บั้งไฟลาวกับสาวๆตากลม
<<
มกราคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
13 มกราคม 2550
 
 
***///*** 100 ทริป....ภาค3 ครับ ***///***


76.โครงสร้างภายในเกียร์ออโตเมติค

เกียร์ออโตเป็นเกียร์ที่มีความทนทานไม่เสียง่าย มีการสึกหรอน้อย มีอายุการใช้งานขึ้นอยู่กับการใช้งาน เป็นเกียร์ที่ให้ความสะดวกสบายในการขับขี่แต่ก็มักจะเป็นปัญหากับผู้ที่เริ่มใช้หรือใช้เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นการสตาร์ทเครื่องยนต์ ตำแหน่งการทำงานของเกียร์ ส่วนใหญ่จะเกิดจากความไม่เคยชิน ส่งที่ต้องทำความรู้จักเป็นอันดับแรกเมื่อคิดจะใช้เกียร์ออโตก็คือ "ตำแหน่งเกียร์" ปัจจุบันสะดวกมากขึ้น เพราะจะมีไฟโชว์ตำแหน่งเกียร์บนหน้าปัดโดยไม่ต้องก้มลงมอง แต่ถ้าจะให้ดีจำให้ได้โดยไม่ต้องก้มดูตำแหน่งเกียร์จะดีกว่า การขับเคลื่อนในเกียร์ออโตเกียร์จะทำการเปลี่ยนอัตราทด 1-2-3-4 เอง ตามความเร็วที่รถวิ่ง แต่รถเกียร์ออโตเราจะไม่เห็นอัตราทด 1-4 ที่กล่าวมา เพราะอัตราทดดังกล่าวจะมารวมกันอยู่ในตำแหน่งเกียร์ "D-D 3-2" ซึ่งทั้งหมดเป็นเกียร์ขับเดินหน้า เมื่อเลื่อนคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง "D" เมื่อรถออกตัว เกียร์จะเปลี่ยนอัตราทดขึ้น-ลง ไปเรื่อย ๆ ตามความเร็วรถส่วนตำแหน่ง "D 3" เกียร์จะทำงานเช่นเดียวกับตำแหน่ง "D" แต่อัตราทดจะถูกล็อคอยู่เพียงแค่เกียร์ 3 ซึ่งเป็นอัตราทด 1:1 ไม่เปลี่ยนเป็น เกียร์ 4 ซึ่งเป็นอัตราทดโอเวอร์ไดรว์ ส่วนตำแหน่งเกียร์ 2 ก็เช่นกันเกียร์จะล็อค อัตราทดให้เกียร์เปลี่ยนเฉพาะอัตราทด 1-2 เท่านั้น ในเกียร์ออโตที่มีใช้ในรถกระบะบ้านเราจะเห็นความพิเศษเพิ่มขึ้นอีกคือ มักจะมีปุ่ม "Hold" ซึ่งส่วนใหญ่จะทำหน้าที่ในการล็อคตำแหน่งเกียร์ให้เริ่มทำงานที่เกียร์อัตราทดเกียร์ 2 และสิ้นสุดการทำงานที่อัตราทดเกียร์ 2 เพื่อป้องกันการหมุนฟรีของล้อจากอัตราทดที่สูงในเกียร์ 1 ซึ่งจะมีประโยชน์เมื่อใช้ในสภาพผิว ถนนที่ลื่นเช่น ถนนที่มีโคลนเลน นอกจากตำแหน่งเกียร์เดินหน้าแล้วเกียร์ออโตจะประกอบไปด้วยตำแหน่ง "P" เป็นตำแหน่งที่ต้องใช้ทุกครั้งที่จอดในที่จอดรถโดยรถจะไม่สามารถขยับได้ ตำแหน่ง "R" เป็นตำแหน่งเกียร์ถอยหลังและ "N" คือ ตำแหน่งเกียร์ว่างการวางตำแหน่งเกียร์จะเรียงจาก P-R-N-D-D3-2
ใช้ให้เป็น เลือกเกียร์ให้ถูก

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:23:59 ]






ความคิดเห็นที่ 77

77. การใช้รถเกียร์ออโตที่ถูกต้องจะเริ่มตั้งแต่การ "สตาร์ทเครื่องยนต์" เพื่อความปลอดภัยสูงสุดควรตรวจสอบดูตำแหน่งคันเกียร์หลังจากที่นั่งประจำตำแหน่งและคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว ตำแหน่งคันเกียร์หลังจากที่นั่งประจำตำแหน่ง และคาดเข็มขัดนิภัยแล้ว ตำแหน่งคันเกียร์จะต้องอยู่ที่ตำแหน่ง "P" หรือ "N" เท่านั้น และขณะที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เท้าขวาควรจะวางไว้บนแป้นเบรค ในรถยนต์บางรุ่นอาจจะสตาร์ทไม่ติดถ้าไม่รัดเข็มขัดนิรภัย สิ่งหนึ่งที่ควรจะฝึกให้เคยชินก็คือ รถเกียร์ออโตไม่จำเป็นต้องใช้เท้าซ้ายทำความคุ้นเคยกับตำแหน่งการวางเท้าในตำแหน่งที่ดีที่สุดในการขยับปลายเท้าไปมาระหว่างเบรคกับคันเร่ง เพราะเท่าที่สังเกตส่วนใหญ่แป้นเบรคของรถเกียร์ออโตจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่การวางตำแหน่งเท้าไม่ดีพอ เวลาตกใจจะเหยีบเบรคอาจจะกลายเป็นเร่งส่งอย่างที่เห็นเป็นข่าวกันบ่อย ๆ การสตาร์ทเครื่องยนต์ในตำแหน่งเกียร์ "P" จะเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด เพราะการเลื่อนคันเกียร์ออโตนั้นบางตำแหน่งต้องปลดล็อคคันเกียร์แต่บางตำแหน่งต้องปลดล็อคคันเกียร์แต่บางตำแหน่งก็ไม่ต้องปลดล็อคคันเกียร์เพื่อป้องกันการเลื่อนของคันเกียร์โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นที่มาของอุบัติเหตุให้เราได้ยินบ่อย ๆ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:24:25 ]






ความคิดเห็นที่ 78

78. การเลื่อนคันเกียร์เพื่อ "เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์" ควรรอสักพักหลังจากติดเครื่องยนต์ เพื่อให้เครื่องยนต์ได้อุณหภูมิการทำงาน หากเป็นคนช่างสังเกตจะเห็นได้ว่าเมื่อแรกสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ใช้เกียร์ออโตรอบเครื่องจะสูงกว่าปกติอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะลดระดับลงมาที่ความเร็วรอบเดินเบาปกติ การเลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่งขับเคลื่อน D หรือ ถอยหลัง R เลยหลังจากติดเครื่องจะทำให้รถเกิดอาการกระตุกและเคลื่อนที่ด้วยแรงหรือความเร็วที่มากกว่าปกติ และสิ่งที่ควรระวังอีกอย่างหนึ่งของพวกที่จอดติดไฟแดงแล้วไม่ชอบเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่าง คาคันเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง D คือ คอมเพรสเซอร์แอร์ตัดจะทำให้รอบเครื่องสูงขึ้น ถ้าไม่ได้เหยียบเบรค หรือดึงเบรคมือไว้รถจะกระโดดไปข้างหน้าและถึงแม้ว่าจะมีการล็อคเบรคไว้ก็จะไม่เป็นผลดีกับเกียร์มีผลต่ออายุการใช้งานของเกียร์เช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่หยุดรถชั่วคราวควรจะเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เป็นเกียร์ว่าง N
การเลื่อนคันเกียร์ในเกียร์ออโตจากตำแหน่งจอด P มาตำแหน่งถอยหลัง R จะต้องปลดล็อค ส่วน R มา N จะสามารถเลื่อนได้เลยไม่มีล็อค แต่ถ้ากลับกัน N ไป R จะต้องปลดล็อคถึงจะเลื่อนได้ ในตำแหน่ง N ไป D และตำแหน่ง D กลับไปที่ N ไม่จำเป็นต้องปลดล็อคสามารถเลื่อนไปเลื่อนมาได้ และเช่นกันเมื่อต้องการเลื่อนตำแหน่งคันเกียร์จาก D ลงไปสู่ตำแหน่ง D 3 และ 2 ต้องปลดล็อคเพื่อความปลอดภัยของระบบเกียร์

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:24:49 ]






ความคิดเห็นที่ 79

79. การใช้เกียร์อัตโนมัติในตำแหน่งเกียร์ถอยหลัง การเปลี่ยนเกียร์ควรให้รถหยุดสนิท ก่อนที่จะเลื่อนตำแหน่งเกียร์มาที่ R เพราะเมื่อมีการเลื่นคันเกียร์มาในตำแหน่ง R ที่เฟืองเกียร์ในตำแหน่งนี้มีทิศทางการหมุนที่ตรงกันข้ามกับเกียร์เดินหน้า การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ขณะที่รถยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่เกียร์มีการทำงานในทิศทางที่สวนกัน จะทำให้เกียร์พังเร็วกว่าปกติมาก การเลื่อนคันเกียร์ไปในตำแหน่งถอยหลังเมื่อรถหยุดสนิททุกครั้งควรเหยียบเบรคเพื่อให้คนขับได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับการถอยหลัง และในเกียร์ออโตเพียงแค่ยกเท้าออกจากเบรคตำแหน่งเกีรยร์ถอยที่มีอัตราทดที่สูงอยู่แล้ว รถจะเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง คนขับเพียงแต่เหยียบเบรคเพื่อควบคุมการเคลื่อนที่เท่านั้นนอกซะจากจะเป็นการถอยหลังขึ้นเนินที่มีความชันพอสมควร

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:25:11 ]






ความคิดเห็นที่ 80

80. ปัญหาหนึ่งของผู้ที่ใช้รถเกียร์ออโตมือใหม่ไม่แน่ใจคือ เมื่อขับรถเกียร์ออโตในทางลาดชันควรใช้เกียร์อะไร?? การขับคงต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ "การขับขึ้นเนิน" เกียร์ที่ใช้ก็เป็นเกียร์ขับเคลื่อนตามปกติ และถ้าเนินชันหรือทางลาดนั้นมีความยาวมากหรือความเร็วลดลงแต่รอบเครื่องยนต์ค่อย ๆ ขยับขึ้น สิ่งที่ต้องทำคือยกคันเร่งให้รอบเครื่องต่ำลงแล้วขยับคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง D3 ไม่ควรเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง เพราะกลไกเกียร์จะทำการเปลี่ยนอัตราทดลงไปที่เกียร์ต่ำในขณะที่รอบเครื่องสูงซึ่งอาจจะทำให้เกียร์เกิดการเสียหายได้ และถ้ายังมีอาการเหมือนจะเกินขึ้นไม่ไหวหรือเกียร์เปลี่ยนเร็วแต่ไม่ได้ความเร็วก็ยกเท้าออกจารกคันเร่งเพื่อให้รอบต่ำลงหรือหยุดรถการหยุดรถระหว่างการขับขึ้นทางลาดควรใช้เบรคทุกครั้งไม่ควรจะใช้กำลังขับช่วยในการหยุดรถระหว่างการขับขึ้นทางลาดควรใช้เบรคทุกครั้งไม่ควรจะใช้กำลังขับช่วยในการหยุดรถ หลังจากนั้นเลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง 2 ซึ่งจะเป็นการล็อคอัตราทดเฉพาะเกียร์ 1-2 ซึ่งก็เหมือนกับการที่เราขับรถลากรถเกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 เพื่อให้ได้แรงบิดเพื่อขึ้นทางลาดจากนั้นก็ยกเท้าออกจากเบรคเหยียบคันเร่ง ซึ่งควรเป็นไปอย่งนุ่มนวลเพื่อไม่ใช้ล้อเกิดการฟรีจากแรงบิดที่สูง ส่วน "การขับลง" ทางลาดชันนั้นการควบคุมความเร็วของรถเป็นหน้าที่ของเท้าขวาที่เป็นประจำอยู่บนแป้นเบรค ถ้าทางลงมีความลาดมาก ๆ ก็ทำเหมือนตอนขึ้นคือ เปลี่ยนตำแหน่งคันเกียร์มาที่ D3 หรือถ้าชันมากก็ควรเปลี่ยนมาที่ 2 เพื่อให้ได้แรงมาจากเอนจิ้นเบรค อย่าลงทางลาดชันโดยเกียร์ว่าง (N) หรือเกียร์เดินหน้าปกติ (D) เพราะเครื่องยนต์จะไม่มีเอนจิ้นเบรคช่วยชะลอความเร็ว และการขับรถลงทางลาดนั้นควรใช้เบรคร่วมด้วยเป็นระยะ แต่ไม่ควรเลียเบรคเพราะจะทำให้ผ้าเบรคร้อนจนไหม้ แล้วรถจะเบรคไม่อยู่
ส่วนที่เป็นสมองของเกียร์

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:25:38 ]






ความคิดเห็นที่ 81

81. ความข้องใจที่เกี่ยวกับเกียร์ออโตที่ได้ยินกันบ่อยมากคือ "อัตราเร่ง" เพราะน้อยคนนักที่จะรู้จักคำว่า "Kick Down" หรือ "Shiff Down" หรืออาจจะเคยได้ยินแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรและทำไม่เป็น เวลาจะแซงก็เลยกดคันเร่งเหมือนที่เคยทำบางคนถูกจังหวะพอดีรถพุ่ง แต่ด้วยความตกใจก็เลยยกเท้าออกจากคันเร่งทำให้เป็นความเข้าใจผิดที่พูดต่อ ๆ กันมาเกียร์ออโต "ไม่ดี อย่าไปใข้มันเลย" การ "คิกดาวน์" หรือ "ชิฟท์ดาวน์" พูดให้เข้าใจง่ายก็เหมือนการ "เชนจ์เกียร์" ในเกียร์ธรรมดานั่นเอง เพียงแต่ในเกียร์ออโตจะสบายกว่าไม่ต้องยกคันเร่ง เหยียบคลัทช์ ลดเกียร์ปล่อยคลัทช์ เหยียบคันเร่ง ในเกียร์ออโตเพียงแต่ "กดคันเร่งให้มิด" ในการคิกดาวน์ หรือ "ขยับคันเกียร์ลงมาหนึ่งตำแหน่ง" ในชิฟท์ดาวน์ เพียงแค่นี้ ระบบเกียร์ก็จะเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ให้ต่ำลงจากเดิมมา 1 ตำแหน่งเหมือนการเชนจ์เกียร์ในรถเกียร์ธรรมดาทุกประการ แต่การเรียกอัตราเร่งแบบนี้ก็ต้องระวังในเรื่องของรอเครื่องขณะที่กระทืบคันเร่งหรือขยับคันเกียร์เช่นกัน ความแตกต่างระหว่างการ "Kick Down" กับ "Shiff Down" จะอยู่ที่ความไวในการตอบสนอง การจะเลือกใช้แบบใดขึ้นอยู่กับน้ำหนักบรรทุกที่กำลังแบกอยู่ในขณะนั้นมากกว่า การคิกดาวน์จะตอบสนองได้ผลมากกว่ากับน้ำหนักบรรทุกที่น้อย แต่ถ้ามีน้ำหนักบรรทุกมากหน่อยการ "ชิฟท์ดาวน์" จะให้การตอบสนองที่ดีกว่า ส่วนน้ำหนักที่แบกจะมากน้อยเพียงใดถึงจะรู้ว่าใช้แบบใดขึ้นอยู่กับเกียร์ของรถแต่ละรุ่นที่ไม่เหมือนกัน คนที่คุ้นเคยและใช้งานประจำจะรู้ได้ดีกว่าดังนั้นการฝึกใช้บ่อย ๆ จะให้คำตอบได้ดีกว่า สังเกตว่าถ้า "กด" คันเร่ง หรือ "เลื่อน" คันเกียร์แล้ว "พุ่ง" นั่นแหละใช่เลย "Kick Down" หรือ "Shiff Down" แน่นอน เมื่อรู้แล้วก็ฝึกให้ชินกับจังหวะที่มันทำงานจะได้กะจังหวะแซงได้ถูก

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:26:00 ]






ความคิดเห็นที่ 82

82. อีกข้อหนึ่งที่ฮิตมากก็คือ "เกียร์ออโตเข็นสตาร์ท" ไม่ได้นับว่าเป็นความเข้าใจผิดที่ผิด เอ๊ะงง "เกียร์ออโตเข็นสตาร์ทได้ แต่ไม่มีใครเขากล้าทำกันจนคนเข้าใจว่าทำไม่ได้ อยากให้ลองคิดดูว่าในการเข็นสตาร์ทในเกียร์ธรรมดาก็คือ การไปทำให้เพลาข้อเหวี่ยงหมุน แล้วทำไมในเกียร์ออโตจะทำไม่ได้ แต่ที่ไม่ทำกันก็เพราะในเกียร์ออโตต้องเข็นให้รถมีความเร็วถึง 25 กม./ชม. ถ้าจะใช้คนดันก็คงไม่ไหว ใช้รถดันก็คงไม่เหมาะแต่ถ้าปล่อยไหลลงทางลาดก็พอไหว แต่ต้องไม่ชันมากและมีทางยาวพอสมควร เพราะค่อนข้างอันตรายคนเลยไม่ทำกันจนเป็นความเข้าใจผิด สู้การพ่วงแบตเตอรี่ไม่ได้ สะดวกกว่ากันเยอะเลย

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:26:22 ]






ความคิดเห็นที่ 83

83. อาการผิดปกติที่มักจะเกิดกับเกียร์ออโตเมื่อปริมาณน้ำมันเกียร์น้อยเกินไปก็มีตั้งแต่เข้าเกียร์แล้วรถไม่ขยับเกียร์ไม่เปลี่ยนหรือต้องเดินคันเร่งลึกกว่าปกติกว่าที่รถจะขยับตัว เพื่อให้การใช้งานเกียร์ออโตให้ยาวนานขึ้น "การตรวจน้ำมันเกียร์" ควรทำอาทิตย์ละครั้งบนพื้นที่จอดรถที่ได้ระดับขึ้นเบรคมือ คันเกียร์อยู่ในตำแหน่ง "P" ติดเครื่องให้เครื่องยนต์ทำงานในรอบเดินเบาอยู่ระหว่างขีดบนกับล่างและควรมีการเปลี่ยนถ่ายตามกำหนดในคู่มือประจำรถ
การสังเกตสีของน้ำมันที่เปลี่ยนไป ความข้นหนืดที่ลดลง หรือแม้กระทั่งกลิ่นเหม็นไหม้ของน้ำมันเกียร์ก็เป็นอาการเริ่มแรกที่บอกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดกับเกียร์ ดังนั้นการตรวจสอบอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอรวมทั้งการใช้งานที่ถูกต้องก็เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้เกียร์ออโตอยู่รับใช้ให้ความสบายกับการขับขี่ได้นานขึ้นอีก

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:26:48 ]






ความคิดเห็นที่ 84

84.เป่ากรอง ให้ถูกวิธี
นอกเหนือไปจากการดูแลระดับ น้ำมันเครื่อง ระดับน้ำมันต่าง ๆ ระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ (ถ้าไม่ได้ใช้แบบ Maintenance Free) ในกระบวนการดูแลรักษาเครื่องยนต์จะมี "กรองอากาศ" เข้ามาเป็นจุดที่ต้องให้ความสนใจเช่นกัน เพราะกรองอากาศมีหน้าที่กลั่นกรองอากาศที่จะเข้าสู่ห้องเผาไหม้ให้สะอาดปราศจากฝุ่นผง (ซึ่งเครื่องยนต์ไม่ชอบ) เมื่อกรองอากาศดักฝุ่นไว้มาก ๆ เข้าโดยเจ้าของไม่ทำความสะอาดหรือดูแลมันเลย ก็จะพานให้รถวิ่งไม่ออกเพราะเครื่องยนต์หายใจไม่สะดวกแถมยังกินน้ำมันดุเดือดทั้ง ๆ ที่วิ่งไม่ได้เรื่องจึงต้องได้รับการดูแลกันตามสมควร

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:27:19 ]






ความคิดเห็นที่ 85

85. การเป่ากรองอากาศด้วยวิธีที่ถูกต้องคือ ต้องการให้ฝุ่นละอองบางส่วนหลุดออกไปบ้างจะต้องใช้วิธีเป่าจากทางด้านหลังกรอง ซึ่งวิธีนี้ฝุ่นละอองจะหลุดน้อยกว่าวิธีแรกแต่ไม่ทำลายไส้กรองอากาศ (ซึ่งเจ้าของรถบางคนอาจจะส่ายหน้าบอกว่า "ไม่ชอบ ๆ") นอกจากนี้ยังมีกรองอากาศของรถบางรุ่นบางยี่ห้อที่ห้ามไม่ใช้ใช้ลมเป่าทำความสะอาดแต่จะใช้วิธีล้างด้วยน้ำแทน และบางยี่ห้อบางรุ่นก็ไม่ต้องเป่าหรือทำอะไรเลยก็มีนะครับ เพราะเขาเคลือบน้ำมันมาแล้ว ซึ่งแบบนี้จะเพิ่มคุณสมบัติช่วยให้กรองอากาศสามารถจับฝุ่นละอองเอาไว้ได้มากกว่าแบบแห้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถก็จะต้องทำความรู้จักและเข้าใจในรถของตัวเองให้ดีด้วย

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:27:42 ]






ความคิดเห็นที่ 86

86. ระยะเวลาในการเปลี่ยน น้ำมันเกียร์
ถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดามักแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ปีละครั้ง และเวลาที่ควรจะเปลี่ยนก็เห็นว่าน่าจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมหรือมกราคมก็ได้ เวลานี้เป็นช่วงที่ฝนหยุดตกน้ำเลิกท่วมแล้ว ทั้งนี้เพราะว่าในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมมักจะมีฝนตกหนัก ระยะนั้นที่เราขับรถลุยฝนลุยน้ำ อาจมีความชื้นเล็ดลอดเข้าไปในห้องเกียร์ ทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมและชิ้นส่วนเกียร์เป็นอันตรายได้ เพื่อความสบายใจและป้องกันไม่ให้เกียร์ชำรุดสึกหรอเกิดการเสียหาย ก็สมควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ในเดือนธันวาคมหรือมกราคม

พวกเกียร์อัตโนมัติจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 พวก พวกแรกจะใช้น้ำมันเกียร์อัตโนมัติแบบ ATF (Automatic Tranamission Fluid) หรือ DEXRON โดยทั่วไปทางบริษัทรถยนต์กำหนดให้เปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 30,000 – 40,000 กม. หรือราว 1 ปีครึ่งถึง 2 ปี แต่ถ้าเราต้องการให้เกียร์สะอาด เนื่องจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามปกติจะสามารถถ่ายน้ำมันออกมาได้ครั้งละประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงควรเปลี่ยนถ่ายกันบ่อยซักหน่อย คิดว่าประมาณปีละครั้งก็น่าจะเหมาะสมกำลังดี (นี่ถ้าเป็นเกียร์รุ่นเก่าสมัยก่อนจะแนะนำให้เปลี่ยนปีละ 2 ครั้งด้วย)

อีกพวกหนึ่งจะใช้น้ำมันเกียร์แบบ T 4 ซึ่งมีกำหนดการใช้งานตลอดอายุการใช้งานของเกียร์ คือ ไม่ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายกันเลย เพียงแต่ว่าเท่าที่พบอายุของเกียร์ประเภทนี้มักจะสั้น ดังนั้นทางบริษัทรถยนต์บางแห่งจึงขอตรวจเช็คและมีการเปลี่ยนถ่ายบ้าง เพียงแต่อาจจะนานหน่อย เอาเป็นว่าช่วงแรกควรเปลี่ยนถ่ายเมื่อรถวิ่งใช้งานไปประมาณ 2 - 3 ปี ครั้งต่อไปก็เปลี่ยนถ่าย 1 ปีครึ่งถึง 2 ปีต่อครั้ง โดยดูระยะการใช้งานประกอบด้วย

พวกวิ่งมากใช้งานเยอะ ขับเร็วลากเกียร์บ่อย ก็เปลี่ยนถ่ายให้มันเร็วขึ้นซัก 2 ปีหรือ 40,000 กม. แต่ถ้าซื้อรถมาล้างมาเช็ดมากกว่าเอามาวิ่งก็เปลี่ยนได้ช้าหน่อย ยืดเป็น 3 ปีหรือ 60,000 กม. แม้น้ำมันเกียร์พวก T4 จะแพงหน่อย แต่เทียบกับค่าซ่อมเกียร์แล้วยังถูกกว่าเยอะ ก็ลองพิจารณาดูว่ารถของคุณนั้นเข้าข่ายไหน....

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:28:14 ]






ความคิดเห็นที่ 87

87. *เทคโนโลยี ABS ผลิตรถยนต์ล้วนมีการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพระบบเบรกพื้นฐานอยู่เสมอ เพื่อหยุดการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์สมรรถนะสูง ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการเพิ่มแรงม้า เช่น ดิสก์เบรกที่ระบายความร้อนได้ดี ผ้าเบรกเนื้อเยี่ยม ฯลฯไม่ว่าจะมีการพัฒนาระบบเบรกพื้นฐานให้เหนือชั้นขึ้นเพียงใด ก็ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ คือ เบรกแล้วเกิดอาการล้อล็อก-หยุดหมุน ในขณะที่ตัวรถยนต์ยังเคลื่อนที่อยู่ เช่น เมื่อมีการเบรกกะทันหันอย่างรวดเร็วรุนแรง หรือการเบรกบนเส้นทางลื่น เมื่อล้อล็อกก็จะส่งผลให้พวงมาลัยไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ตามปกติ หรือรถยนต์ปัดเป๋-หมุนคว้างได้ แม้ผู้ขับมือดีจะมีแนวทางแก้ไขสถานการณ์ด้วยตัวเอง โดยการตั้งสติกดเบรกหนักพอประมาณแล้วปล่อย ย้ำซ้ำๆ ถี่ๆ ไม่กดแช่เพื่อไม่ให้ล้อล็อก แต่ในการขับจริงทำได้ยาก เพราะอาจขาดการตั้งสติ คิดไม่ทัน หรือย้ำได้แต่ไม่ถี่พอ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:29:31 ]






ความคิดเห็นที่ 88

88.ABS-Antilock Braking System
เป็นระบบที่ถูกพัฒนาเสริมเข้ามา แต่ไม่ใช่เมื่อมีเอบีเอสแล้วไม่ต้องมีระบบเบรกพื้นฐาน จะเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ หน้าดิสก์-หลังดรัม หรือดรัม 4 ล้อ ก็ยังต้องมีอยู่ เอบีเอสทำหน้าที่ลดและเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกสลับกันถี่ๆ เพื่อป้องกันล้อล็อกเมื่อต้องเบรกฉุกเฉินเหนือกว่าการควบคุมของมนุษย์ คือ แม่นยำและมีความถี่มากกว่า มีการจับ-ปล่อยผ้าเบรกสลับกันหลายครั้งต่อวินาที โดยผู้ขับมีหน้าที่กดแป้นเบรกแช่ไว้เท่านั้น

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:29:46 ]






ความคิดเห็นที่ 89

89.สาเหตุที่ต้องป้องกันล้อล็อก
เพราะต้องการให้พวงมาลัยยังสามารถบังคับทิศทางได้ขณะเบรกกะทันหัน ไม่ใช่เบรกแล้วไถลไปตามแรงส่งของการเคลื่อนที่อย่างไร้การควบคุมทิศทาง และป้องกันไม่ให้รถยนต์ปัดเป๋-หมุนคว้าง เปรียบเทียบถึงรถยนต์ที่แล่นบนพื้นน้ำแข็งที่ลื่นมาก แล้วมีการกดเบรกอย่างเร็ว-แรง ล้อจะหยุดหมุน-ล็อก ในขณะที่ตัวรถยนต์ยังลื่นไถลต่อตามแรงของการเคลื่อนที่หรือแรงเหวี่ยง โดยพวงมาลัยแทบจะไร้ประโยชน์ เพราะถึงจะหักเลี้ยวไปทางซ้าย แต่ถ้ารถยนต์มีแรงส่งไถลไปทางขวา ก็จะไม่สามารถควบคุมทิศทางให้ไปทางซ้ายตามที่ต้องการได้ ส่วนการเบรกตามปกติที่ไม่กะทันหันหรือเส้นทางไม่ลื่น เอบีเอสก็ไม่ได้ทำงานควบคุมแรงดันน้ำมันเบรก ยังใช้ประสิทธิภาพของระบบเบรกพื้นฐานเป็นหลัก

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:30:25 ]






ความคิดเห็นที่ 90

90. สถานการณ์ใดบ้างที่ต้องการเอบีเอส
ในประเทศที่มีหิมะตกหรือพื้นเส้นทางเคลือบไปด้วยน้ำแข็ง เอบีเอสมีโอกาสได้ทำงานบ่อย ส่วนในประเทศแถบร้อนทั่วไป เอบีเอสก็มีโอกาสได้ทำงานพอสมควร เช่น การเบรกบนถนนเรียบแต่เปียกไปด้วยน้ำ ทางโค้ง ฝุ่นทราย รวมถึงถนนเรียบแห้งสะอาด แต่มีการเบรกกะทันหันอย่างรวดเร็วรุนแรง ทว่าไม่ค่อยมีใครมองถึงประโยชน์ของเอบีเอส

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:30:56 ]






ความคิดเห็นที่ 91

91. การดูแล และอายุการใช้งาน
ไม่ต่างจากรถยนต์ที่ไม่มีเอบีเอส ก็แค่ตรวจดูระดับน้ำมันเบรก การรั่วซึม และเติมให้ได้ระดับ ถ้าไฟเตือนสว่างและดับตามปกติก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก ทุก 1-2 ปี ถ้าไม่มีอาการใดผิดปกติ อาจนำรถยนต์ยกขึ้นแล้วให้ช่างใช้ลมเป่าไล่ฝุ่นออกจากเฟืองและเซ็นเซอร์จับสัญญาณการหมุนของล้อ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:31:27 ]






ความคิดเห็นที่ 92

92.ในยามค่ำคืนเป็นช่วงเวลาที่มีแสงสว่างน้อย การขับรถต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวที่เป็นช่วงเวลาของการพักผ่อน ดังนั้นสภาพของผู้ขับขี่เองก็เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ นั่นหมายถึง แม้ตัวคุณจะเต็มร้อยก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้ถนนร่วมกับคุณจะเป็นดังเช่นคุณทุกคน เพราะฉะนั้นเมื่อคุณมีความจำเป็นจะต้องขับรถในยามค่ำคืนสิ่งที่คุณควรระวังเป็นพิเศษคือ

- เปิดไฟหน้ารถทุกครั้งที่คุณรู้สึกว่า คุณไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายนอกรถได้ชัดเจน (แสงสว่างมีน้อย) เช่น ในช่วงฤดูฝน 6 โมงเย็น ท้องฟ้าก็จะมืดเร็วปกติ อย่ากังวลไปว่าคุณจะเป็นคนขับรถคนแรกที่เปิดไฟหน้ารถ เพราะมันเป็นการปลอดภัยสำหรับคุณในการขับรถขณะที่คุณสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

- ยิ่งถ้ารถของคุณเป็นรถสีเข้ม เช่น สีน้ำเงิน, ดำ, เทาเข้ม, น้ำตาล การเปิดไฟหน้ารถจะสามารถช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นรถคุณได้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีกด้วย หากยังไม่มืดมากนักคุณก็อาจจะเปิดไฟหรี่ก็จะช่วยได้เช่นกัน เพราะไฟท้ายรถของคุณและไฟเบรกจะทำให้รถคันหลังมองเห็นรถคุณได้

- หากขับรถตามหลังคันอื่น อย่าเปิดไฟสูง เพราะแสงไฟจะส่องเข้าไปในรถสะท้อนกับกระจกมองหลังเข้าตาผู้ขับ และถ้าคุณขับรถเปิดไฟสูงและมีรถแซงคุณมาคุณควรจะลดไฟสูงลงด้วย เพื่อมิให้แสงสะท้อนเข้าในกระจกมองหลังของคันหน้าเพราะอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับรถคันหน้าขึ้นได้

- หากรถที่สวนมาเปิดไฟสูง คุณควรกระพริบไฟสั้นๆ เพื่อเตือนคนขับผู้นั้นและในกรณีเดียวกันคุณเองไม่ควรเปิดไฟสูงทิ้งไว้ นอกจากนั้นก็ไม่ควรเปิดไฟสูงในขณะที่คุณขับรถผ่านทางแยก เพราะจะทำให้คนที่ขับรถผ่านมาตาพร่าและเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน

- ควรขับรถด้วยความเร็วต่ำกว่าปรกติ เพราะในยามค่ำคืน ความมืดจะทำให้ความสามารถในการมองเห็นของคุณมีน้อยลง

- นอกจากคุณจะต้องระวังรถระวังคนแล้ว คุณควรจะต้องระวังสิ่งกีดขวางบนท้องถนนด้วย เช่น เขตซ่อมถนน ขุดท่อ เจาะถนน หรือซ่อมผิวจราจร เพราะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับสิ่งที่คาดไม่ถึงเหล่านี้เป็นประจำ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:31:50 ]






ความคิดเห็นที่ 93

93.ความเร็วที่ปลอดภัยในเวลากลางคืน : แสงสว่างมีอิทธิพลต่อสายตาของมนุษย์มาก กลางคืนที่มีแสงน้อย สายตาของคนเราจะมองไม่ค่อยเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว ยกเว้นสิ่งที่ส่องแสงหรือวัตถุที่สะท้อนแสงได้เท่านั้นจึงทำให้มีอันตรายมาก นอกจากนี้ความรู้สึกเกี่ยวกับระยะทางใกล้ไกล หรือความเร็วของรถก็จะเฉื่อยชาลง ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในเวลากลางวัน สาเหตุเหล่านี้จะทำให้การตัดสินใจ และความระมัดระวังลดน้อยลง
ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการขับรถในเวลากลางวันแล้ว การขับรถในเวลากลางคืนจะมีอันตรายมากกว่า ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงอันตรายของการขับรถในเวลากลางคืนจึงขับด้วยความเร็วเหมือนตอนกลางวันปกติ นอกจากนั้นจำนวนรถที่วิ่งบนถนนมีน้อยลง จึงมักลดความระมัดระวัง และใช้ความเร็วสูงกว่าในตอนกลางวัน ซึ่งเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุ
การขับรถในเวลากลางคืน ควรขับดัวยความเร็วที่สามารถจะหยุดรถได้ ใจขอบเขตที่สายตามองเห็นได้ จึงจะถือว่าเป็นการขับด้วยความเร็วปลอดภัย นอกจากนี้ยังต้องใช้ความเร็วที่ปลอดภัยสอดคล้องกับระยะทางที่ๆฟหน้ารถส่องถึง โดยปกติไปต่ำจะสามารถมองเห็นสิ่งกีดขวางได้ชัดเจนไม่เกินระยะทาง 40 เมตร ส่วนไฟสูงจะส่องได้ไกลประมาณ 100 เมตร
เพราะฉะนั้น การขับรถในเวลากลางคืน โดยคำนึงถึงระยะทางที่ไฟหน้าส่องถึง กับระยะทางที่สามารถจะหยุดรถได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:32:12 ]






ความคิดเห็นที่ 94

94. อุบัติเหตุจากกรณีที่เกิดการเฉี่ยวชนเข้ากับสัตว์เลี้ยง หรือปศุสัตว์นั้น ผู้ขับขี่หลายท่านยังคงสงสัยว่า จะสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยได้หรือไม่ และผู้ขับขี่จะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก หรือค่า Excess หรือไม่ และในขณะเดียวกัน ผู้ขับขี่จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสัตว์เลี้ยงที่ถูกรถเราเฉี่ยวชนด้วยหรือไม่
หากเรามีประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องวิตกกังวลแต่ประการใด หากเกิดความเสียหายขึ้นกับตัวรถ เราสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยได้ โดยจะไม่ถูกหักค่าเสียหายส่วนแรก (Excess) เพราะถือว่า มีคู่กรณีเป็นสัตว์ นอกจากนี้ ทางบริษัทประกันภัยยังอาจเรียกร้องค่าเสียหายจากเจ้าของสัตว์ได้อีกด้วย
.ในทางกลับกัน หากสัตว์ที่เราเฉี่ยวชน เป็นสัตว์ที่อยู่ในความดูแลของเจ้าของมีการระมัดระวังป้องกันอุบัติเหตุอย่างดีแล้ว เช่น เจ้าของสุนัขต้องการพาสุนัขข้ามถนน ก็ใช้วิธีอุ้มสุนัขของตนไว้ หรือใส่สายจูงสุนัข แล้วจึงพาเดินข้ามถนนตรงทางม้าลาย เช่นนี้แล้วหากประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนขึ้น ผู้ขับก็จะมีความผิด ทั้งต้องซ่อมรถยนต์ของตนเอง แล้วยังต้องชนใช้ค่าสินไหมให้เจ้าของสุนัขด้วย
แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 50 01:35:32

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:33:21 ]







ความคิดเห็นที่ 95

95. สภาพอากาศเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการใช้ความเร็ว อย่างเช่นเวลาหมอกลง ฝนตกหนักทัศนวิสัยจะเลวลง ดังนั้นการควบคุมความเร็วที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะหากสภาพอากาศที่แปรปรวนมีผลให้ถนนลื่น การขับขี่ด้วยความเร็วรวมทั้งการเบรกจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
การขับขี่บนสภาพถนนลักษณะดังกล่าว จะต้องรักษาระดับความเร็วที่เหมาะสม ไม่ควรเร่งความเร็ว หรือลดความเร็วในทันที แม้กระทั่งการเบรก ควรหลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน หรือการเปลี่ยนช่องทางอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายถึงการขับขี่ต้องเว้นระยะห่างจากคันหน้าให้มากกว่าปกติ
สภาพอากาศกับความเร็วที่ปลอดภัย เวลาหมอกลงจัดหรือมีฝนตกหนัก ทัศนวิสัยรอบด้านจะแย่ลง ดังนั้นการควบคุมความเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะบนถนนที่ฝนเพิ่งจะตกลงมาจะลื่นมาก ผู้ขับขี่ต้องหลีกเลี่ยงการลดความเร็วด้วยการเบรกกระทันหัน หรือการหักเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันก็ไม่ควรเร่งความเร็วในทันที ควรขับรถด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะอยู่บนทางตรงหรือทางโค้ง

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:35:21 ]






ความคิดเห็นที่ 96

96. การล้างเบาะ..

การล้างเบาะด้วยกรรมวิธีต่อไปนี้ เฉพาะที่เป็นเบาะผ้าเท่านั้นนะครับ ถ้าหากยังไม่เลอะอะไรก็ไม่น่าจะทำเพราะจะเสียเวลาเยอะ แต่ถ้าหากเบาะรถมันสกปรกมากหรือคิดว่าใช้งานมาตั้งหลายปีแล้วก็น่าจะล้างทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็ไม่เลวครับ
เตรียมเครื่องมือให้พร้อมแล้วลงมือ

สำหรับเครื่องไม้เครื่องมือที่จะต้องใช้ในการถอดเบาะมาล้างครั้งนี้ จะใช้แค่เครื่องมือพื้นฐานเท่านั้น โดยหลัก ๆ แล้วก็จะเป็นประแจบล็อคสำหรับไว้ถอดเบาะกับพวกสายเข็มขัดนิรภัย อะไรทำนองนั้น อีกชิ้นที่ลืมไม่ได้คือ ไขควงทั้งแบบแบนและแบบแฉกเอาไว้เวลาที่ต้องถอดพวกคอนโซนทั้งหลายเอาออกไปล้าง เพราะถ้าเรายกแต่เบาะไปมันก็จะได้งานเพียงแค่ฝ่ายเดียวเท่านั้น ไหนๆ ก็ต้องถอดแล้วก็ยกเอาส่วนประกอบอื่นๆ ตามไปล้างเสียด้วยเลยทีเดียว

--ขั้นแรกให้ใช้ประแจบล็อคถอดเอาสกรูว์กับน็อตที่ล็อคขาเบาะออก ซึ่งการถอดแต่ละจุดนั้นเมื่อเรายกเอาเบาะออกมาแล้วให้ใส่น็อตและสกรูว์ไว้ในตำแหน่งเดิมเพื่อไม่ให้หาย รวมทั้งยังช่วยป้องกันเกลียวไม่ให้เสียหายแพราะตอนที่เรายกเอาเบาะออกไปแล้วนั้น ถ้าหากปล่อยเกลียวโผล่เสนอหน้าขึ้นมาไว้เฉยๆ อาจจะโดนอะไรเกี่ยวหรือกระแทกมันไม่เป็นเรื่องดีทั้งนั้น เพราะฉะนั้นป้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่าครับ ส่วนขาเบาะบางทีจะเจอกับจาระบีหล่อลื่นที่เขาใส่ให้ แน่นอนว่ามันย่อมสร้างปัญหาให้ได้ถ้ามือไปโดนจาระบีแล้วมาเจอเข้ากับเบาะ ดังนั้นเราจึงต้องทำความสะอาดล้างเอาจาระบีออกเสียก่อนซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการใช้เศษผ้าชุบน้ำมันเบนซินมาเช็ดถูที่ขายึดเบาะส่วนที่มีจาระบี ทั้งนี้ที่ให้ทำก่อนเพราะนอกจากห้องกันไม่ให้จาระบีไปโดนเบาะแล้ว ถ้าตอนที่ล้างจาระบีออกเผอิญน้ำมันกระเด็นขึ้นไปติดเบาะก็ยังสามารถล้างออกไปได้ในขั้นตอนต่อไป

- หลังจากที่ได้เบาะมากองเอาไว้นอกตัวรถแล้ว คราวนี้ก็ถอดพวกคอนโซลกลาง คอนโซลเกียร์ออกมากองรวมกันไว้ จากนั้นก็ถึงเวลาผสมน้ำยาเพื่อการทำความสะอาดกันแล้วครับ ก็ไม่มีอะไรเรื่องมากอีกเช่นเดิม น้ำยาทำความสะอาดที่สามารถขจัดคราบสกปรก ได้เร็วและได้ผลมากที่สุดคือ "ผงซักฟอก" นี่แหล่ะจัดการเอามาผสมน้ำข้นๆ จากนั้นให้ใช้แปรงอ่อนๆ ประมาณแปรงสีฟัน หรือถ้ากลัวเนื้อผ้าของเบาะจะเสียอาจจะเลือกใช้แปรงอ่อนๆ ประมาณแปรงสีฟัน หรือถ้ากลัวเนื้อผ้าของเบาะจะเสียอาจจะเลือกใช้ผ้าขนหนูก็ได้ครับ จัดการชุบน้ำผงซักฟอกให้ชุ่มๆ แล้วก็ลงมือขัดถูเบาะตั้งแต่พนักพิงไล่ลงมาจึงถึงขอบข้าง เรียกว่าฟอกกันให้ทั่วทุกจุดไปเลย งานนี้ถ้าทำไม่ทั่วจริงๆ แล้วเวลาเบาะแห้งสีมันจะไม่เสมอกันแน่นอน ดังนั้นจึงต้องฟอกให้ทั่วถึงจุดจริงๆ

- เมื่อคิดว่าสะอาดได้ตามที่ต้องการแล้วให้ใช้น้ำสะอาดๆ ฉีดล้างได้เลยครับ ในขั้นตอนนี้เราจะเห็นถึงความดำหรือความสกปรกของเบาะได้อย่างชัดเจนที่สุดครับ คือน้ำที่ออกมาจะดำแบบไม่น่าคบ จนบางคนอาจสงสัยตัวเองว่าทนนั่งอยู่บนเบาะดำๆ แบบนี้ได้อย่างไร
ทีนี้ถ้าที่บ้านมีเครื่องฉีดน้ำแบบแรงดันสูงที่เขาขายกันตามห้างก็ให้เอาออกมาใช้ได้เลย มันจะช่วยย่นระยะเวลาในการทำงานไปได้มากเพราะไม่ต้องเสียเวลาขัดถู แถมตอนที่ล้างน้ำสะอาดนั้นยังช่วยให้สามารถล้างเอาคราบผงซักฟอกออกไปได้อย่างรวดเร็วอีกด้วยครับ
แต่ถึงจะไม่มีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะเราก็ยังสามารถจะใช้น้ำก๊อกธรรมดานี่แหละล้างเอาคราบผงซักฟอกออกได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่ต้องใช้เวลามากกว่าสักเล็กน้อย ทีนี้ตอนที่ล้างน้ำสะอาดนั้นให้ไล่จากด้านบนลงมาเรื่อย ๆ จนกว่าน้ำที่ออกมาจะเลิกดำก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ

-- สำหรับพวกคอนโซลพลาสติกนั้น คุณสามารถจะใช้แปรงขนอ่อนขัดทำความสะอาดได้เลยเช่นเดียวกัน ซึ่จะทำได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าเบาะ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร เอาไว้เก็บสุดท้ายก็ได้ครับ จากนั้นก็มาถึงเวลาสำคัญคือ การตากให้แห้ง งานนี้ถ้าหากคุณนึกว่าแค่ยกไปตั้งตากแดดไว้เฉยๆ มันก็น่าจะใช้ได้ ครับมันก็ไม่ผิดแต่จะสิ้นเปลืองเวลาเอาพอสมควร แทนที่จะใข้เวลาแค่ 2 วัน ถึงจะแห้งกลับต้องใช้ถึง 3 วัน อะไรประมาณนั้น ดังนั้นการตากแดดจึงต้องมีการจัดวางที่เหมาะสมด้วยการเอนเบาะลงไปให้เกือบราบ จากนั้นให้หนุนขาเบาะด้านหลังให้สูงกว่าด้านหน้าหน่อยหนึ่ง โดยดูจากการไหลของน้ำ ซึ่งเราจะทำให้น้ำไหลออกมาทางด้านหน้าเท่านั้น ไม่ใช่พอวางเบาะไว้กับพื้นแล้วน้ำไหลไปทางด้านหลัง แบบนี้ตากกันนานเลยกว่าจะแห้ง ดังนั้นต้องให้น้ำไหลออกมาทางด้านหน้า แล้วก็ต้องคอยหมุนเบาะให้โดนแดดให้เต็มที่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าดูเวลาแบบที่น่าจะเป็นไปได้แล้ว เราลงมือถอดเบาะกันเช้าหน่อย พอเที่ยงก็ยกมาตากแดดได้แล้ว เย็นๆ ก็จะหมาดๆ พอวันรุ่งขึ้นก็สามารถจะใช้เวลาตากแดด กันได้อีก 1 วันเต็มๆ พอเย็นๆ เราก็ประกอบกลับได้แล้ว
ซึ่งเมื่อเบาะแห้งดีแล้วเราสามารถจะตรวจสอบดูได้ง่ายๆ ครับ โดยการลองนั่งดู ถ้าหากยังรู้สึกว่าก้นเย็นๆ หรือสักพักก็จะเปียกอย่างนี้ใช้ไม่ได้ต้องตากเอาไว้อีกสัก 1 วัน แต่ถ้านั่งแล้วแห้งสบายๆ ดมดูก็จะหอมกลิ่นแดด (เหมือนกับผ้าตากเสร็จใหม่ๆ นั่นแหละครับ) ก็ถือว่างานเสร็จลุล่วงไปด้วยดี

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:35:48 ]






ความคิดเห็นที่ 97

97.มาดูเบาะหนังกันบ้าง

คราวนี้มาล้างเบาะหนังกันบ้าง ถ้าหากคิดว่าเราจะยกเอาเบาะหนังออกมาล้างเหมือนกับเบาะผ้านี่ ขอให้คิดใหม่เพราะถ้าเป็นไวนิลหรือหนังเทียมก็พอจะยกออกมาล้างได้เหมือนกัน สะดวกกว่าด้วย แต่ถ้าเป็นหนังแท้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย คือเป็นหนังแท้ทั้งเบาะหรือแค่บางส่วน ห้ามยกออกมาล้าง ห้ามตากแดดนะครับ เขากรรมวิธีของเขาอยู่แล้ว ง่ายๆ เบาแรงแต่ใช้เวลามาก
-- เริ่มกันด้วยน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาด ไม่แนะนำให้ใช้ผงซักฟอกเพราะจะทำให้หนังแห้งและแข็ง แต่ขอให้ใช้น้ำสบู่เหลวที่มีขายกันอยู่ทั่วไปนี่แหละมาละลายน้ำสะอาดๆ อุปกรณ์ที่เหลือก็จะเป็นแปรงสีฟัน กับผ้าขนหนูเท่านั้นเอง
- สาเหตุที่ให้ใช้แปรงสีฟันอ่อนๆ ก็เพราะผิวหน้าของหนังนั้นจะเป็นร่องเล็กๆ ซึ่งเป็นลายธรรมชาติของมัน นอกจากนั้นตัวหนังเมื่อโดนความชื้น หรือน้ำก็จะมีความอ่อนตัว ซึ่งถ้าเป็นแปรงที่มีความแข็งมากเกินไป มันจะขูดทำลาย ผิวหน้าจนเกิดเป็นขุยขึ้นมา จึงควรใช้แปรงสีฟันที่เราใช้งานจนหมดสภาพแล้วก็ได้ (ความจริงซื้อของใหม่ก็ราคาไม่เท่าไรนะ เพราะไม่จำเป็นต้องซื้อของแพงอยู่แล้ว) เมื่อได้เวลาอันสมควรก็จัดการใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำยาที่ผสมเอาไว้ บิดให้พอหมาดๆ เพื่อเอาไปเช็ดให้ทั่วเบาะ ในขึ้นตอนนี้จะสามารถล้างเอาสิ่งสกปรกออกมาได้ในระดับพื้นผิว เมื่อเช็ดไปสัก 2 รอบเราก็ใช้แปรงสีฟันชุบน้ำยาเอาไปขัดเบาะๆให้ทั่วเบาะ จะสามารถเห็นความสกปรกได้อย่างชัดเจนจากขนแปรง ที่ดำขึ้นมาทันที
- เมื่อขัดและเช็ดจนมั่นใจว่าสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว สุดท้ายก็จะเป็นการเช็ดล้างด้วยน้ำเปล่า เพื่อเอาคราบน้ำสบู่ออก ซึ่งงานนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แปรงก็ได้ ใช้เพียงผ้าขนหนูสะอาดๆ ชุบน้ำบิดพอหมาดแล้วเอาไปเช็ดที่เบาะอีกสัก 2-3 รอบเท่านี้เบาะรถคุณก็จะกลับมาสดใสเหมือนใหม่อีกครั้ง เกือบลืมไป การจะตากให้เบาะหนังแห้งนั้นแค่เปิดกระจกไว้หน่อย เท่านั้นก็พอครับ เพราะตัวเบาะหนังไม่ได้ชุ่มน้ำเหมือนกับเบาะผ้า และเมื่อแห้งดีแล้วก็ลงน้ำยารักษาหนังได้อีกเพื่อช่วยคงความนุ่มมวลและยังเป็นการช่วยยืดอายุของหนัง ไม่ให้เปื่อยเร็วอีกด้วย

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:36:15 ]






ความคิดเห็นที่ 98

**.มาดูเบาะหนังกันบ้าง

คราวนี้มาล้างเบาะหนังกันบ้าง ถ้าหากคิดว่าเราจะยกเอาเบาะหนังออกมาล้างเหมือนกับเบาะผ้านี่ ขอให้คิดใหม่เพราะถ้าเป็นไวนิลหรือหนังเทียมก็พอจะยกออกมาล้างได้เหมือนกัน สะดวกกว่าด้วย แต่ถ้าเป็นหนังแท้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย คือเป็นหนังแท้ทั้งเบาะหรือแค่บางส่วน ห้ามยกออกมาล้าง ห้ามตากแดดนะครับ เขากรรมวิธีของเขาอยู่แล้ว ง่ายๆ เบาแรงแต่ใช้เวลามาก
-- เริ่มกันด้วยน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาด ไม่แนะนำให้ใช้ผงซักฟอกเพราะจะทำให้หนังแห้งและแข็ง แต่ขอให้ใช้น้ำสบู่เหลวที่มีขายกันอยู่ทั่วไปนี่แหละมาละลายน้ำสะอาดๆ อุปกรณ์ที่เหลือก็จะเป็นแปรงสีฟัน กับผ้าขนหนูเท่านั้นเอง
- สาเหตุที่ให้ใช้แปรงสีฟันอ่อนๆ ก็เพราะผิวหน้าของหนังนั้นจะเป็นร่องเล็กๆ ซึ่งเป็นลายธรรมชาติของมัน นอกจากนั้นตัวหนังเมื่อโดนความชื้น หรือน้ำก็จะมีความอ่อนตัว ซึ่งถ้าเป็นแปรงที่มีความแข็งมากเกินไป มันจะขูดทำลาย ผิวหน้าจนเกิดเป็นขุยขึ้นมา จึงควรใช้แปรงสีฟันที่เราใช้งานจนหมดสภาพแล้วก็ได้ (ความจริงซื้อของใหม่ก็ราคาไม่เท่าไรนะ เพราะไม่จำเป็นต้องซื้อของแพงอยู่แล้ว) เมื่อได้เวลาอันสมควรก็จัดการใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำยาที่ผสมเอาไว้ บิดให้พอหมาดๆ เพื่อเอาไปเช็ดให้ทั่วเบาะ ในขึ้นตอนนี้จะสามารถล้างเอาสิ่งสกปรกออกมาได้ในระดับพื้นผิว เมื่อเช็ดไปสัก 2 รอบเราก็ใช้แปรงสีฟันชุบน้ำยาเอาไปขัดเบาะๆให้ทั่วเบาะ จะสามารถเห็นความสกปรกได้อย่างชัดเจนจากขนแปรง ที่ดำขึ้นมาทันที
- เมื่อขัดและเช็ดจนมั่นใจว่าสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว สุดท้ายก็จะเป็นการเช็ดล้างด้วยน้ำเปล่า เพื่อเอาคราบน้ำสบู่ออก ซึ่งงานนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แปรงก็ได้ ใช้เพียงผ้าขนหนูสะอาดๆ ชุบน้ำบิดพอหมาดแล้วเอาไปเช็ดที่เบาะอีกสัก 2-3 รอบเท่านี้เบาะรถคุณก็จะกลับมาสดใสเหมือนใหม่อีกครั้ง เกือบลืมไป การจะตากให้เบาะหนังแห้งนั้นแค่เปิดกระจกไว้หน่อย เท่านั้นก็พอครับ เพราะตัวเบาะหนังไม่ได้ชุ่มน้ำเหมือนกับเบาะผ้า และเมื่อแห้งดีแล้วก็ลงน้ำยารักษาหนังได้อีกเพื่อช่วยคงความนุ่มมวลและยังเป็นการช่วยยืดอายุของหนัง ไม่ให้เปื่อยเร็วอีกด้วย
แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 50 01:47:48

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:37:35 ]







ความคิดเห็นที่ 99

98.ไฟหน้าไม่สว่างทำไงดี

ไฟหน้ารถยนต์ที่ใช้กันมาเป็นระยะเวลานานหลายปีตอนนี้อาจส่องแสงสว่างนำทางเราไปตามที่ต่างๆ ในยามค่ำคืนได้แบบไม่สดใสเหมือนเดิม แบบนี้มันเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน เริ่มจาก หลอดไฟหน้าที่ใช้มาเป็นเวลานานเริ่มจะใกล้หมดอายุ เนื่องจากหลอดไฟหน้าจะมีอายุการใช้งานของมันเหมือนกัน ท่านที่ใช้รถบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลากลางคืนควรตรวจดูบ้างก็ดีนะครับว่าสภาพของหลอดไฟหน้าเป็นอย่างไร บ้างแล้วจะได้เปลี่ยนใหม่เพื่อความปลอดภัยดีกว่าทนใช้อยู่แล้วเกิดวิ่งไปไฟหน้าดับกลางทาง เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร (โดยเฉพาะที่วิ่งอยู่ตามต่างจังหวัดหรือบนถนนมืด ๆ บ่อย ๆ อันตรายนะจะบอกให้ )

สาเหตุต่อไป อาจเกิดจากสภาพของสายไฟรวมไปถึงปลั๊กเสียบที่ขั้วหลอดไฟหน้าเก่าเกินไปหรือหมดอายุใช้งาน ซึ่งก็จะทำให้ไฟหน้าไม่สว่างได้สายไฟพวกนี้จะโดนความร้อนภายในห้องเครื่องตลอดเวลาทำให้เสื่อมสภาพกระแสไฟที่จะจ่ายไปยังหลอดไฟหน้าไม่สามารถเดินผ่านได้สะดวกไฟหน้าจึงสว่างไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็นบางท่านนึกว่าไฟหน้าของเดิมสว่างไม่พอเลยเล่นเปลี่ยนไปใช้แบบวัตต์สูง ๆ คิดว่าจะสว่างแต่ไหงยัง หน้ามืดเหมือนเดิม อันนี้ต้องขอบอกว่าท่านใดที่ใช้วิธีนี้ ก็ควรติดตั้งรีเลย์ไฟหน้าเพิ่มขึ้นจะได้แสงสว่างมากกว่าเดิม แต่ถ้าไม่เพิ่มรีเลย์เปลี่ยนเฉพาะหลอดไฟหน้าวัตต์สูงบอกได้เลยครับเสียเงินเปล่า ๆ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:38:59 ]






ความคิดเห็นที่ 100

99.ปัญหาความร้อน ความสำคัญของเครื่องยนต์ที่เกิดจาสภาพอากาศ


อากาศในบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เช่น ฤดูฝนเป็นช่วงที่อากาศมีความชื้นสูง และในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนจะมีฝุ่นละอองมากมายในอากาศ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นฤดูร้อนมากกว่าฤดูอื่น

ในประการแรกเลย เราต้องจับจุดและสังเกตดูที่หน้าปัด คือ ดูเกจวัดความร้อนเสียก่อนว่าความร้อนโดยเฉลี่ยจากการใช้รถในรายวันของเรา และเราต้องใช้รถไปนานเท่าใดจึงจะเข้าสู่ภาวะปรกติ ขณะที่รถติดไฟแดงนาน ๆ เคลื่อนที่ไม่ได้ ความร้อนอยู่ระดับไหน อาจจะอยู่ครึ่งกลาง หรือเลยตรงกลางเล็กน้อย เราต้องจำตรงนี้ให้แม่นยำครับ ในกรณีที่วันหนึ่งวันใด มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงเราจะได้รู้ได้ จากที่มีความรู้ในการดูแลเกจความร้อนแล้วคราวนี้เราก็มาดูอุปกรณ์โดยรวม ๆ ในห้องเครื่องยนต์

อันดับแรกเลยคือ หม้อน้ำ ในการสำรวจหม้อน้ำเราต้องดูฝาหม้อน้ำ ยางบริเวณที่สตรีมไว้ระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง ซึ่งฝาหม้อน้ำมักจะมี 2 ชั้นเสมอ เราต้องดูว่ายางเหล่านั้นเปื่อยยุ่ยหรือไม่ ถ้าเกิดการเปื่อยยุ่ยเมื่อใด วาล์วน้ำอันละไม่กี่บาท อย่างธรรมดาก็ราว ๆ 100 กว่าบาท ควรจะเปลี่ยนวาล์วหม้อน้ำใหม่ เมื่อเปิดฝาหม้อน้ำดูให้สังเกตความขุ่นของน้ำในหม้อน้ำเสียก่อน ถ้าขุ่นข้นเราก็ควรถ่ายน้ำทิ้ง แล้วก็เติมน้ำที่ป้องกันสนิมใส่เข้าไปใหม่ ในกรณีที่หาน้ำกันสนิมก็ควรถามอู่หรือร้านขายว่าเป็นชนิดที่ป้องกันสนิม หรือชนิดที่ชำระล้าง ก็ควรใช้ชนิดที่ป้องกันสนิมจะดีกว่า จากที่เราดูฝาหม้อน้ำและก็มาดูหม้อน้ำโดยรวม ๆ ดูว่าบริเวณรังผึ้งมีการเปื่อยยุ่ยหรือถ้าน้ำในหม้อน้ำเกิดการรั่วซึมและบริเวณหม้อน้ำมีการปริแตกด้วยหรือเปล่า

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:46:29 ]






ความคิดเห็นที่ 101

100. ต่อมาก็คือท่อยาง ท่อยางหม้อน้ำจะมีท่อยางบนและล่าง ส่วนบนอาจเป็นท่อใหญ่ หรือท่อเล็กก็ได้ ท่อยางควรจะมีความหนืดเหนียว ไม่ใช่บวม เปื่อยยุ่ย หรือนุ่มนิ่ม จากการสัมผัสดูก็รู้ว่าท่อยางที่ใช้อยู่นั้นมีคุณภาพดีหรือไม่ อาจไม่ใช่แค่ท่อยางหม้อน้ำบนหรือล่าง แต่ต้องดูท่อยางทุก ๆ ท่อที่ส่งไปยังเครื่องยนต์ที่เราสามารถดูได้ด้วยตาเปล่า ดูว่ามียางตัวไหนไม่แน่นหรือกำลังจะเปื่อย แม้กระทั่งท่อยางที่ต่อไปในมิเตอร์บางรุ่นก็ควรที่จะตรวจสอบในเรื่องของท่อนั้น ถ้าหากสงสัยหรือเห็นท่อยางตัวใดตัวหนึ่งเปื่อยยุ่ยจะต้องถือว่าเป็นของชำรุดไม่ต้องรอให้หมดอายุก่อน ก็ควรรีบเปลี่ยน

จากอุปกรณ์ท่อน้ำที่เราดูโดยรวม ๆ เท่าที่จะสามารถดูได้ หาได้ก็คือ ท่อพักน้ำ กระเปาะพักน้ำ หรือหม้อน้ำพักน้ำอะไรก็แล้วแต่ที่มีอยู่ในตัวรถ ไม่ว่ารถรุ่นไหนก็ตามที่มีหม้อน้ำพักน้ำก็ต้องตรวจหม้อน้ำว่าสามารถเก็บกักน้ำได้หรือไม่ ท่อมีการบวมแป่ง หรือเปื่อยยุ่ยหรือไม่

ถัดไปเป็นเรื่องของปลั๊กไฟต่าง ๆ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความร้อนก็คือ ปลั๊กไฟที่เป็นพัดลม หรือจะเป็นตัวพัดลมก็ตาม ในปลั๊กไฟต่าง ๆ ให้ดูขั้วสาย ดูรอยรั่ว รอยเปื่อยของสายไฟต่าง ๆ ต้องตรวจสอบให้ละเอียด จากนั้นก็ทดลองเอามือไปจับตามปลั๊กไฟต่าง ๆ ในขณะที่เราสับสวิตซ์แล้วนะครับ จับดูว่าใบพัดมีการคลอน การเขย่าตัว บูสต์ของมอเตอร์มีการหลวมตัวด้วยหรือเปล่า เพราะพัดลมไฟฟ้าจะทำงานขณะเครื่องยนต์มีความร้อน แล้วก็ต้องทำงานต่อเนื่องด้วย ต้องประเมินสถานการณ์พัดลมไฟฟ้าที่ใช้อยู่ด้านหน้า ไม่ว่าพัดลมแอร์หรือพัดลมหม้อน้ำก็ตามโอกาสที่พัดลมไฟฟ้าเกิดความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ขอบอกว่าพัดลมถ้าเสียแล้วลมไม่ไหลผ่าน ถ้าเผลอไม่ดูเกจหน้าปัด ความร้อนโอเวอร์ฮีทขึ้นมา พอดูอีกทีก็ขึ้นมาจนถึงขีดแดงแล้ว เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างใหญ่หลวง







Create Date : 13 มกราคม 2550
Last Update : 13 มกราคม 2550 1:02:35 น. 0 comments
Counter : 363 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

บั้งไฟลาว
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ

[Add บั้งไฟลาว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com