-'@'-Journey Of Love-'@'- เมื่อหัวใจเดินทาง
space
space
space
 
พฤศจิกายน 2567
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
7 พฤศจิกายน 2567
space
space
space

ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (8)

ไปไหนก็ได้ขอแค่ให้มีรถสาธารณะไปถึง (2)

หลังจากนั่งทรมานบนเครื่องมาครบ 5.30 ชม. การได้นอนบนเครื่องเป็นลาภอันประเสริฐ แต่มันมีความผิดปกติตั้งแต่ย่างเท้าออกจากบ้านแล้ว ดังนั้นเจออีกด่านก็เริ่มรู้ชะตากรรมแล้ว เด็กประมาณ 2 – 3 ขวบ 2 คนพี่น้อง เริ่มร้องตั้งแต่เครื่องถึงระดับเพดานบิน พ่อแม่ก็ผลัดกันอุ้ม อุ้มก็หยุด หยุดก็วาง วางก็ร้อง พ่อแม่ก็ปล่อยให้ร้องเป็นพักๆ แต่คนที่ไม่ได้พักคือคนรอบข้าง จนถึงเวลาเสิร์ฟอาหารเช้าถึงได้หยุด ที่อุดหูเอาไม่อยู่ เพราะใส่ที่อุดหูนานก็ปวดช่องหูเหมือนกัน ในที่สุดก็ได้เหยียบย่างเข้าสู่แหล่งกำเนิดอนิเมะ

พอลงจากเครื่องก็เดินตามมวลหมู่นักท่องเที่ยวเข้าสู่ด่าน ตม. โดยมีเจ้าหน้าที่คอยประกาศชี้ให้คนที่มี QR Code เข้าช่องทางด้านนี้ ไม่มีเดินเข้าช่องถัดไป ตอนถึงเคาน์เตอร์ยื่นพาสปอร์ตเจ้าหน้าที่ก็ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ไม่มีคำถามเพิ่มเติม สแกนนิ้วมือ ถ่ายรูป ติดสติ๊กเกอร์แล้วผ่านออกมาเลย (แต่สำหรับคนอื่นไม่รู้ว่ามีคำถามไหมนะ)
 
ลงชั้นล่างมารับกระเป๋าที่สายพาน รอประมาณ 15 นาที สำหรับเราถือว่าเร็วนะ เพราะผู้โดยสารเต็มลำ แต่อยากตะโกนบอกว่า ช่วยออกมายืนห่างๆ สายพานหน่อยเถอะ จะไปยืนเบียดกันทำไม แถมยังลากรถเข็นไปจ่ออีก คนอื่นจะเข้าออกก็ลำบาก เดี๋ยวยกกระเป๋าลงไปกระแทกโดนก็จะมีปัญหาอีก แทนทีเห็นกระเป๋าแล้วค่อยเดินเข้าไปยกออก สะดวกทุกคน

ได้กระเป๋ามาก็ลากไปที่ห้องน้ำ ซึ่งบริเวณที่สายพานรับกระเป๋าของสนามบินคันไซมีเก้าอี้ให้นั่งรอใกล้ห้องน้ำพอสมควร กางรื้อกระเป๋าได้อย่างไม่น่าเกลียด และสะดวกมาก ล้างหน้าแปรงฟันเคลียร์เก็บก็ลากไปด่านศุลกากร ยื่นพาสปอร์ตพร้อม QR Code ก็โดนถามเป็นภาษาญี่ปุ่นใส่รัวๆ (เอ่อ ช่วยดูพาสปอร์ตใหม่อีกทีได้ไหมคะ อิฉันมาจากชนกลุ่มน้อยที่อยู่ห่างไกลไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่น ถึงแม้พอจะพูดได้บ้างแบบลื่นไถลเกล็ดถลอก สีข้างแฉลบก็เถอะ) แต่ก็ยิ้มๆ ตอบคำถาม Hai, Hai, Iie, Iie พยักหน้า ส่ายหน้าไปเรื่อย ประมาณมาถึงจะไปนอนไหน มีของอะไรพิเศษไหม ถามนิดหน่อยแล้วก็สแกน QR Code จบพิธีออกไปได้

ออกมาด้านนอกมองหาจุดส่งกระเป๋า อยู่ด้านขวามือ เป็นเคาเตอร์ของ JAL ABC  ตั้งใจจะส่งกระเป๋าใหญ่ไปที่เกียวโตก่อน แต่พอแจ้งว่าที่พักเป็น Airbnb เจ้าหน้าที่ก็ปฏิเสธทันที ว่ารับส่งเฉพาะ Hotel เท่านั้น 146

จุดรับส่งกระเป๋าที่สนามบิน Kansai ชั้น 1 Arrival Hall จะมี 2 ที่ คือ ออกฝั่งทิศเหนืออยู่ ขวามือ เดินนิดเดียว อีกจุดจะฝั่งทิศใต้สุดตึกที่เป็นทางออกของผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ Domestic Arrival

จากนี้จะเป็นการเริ่มวัดดวงชะตาอีกครั้ง
 
ส่งกระเป๋าไม่ผ่านก็หันกลับมองป้ายทางเดินไปสถานีรถไฟ ซึ่งต้องขึ้นบันไดเลื่อนแล้วออกด้านนอกข้ามสะพานเลี้ยวขวาก็ถึงทันที จัดการมองซ้ายขวา เห็นป้าย JR Ticket Office ก็มุ่งเข้าไปเลย แต่ไม่ได้เข้าออฟฟิส ด้านข้างจะเป็นตู้เขียวๆ ที่สามารถซื้อตั๋ว และ แลกเวาเชอร์ได้ Voucher ได้ ตู้สีเขียวเหมือนกันก็จริง แต่ตู้ที่สามารถแลกเวาเชอร์ได้จะมีเลขสีขาว 5489 พื้นสี่เหลี่ยมสีฟ้า (สำหรับตั๋ว JR West และ JR East แต่ถ้าใครซื้อเวาเชอร์ของ JR Central จะเป็นพื้นสี่เหลี่ยมสีส้ม)  เพราะจะมีช่องกระจกสำหรับสแกนพาสปอร์ต ก็จัดการหยิบอุปกรณ์มือถือ หรือ กระดาษที่เราเตรียมไว้ พร้อมพาสปอร์ต ทำตามขั้นตอนได้เลย มีบรรดาสารพัดเว็ปแนะนำ ลองเข้าไปค้นดู
 
การแลกตั๋ว Rail Pass ที่กำหนดว่าต้องเฉพาะต่างชาติต้องใช้พาสปอร์ต แต่ถ้าเป็นตั๋วรถไฟทั่วไป รถไฟใต้ดิน Subway Metro อันนี้แค่ไปที่ตู้แล้วกดเลือก Scan QR Code ยื่นสแกนเสร็จก็ได้ตั๋วเลย ไม่ต้องใช้พาสปอร์ตแล้ว
 
หลังจากได้รับตั๋วแล้วก็จัดการเติมเงินลงบัตร IC ICOCA อ่านว่า "อิโคคะ" มาจากคำว่า อิโค Ikou 行こう = ไป + คะ ka か = ใส่เพื่อเป็นคำถาม รวมกันก็จะได้ คำแปลว่า "ไปไหม" แบบ ไปป่ะ ไปมะ
ตู้เติมเงิน+ซื้อตั๋วรถไฟทั่วไป เป็นตู้เดียวกัน เพื่อความสะดวกอีกใบละ 20,000 เยน จะซื้อน้ำแบบกดตู้ จ่ายค่าอาหาร จะได้สะดวกไม่เสียเวลานับเงินเหรียญด้วย
 
รอบนี้เฉพาะอยู่ในญี่ปุ่น 14 วัน แต่เราเลือกซื้อตั๋ว Kansai-Hiroshima Area Pass 5 วัน หลังจากคำนวณความคุ้มค่าแล้ว มันประหยัดมากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับซื้อตั๋ว Rail Pass 14 วัน ซึ่งราคาเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วง ต.ค.2023 แบบชนิดเลือดสาดกระจายทีเดียว

นอกจากนี้ข้อดีของตั๋ว Area Pass คือ สามารถใช้บริการรถไฟขบวน Nozomi และ Mizuho ได้ด้วยโดยที่ค่าตั๋วรวมค่าจองที่นั่งแบบตู้ธรรมดาเรียบร้อย ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก แค่ไปเลือกวันที่ เวลา ปลายทาง กับระบุที่นั่งที่ตู้ขายตั๋ว หรือสามารถสมัครผ่านแอปของ JR ทำจองที่นั่งล่วงหน้าได้ทันที ซึ่งตั๋วทีเราซื้อสามารถขึ้นรถไฟ Shinkansen ระหว่างสถานี Shin Osaka – Hiroshima เท่านั้น จะกี่รอบก็ได้ จะลงระหว่างทางสถานีไหนก็ได้
เช่น  Nozomi ซึ่งเป็นขบวนวิ่งระหว่าง Hakata ถึง Tokyo แต่ตั๋วของเราเป็น Kansai ก็จะ สามารถขึ้นที่ Hiroshima และลงที่ Shin Osaka เท่านั้น แล้วจะไปเกียวโตต่อ ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้ JR ปกติ, Limited Express รวมสาย Thunder Bird หรือ Hello Kitty แทน ถ้านั่งยาวไปลงเกียวโต ตอนใส่บัตรที่เกทจะไม่ผ่าน ออกเกทไม่ได้ต้องย้อนกลับไปนั่ง Shinkansen ตู้แบบไม่ Reserve Seat ไปลง Shin Osaka

อยู่ Hiroshima-Kyoto-Osaka รวม 7 วัน ใช้ Pass 5 วัน + Kansai Mini Pass 3 วัน
 
แลกตั๋วเรียบร้อยก็เตรียมไปถ่ายรูปกับรถไฟ Hello Kitty!!! แต่ชื่อขบวนรถไฟคือ Haruka สอดตั๋วผ่านเกทลากกระเป๋าลงชั้นล่างเพื่อนั่งรถไฟไปสถานีชินโอซาก้า โดยที่เราทำการบ้านมาอย่างหนักว่า รถไฟมีรอบกี่โมง จะถึงกี่โมง ต่อรถไปฮิโรชิม่าทันไหม ถ้าถึงฮิโรชิม่าจะไปตรงไหนได้บ้าง

08.40 น. ลงมายืนรอที่ชานชลาก็ยังไม่มีรถไฟจอด ก็โอเคยืนมองป้ายเวลาว่าขบวนถัดไปกี่โมง (ตอนนี้ยังไม่เอะใจ..ทำไมเวลามันห่างผิดปกติ) เห็นคนยืนรอกันประปลาย ผ่านไปครึ่งชั่วโมงคนก็เริ่มเยอะขึ้น รถไฟก็ยังไม่มา เวลาบนป้ายก็เปลี่ยนอีก เอิ่มลางสังหรณ์เริ่มทำงานอีกครั้ง รอจนเริ่มเมื่อยขาในที่สุด ประมาณ 9.15 โมง รถไฟก็เข้ามาจอด ทุกคนก็กรูกันขึ้นหาที่นั่งจนเต็มทั้งขบวน ที่วางกระเป๋าก็ไม่พอ ได้ที่นั่งเรียบร้อยก็หยิบกล้องมาถ่ายรูปเล่น ผ่านไป 1 ชั่วโมงรถก็ยังไม่ออก เอาแล้วไงใกล้จะ 10.30 น. ยังอยู่สนามบิน คนที่นั่งบนรถไฟก็เริ่มทยอยออกไปเรื่อย คราวนี้เสียงไซเรนในหูเตือนรอไม่ได้แล้วต้องหาทางไปต่อ เนื่องจากมีอุบัติเหตุหรืออะไรนี่ละที่เส้นทางใกล้สนามบิน ทำให้รถไฟไม่สามารถออกไปได้ Delay ทุกสายที่เชื่อมต่อเส้นทางนี้เกือบทั้งวัน แต่ที่น่าโมโหคือ ไม่มีเจ้าหน้าที่ประกาศเตือน ทั้งที่รถไฟไม่สามารถวิ่งได้ตั้งแต่ 8 โมงแล้ว
 
ก็จัดการลากกระเป๋าย้อนกลับไปใน Terminal ถามเจ้าหน้าที่ขายตั๋วเรือเฟอรี่
สรุป คือ นั่งเรือเฟอรี่ไปสนามบินโกเบ ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที ซึ่งต้องซื้อตั๋วเรือเพิ่มอีกคนละ 1880 เยน แต่เวลารอบถัดไปถึง 11.50 น. ถ้าพลาดรอบนี้ถัดไปก็ประมาณ 13.00 น. แต่เส้นทางต่อรถก็เอาเรื่องพอสมควร
Kobe Airport => ขึ้นรถไฟ Port Liner => สถานี Portliner Sannomiya => เดินประมาณ 5 นาที => สถานี JR Sannomiya => ต่อรถไฟใต้ดิน => Shin Kobe = ขึ้นรถไฟ Shinkansen =>Hiroshima
 
ถ้ามีโอกาสรอบหน้าจะได้ไปลองนั่งเฟอรี่ข้ามไปดูบ้าง

ใครสนใจก็ลองไปดูได้ https://www.kobe-access.jp/eng/
 
คำนวณสภาพร่างกายและสัมภาระแล้ว วิ่งออกไปทางขึ้นจุดจอดรถบัส Shuttle Bus เข้า โอซาก้า จุดจอดหมายเลข 5 ซึ่งสุดสายที่โรงแรม Hankyu อยู่ใกล้สถานี Osaka 
ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นไปลงที่ไหน ระหว่าง Osaka (จุดขึ้นรถบัส No.5 ค่าตั๋ว Oneway 1,800 เยน/คน) หรือ Kobe Sannomiya (จุดขึ้นรถบัส No.6 ค่าตั๋ว Oneway 2,200 เยน/คน) ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. เหมือนกัน แต่ตอนเดินถึงจุดจอดรถไป Osaka มีรสบัสเข้ามาจอดก่อนก็เดินไปเข้าคิวเลยไม่รอแล้ว ถามพนักงานขับรถว่าจอดที่ Shin Osaka หรือไม่ เจ้าหน้าที่บอกคันนี้สิ้นสุดแค่ที่ Osaka City ต้องต่อรถไฟ ก็โอเคมันไม่มีทางเลือกแล้ว ตอนนี้คนรอขึ้นรถบัสยาวเกือบ 60 คนได้ วางกระเป๋าเพื่อโหลดใต้ท้องรถ เจ้าหน้าที่ก็จะให้คูปองใบเล็กๆ เพื่อใช้ยืนยันรับกระเป๋าตอนลงจากรถ ตอนขึ้นรถก็ใช้บัตร IC แปะติ๊ดตัดปั๊บ น้ำตาซึมเลย แทนที่จะประหยัดจากค่ารถไฟ ต้องมาเสียค่ารถบัสแทน
 
12.15 น. ถึงปลายทางที่โรงแรม Hankyu ก็ลากกระเป๋าไปสถานี Osaka ที่อยู่ใกล้กันแค่เดินสุดตึก ข้ามถนน แล้วเดินๆๆๆๆ จนถึง South Central Gate จะเป็นลานใหญ่ ถ้าเดินเลยไปอีกจะเป็นลานจอดรถบัส เข้าอาคารฝั่งซ้ายขวาจะเป็นพื้นที่ของห้าง Daimaru 
จากนั้นก็มองหาป้ายทางเข้าชานชลารถไฟ ใครที่เคยใช้บริการสถานี Osaka คงจะพอนึกภาพออกว่ามันใหญ่ กว้าง และ ตัวชี้ทางเยอะมาก ทางเข้าหลักจะมี 2 แบบ คือ Central Concourse เข้าไปแล้วหาทางแยกอีกรอบ กับ Midosuji Concourse

ของเราผ่านเข้า Central Concourse แล้วเสียเวลาอ่านป้ายทีละอัน จะมีทั้งหมด 11 ชานชลา สายที่จะไปสถานีชินโอซาก้าได้ คือเส้น Kyoto สามารถขึ้นได้ที่ชานชลา 7, 8 (รถไฟธรรมดา) 9 และ 10 (รถไฟด่วน-ด่วนพิเศษ) นับเฉพาะเวลาเดินจากจุดลงรถบัสจนถึงชานชลาประมาณ 15 นาที นั่งรถไฟ 1 สถานีถึง Shin Osaka เดินตามป้ายสอดบัตรออกเกท JR ปกติ ถึงหน้าทางเข้าก็จัดการไปทำตั๋ว Reserve Seat ที่ตู้เพื่อความชัวร์ว่าจะได้นั่งยาวๆ แบบไม่ต้องไปแย่งใคร สอดตั๋วเข้าเกท Shinkansen

13.17 น. รถไฟขบวน NOZOMI  67 ใช้เวลาเดินทาง 85 นาที อันนี้เป็นแค่ตั๋วจองที่นั่ง ตู้หมายเลข 15 ที่นั่ง 14-C
 
จากนั้นเดินตะปัดตุเป๋จนในที่สุดก็ถึงโรงแรมคืนแรกใน Hiroshima ประมาณ 15.00 น. เช็คอินเข้าห้องพักเรียบร้อย ก็ตรงดิ่งกลับไปสถานีฮิโรชิม่าอีกรอบเพื่อขึ้นรถไฟ มองหาป้ายหมายเลข 1 จะเป็น San-yo Line for Miyajimaguji, Iwakuni ซึ่งตั๋ว Kansai-Hiroshima Pass รวมค่าขึ้นเรือเฟอรี่ข้ามไปเกาะ Miyajima ด้วย แต่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมเพิ่ม คนละ 100 เยน กดซื้อตั๋วได้ตรงด้านหน้าทางเข้าเกทของท่าเรือ เสียเฉพาะตอนขึ้นเรือไปเกาะขาเดียวเท่านั้น
 
ใช้เวลานั่งรถไฟจากสถานี Hiroshima ถึงสถานี Miyajimaguji ประมาณ 30 นาที แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อยประมาณ 3-5 นาทีเพื่อมาที่ท่าเรือ ตอนถึงท่าเรือคือ 16.20 น. น่าเสียดายที่มาไม่ทันรอบสุดท้ายที่เรือจะแล่นผ่านเสาโทริอิสีแดง (Great Torii) ที่อยู่กลางทะเล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้าอิทซึคุชิมะ (Itsukushima Shrine)
 
ตารางในช่องสีฟ้าคือ รอบที่เรือจะแล่นผ่านเสาโทริอิ
 

ด้านหน้าท่าเรือ จะมีรูปปั้น Bugaku Ranryoo (ไม่ใช่ชื่อคน) เป็นรูปปั้นที่แสดงท่าทางการเต้นรำแบบหนึ่ง สามารถเข้าชมได้ที่ศาลเจ้าอิทซึคุชิมะ จะมี 2 ช่วง ที่เป็นการแสดงชุดใหญ่จัดเต็ม พิธีจะเริ่มแสดงในช่วงเย็น
15 เมษายน เรียกเทศกาลโทกะไซ Tokasai
15 ตุลาคม เรียกเทศกาลคิกกะไซ Kikkasai
ส่วนการแสดงชุดเล็ก จะมีตามวันสำคัญอย่างเช่น ปีใหม่ พิธีฉลองของจักรพรรดินีสุยโกะช่วงพฤษภาคม ฉลองศาลเจ้าซันโนะ สามารถดูวันที่มีพิธีได้จากตั๋วเข้าชมศาลเจ้า

เดิมทีการเต้นรำ Bugaku มีถิ่นกำเนิดจากอินเดีย เวียดนาม จีน และคาบสมุทรเกาหลี แต่ปัจจุบันมีแค่ในญี่ปุ่นเท่านั้น


ถึงเกาะมิยาจิม่าก็เดินเรียบทางเดินริมทะเลไปจนถึงศาลเจ้าอิทซึคุชิมะ ระหว่างทางก็
จะมีกวางแวะเวียนมาดมๆ ใครมีของกินก็จะโดนอ้อนมากหน่อย ลูบได้ จับได้ ไม่ดุ


เดินๆ หยุดๆ แวะถ่ายรูปจนถึงหน้าทางเข้าศาลเจ้า ก็จัดการจ่ายเงินสดซื้อตั๋วอีกคนละ 300 เยน เข้าไปเดินวน 1 รอบ ตอนที่ไปถึง ส่วนของ Treasure Hall กับ Hokoku Shrine (Senjokaku) หมดเวลาเข้าชมแล้ว
Itsukushima Shrine     เปิด 06.30 – เวลาปิดขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาล
Treasure Hall     เปิด 08.00 – 17.00 น. เปิดเข้าชมตลอดปี ไม่มีวันหยุด
Hokoku Shrine (Senjokaku)     เปิด 08.00 – 16.30 น. เปิดเข้าชมตลอดปี ไม่มีวันหยุด

ประวัติของศาลเจ้าอิทซึคุชิมะตามตำนานว่าเกิดจากเทพเจ้า 3 องค์ซึ่งเป็นบุตรชาย และบุตรสาวของเทพพระอาทิตย์ ลงมายังพื้นโลกโดยเลือกพื้นที่เกาะแห่งนี้ หลังจากแล่นเรือโดยมีอีกาสวรรค์นำวนรอบเกาะก็ได้เลือกจุดที่จะสร้างศาลเจ้าขึ้นตรงบริเวณที่ตั้งของศาลเจ้าในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 593 ตรงกับสมัยการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดินี Suiko
 
Hokoku Shrine (Senjokaku) ได้รับการกำหนดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1910 ในส่วนของศาลเจ้า Hokoku ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับโชกุนโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ผู้เป็น 1 ใน 3 ที่รวมญี่ปุ่นเป็นหนึ่งเดียวในช่วงศตวรรษที่ 16 และผู้ช่วย คาโตะ คิโยมาสะ เหตุผลในการสร้างโครงสร้างนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนในจดหมายของอังโคคุจิ เอเคอิ พระภิกษุเจ้าอาวาสวัดอังโคคุจิ ส่วนคำว่า Senjokaku แปลว่า ห้องพันเสื่อทาตามิ
 
ช่วงที่ไปถึงเป็นตอนเย็น เป็นช่วงน้ำทะเลเริ่มลดต่ำจนเห็นดินตะกอนก็ได้วิวแบบแห้งๆ (รู้ได้ยังไงว่าเป็นช่วงน้ำลด เพราะระดับน้ำทะเลจะขึ้นลงวันละ 4 รอบ เช้า (ลง) เที่ยง (ขึ้น) เย็น (ลง) ค่ำ (ขึ้น) เวลาไปเที่ยวทะเลแถวบ้านเราก็เป็นแบบเดียวกัน)
สามารถเช็คระดับน้ำทะเลขึ้นลงได้จากเว็ป https://www.tidetime.org/asia/japan/miyajima.htm
 
เดินวนครบรอบก็กลับไปยังท่าเรือเดิม ระหว่างทางก็แวะซื้อของทานขึ้นชื่อชิมพอเป็นพิธี AGEMOMIJI คือ Momojimanju ชุบแป้งทอด ไม้ละ 200 เยน ลองมะนาว กับ คัสตาร์ดครีม อร่อยมั๊ก ครั้งเดียวพอให้รู้รสชาติ จะซื้อก็เดินเข้าไปในร้านหยอดตู้ กดจำนวน ได้ตั๋วมาเดินย้อนไปเข้าคิวรอสั่ง มีไส้ ถั่วแดง มะนาว ชีส คัสตาร์ดครีม แล้วก็ชีสแบบก้อน
 

นั่งเรือข้ามกลับมาก็เดินไปขึ้นรถราง Hiroden สาย 2 ซึ่งวิ่งระหว่าง สถานี Hiroshima – Miyajima อันนี้ไม่รวมอยู่ใน Pass ค่าตั๋วตามระยะทาง ใช้ตั๋ว IC แปะตอนขึ้นรถ แล้วแปะอีกทีตอนลงเพื่อตัดเงิน ช่วงรถวิ่งออกจากสถานีจะได้ความรู้สึกเหมือนนั่งรถรางโบราณ กระแทกดึ๋งๆ นิดหน่อย ผ่านเข้าสู่เขตเมืองก็นิ่งเรียบสบายๆ ใช้เวลานั่งประมาณ 1 ชม. ถึงสถานี Hatchobori ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้งของเมืองฮิโรชิม่า เป้าหมายคือ โอโคโนมิยากิ ที่เค้าลือกันว่า มาถึงฮิโรชิม่าต้องทานโอโคโนมิยากิ ย่าน Hatchobori มีร้านอาหารให้เลือกเยอะแยะ ห้างสรรพสินค้า Parco ร้านแบรนด์เนม โรงแรม คล้ายย่านชินไซบาชิ หรือ ชินจูกุ แต่เป็นแบบย่อส่วน คนเดินไม่เยอะเหมือนเมืองใหญ่ๆ ถึงแม้จะเป็นช่วงอาหารค่ำ คนท้องถิ่นหรือพนักงานที่เลิกงานที่มาทานอาหารคล้ายจะมีไม่มาก แต่นักท่องเที่ยวเต็มถนนเลย เพราะเป็นช่วงทัวร์เรือเข้าเทียบท่า ท่าเรือฮิโรชิม่าห่างจากใจกลางเมืองแค่ 30 นาที สามารถใช้บริการ Hiroden จากท่าเรือฮิโรชิม่าถึงย่านใจกลางเมืองในราคาแค่ 220 เยน
 
รถราง 1 ป้าย จะมี 2 สถานี สำหรับวิ่งวนซ้าย หรือ วิ่งวนขวา สถานีจะห่างกันประมาณ 50 เมตร เป็นสถานีเกาะกลางถนน เวลาขึ้นลงต้องระมัดระวังด้วยต้องยืนรอบนขอบด้านบนที่พื้นจะมีสัญลักษณ์สีขาวขีดไว้ให้ยืนหลังเส้นนี้ อย่าลงไปยืนถึงขอบถนน รอสัญญาณไฟคนเดินเป็นสีเขียวก่อนถึงจะเดินข้ามได้ เปิดให้บริการตั้งแต่ 6 โมงเช้า สิ้นสุดบริการประมาณ 5 ทุ่ม รถเที่ยวสุดท้ายจะออกจากสถานีต้นทางประมาณ 4 ทุ่ม
 
สำหรับรถราง Hiroden ก็เป็นขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบายในการเที่ยวกลางเมืองฮิโรชิม่าที่สุด ราคาขึ้นรถราง Inner City Rate จะเป็นราคาเดียว 220 เยน แต่ถ้าเดินทางเฉพาะในเมืองนั่งไม่กี่สถานีจะรู้สึกว่าแพง ซึ่งสายรถรางจะมีแค่ 1 2 3 5 6 7 8 (ไม่มีเลข 4 น่าจะเป็นเพราะความเชื่อเรื่องคำพ้อง ที่ออกเสียงว่า ชิ shi ในเลขสี่ คล้าย กับคำว่า “ตาย” โรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นหลายแห่งก็จะไม่มีชั้น 4 หรือห้องเบอร์ 4

มีตั๋วเฉพาะขึ้นรถราง 1 Day จำหน่าย 2 แบบ

  1. ราคา 1000 เยน (รถราง+เรือเฟอรี่ข้ามเกาะมิยาจิม่า+ค่าธรรมเนียม)
  2. ราคา 700 เยน (ใช้ได้เฉพาะรถราง Hiroden เท่านั้น)
สามารถหาซื้อได้ที่ สถานีรถไฟ Hiroshima โต๊ะประชาสัมพันธ์ของรถราง Hiroden อยู่ด้านหน้าตรงชานชลาของรถราง, โรงแรมต่างๆ หรือจากตอนที่ขึ้นรถรางแล้วถามซื้อจากคนขับรถรางโดยตรง
แล้วก็มีตั๋ว Visit Hiroshima Tourist Pass ชนิด 1 วัน / 2 วัน / 3 วัน
 
สถานีรถไฟ Hiroshima จะเป็นจุดศูนย์รวมเริ่มต้นการเดินทางของขนส่งสาธารณะในเมืองทั้งหมด ทั้งรถราง รถไฟ รถเมล์ รถบัสระหว่างเมือง (High Way Bus อยากจะนั่งรถแบบ Overnight ไปโตเกียว โอซาก้า นาโงย่า หรือ ฟุกุโอกะ ก็มาขึ้นที่นี่ได้ ค่ารถประมาณครึ่งหนึ่งของค่ารถไฟชินคังเซน)
 
เห็นโพรโมตหมู่บ้านโอโคโนมิ Okonomimura ก็ตามไปดูว่าสมคำร่ำลือไหม เส้นทางเดินไม่ยาก หาร้าน Donki ให้เจอ ก็เดินเข้าซอยนิดนึงเป็นตึก 5 ชั้น มีป้ายสีแดงเด่นอร่าม แต่ละชั้นจะมีร้านขายโอโคโนมิประมาณ 5 – 6 ร้าน ตอนที่ไปถึงเจอนักท่องเที่ยวที่มากับเรือสำราญลงพอดี วิธีเลือกร้านก็ต้องใช้วิธี “ร้านไหนมีเก้าอี้ว่าง ก็นั่งร้านนั้น” แต่ละร้านจะนั่งได้ประมาณ 10 – 15 คน

ด้วยความที่หิวจัดตั้งแต่ลงจากเครื่องตอนเช้าจนถึงหนึ่งทุ่ม เพิ่งจะได้ทานข้าวปั้นไป 1 ก้อน กับขนม 1 ชิ้นที่ซื้อบนเกาะมิยาจิม่า หาร้านอาหารได้ก็มองลูกค้าที่นั่งในร้านเค้าสั่งอะไร จะได้ดูเป็นแบบอย่าง ตอนเข้าไปมีคนญี่ปุ่นนั่งอยู่ 3 คน เราเข้าไปอีก 2 คน สักพักนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เดินตามเข้ามาทีเดียว 5 – 6 คน แล้ว คนญี่ปุ่น 2 คน เจ้าของร้านรับออเดอร์รวดเดียวทั้งร้าน เมนูก็คล้ายกัน เพิ่มเติมคือจานเนื้ออบชีส กุ้งอบเนย เป็นกับแกล้มทานกับเบียร์
 


รสชาติจะเป็น รสเค็มนำ ตามด้วยรสเค็มหวานปะแล่ม แล้วต่อด้วยเค็มปะแล้ด



อิ่มเบาๆ ของเราไม่เท่ากัน ถามว่าสมคำร่ำลือไหม ก็บอกได้เพียงว่า กินให้รู้ แล้วไปหาอย่างอื่นกินต่อดีกว่า หมดค่าเสียหายไปประมาณ 3,900 เยน (สั่งโอโคโนมิ 2 ชุด + โค้ก 1 แก้ว + ชาเขียว 1 แก้ว) ไปเดินวนสำรวจสินค้าที่ Donki ย่อยอาหารสักพัก จากนั้นก็เดินกลับมาขึ้นรถรางไปลงสถานี Inari machi เดินเข้าซอยทะลุไปที่พักไม่ไกล
 
สิ้นสุดการก้าวของวันนี้ที่ 30,000 ก้าว
 




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2567
0 comments
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2567 16:43:24 น.
Counter : 306 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณnewyorknurse, คุณSweet_pills

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

space

Poonchayapich-N
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Welcome to My Home...L'Amour De Ma Vie

space
space
[Add Poonchayapich-N's blog to your web]
space
space
space
space
space