-'@'-Journey Of Love-'@'- เมื่อหัวใจเดินทาง
space
space
space
 
พฤศจิกายน 2567
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
18 พฤศจิกายน 2567
space
space
space

ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (11)

ไปไหนก็ได้ขอแค่ให้มีรถสาธารณะไปถึง (5)
 
โปรแกรมวันนี้จะไปเที่ยวนารา จองตั๋วรถไฟ Kintetsu ขบวน Vista รอบ 08.55 น. เนื่องจากความผิดพลาดในการเดินทางเมื่อวาน วันนี้เลยตั้งเวลาออก 07.30 น. ห้ามสายเด็ดขาด!!!
 
เหมือนเดิมออกมารอรถบัสไปสถานีรถไฟเกือบ 15 นาที ถ้าเป็นวันทำงานรถบัสจะมาถี่ วันหยุดรถน้อย ตอนขึ้นรถบัสเมื่อวานก็ลืมจดเวลาที่ป้ายมา เพิ่งจะเริ่มฉลาดก็ตอนที่มานั่งจ้องป้ายอีกรอบนี่ละ ป้ายรถบัสที่นี่จะมีหมายเลขแล้วก็จะบอกว่าคันไหนกำลังจะมา ถ้าขึ้นคำว่า Mamonaku まもなくแปลว่ารถกำลังจะมา แต่กำลังจะถึงอย่างน้อยเกือบ 5 นาที

สังเกตว่าผู้สูงอายุในเกียวโตเวลาลงรถจะไม่ต้องแตะบัตร เหมือนเป็นสวัสดิการของคนในพื้นที่ อันนี้ชอบมาก ถ้าพนักงานจำหน้าได้ไม่ต้องโชว์บัตรเลย เวลาลงรถทั้งคนขับและผู้โดยสารกล่าวขอบคุณให้ความรู้สึกดี อบอุ่น เหมือนเราฝากชีวิตไว้กับเขาแล้วเขานำเรามาถึงปลายทางโดยสวัสดิภาพ ซึ่งวัฒนธรรมการขอบคุณก็เห็นหลายประเทศเวลาใช้บริการรถบัส รถเมล์ หรือ เรือข้ามฟาก แต่ของไทยยังไม่เคยเห็นนะ นั่งเรือข้ามฟาก หรือเรือในคลองแสนแสบก็ต้องภาวนา นั่งรถเมล์ก็ลุ้นตอนลงรถ
 
วันนี้ไม่ต้องรีบวิ่งไปชานชลาไกลเหมือนเมื่อวานละ มีเวลาเดินถ่ายรูปสำรวจอาหารเบนโตะข้างในชานชลา เพราะรถไฟของ Kintetsu อยู่ชานชลา 1 และ 2 ไปถึงที่ออฟฟิศของ Kintetsu เอาใบเสร็จค่าตั๋วมาสอบถามการแลกตั๋วอีกที สรุปคือ ต้องใช้บัตร IC หรือ JR Pass ผ่านเกทเข้าไปก่อน แล้วไปขึ้นรถไฟ และที่นั่งตามเวลาที่ระบุ จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจอีกรอบบนรถ

มีเป็นกระดาษไว้ อุ่นใจค่ะ อันนี้เป็นค่าธรรมเนียมขึ้นรถด่วนพิเศษเท่านั้น
จะมีส่งอีเมล์มาให้เป็น Results of Limited Express ticket purchase อันนี้จดใส่หน้าใบเสร็จรับเงินเอาไว้ เดี๋ยวนั่งผิดที่
Departure:Kyoto(B01)
Departure time:08:55
Bound for:To Kintetsu-Nara
Train nickname:Ltd.Exp.Vistacar
Train No.:3807
Car No.:3
Seat No.:15A,15B
Seat type:Upstairs
Arrival:Kintetsu-Nara(A28)
Arrival time:09:32

ตอนแรกลืมไปว่ามีตั๋ว Kansai-Hiroshima Pass อยู่ ดันเอาบัตร IC ไปแตะตัดเงิน โดนไป 760 เยน ตอนผ่านเข้าไปแล้วพึ่งนึกออก อ้าวจ่ายค่าโง่อีกแล้ว....
 
วันนี้ถึงชานชลารอขึ้นรถไฟก่อนเวลา เกือบ 15 นาที ไม่มีไรทำมองซ้ายขวาเห็นตู้ขายน้ำส้มคั้นสดๆ ราคาแก้วละ 600 เยน ยืนจิ้มๆ แตะๆ ทำไมเอาบัตรแตะแล้วไม่เห็นได้ ความต้องการเอาชนะมันต้องได้ ยืนอ่านขั้นตอนอยู่นานกว่าจะฉลาด (ภาคภูมิใจมาก) หันมองรอบข้างมีใครรอต่อคิวซื้อไหม เริ่มใหม่ เลือกประเภทบัตรที่จะจ่าย (หน้าจอที่เลือกบัตรมันจะตัวเล็กๆ แตะบัตร แล้วเครื่องก็ทำงาน ง่ายๆ แค่นั้น ก็ได้รสชาติสดชื่นของน้ำส้มเพิ่มความฉลาดมา 1 แก้ว

ยืนรอรถไฟขบวน Vista สีเหลือง จากตอนแรกที่มีไม่กี่คนจนใกล้จะได้เวลารถไฟมา กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียบ ขบวนรถไฟเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นที่นั่งแบบ Family ชั้นบนก็จะเป็นที่นั่ง 2-2 ตามปกติ ขบวนที่จะไปนารา Limited Express "Vista Car" ใช้เวลา 35 นาที (ถ้าเป็นรถไฟ JR จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง) ลงที่สถานี Kintetsu Nara (คนละสถานีกับ JR Nara) ตอนที่นั่งบนรถก็จะมีเจ้าหน้าที่มาเดินตรวจแบบดูที่นั่งตรงกับจำนวนในจอไหมแค่นั้น ไม่ได้สอบถามโชว์ตั๋ว ยกเว้นนั่งผิดที่ก็จะขอดูใบจองแล้วก็ย้ายตู้ไปแค่นั้น
 
ถึงเมืองนาราประมาณ 9.30 น. ก็เริ่มสำรวจจุดแรกก่อน “ห้องน้ำ” แค่เห็นป้ายห้องน้ำก็อยากเข้าไปสำรวจแล้ว เดินออกมาทางประตูตะวันออกด้านหน้าของสถานี Kintetsu จะมี น้ำพุและรูปปั้นของ เกียวคิ Gyoki พระภิกษุที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 668–749 และมีชื่อเสียงจากผลงานสาธารณะและในฐานะผู้ทำแผนที่คนแรกของญี่ปุ่น เดินข้ามถนนมาที่จุดจอดรถบัส หมายเลข 3 มีผ้าใบเขียนบอกชัดเจนว่า จุดจอดนี้จะไปที่ไหน มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกที่ป้ายรถเมล์ด้วย สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยว มีการบริหารจัดการเกี่ยวกับระบบขนส่งสาธารณะทำให้ง่ายต่อการเดินทางมาก จุดจอดรถตรงนี้จะเป็น Nara Kotsu Bus ค่ารถบัสตลอดสาย 100 เยน จากสถานีรถไฟถึงวัดโทไดจิ 5 ป้าย และรถบัสเข้าไปในลานจอดของวัดโทไดจิไม่ต้องกลัวหลง ถึงที่หมายแน่นอน บนถนนในเมืองนาราจะไม่สามารถขับรถเร็วได้ เพราะเจ้าถิ่นจะเดินข้าม คนขับต้องให้เกียรติเจ้าถิ่นก่อน ไม่บีบแตรไล่ ไม่โวยวาย อดทนจนกว่าจะเดินพ้นถนนขึ้นทางเท้าไปแล้วถึงจะออกรถได้ นักท่องเที่ยวก็สนุกลุ้นไปกับการข้ามถนนของกวางด้วย ถึงแม้บางครั้งต้องจอดรอนานไปนิด เดินพ้นลานจอดกลิ่นธรรมชาติก็ลอยมาทันที แต่ไม่รุนแรง มีเจ้าหน้าที่คอยเก็บกวาดทำความสะอาด เจ้าบ้านรอต้อนรับเต็มไปหมด ก็เดินๆ สวัสดี ฮาโหล คำนับ ฮาโหล คำนับ ตลอดทาง ระยะทางจากที่จอดรถไปถึงประตูวัดไม่ไกลมาก แต่เสียเวลาทักทายเจ้าบ้านนานเกินไปหน่อย

ค่าตั๋วเข้าชมหลังจากเดือน เม.ย. 2024 ก็เป็นราคา
1. วัดโทไดจิ 800 เยน
2. วัดโทไดจิ+พิพิธภัณฑ์โทไดจิ 1200 เยน (จำได้ว่าตอนมาเมื่อ 10 กว่าปีก่อนค่าตั๋วยังเป็น 500 เยน แล้วปรับขึ้นมาเป็น 600 เยน ค่าตั๋ววัด+พิพิธภัณฑ์ 1,000 เยน เองนะ)
 
บนกำแพงในวิหารจะมีรายละเอียดอ่านมาคร่าวก็ประมาณนี้ ใช้วิธีถ่ายรูปแล้วให้มันแปลมาให้อ่าน เที่ยวอย่างมีคุณภาพ.....อ่านแบบ งง งง เพราะมีชื่อของพระพุทธเจ้าในลัทธิมหายานหลายชื่อจากญี่ปุ่น เป็นอังกฤษ จากอังกฤษเป็นไทย แล้วต้องแปลไทยอีกรอบ
 
วัดโทไดจิ เป็นวัดเก่าแก่แห่งเมืองนารา (สมัยก่อนนาราเป็นเมืองหลวงชื่อ เฮโจ Heijo) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 สมัยนาราเป็นเมืองหลวง (ค.ศ. 710 – 794) ปกครองโดยจักรพรรดิโชมุ ในช่วงสมัยที่พระองค์ครองราชย์กว่า 10 ปี มีเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดินไหว โรคระบาด ไข้ทรพิษ การก่อกบฏ พระองค์จึงคิดถึงการนำพุทธศาสนามาเป็นเครื่องเยียวยา และหวังให้เกิดสันติสุข สร้างความศรัทธา และเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้กับประชาชน
 
ประวัติการเริ่มสร้างวัดโทไดจินั้น จักรพรรดิโชมุมีดำริให้สร้างพระไวโรจนะขึ้นในปี 743 แต่เริ่มสร้างจริงในปี 745 ในพื้นที่ของวัดคินโช Kinshoji เป็นรูปหล่อสำริดขนาดใหญ่ ใช้เวลาในการสร้างกว่า 3 ปี แล้วเสร็จในปี 749 ส่วนวิหารสร้างเสร็จในปี 751 และทำพิธีเฉลิมฉลองปี 752 โดยได้รับความศรัทธาร่วมมือช่วยก่อสร้าง และเงินบริจาคจากประชาชนมากกว่า 2.6 ล้านคน บันทึกว่าในพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปองค์ใหม่นี้ มีประชาชนเข้าร่วมงานถึง 10,000 คน เรียกชื่อวัดโทไดจิ  (โท = ตะวันออก / ได = ใหญ่ / จิ = วัด รวมเป็น วัดใหญ่แห่งตะวันออก) และเรียกพระไวโรจนะ เป็นไดบุตซึ มีความสูงถึง 15 เมตร และมีน้ำหนักถึง 500 ตัน ส่วนองค์สีทองที่มีขนาดย่อมลงมาอยู่ด้านซ้ายมือ คือ พระโพธิสัตว์กวนอิม

ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี ก็มีการซ่อมเสริมสร้างปรับปรุงมาตลอด โดยเฉพาะการผ่านจากยุคนารา เฮอัน…..จนถึงเอโดะ สงครามและภัยธรรมชาติทำให้วัดนี้เสื่อมโทรมลง จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 17 จึงได้มีการบูรณะแต่ด้วยงบประมาณด้านการเงิน ทำให้การบูรณะองค์พระพุทธรูป และตัววิหารทำได้เพียง ลดขนาดลง 40% จากของเดิม ความยาวของอาคารดั้งเดิมอยู่ที่ 88 เมตร แต่ในปัจจุบันมีความยาวอยูที่ 57 เมตร แต่ยังคงเป็นอาคารโครงสร้างไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเช่นเดิม ส่วนตัววิหารในปัจจุบันมีการบูรณะครั้งใหญ่ในปี 1973 และฉลองการสร้างเสร็จในปี 1980
 
มีโมเดลของวัดโทไดจิอยู่ด้านหลังองค์พระ ในแต่ละสมัย ตั้งแต่เริ่มสร้างครั้งแรกอ้างอิงจากเอกสารเก่าที่เรียกว่า โทไดจิ โยโรคุ Todaiji Yoroku หลังถัดมาจะเป็นการบูรณะเมื่อ 800 ปีก่อน สุดท้ายจะเป็นการบูรณะเมื่อ 300 ปีก่อน ขนาดของวิหารก็จะเล็กลงเรื่อยๆ อาศัยตาดูกับอ่านรายละเอียดนิดหน่อย ถ่ายรูปลำบาก


เดินวนภายในวิหารจนเจอเสาไม้อยู่เสาหนึ่ง มีช่องอยู่ที่ด้านล่างของเสา มีคนรอต่อคิวยาวเพื่อจะลอดเสานี้ ซึ่งเสานี้จะมีรูที่ฐานมีขนาดเท่ากันกับรูจมูกของพระพุทธรูป เล่ากันมาว่าถ้าผ่านช่องเล็กนี้ได้จะมีแต่ความโชคดีสมความปรารถนา คนอื่นเค้าต่อคิวลอดเสา เราจ่ายตังค์ซื้อพวงกุญแจกลับก็น่าจะโชคดีเหมือนกันเนอะ
 
สำหรับสายสะสมตราประทับ นอกจาก Eki Stamp ที่หาได้จากสถานีรถไฟแล้ว ยังมีตราประทับของแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ และที่เป็นเอกลักษณ์แบบต้องมาถึงที่เท่านั้นคือ “โกะชูอิน” Goshuin ตราประทับสีแดงกับการเขียนหมึกด้วยพู่กันที่จะระบุชื่อวัด โดยเฉพาะวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวดังๆ ถ้าใครอยากจะได้ก็แนะนำให้ซื้อ สมุดพับราคาประมาณ 1500 เยน ถ้าเอาแบบมีความขลังก็ซื้อในวัดได้ แต่ถ้าอยากได้ลวดลายสวยงามก็ไปหาซื้อตามร้านขายเครื่องเขียน แต่คิวรอยาวมาก ถ้ามาเที่ยวเองแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา อันนี้ตอนคิวยาวก็ไม่หวั่น แต่เจอแดดร้อนละลายก็ไม่ไหว
 
ญี่ปุ่นรับพุทธศาสนาเข้ามาช่วงศตวรรษที่ 6 สมัยจักรพรรดิคินเมอิ Kinmei จักรพรรดิองค์ที่ 29 ผ่านทางอาณาจักรแพ็กเจ (ปัจจุบันคือเกาหลีใต้) ตามบันทึกของหนังสือประวัติศาสตร์โบราณ “นิฮงโชกิ” แต่ตามข้อเท็จจริง พุทธศาสนาคงจะได้มาถึงญี่ปุ่นก่อนหน้านั้นแล้ว ช่วงแรกก็มีการต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะชนชั้นขุนนางเสนาบดีศาสนพิธีในลัทธิชินโต คัดค้านอ้างถึงว่า พระจักรพรรดิญี่ปุ่นได้ทรงบูชาเทพเจ้าประจำชาติมาแต่บรรพกาล หากมีสิ่งผิดแปลกเข้ามาในบ้านเมือง ก็จักก่อความพิโรธแก่เทพเจ้าประจำชาติที่ทรงพิทักษ์รักษาบ้านเมือง จักรพรรดิคินเมอิเลยตัดสินใจให้ใช้วิธีการสักการะเป็นการส่วนตัวแทน
 
จักรพรรดิองค์ต่อมา คือ บิดัสสุ พระราชโอรสของจักรพรรดิคินเมอิ ก็ไม่ได้ใส่ใจในพระพุทธศาสนา เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว พระจักรพรรดิโยเมอิ ซึ่งเป็นพระอนุชา ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงประกาศความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ไม่นานก็ประชวรหนัก ก็ไปนิมนต์พระมาสวด ต่อมาประชวรหนักกว่าเดิม เลยคิดจะสร้างพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าทางการแพทย์ ในลัทธิมหายาน แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สวรรคตก่อน พระเจ้าซุซุน ขึ้นครองราชย์ต่อได้เพียง 5 ปี ก็ถูกปลงพระชนม์ จึงได้เชิญเจ้าหญิงสุยโกะ ซึ่งเป็นมเหสีของจักรพรรดิบิดัสสุ เป็นน้องสาวของพระเจ้าโยเมอิ และเป็นลูกสาวของจักรพรรดิคินเมอิ (สรุปว่าแต่งกันเองในครอบครัว) ขึ้นมาเป็นจักรพรรดินีพระองค์แรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
องค์ที่ 29 จักรพรรดิคินเมอิ 509 – 571 ขึ้นครองราชย์ 539 ตอนอายุ 30 ปี
องค์ที่ 30 จักรพรรดิบิดัสสุ 538 – 585 ขึ้นครองราชย์ 572 ตอนอายุ 34 ปี
องค์ที่ 31 จักรพรรดิโยเมอิ 540 – 587 ขึ้นครองราชย์ 585 ตอนอายุ 45 ปี
องค์ที่ 32 จักรพรรดิสุชุน 520 – 592 ขึ้นครองราชย์ 587 ตอนอายุ 67 ปี
องค์ที่ 33 จักรพรรดินีสุยโกะ 554 – 628 ขึ้นครองราชย์ 593 ตอนอายุ 39 ปี
ในช่วงเวลา 60 ปี (539 - 593) มีจักรพรรดิถึง 5 พระองค์
 
การเรียกยุคสมัยญี่ปุ่น ถ้านับตามตำราจะเริ่มตั้งแต่วัฒนธรรมโจมน 1 หมื่นปีที่แล้ว แต่ถ้าเอาแบบมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เริ่มจาก
นารา (710) >> เฮอัน-เกียวโต (794) >> คามาคุระ (1192) >> มุโรมาจิ-เกียวโต (1338) >> อาซึจิ โมโมยามะ (1575) >> เอโดะ-โตเกียว (1603) >> เมจิ (1868) >> ไทโช (1912) >> โชวะ (1926) >> เฮเซอิ (1989) >> เรวะ (2019-ปัจจุบัน)

สมัยตอนเรียนประถมก็เริ่มจำชื่อของจักรพรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงเมจิมาละ อาศัยตอนสอบอะไรที่ลงท้ายด้วย โตะ เลือกข้อนั้นไว้ก่อน
เมจิ = Matsuhito
ไทโช = Yoshihito
โชวะ = Hirohito
เฮเซอิ = Akihito
เรวะ = Naruhito
 
นอกจากวัดโทไดจิ ยังมีวัดที่มีความสำคัญอีก 2 แห่ง อยู่ซ้าย Kadai-do และขวา Hokke-Do โดยเฉพาะฝั่ง Hokke-Do (วิหารดอกบัว) หรือเรียกว่า Sangatsu-Do แปลว่าวิหารเดือนสาม ตรงตามชื่อเลย จะมีจัดพิธีสำคัญในเดือนสาม หรือ มีนาคม เรียกว่า การสวดพระสูตรบัวขาว หรือ สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าเทศนาในช่วง 8 ปีสุดท้ายก่อนปรินิพพาน ถ้าเอยถึงบทสวด “นัม เมียวโฮ เร็งเง เคียว” บางคนอาจจะ “อ๋อ..นึกออกละ” ว่ากันว่าการสวดนี้ช่วยเสริมสร้างสมาธิ บุญบารมี แล้วชีวิตจะดีขึ้น
 
แต่ถ้าจะเดินครบทุกจุดต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมงเพราะเป็นพื้นที่เข้าไปในภูเขา มีวิหารที่สำคัญและสวนสวยอีกหลายจุด ต้องกลับมาแก้แค้น
 
หลังจากออกจากวัดโทไดจิ ก็ย้อนกลับมาที่ลานจอดรถบัส จะมีหมายเลขกำกับแต่ละคันว่าจะไปทางไหนบ้าง ใกล้ทางขึ้นรถบัสเดินต่อไปอีกนิดหน่อยจะมีทางเลี้ยวซ้ายเข้าไปลานพลาซ่าร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ห้องน้ำ เดินทะลุออกไปถึงสวนกวางได้
 
นั่งรถบัสกลับมาที่สถานี JR Nara รอบนี้ฉลาดไม่เผลอใช้บัตร IC แล้ว เพื่อจะได้ไปวัดฟูชิมิอินาริไทชา Fushimi Inari Taisha 伏見稲荷大社 ลงที่สถานีอินาริ เดินข้ามถนนนิดเดียวก็ถึงวัดแล้ว
 
วัดนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมานาน เรียกว่ามาเกียวโตต้องไปวัดฟูชิมิด้วย อันที่จริงวัดที่มีเสาโทริอิเรียงรายมีหลายแห่ง เช่น ศาลเจ้าเนซุ Nezu Shrine ในโตเกียว ถ้าไปช่วงเมษายน นอกจากจะได้ชมดอกซากุระแล้ว ยังได้เห็นสวนดอกอะซาเลียด้วย นั่งรถไฟสาย Chiyoda ลงที่สถานี Nezu แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย ใกล้มหาวิทยาลัยโตเกียว  ถ้าขี้เกียจเดินก็นั่งรถเมล์ต่อ 2 ป้ายถึง อีกแห่งคือ ศาลเจ้าฮิเอะ อยู่ที่โตเกียวเหมือนกัน นั่งรถไฟสายกินซ่า ลงที่สถานี Akasaka-Mitsuke Station ศาลเจ้าฮิเอะมีชื่อเสียงในเรื่องการหาคู่ครอง ตั้งครรภ์ คลอดบุตร แหล่งรวมสายมูของสตรีทั้งหลาย ออกจากศาลเจ้าแล้วมาเดินเล่นย่าน Akasaka ในธีมแฮรี่ พอตเตอร์ได้อีกด้วย หากใครที่ยังไม่มีโอกาสมาเที่ยวเกียวโต แต่อยากได้บรรยากาศแบบเสาแดงเรียงรายก็ลองไปดูได้ในโตเกียว
 
สำหรับศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ความสำคัญหลักคือ สถานที่ทำพิธีกรรมในเรื่องของการเกษตร เทพอินาริเป็นเทพเจ้าที่เกี่ยวกับข้าว และมีสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้ส่งสาร ดังนั้นตอนที่เดินขึ้นไปด้านบน จะมีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกคาบรวงข้าวเอาไว้
นอกจากนี้ฟุชิมิอินาริเป็นศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดในบรรดาศาลเจ้าหลายพันแห่งที่อุทิศให้กับเทพอินาริ ส่วนเสาโทริอิใหญ่ยักษ์เป็นโชกุนโทโยโทมิ ฮิเดโยชิเป็นผู้บริจาคในปี 1589 เรียกว่าประตูโรมง Romon ด้านหลังของเป็นวิหารหลัก เรียกว่า ฮงเดง Honden ขึ้นไปด้านบนก็จะมีกล่องบริจาคเงิน หลังหยอดเหรียญก็ไหว้ทำความเคารพแบบชินโต ขั้นตอนคือ
1. โยนเหรียญใส่กล่อง คนญี่ปุ่นจะเชื่อเรื่องการทำบุญด้วยเหรียญห้าเยน เรียกว่า โกะเอง ซึ่งเป็นคำพ้องเสียงกับคำว่า โชคชะตา และโอกาศ ชาวญี่ปุ่นหลายคนเชื่อว่าการใช้เหรียญ 5 เยนในการสวดมนต์ที่ศาลเจ้าและวัดจะช่วยให้พวกเขาเชื่อมโยงกับเทพเจ้าและมีโชคลาภ
2. สั่นกระดิ่ง แกร๊งๆ เรียกเทพเจ้าให้รู้ว่าข้าพเจ้ามาเคารพท่านแล้วนะ
3. คำนับ 2 ครั้ง ทำมุม 45 องศา มือสองข้างแนบไว้กับลำตัว
4. ปรบมือ 2 ครั้ง (เท่านั้น) ทำเสียงดังๆ หลังจากตบมือครั้งที่สอง ก็ประสานมือทั้งสองไว้ที่หน้าอกค้างไว้ แล้วอธิษฐานขอพร หลังจากอธิษฐานขอพรแล้ว ให้โค้งคำนับเป็นครั้งสุดท้าย

หลังจากทำบุญเป็นที่เรียบร้อยก็จะเดินอ้อมไปด้านหลังวิหาร จะเป็นจุดเริ่มต้นการเดินวัดสังขาร ผ่านเสาสีแดงไปเรื่อยๆ จนถึงยอดเขา ซึ่งเสาโทริอิที่เรียงรายนี้เรียกว่า เซนบง Senbon (Sen = 1000 / Bon = เสา เป็นคำเรียกลักษณะนามของสิ่งของที่เป็นแท่งๆ) ว่ากันว่าถ้าอยากบริจาคแล้วมีชื่อบนเสา สามารถเริ่มต้นได้ที่ประมาณ 400,000 เยน สำหรับเสาต้นเล็ก และหลักล้านเยนใส่ชื่อได้ทั้งตระกูล
 
จากทางเข้าจนถึงยอดเขา จะใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง ระหว่างทางมีร้านอาหาร และห้องน้ำบริการ แต่แค่จุดห้องน้ำแรกก็เริ่มแฮ่กแล้ว พยายามลากสังขารไปจนถึงศาลเจ้า Kumataka-sha นั่งหมดสภาพดมยา ได้ถ่ายรูปสระน้ำเช็คอินว่ามาถึงจุดนี้จริงๆ แล้ว พอใจละกลับได้ จากสนใจข้อมูล ตอนนี้อยากได้สปานวดเท้า นวดขามาก ส่วนการบูชาเทพเจ้ากันริกิคงต้องยกยอดไว้คราวหน้า


ด้านบนก่อนถึงยอดเขามีศาลเจ้า Ganrikisan ที่มีความเชื่อว่าหากใครได้ไปบูชาเทพเจ้ากันริกิที่ศาลเจ้านี้ ท่านจะประทานพร โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพตา คนที่เพิ่งผ่าตัดตา สายตาย่ำแย่ ต้อกระจก ต้อหิน เยื่อบุตาอักเสบ การสูญเสียการมองเห็น เมื่อขึ้นไปบูชาแล้วสายตาจะกลับมาดีขึ้น ใครที่ทำธุรกิจประสบปัญหาก็จะฟื้นฟูกลับมาได้ อยากเลื่อนตำแหน่ง สอบเข้า หรือค้าขายก็จะมาบูชาที่นี่

ย้อนกลับมานั่งรถไฟกลับสถานีเกียวโต แล้วต่อรถบัสกลับเข้าที่พัก เริ่มเป็นงานละ รู้แล้วว่าต้องขึ้นรถบัสเบอร์อะไรถึงจะไม่อ้อมไกล หรือผ่านหน้าบ้านฝั่งไหน แวะเข้า Fresco หาซื้อเสบียงกลับไปทานเป็นมื้อค่ำ ช่วงนี้องุ่นมัสคัตที่ไทยกำลังบูม เลยจัดไปเบาๆ ทั้งม่วง ทั้งเขียว เอาให้คุ้ม แล้วเลือกพาสต้าแช่แข็งเป็นอาหารเย็น ราคาประหยัด ได้เยอะ แถมอร่อยด้วย ไม่รู้ว่าเพราะหิวจัดหรือเปล่า ที่ห้องพักมีไมโครเวฟ จานชามเซรามิก สะดวกสุดๆ

สิ้นสุดการเดินวันนี้ที่ 20,000 ก้าว
 




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2567
1 comments
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2567 17:01:50 น.
Counter : 331 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณดอยสะเก็ด

 

อ่านยาก ใช้หมึกสีชมพู พื้นขาว เลยถอยดีกว่า

 

โดย: วิทเตอร์ บอสตัน IP: 171.97.100.50 19 พฤศจิกายน 2567 17:43:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

space

Poonchayapich-N
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Welcome to My Home...L'Amour De Ma Vie

space
space
[Add Poonchayapich-N's blog to your web]
space
space
space
space
space