ถึงสักที CMI
ช่วงที่นั่งรอต่อเครื่องไป Champaign เกทที่นั่งรอ เล็กกระจิ๊ดมากๆ เพราะเครื่องที่ขึ้นต่อก็เป็นเครื่องลำเล็ก มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นชายชาวญี่ปุ่นประมาณสามคนทีดูเอะอะๆ หน่อย ครึกครื้้นดี นอกนั้นคนอื่นเค้านั่งกันเงียบๆ เราก้อเลยใช้เวลาวางให้เป็นประโยชนื โดยการเอาพี่ภัทร์มาอ่านให้คลายเหงา อิอินั่งได้สักพักก็เริ่มมีประกาศให้ขึ้นเครื่อง ก็ไปต่อคิวขึ้น (ช่วงนี้แอบมีเอ๋อๆ นิดๆ คือมันประกาศอะไรไม่รู้ตั้งหลายอย่าง แต่ก็เก็บอาการเอ๋อเอาไว้ แล้วทำๆ ตามคนอื่นเค้าไป) ช่วงที่เค้าดู Boarding Pass ก็จะมีแจกป้ายของสายการบินให้ไปผูกกับ Carry on เพราะเครื่องมันลำเล้ก ต้องเอาไปไว้ที่ท้องเครื่อง ก็จัดแจงเอามาผูก (ถึงตอนนี้งี่เง่าอีกแล้ว ผูกไม่ได้ แฮ่ๆๆ ก้เลยจะเดินไปถามเค้าว่าไม่ผูกได้มั้ย แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากถาม แบบว่าคิดช้าอ้ะ มันก็บอกให้ผูกๆ ) ก็เลยเอาวะ ลองดูใหม่ แล้วก็เริ่มติ๊งต่อง นึกออกว่าต้องผูกงัย เลยรอดไปอีกหนึ่งด่าน อิอิระหว่างทางที่เดินขึ้นเครื่อง ก็จะมีที่ให้โยนกระเป๋า เราก็จัดแจงโยนๆๆ มันเข้าไป แต่เพื่อความชัวร์ก็หันไปถามคนที่เค้ายืนคุมอีกที พอขึ้นไปบนเครื่องก็จัดแจงหาที่นั่ง แบบว่ามัวแต่ผูกกระเป๋า เลยมาค่นข้างรั้งท้ายแล้วล่ะ ปรากฎว่าที่นั่งเราอยู่ติดกับเด็กญี่ปุ่นคนนึงในกลุ่มเอะอะๆ เมื่อกี้ (ฮาา ตอนนั้นลางสังหรณ์เริ่มมาแระ ่ว่าไอ้พวกนี้อาจจะได้เจอมันเรื่อยๆ อิอิ)ก่อนเครื่องจะขึ้น ก็มีพูดไรไม่รู้เยอะแยะ แต่ที่รู้ๆ มีช่วงนึง แอร์ถามคนที่นังที่ประตูฉุกเฉินให้ศึกษาคู่มือว่า ทำได้มั้ยถ้ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น แล้วไอ้คนที่นั่งตรงนั้น ก็เป็นเด็กญ่่ปุ่น มันก็เลยหัวเราะกันใหญ่เลย แล้วก็บอกว่าไม่ได้ แอร์ก็เลยหาอาสาสมัครคนอื่นมานั่งแทน เปลี่ยนที่กันอ่ะ นั่งรอนานมากกว่าเครื่องจะออก ถึงตอนนี้ก็ใกล้จะเป็นมู๋๋อบแระ อิอิช่วงที่นั่งอยู่ก็มีแจกน้ำให้งวดนึง บินสั้นๆ เราก็ดีใจแบบว่าใกล้ถึงแระ เลยดูเวลาบ่อยไปนิด เลยรู้สึกนานจัง ไม่ถึงสักที พอเครื่องจอดลงปุ๊บ ออกมาถึงก็คว้า Carry on แล้วเดินเข้าตึก แบบว่าเราเดินลงจากบันไดเครื่องบินที่กลางแจ้งเลยเข้ามาข้างในได้นิดนึง ยังไม่ทันไปไหนเลย ก็เจอณัฐมายืนโบกมือๆ รับเรา อูยยยยยย ดีใจมากๆ (แบบว่ายังไม่ได้เอากระเป๋า ยังไม่ได้ลงบันไดเลื่อนเลย) มารับได้ถึงที่จริงๆ ณัฐบอกว่า ณัฐมาถึงพร้อมกับตอนที่เครืองบินแล่นลงจอดพอดี ดีจัง เราเลยไม่ต้องรอแกร่วๆ เสร็จจากนั้น เราสองคนก็เดินลงบันไดเลื่อนไป รอกระเป๋า รอไม่นานเท่าไหร่ แต่หารถเข็นไม่เจอ เลยช่วยกันลากๆ สองคนสามใบ ถึงตอนนี้ คนก็เริ่มหายไปกันหมดแระ แบบว่าพอลากมาได้ก็จัดแจงเรียกแท็กซี่กันไปหมดเลย เหลือแค่เราสองคนพี่น้อง ที่กะนั่ง Bus เพราะว่าเสียแค่เหรียญเดียว (สำหรับเราอ้ะ นศ. นั่งฟรี) แต่ถ้านั่งแท็กซี่นี่ต้องคนละสิบห้าเหรียญ เราเลยประหยัดๆ ไว้กอนดีกว่า ถึงแม้จะเหนื่อยนิดๆ หน่อยๆ (ข้อมูลเหล่านี้ พวกรุ่นพี่เค้าบอกมา) เลยทำตามซ๊าหน่อย นั่งรอรถไปได้สักพัก รถก็มา สองคนช่วยกันยกกระเป๋าขึ้นรถ คนขับนี่หน้าตาแบบถมึงทึงมาก ดูรำคาญเราสุดๆ แบบว่ไอ้คู่นี้ทำรายกันชักช้า ฮาาา คือถ้าคนละใบมันจะยุ่งน้อยกว่านี้นะ นี่มันสอคนแต่มีสามใบอ้ะ พอลากขึ้นมาได้ใบหนึ่งก็ไปช่วยกันยกใบนึง หันกลับมาก็ดันไปชนใบแลกล้ม หูย เปิ่นมากๆ บ้านนอกเข้ากรุงอ้ะ อารมณ์นั้นเลย บนรถค่อนข้างโล่งๆ นะ มีอยูไม่กี่คนเอง เลี้ยวทีนี่ กระเป๋าแทบจะกลิ้งตาม ต้องคอยจับๆ เอาไว้ ช่วงใกล้ๆ จะถึง ณัฐก็ลุกไปถามเค้าอีกที ว่าจะลงตรงไหนได้ พอถึงที่ก็จัดแจงช่วยกันยกกระเป๋าลงจากรถ เหนื่อยๆ แฮะ คนมองกันเต็มเลย ทั้งๆ ที่คนน้อยนะ แต่คือใครเห็นก็มองอ่ะ (ลองคิดตามนะ แบบว่าเห็นคนสองคนถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ กลางสยามจะมองกันมั้ย) พูดให้เว่อร์ไว้ก่อน อิอิ ทีนี้ก็ช่วยกันลากๆ กระเป๋าไปที่ Apartment ที่จริงม่ายไกลเท่าไหร่ แต่วันนั้นดูเหมือนไกลมาก ณัฐรับผิดชอบกระเป๋าสองใบ เดินลากตัวปลิวเลย เหอะๆๆ เราลากแค่ใบเดียวยังเมื่อยแล้วเมื่อยอีก คือใบเดียวของเรามันหนักกว่านะ ของมันสองใบใช้สองมือลาก แต่เราใบใหญ่ๆ ใบเดียวก็ใช้แค่แขนข้างเดียวอ้ะ ลากๆ ได้แป๊บก็ต้องเปลี่ยนข้าง พอถึง Apartment ก็ดิ่งไปที่ห้อง รื้อของเลย ถึงสักที่ที่ซุกหัวนอนอีกสองเดือนกว่าๆ ดีใจจริงๆ
ตอนนี้เก่งขึ้นยัง อิอิ สู้ๆนะ