกถังและกล่องพลาสติกที่จะใช้เป็นภาชนะใส่ขายน้ำหน้าบ้านได้ แต่ขาดโต๊ะวางของ ตาเลยชี้ให้ดูโต๊ะพับขนาดกลางที่วางอยู่ชิดฝาครัว บอกให้เอาเอาไปใช้ได้เลยเพราะแกนั่งโต๊ะไม่ได้มาหลายปีแล้ว



พอยายกลับมาก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย แกสนับสนุนเต็มที่ แล้วก็ช่วยกันวางแผนว่าขายน้ำอะไรบ้าง วันแรกๆ อาจแค่น้ำอัดลม กับน้ำที่ทำเองได้อย่างเก๊กฮวยกับกระเจี๊ยบพอ ยายแนะนำให้ทำรายการมาว่าต้องซื้ออะไรมาใช้ พรุ่งนี้เย็นแกจะได้แวะตลาดค่ำระหว่างทางกลับ วดีพอมีความรู้ในด้านการตลาดเบื้องต้นมาบ้างจึงวางแผนการขายง่ายๆ ได้ ส่วนใหญ่ที่ต้องซื้อแน่ๆ เก๊กฮวยแห้ง กระเจี๊ยบแห้ง น้ำตาล ของใช้ก็เป็นพวกแก้วพลาสติก หลอดกาแฟ ทัพพี โชคดีที่มีหม้อต้มขนาดใหญ่เก่าๆ อยู่ใบหนึ่ง



หลังจากที่สมองคิดอะไรไม่ออกมานานหลายเดือน เมื่ออยู่ในสภาพที่พร้อมขึ้นวดีก็เริ่มกล้าวาดอนาคตตัวเองออกมา คืนนั้นผู้ใหญ่ทั้งสามคนกินอาหารค่ำที่มีเกาเหลาเป็นอาหารเรียกน้ำลาย ไข่เจียวและผัดผักชามใหญ่เป็นส่วนที่ทำให้อิ่ม แล้วปรึกษากันจนถึงเวลานอน


รุ่งเช้าวดีโทรไปที่ร้าน ถึงได้รายละเอียดเพิ่มเรื่องการวางค่ามัดจำขวดและถังน้ำแข็ง เงินยังมีอยู่หมื่นกว่าบาทจึงพอมั่นใจในการลงทุนครั้งนี้พอสมควร แต่ค่ามัดจำและซื้อของทุกอย่างก็กลับไม่กี่พันบาท


สองสามวันต่อมา ใครผ่านไปมาก็จะเห็นร้านขายน้ำขนาดเล็ก บนโต๊ะมีถังพลาสติกใสสองใบใบแรกเก๊กฮวย ใบที่สองน้ำกระเจี๊ยบ และขวดน้ำอัดลมเรียงราย หญิงสาวมีลูกชายน่ารักนั่งอยู่บนตัก ใครซื้อน้ำก็วางลูกบนเก้าอี้ไม้ที่ประยุกต์เป็นเบาะเด็กอ่อนแล้วกระวีกระวาดตวงน้ำแข็งใส่แก้วแล้วเทน้ำชนิดต่างลงไปตามสั่ง

------------------------------------------------------------------

วันแรกยังเหลือน้ำแข็งครึ่งถังแต่วันต่อมาน้ำแข็งก็หมดพอดี ไม่กี่วันก็เอาต้นทุนคืนได้หมด และเริ่มมีกำไรวันหนึ่งถึงสองสามร้อย วดีก็ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ เพิ่มเติม เช่นไม่จำเป็นต้องเปิดร้านแต่เช้า เพราะคนจะเริ่มหาน้ำดื่มตอนสายๆ เป็นต้นไป น้ำสมุนไพรชนิดต่างๆ จะขายได้ดีแพงกว่า แต่ขั้นตอนเตรียมก็ยุงยากกว่า ขณะที่น้ำอัดลมก็ขายได้เรื่อย แรกๆ ลูกค้าจะเป็นพวกคนที่ทำงานแถวใกล้อาคารพาณิชย์สองฝั่ง ที่เดินผ่านไปมา บางคนก็ซื้อไปดื่มที่ทำงาน วดีจึงต้องมีถุงบริการ



พวกรถขายของชำเคลื่อนที่รับส่งน้ำตาลและสมุนไพรชนิดต่างๆ ให้ถึงที่ ทำให้ยายไม่ต้องแบกน้ำตาลมาให้จนหลังแอ่นอย่างตอนแรกๆ ปัญหาที่ยังมีอยู่คือช่วงที่คนเยอะลูกค้าขี้รำคาญจะบ่นที่เธอตักให้ช้าเพราะกังวลลูกชายร้องกวนอยู่ด้านหลัง แต่ต่อมาตาก็กล้าถัดตัวเองออกมานั่งข้างๆ โซฟาในบ้านช่วยดูแลลูกน้ำให้


เดือนแรกวดีได้กำไรจากการขายน้ำถึงเกือบหมื่นบาท หลังจากแบ่งช่วยค่าเช่าตายายและค่าสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แล้ว วดีแทบเป็นลมด้วยความดีใจ หลังจากนับรวบรวมเงินครั้งแล้วครั้งเล่า เธอตื่นเต้นกับเงินก้อนแรกในชีวิต แม้จะเหน็ดเหนื่อยกับการต้องนั่งหลังขดหลังแข็งให้นมลูกด้วย เตรียมของ ขายน้ำไปด้วย



สิ่งที่เธอนึกได้ว่าต้องทำอย่างแรกคือพาลูกน้ำไปรับวัคซีน เพราะเกือบครบห้าเดือนแล้ว ยังไม่ได้รับวัคซีนครั้งที่สองหลังคลอดเลย เมื่อพยาบาลหน้าห้องที่คลีนิคทักว่าเด็กสมบูรณ์แข็งแรง วดียิ่งปลื้มใจ ตั้งใจว่าจะหาซื้อรถเข็นนั่งสบายๆให้ลูก แต่เมื่อถามราคาแล้วจากผู้ปกครองคนหนึ่งในคลีนิคแล้ว เธอก็กระซิบบอกลูกให้รออีกหน่อย

----------------------------------------------------------------------

โชคดีเป็นของเธออีกครั้งเมื่อตอนเย็นวันนั้นหญิงสาวคนเดิมที่อยู่บ้านหลังงามขับรถคันใหญ่มาจอดหน้าร้านเธอเป็นครั้งที่สอง ยกเก้าอี้พลาสติกที่ใช้ป้อนข้าวกับรถเข็นเด็กคันสวยงามที่สุดในสายตาของวดีลงมาให้ ถ้าซื้อเองคงเหยียบหมื่นบาท ดูหญิงสาวคนนั้นหน้าตาสวยและราศรีผ่องใสกว่าที่เคยเจอหนแรก “เธอ ขายน้ำแล้วเหรอ ดีเหมือนกันได้หาเงินและเลี้ยงลูกด้วย” หล่อนพูดสั้นๆ แล้วจากไป



ลูกน้ำยังใช้เก้าอี้เด็กไม่ได้เพราะนั่งแล้วตัวยังพับข้างหน้า คงต้องรออีกหน่อย แต่รถเข็นใช้ประโยชน์ได้มากแถมพับเก็บง่าย หลังจากลูกน้ำอิ่มนมก็ได้นั่งเล่นบนรถเข็น บางครั้งพอง่วงวดีก็เข็นไปมาจนลูกหลับก็ผลักรถเข็นไปจอดในบ้านได้ หรือบางทีก็ให้ตาช่วยหยอกล้อช่วงที่ลูกน้ำโยเย ตั้งแต่ครบสามเดือนมาลูกน้ำชอบดูดนิ้วมากและดูดอย่างจริงจังมาจนถึงตอนนี้ แรกๆ วดีกังวลว่ามันจะสกปรกแต่หลังๆ ก็ต้องปล่อยให้ลูกดูดไปเพราะดึงออกก็ร้องจ้าทุกที


พอห้าเดือนเจ้าหนูก็พยายามคว้าทุกอย่างเข้าปาก และกัดแทะอะไรก็ตามที่ทีกัดได้ยายบอกว่าเด็กกำลังจะมีฟันงอกออกมาจึงคันบริเวณเหงือกต้องหาอะไรให้กัดแทะ ยายซื้อยางกัดสำหรับจากห้างที่ตัวเองทำงานราคาพอประมาณมาให้ หลังจากทำความสะอาดตามคำแนะนำข้างกล่องแล้วก็ยื่นใส่มือ ปรากฎว่าลูกน้ำเอาเข้าปากเคี้ยวๆ อย่างตั้งใจ
พยาบาลที่คลีนิคแนะนำว่าให้นมแม่ไปอย่างเดียวจนหกเดือนเลยได้ บางคนให้ได้ถึงเข้าอนุบาล วดีก็ตั้งใจทำตามเพราะเห็นว่าประหยัดดี แต่เมื่อเห็นลูกน้ำทำท่าอยากกินเมื่อเห็นเธอดื่มน้ำหรื้อเคี้ยวอาหาร เธอก็สงสารลองป้อนน้ำซุปให้ ปรากฎว่าลูกน้ำทำท่าดีใจที่ได้ชิมของใหม่ ยายซึ่งสังเกตมานานก็บอกว่า สมัยแก เด็กครบสองสามเดือนก็เริ่มกินข้าวกันแล้ว ดังนั้นลูกน้ำก็เลยได้เริ่มกินอาหารพวกข้าวต้มโจ๊กวันละมื้อ


เดือนที่สองการขายน้ำก็ยังดำเนินไปแบบเดิม แต่ร้านได้ปรับปรุงโดยวดีซื้อโต๊ะยาวตัวใหม่ที่ตั้งขวดน้ำได้มากขึ้นเพราะแบบเดิมที่ใช้รับของหนักแล้วจะพับลงมา กลางเดือนมีกลุ่มคนงานมาทำงานรับเหมาก่อสร้างตรงแถวที่ว่างระหว่างอาคารพาณิชย์นี้กับหมู่บ้านหรู คงเป็นหมู่บ้านใหม่หรือไม่ก็อาคารพานิชย์ซึ่งก็มีข้อดีที่ลูกค้าซื้อน้ำมากขึ้น แต่เธอเข็นลูกน้ำเดินเล่นบริเวณดังกล่าวไม่ได้อีกแล้ว

--------------------------------------------------------------------
ในช่วงบ่ายของวันหนึ่งยายได้หยุดพักนางจึงอาสาเฝ้าร้านขายน้ำให้ แนะนำให้วดีพาลูกน้ำไปเดินเล่นในห้างใกล้ๆ หลังจากตรากตรำเหนื่อยมานานหลายวันหลายคืนน่าจะได้เปิดหูเปิดตาพักผ่อนบ้าง วดีเข็นลูกออกมาใกล้ถนนใหญ่ แม้อากาศร้อนแต่เมื่อกางร่มให้แล้วลูกน้ำก็ยิ้มเริงร่า เรียกแทกซี่แล้วพับรถเข็นใส่ท้าย



วันนี้ทั้งแม่และลูกดูเกลี้ยงเกลาเหมือนครอบครัวอื่นๆ ที่มีเด็กน้อยมาด้วย ไม่มียามเหลือบมองอย่างรังเกียจอีกแล้ว ตอนลงจากรถแท็กซี่ยามยังออกมาช่วยยกรถเข็นออกจากท้ายรถให้ เธอตั้งใจเข็นลูกไปดูของเล่นเพื่อซื้อของเล่นปลอดภัยใช้กัดแทะสักชิ้น



ระหว่างเดินดูสินค้าเด็กราคาแพงก็แอบได้ยินพ่อแม่เด็กน้อยวัยโตใกล้ขวบนั่งรถเข็นมาด้วยคุยกัน “ของเล่นพวกนี้เป็นของดีก็จริง แต่ตาหนูเล่นแป๊บเดียวก็เบื่อๆ แล้ว ให้มันเล่นกล่องแทะจานข้าวก็พอ ป๊าว่าซื้อสารานุกรมเด็กดีกว่า ใช้ได้จนโต” เสียงพ่อคุยก่อน แต่แม่ไม่เห็นด้วย “มี๊อยากซื้อให้นี่ ป๊าดูซีมันน่ารักทั้งนั้น สีก็สวยๆ เค้าเขียนว่าปลอดสารพิษด้วย สารานุกรมมันเล่นได้ซะเมื่อไหร่” พูดเสร็จเหลือบมองมาทางรถเข็นของวดี ยิ้มให้ลูกน้ำ แล้วถามเธอ “ลูกชายกี่เดือนแล้วเหรอ” พอบอกไปว่าห้าเดือนเธอทำท่าชื่นชม บอกว่าตัวเกือบเท่าลูกชายสิบเอ็ดเดือนของตัวเอง



แล้วทั้งคู่เดินจากไป วดียกของเล่นขึ้นมาดูราคา ก็ต้องตกใจเมื่อเธอขายน้ำได้ทั้งวันจะซื้อของเล่นพวกอันเล็กๆ นี้ได้แค่ชิ้นเดียว แล้ววางกลับที่เดิม
เดินหาที่ตรงความต้องการตัวเอง ได้ของเล่นขนาดใหญ่สีสันสวยงามเคาะแล้วมีเสียงดัง ลดราคาเหลืออันละร้อยกว่าบาท ก็ยังแพงอยู่ แต่วดีกัดฟันซื้อ คงชิ้นเดียวนี้แหละที่เหลือก็ให้เล่นกล่องเล่นจานอย่างชายคนนั้นว่าดีกว่า

-----------------------------------------------------------------
เข็นลูกออกมาตรงบริเวณร้านอาหาร อุ้มลูกน้ำท่าทางโยเยออกมาจากรถเข็นให้ดูดนม วดีดึงผ้าอ้อมในถุงเก็บสัมภาระใต้เบาะนั่งเด็กมาคาดบนด้ามจับรถเข็นบังเธอจากสายตาคนที่นั่งกินข้าวหรือเดินผ่านไปมา เพราะเธอจำได้ดีคราวที่แล้วในห้างใหญ่โน้น ตอนควักนมให้ลูกมีคนมองด้วยสายตาแปลกๆ คราวนี้แม้จะมีคนรู้ว่าเธอนั่งให้นมลูกอยู่แต่ก็มีคนมองด้วยสาตาขำๆ เอ็นดูมากกว่า


ลูกน้ำหลับหลังจากอิ่ม เธอกวาดสายตามองทั่วร้านขายอาหารไปหยุดสนใจตรงร้านขายขนมครกที่มีคนรอจนแคะขายไม่ทัน สามคู่สิบบาทเจ็ดคู่ยี่สิบ ถ้าขายข้างนอกห้างคงคู่ละบาทได้ แต่เธอคงไม่มีปัญญาเตรียมของแบบนี้ขายได้ แค่นี้ก็แทบไม่ได้พักผ่อน ไหนจะต้องอุ้มลูก ไหนจะต้องต้มน้ำ บางทีก็กลัวลูกน้ำโดนน้ำร้อนลวกตอนที่อุ้มลูกอยู่แล้วต้องเทน้ำตาลใส่หม้อน้ำเดือดจัด

เธอคิดถึงยายที่ต้องขายน้ำแทนเธออยู่ตอนนี้ จึงรีบแวะไปซื้ออาหารเสริมเด็ก และของกินในแผนกของสดอีกสองสามอย่างแล้วรีบกลับทันที

สองชั่วโมงครึ่งที่ออกจากบ้านนี้ไปครั้งแรก วดีคิดว่ากลับมาจะเจอยายท่าทางเหนื่อยอ่อน แต่ที่ไหนได้ ยายกลับยิ้มร่าตักน้ำแข็งใส่น้ำหวานให้ลูกค้าแล้วตะโกนคุยกับตาที่นั่งอยู่ในบ้านอย่างสนุกสนาน “หนูกลับมาแล้ว ยายไม่เหนื่อยเหรอ” ถามนางด้วยความข้องใจ แต่ก็นึกได้เมื่อยายให้คำตอบ “เหนื่อยอะไร อีหนูเอ๊ย ข้าแค่ก้มๆ เงยๆ นิดหน่อย แถมว่างก็ได้นั่งสบาย หิวก็มีน้ำดื่ม ข้าไปถูทำความสะอาดห้างน่ะ หนักยิ่งกว่านี้หลายสิบเท่า วันๆ แทบไม่ได้นั่ง พอนั่งก็โดนหักคะแนนสะสม ข้าไม่เคยได้คะแนนบ้าอะไรนั่นเลย ”



วดีเข้าใจตอนนั้นเองว่ายายสมบุกสมบันกับงานในห้างมานาน เพราะฉะนั้นแค่ตักน้ำขายจึงกลายเป็นงานเบาสบายสำหรับเธอ
“มีคนถามหาขนมน่ะ ลองเอาขนมเล็กน้อยมาวางด้วยดีมั้ย” ยายหันมาคุย วดีก็คิดอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไร “ยายทำขนมเป็นมั้ยล่ะ” ยายไม่แน่ใจว่าทำไหวหรือไม่ สองวันต่อมาจึงมีแค่ขนมแห้งกรุบกรอบมาวางขาย แม้จะไม่ได้กำไรนักแต่ก็ไม่เสียหายที่จะลองต่อไป

----------------------------------------------------------------------

เดือนต่อมาจึงได้ทราบว่าคูหาถัดไปจะกลายเป็นร้านรับทำการ์ด นามบัตร และแผ่นพับเอกสารต่างๆ วดีเริ่มมีเพื่อนบ้านคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ จึงตัดสินใจซื้อตู้เย็นขนาดกลางมาให้ยายเพื่อใส่ของสดต่างๆ เพราะอยู่ไกลจากตลาดสดจึงต้องซื้อของมาตุนไว้ แม้กลัวค่าไฟจะเพิ่มขึ้นแต่เธอชักแน่ใจว่าถ้าจริงจังกับการค้าขายต่อไปจะมีเงินใช้เพียงพอแน่ๆ ในตอนเช้าๆ ผู้คนผ่านไปมาแถวนั้นต้องออกไปไกลๆ เพื่อซื้อหาของกิน คนงานบางคนที่ตื่นเช้าตรู่เตรียมกับข้าวไม่ทันมาเมียงๆ มอง แถวร้านหลายครั้ง



วดีนึกถึงการแคะขนมครกขายตอนเช้าหรือเย็นแล้วคุยกับตายาย ตาบ่นว่าสมัยนี้ใครจะอยากกินขนมครก ยายจึงหัวเราะ “ตาไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้ในห้างยังมีขายเลย” แต่ก็คุยต่อด้วยความกังวล “อีหนูแล้วใครจะช่วยเอ็งแคะ ของแบบนี้มันต้องใช้แรงคน ขนาดแค่ต้มน้ำสองสามอย่างขายยังไม่ค่อยจะไหวกันเลย”


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จึงต้องหยุดไปก่อน ตาอยากเสนอความคิดบ้างจึงเอ่ยเรื่องการขายน้ำให้มากๆ ขึ้น จะได้มีกำไรมากขึ้น แม้ตัวเองจะปลงเรื่องเงินทองแล้ว มีก็ใช้ไม่มีก็ไม่ใช้ เจ็บป่วยก็ใช้เงินหลวง ถ้าไม่ได้ก็ตาย แต่รู้ดีว่าหญิงสาวกับลูกอ่อนต้องการอนาคตที่มั่นคง “ทำร้านให้มันเป็นแบบกระจกๆ ที่เขาขายๆ กันน่ะ” วดีนึกภาพตาม ตาคงหมายถึงขายน้ำผลไม้ปั่น หรือไอศครีมพวกนั้น เธอเห็นด้วยแต่จะเริ่มอย่างไรเท่านั้นเอง รอให้ลูกน้ำโตอีกนิดดีกว่า

-----------------------------------------------------------------

ตอนลูกน้ำครบสิบเดือนบ้านตายายก็เปลี่ยนแปลงไปในสภาพดีมากขึ้นข้าวของถูกจัดเรียบร้อย มีตู้กับข้าวเพิ่ม และโทรทัศน์ก็มาตั้งหราอยู่ห้องกลางให้ตายายได้ดูข่าวดูละครยามกลางคืน ลูกชายเธอคลานมาไปได้อยากสะดวกใจ ไม่มีร่องรอยแมลงสาบมากมายอย่างเมื่อก่อน แล้วสามคูหาข้างบ้านมีการตบแต่งจากห้องร้างให้กลายเป็นโรงเรียนกวดวิชาขนาดกลาง


เธอเคยไปถามเรื่องให้ช่างมาตบแต่งส่วนหน้าของบ้านตายายให้กลายเป็นกระจกใสขายของ เมื่อรู้ราคาประมาณก็อุทานด้วยความตกใจเพราะกินเงินเป็นครึ่งแสน แม้จะมีเงินเก็บอยู่บ้างแล้วแต่ก็ต้องกินต้องใช้เก็บไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด แต่ช่างก็แนะนำว่าให้ลองซื้อตู้กระจกมาตั้งเป็นเคาน์เตอร์แบบร้านก๋วยเตี๋ยวธรรมดาก็ได้ แล้วมีโต๊ะให้ลูกค้านั่งหน้าร้าน เธอเก็บความคิดไว้รอยยายกลับมาแล้วจะปรึกษา

แต่ค่ำนั้นยายกลับมาด้วยอาการป่วนครั่นเนื้อครั่นตัว..........


อ่านต่อตอนที่สี่ตอนจบต่อเลย อยู่ที่นี่ค่ะ















Create Date : 24 กันยายน 2551
Last Update : 24 กันยายน 2551 14:32:03 น. 0 comments
Counter : 301 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

rainfull
Location :
ตรังกานู Malaysia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]












ทุกตัวอักษรทุกภาพที่ปรากฏบนบลอกนี้ ไม่ว่าจะยาวนานอีกแค่ไหน เจ้าของขอสงวนสิทธิ์แต่ผู้เดียวหากผู้ใดละเมิดหรือนำไปใช้ไปอ้างโดยมิบอกกล่าวจะเอาเรื่องทั้งด้วยกฎหมู่และกฎหมาย
Friends' blogs
[Add rainfull's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.