Group Blog All Blog
|
มะรุมแสนมหัศจรรย์!~ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ณ ตลาดนัดแวถบ้าน คุณแม่ : แม่สงสารเค้า ช่วยเค้าซื้อหน่อยไหม? น้องเบล: น้องเบลว่ามันน่ากลัวยังไงไม่รู้อ่าคะ น้องเบล กับ คุณแม่ ยืนพิจารณาคุณยายที่นั่งขายมะรุมผง มะรุมแคปซูล น้องเบล: เค้าก็น่าสงสารเหมือนกันนะคะ? คุณแม่: แม่ก็ว่างั้นแหละ น้องเบล:งั้นช่วนเค้าซื้อก็ได้ค่ะ น้องเบลก็คิด .. ซื้ออะไรดี?????'' แล้วคุณแม่ก็เอามะรุมจริงๆๆ ส่วนน้องเบลเลือกขมิ้นชันมา น้องเบล :(สรุปคุณแม่ซื้อมาจริงๆ) คุณแม่ไม่กลัวหรอค่ะ? คุณแม่: ไม่กลัวหรอก ที่บ้านแม่ก็ทำไว้แต่ยังไม่ได้ทำเป็นผง น้องเบล: คุณแม่ห้ามกิน! จนกว่าน้องเบลจะไปหาข้อมูลนะคะ กลัวมีมะรุมปลอมอะ เพราะอย่างพวกยาลุกกอน ยังมีสารสเตรอยส์เลย (กินไปไม่ได้ผลแล้วยังนำภัยมาให้ตัวอีก) อีกอย่างเราก็ไม่ได้ช่วยเค้าทำให้จะรู้ว่าจะสะอาดหรือเปล่า.. หาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ '' แล้วปริ๊นให้คุณแม่อ่าน วิธีทำมะรุมอัดเม็ดด้วยตัวเอง ตอนที่ 1 รักษาเอดส์ วิธทำมะรุมอัดเม็ด จากหนังสือ นาฬิกาชีวิต ตอน 2 นำใบมะรุมมาตากแห้ง การตากจะตากในที่ร่มเท่านั้น เมื่อใบแห้งกรอบ นำมาบดด้วยเครื่องปั่น หรือ ครก เมื่อบดเรียบร้อยแล้ว นำมาใส่ภาชนะทึบแสงสีชา และนำมาทานโดยโรยในอาหาร วันละ 2 ช้อนชา หรือ ว่า นำมาชงเป็นน้ำชา ให้ได้วันละ 2 ช้อนชาเช่นกัน กินอย่างนี้ติดต่อกันประมาณ 1-2 ปีแล้วไปตรวจดูร่างกาย เรื่อง ซีดี4 เป็นระยะ สังเกตการเปลี่ยนไปของตัวเลขที่มันขยับสูงขึ้น และเมื่อมี ซีดี4 มากกว่า 700 ให้ลองไปตรวจเลือด และไวรัสโหลดดู จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหัศจรรย์ วันนี้ไม่ค่อยว่าง ถ้ามีเวลาว่างจะมาพิมพ์ให้อ่านกันเป็นระยะเกี่ยวกับมะรุมอัดเม็ดและการรักษาโรคอื่น ๆ อีกเช่น ตอนนี้การรักษาคนเป็นเบาหวานระดับน้ำตาลที่มากกว่า 300 ขึ้นไปให้ระดับน้ำตาลกลับมาอยู่ที่ระดับปกติได้แล้วอีกหลายราย รวมถึงรักษาคนเป็นมะเร็ง และโรคตา เพราะเขาเขียนไว้ว่ารักษาคนเป็นสายตาสั้น ยาวได้ดี และสามารถมองเห็นได้ชัดขึ้น ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์คุณค่าทางโภชนาการของใบมะรุมดังนี้ เปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการของใบมะรุมจากน้ำหนักเท่า ๆ กัน กรัมต่อกรัม ใบมะรุม มีไวตามินซี มากกว่าส้ม 7 เท่า มีแคลเซียม มากกว่านม 4 เท่า มีไวตามินเอ มากกว่าแครอท 4 เท่า มีโปแตสเซียม มากกว่ากล้วย 3 เท่า โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย มีโปรตีน มากกว่านม 2 เท่า ใบมะรุม 100 กรัม ( คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537) พลังงาน 26 แคลอรี โปรตีน 6.7 กรัม ( 2 เท่าของนม) ไขมัน 0.1 กรัม ใยอาหาร 4.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม ( 3 เท่าของแครอต) วิตามินซี 220 มิลลิกรัม ( 7 เท่าของส้ม) แคโรทีน 110 ไมโครกรัม แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม) ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม ( 3 เท่าของกล้วย) การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน มะรุม เป็นไม้กลางบ้านของไทน ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นเวลานาน นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลองและเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการป้องกันโรคภัยต่าง ๆ ได้ถึง 300 ชนิด มะรุมไม้กลางบ้านของไทยที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลานานนอกจากจะรับประทานอร่อยแล้ว ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลองและเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆได้ถึง 300 ชนิด องค์การสหประชาชาติได้ให้การสนับสนุนในการค้น คว้าและวิจัยอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในการรักษาโรคขาดอาหารและอาการตาบอดซึ่งเกิดขึ้นในเด็กแรกเกิดจนถึงวัยเจริญเดิบโตในประเทศด้อยพัฒนาเช่นกลุ่มประเทศในอาฟริกาตอนใต้และประเทศอินเดีย กลุ่มองค์การกุศลมากมายได้หันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับพันธุ์ไม้ชนิดนี้ รวมทั้งประเทศไทย กลุ่มนักศึกษาแพทย์จำนวน 25 ท่านจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ได้ทำการทดลองวิจัยในการที่จะนำมารักษาผู้ป่วยด้วย โรคงูสวัดแม้แต่กลุ่มประเทศอื่นๆเช่นอังกฤษ , เยอรมัน , รัสเซีย , ญี่ปุ่น , จีน , ก็หันมาให้ความสนใจและทำการค้นคว้าอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคเอดส์ และอีกมากมาย ประโยชน์คร่าวๆ จากวารสารค้นคว้าที่พอจะอ้างอิงได้มีดังต่อไปนี้คือ 1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอด ได้เป็นอย่างดี 2. ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ทำให้สามารถลดการใช้ยาลงโดยความเห็นชอบและการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษาด้วย 3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง 4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายถ้าแม้ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อ HIV นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง 5. ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้และสามารถมีชิวิตอยู่อย่างคนทั่วไปได้ในสังคมการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศอาฟริกา แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังอยู่ในภาวะทดลอง 6. ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งแต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบันหากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง 7. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม 8. รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์ 9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น 10. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ ใยอาหาร และ พลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม(ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก "มาลังเก") เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย ชะลอความแก่ กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย ฆ่าจุลินทรีย์ สานเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว การป้องกันมะเร็ง สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา) กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น //goodwording.blogspot.com/2009/12/blog-post_12.html ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมรับประทานสมุนไพรมะรุมเพื่อบำรุงสุขภาพ โดยในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์ใบมะรุมจำหน่ายแพร่หลาย โดยในตำราแผนโบราณของไทยระบุว่า เปลือกต้นใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ รักษาแผลในปากและป้องกันอาการเมาสุราได้ ทั้งยังลดความดันโลหิตสูง ป้องกันพิษต่อตับ มีฤทธิ์ต้านการก่อมะเร็ง และยังมีฤทธิ์ลดคอเลสเทอรอล และไขมันในเลือด อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ศึกษาพิษเฉียบพลันของสมุนไพรมะรุม เบื้องต้นสรุปได้ว่าการ รับประทานใบมะรุมเพื่อเสริมสุขภาพในระยะสั้นๆ น่าจะมีความปลอดภัย แต่จำเป็นต้องมีการศึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพทางเคมี รวมทั้งพิษเรื้อรังของใบมะรุมเพิ่มเติมต่อไป. //www.meesara.com/?p=92 |
loveQ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Link |