++กว่าจะมาเป็นหนังสือเล่มแรก…จาก blog ไปสู่ book++
ปี 2004 เป็นปีที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่า ฉันมีฝันอยากจะมีหนังสือกับเค้าซักเล่ม แต่ฉันก็คงเป็นเหมือนหลายๆคนที่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เมื่อไหร่ดี
ฉันเที่ยวบอกใครต่อใครว่าฉันรู้แล้วว่าเป้าหมายในชีวิตชองฉันก็คือ “ฉันอยากจะมีหนังสือซักเล่ม” โดยที่ฉันมักจะมีวงเล็บไว้หลังเป้าหมายนี้เสมอว่า “ภายในสิบปี” เพราะฉันเป็นคนที่เกลียดการผูกมัดตัวเองเพื่อจะทำอะไรจริงๆจังๆสักอย่าง
ถึงแม้ฉันจะเป็นคนชอบขีดๆเขียนๆ ชอบเก็บสิ่งเล็กๆน้อยๆมาปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราวนั่นนี่ และฉันก็มีเวลาว่างมากมาย แต่่ฉันกลับปล่อยให้เข็มนาฬิกาหมุนไปโดยเปล่าประโยชน์ เฝ้ารอ “แรงบันดาลใจ” ที่จะมาผลักดันให้ฝันฉันเป็นจริง จนในที่สุดชีวิตของฉันก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย จนฉันคิดว่าความฝันที่จะมีหนังสือสักเล่มของฉันมันคงล่องลอยไปไกลแสนไกลซะแล้วล่ะ
ในขณะนั้น ฉันเปลี่ยนแปลงเป็นคุณแม่มือใหม่ที่วุ่นวายกับการเลี้ยงลูกวัย 5 เดือน ตลอด 24 ชั่วโมง ลูกเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจที่สร้างเค้าออกมาให้ดีและมีความสุขที่สุด ฉันตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่แล้วว่าฉันจะไม่ขอทำงานจริงๆจังๆจนกว่าลูกจะเข้าโรงเรียนแต่ลึกๆฉันก็ยังคิดถึงและอดเป็นห่วงว่า กว่าจะถึงเวลานั้น ฉันยังคงจะทำความฝันของฉันให้มันเป็นจริงได้หรือไม่…
จู่ๆ คืนนึงในเดือนสิงหาคม 2006 ฉันก็ลุกขึ้นมาปฎิวัติตัวเองอย่างกระทันหัน หลังจากได้อ่านเรื่องทอปฮิตประจำพันทิป “เรื่องจริงผ่านจอคอม” ของคุณแอร์กี่ ฉันต้องขอบอกแบบไม่อยากอกตัญญูว่าเธอเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันฝ่าความเหนื่อยล้าให้แต่ละวัน มาเริ่มต้นทำความฝันให้มันเป็นจริงซะทีดีกว่า
“ทัวร์แม่ลูกอ่อน” คือบันทึกการเดินทางของฉันในบลอกแกงค์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความตั้งใจและคาดหวังว่าวันนึงฉันอยากจะให้มันกลายเป็นหนังสือขึ้นมา
การเขียนเรื่องลงบลอก เป็นวิธีนึงที่ช่วยกระตุ้นให้ฉันจัดระเบียบตัวเองให้ตั้งหน้าตั้งตาเขียนบันทึกนี้ สัปดาห์ละ 2 วัน การได้คอมเมนต์จากเพื่อนร่วมบลอกเป็นกำลังใจนึงว่าเรื่องของเรายังมีคนอ่านและสิ่งสำคัญก็คือ บางครั้งในคอมเมนต์ต่างๆ ก็ทำให้ฉันได้มองเห็นจุดบอดในการสื่อสารของฉัน และนั่นก็ทำให้ฉันนำมาปรับปรุงเรื่องของฉันในครั้งต่อๆไป
เมื่อถึงเวลาอันสมควรฉันรวบรวมเรื่องที่ฉันเขียนและเรียบเรียงใหม่ให้หน้าตาของมันดูเหมาะจะเป็น “หนังสือ” มากขึ้น โดยสิ่งที่ฉันจะนึกไว้เสมอก็คือ ทำยังไงให้คนเค้ายอมจ่ายตังค์เพื่อมาอ่านหนังสือเล่มนี้ ถึงแม้การเขียนเรื่องลงบลอกของฉันจะค่อนข้างลวกๆ ขาดๆเกินๆ แต่มันก็เป็นเหมือน first draft ที่มีไอเดียสดๆ ให้เรานำมาการกลั่นกรองได้ในภายหลัง
ก่อนจะลงมือส่ง ฉันโชคดีที่ไปเจอ Guideline ดีๆที่แนะนำเกี่ยวกับการส่งต้นฉบับซึ่งหลังจากลองทำตามแล้ว ฉันว่ามันก็ได้ผลดีทีเดียว
การโทรไปคุยกับสำนักพิมพ์ที่เราสนใจก่อนส่งงาน นับว่าเป็นวิธีที่ดี เพราะแต่ละสนพ.ก็มีเงื่อนไขในการรับงานแตกต่างกัน
ฉันลองส่งต้นฉบัับของฉันไปที่เดียวในครั้งแรก สนพ.นี้เป็นสนพ.ในเครือยักษ์ใหญ่ของวงการหนังสือบ้านเรา เมื่อครบ 1 เดือน ฉันก็โทรไปสอบถามผล ซึ่งคำตอบไม่ได้ออกมาเป็น YES หรือ NO แต่กลับเป็นคำแนะนำดีๆที่ทำให้ฉันได้คิด
บก.ท่านนั้นถามฉันว่า “คุณตั้งใจให้หนังสือออกมาเป็นแนวไหน ท่องเที่ยว หรือว่า parenting” ฉันก็ตอบไปตรงๆว่า ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหนังสือเล่่มนี้ควรออกมาเป็นแนวไหนดี บก.ท่านนั้นก็แนะนำฉันว่า ฉันควรจะทำมันออกมาเป็นแนวท่องเที่ยวดีกว่า โดยหาข้อมูลเพิ่มเติมใส่ลงไป เพราะการเล่าเรื่องของฉันนั้นมันใช้ได้แล้ว และในแง่การตลาด หนังสือแนวท่องเที่ยวสามารถขายได้ง่าย เป็นที่สนใจสำหรับคนอ่านทั่วไป
ส่วนแนว parenting นั้น ท่านก็แนะนำว่ามันอาจจะขายยากไปซักหน่อย เพราะในตลาด parenting บ้านเรา คนอ่านยังยึดถือกับผู้เขียนที่มีอาชีพในวงการแพทย์ หรือนักวิชาการซะมากกว่า และสนพ.นี้ก็ไม่ได้เน้นแนว parenting เพราะในบ้านเรา สนพ. รักลูก ถือว่าเป็นผู้ครองตลาดในส่วนนี้
ก่อนจะวางหูบก.ท่านนี้ก็บอกทิ้งท้ายอีกว่า “อย่าลืมไปเพิ่มเติมแล้วส่งมาใหม่นะ ถ้าคราวหน้าอยากเขียนเรื่องอะไร จะลองโทรมาคุยกันก่อนก็ได้ค่ะ จะแนะนำให้” ฉันรู้สึกขอบคุณบก.ท่านนี้มาก แต่ฉันก็รู้สึกงงๆอย่างบอกไม่ถูก
อารมณ์ฉันตอนนั้นมันก็ประมาณว่า “อิ่มตัว” กับต้นฉบับนี้แล้ว ฉันใช้เวลาทั้งหมด 9 เดือนในการเขียนต้นฉบับนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยช่วงเวลาที่ลูกหลับวันละ 2 ขั่วโมงรวบรวมเรียบเรียงให้มันออกมาเป็นต้นฉบับที่สมบูรณ์ และใช้เวลาอีก 1 เดือนในการรอคอยคำตอบจากสนพ.
การที่จะได้มีหนังสืออยู่เครือยักษ์ใหญ่มันก็คงจะเท่ดีอยู่ การแก้ไขอย่างที่ว่าทำได้ไม่ยากนัก แต่ฉันก็ถามตัวเองว่า สิิ่งที่ฉันต้องการคือ “การที่จะได้มีหนังสือซักเล่ม” หรือ “การได้ถ่ายทอดในสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ”
ฉันใช้เวลาเกือบๆเดือนเพื่อค้นหาคำตอบ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้างทั้งบวกและลบ แต่ที่สุด เมื่อฉันได้คำตอบแล้ว ฉันก็ขอลงมือ “เสี่ยงดวง” กันอีกซักตั้ง
ฉันโทรหาสนพ.รักลูก และพูดคุยกับบ.ก. ถึงแนวต้นฉบับที่ฉันมีอยู่ ฉันก็ออกจะกล้าๆกลัวๆกับการปฎิเสธแบบทันควัน เพราะในความคิดของฉัน หนังสือของสนพ.นี้จะเป็นแนว How To ใช้ง่ายๆ และมักจะเขียนโดยแพทย์ หรือ นักวิชาการเป็นส่วนใหญ่ แต่คำตอบที่ได้ก็คือ “คุณแม่ลองส่งมาก่อนค่ะ”
ฉันหายไปเกือบๆเดือน แหะๆ ฉันก็มีอาการปอดๆกับเค้าเหมือนกัน ในที่สุดฉันก็ลองอีเมลส่งต้นฉบับไปที่นี่ และ…อีกสนพ.นึงอีกด้วย
สนพ.อีกแห่ง เป็นสนพ.ที่มี น.ส.พ.เป็นของตัวเอง และรับหนังสือหลายแนว ก่อนจะส่งต้นฉบับไป ฉันก็ได้สอบถามรายละเอียดของเงื่อนไขการส่ง อะไรๆก็ได้หมด ยกเว้นแต่ว่า ทางส.น.พ บอกว่า “ถ้ามีหนังสือที่พิมพ์มาแล้ว ให้บอกชื่อมาด้วย” แต่ฉันก็ยังดื้อส่งไปเท่าที่มีอยู่ดี ฉันได้รับอีเมลตอบกลับจากสนพ.แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ใจความก็มีอยู่ว่า
“ไม่ทราบว่าคุณเคยเขียนหนังสือวางขายบ้างหรือไม่ครับ หรือเป็นคอลัมนิสต์ที่ไหนมาบ้าง ผมจะนำไปประกอบการพิจารณาต้นฉบับน่ะครับ ขอบคุณมากครับ”
จบข่าว
ฉันเริ่มท้อๆกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำไป ถ้าไม่มีเล่มแรกแล้วฉันจะสามารถเป็นคนที่เรียกว่า “มีประสบการณ์ มีผลงาน” กับเค้าได้ยังไง
เวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ วันที่ 9 ม.ค. 2008 ฉันก็ได้รับอีเมลที่ทำให้ฉันดีใจมาก อย่างไม่คิดไม่ฝัน
สวัสดีค่ะคุณจุฑามาศ
ไม่ทราบรอไหวหรือเปล่า แต่ยังไงก็มีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบค่ะ "ทัวร์แม่ลูกอ่อน" ผ่านการพิจารณาจากบกบห.แล้วนะคะ ไฟเขียวตลอด และก็ผ่านวงคัดสรรแล้วในระดับหนึ่ง คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โดยทางสำนักพิมพ์วางแผนไว้ว่าจะพิมพ์ต้นฉบับเรื่องนี้ให้ออกมาทันเดือนสิงหาคม ปีนี้
ทีนี้พอวางแผนว่าจะพิมพ์ ก็คงต้องขอเวลาอ่านต้นฉบับให้ละเอียดอีก (ที่เราอ่านรอบแรกไปนั้นก็เพื่อสกรีนเรื่องว่าใช้ได้ไหม สมควรจะพิมพ์ไหม) จะเรียกว่าเป็นการจับผิดอาจจะดูโหดร้ายไปนิด เอาเป็นว่าเราขออ่านเพื่อดูว่าควรจะเพิ่มเติม หรือปรับเปลี่ยนตรงไหนดีกว่า ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อให้หนังสือที่ "เรา" จะตกร่องปล่องชิ้นผลิตงานนี้ร่วมกัน มีคุณค่าน่าอ่านมากยิ่งๆ ขึ้นค่ะ
ยังไงขอเวลาอ่านอีกหน่อยนะคะ แล้วจะแจ้งกลับคุณจุฑามาศช่วยดำเนินการต่อไป
ยินดีต้อนรับนักเขียนคนใหม่ค่ะ
หลังจากนั้นการปรับเปลี่ยนก็ได้เริ่มขึ้น ฉันไม่ต้องแก้อะไรในบทเก่าๆ เพียงแต่ว่าฉันต้องเขียนเรื่องเพิ่มอีก 3 บทโดยเน้นการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากขึ้น และต้องเลือกบทเก่าๆทิ้งออกไป รวมไปถึงชื่อเรื่อง ที่สนพ.ก็ได้เปลี่ยนให้ตามความเหมาะสม
ในที่สุดต้นฉบับที่ผ่านการ edit อย่างสมบูรณ์จากทางสนพ. ก็คลอดออกมาวันเดียวกับวันที่ฉันคลอดลูกชายคนที่ 2…ไม่น่าเชื่อเลย!
แต่จู่ๆในเดือนถัดมา ในวันเกิดของฉันนั่นเอง ฉันก็ได้รับข่าวที่น่าอึ้งจากทางสนพ.ว่า หลังจากจัดรูปเล่มแล้ว หนังสือมีความหนาถึง 240 หน้า ซึ่งหนาเกินไป จำเป็นต้องตัดออกเพื่อไม่ให้เกิน 200 หน้า บทที่ฉันรักทั้งหมด 4 บทจึงจำเป็นที่ต้องถูกตัดออกไป และความต่อเนื่องของเนื้อเรื่องก็หายไปพร้อมๆกัน
ถึงแม้หนังสือเล่มนี้จะยังไม่สมบูรณ์แบบในแง่การเขียน แต่ฉันก็หวังว่าหนังสือเล่มคงจะเป็นประโยชน์กับคนอ่านไม่มากก็น้อย
สิ่งที่ฉันภูมิใจกับหนังสือเล่มแรก คงไม่ใช่เรื่องของความสามารถ เพราะฉันยังคงต้องอ่านอีกเยอะ เขียนอีกเยอะ เพื่อพัฒนาตัวเอง แต่ฉันภูมิใจกับความพยายาม อดทน มุ่งมั่น ของตัวเองที่ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง
ถ้าใครมีฝันแบบเดียวกับฉัน อย่ารอให้วันเวลาผ่านไปเลยค่ะ ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่ค่อยมีเวลาว่าง ยุ่งมากๆในแต่ละวัน อยากให้คุณคิดถึงฉันคนที่ต้องยุ่งกับการเลี้ยงลูกทั้งวันทั้งคืน ถ้าคุณตั้งใจกับมันจริงๆ คุณก็จะทำได้แน่นอนค่ะ
++Any journey starts from the first step, motivating yourself to take it is the hardest part++
ก่อนไปฉันก็ขอฝากทัวร์ที่โดนตัดไปทั้ง 4 บทไว้ในบลอกนี้นะคะ
+บทที่ 5 + +บทที่ 6 + +บทที่ 11 + +บทที่ 14 +
Create Date : 08 กันยายน 2551 |
|
23 comments |
Last Update : 8 กันยายน 2551 1:36:18 น. |
Counter : 1282 Pageviews. |
|
|
|