บั้งไฟลาวกับสาวๆตากลม
<<
มกราคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
13 มกราคม 2550
 
 
***///*** 100 ทริป....ภาค3 ครับ ***///*** **

36.สายพาน ส่วนสำคัญของเครื่องยนต์
ลำพังถ้าสายพานคอมเพรสเซอร์แอร์ขาดก็เป็นเพียงแต่ร้อนหน่อยเพราะแอร์ไม่ทำงาน เปิดกระจกขับก็พอจะค่อยยังชั่ว หรือหากสายพานเพาเวอร์พวงมาลัยก็จะทำให้พวงมาลัยหนักมือขึ้นเท่านั้นเอง แต่ถ้าเผอิญสายพานไดชาร์จจะขาด เมื่อไม่มีไฟชาร์จเพิ่ม พอไฟในหม้อแบตเตอรี่หมดเครื่องก็แป้ก หรือกรณีที่เป็นเครื่องดีเซลไม่พึ่งพาหัวเทียนในการจุดระเบิดก็อาจไปได้ไกลหน่อย แต่ในที่สุดก็ไม่รอดอยู่ดีเนื่องจากระบบหัวฉีดและระบบควบคุมหัวฉีดของเครื่องดีเซล (รุ่นใหม่) ต้องอาศัยไฟฟ้าเป็นตัวทำงาน
หรือหากเป็นตัวที่ปั๊มน้ำก็จะทำให้ไม่มีการหมุนเวียนของน้ำ เครื่องยนต์ไม่สามารถระบายความร้อนได้ก็จะเกิดอาการโอเวอร์ฮีทจนชำรุดเสียหายได้อย่างไรก็ตามรถสมัยนี้ใช้สายพานน้อยเส้นสายพานเส้นเดียขับเคลื่อนอุปกรณ์แทบทุกชนิด ดังนั้นหากสายพานขาดก็หมายความว่าเป็นเรื่องแน่นอน แถมหลายเรื่องอีกด้วย นอกจากนี้ในรถบางรุ่นยังมีสายพานที่สำคัญมากอีกตัวคือ สายพานไทมิ่งหรือสายพานขับเคลื่อนแค็มชาฟท์ เจ้าสายพานตัวนี้ไม่ต้องถึงกับขาดหรอก แค่ยืดตัวหรือเกิดการลื่นกระโดดข้ามร่องเท่านั้น เครื่องยนต์ก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้แล้ว

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:06:32 ]






ความคิดเห็นที่ 37

37. สิ่งที่บ่งบอกให้ทราบว่าต้องเปลี่ยนสายพาน ก็อย่างเช่น รอยปริรอยแตกที่ด้านล่างของสายพาน หรือมีร่องรอยการกร่อนใต้สายพาน เส้นใยฉีกขาดแสดงว่ามีสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ในพูลเล่ย์หรือลูกรอกเจาะเข้าไปในสายพานและเข้าไปทำลายเส้นใยจนฉีกขาด หรืออาจเป็นเพราะหนูแทะ หากผิวสายพานเป็นมันเพราะการเสียดสีระหว่างพูลเล่ย์กับสายพานจนผิวสายพานลื่นเป็นมันแบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ นอกจากนี้หากพบว่าสายพานมีร่องฟันไม่สม่ำเสมอ มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดหลังจากใช้สายพานมาระยะหนึ่ง (ช่วงที่เปลี่ยนสายพานใหม่ ๆ เมื่อใช้ไประยะหนึ่งอาจเกิดมีเสียงสายพานดังขึ้นมาเป็นครั้งแรกเกิดจากการยืดตัวของสายพาน ซึ่งสามารถแก้ไขโดยการตั้งสายพานให้ตึงเพิ่มขึ้น เสียงที่ดังก็จะเงียบลงไป) ควรรีบเปลี่ยนสายพานเส้นใหม่โดยเร็ว ถึงแม้จะสามารถใช้วิธีตั้งสายพานให้ตึงเพื่อกำจัดเสียงได้ก็ตาม ทั้งนี้เพราะอาการนี้เป็นการแสดงให้ทราบว่าสายพานเริ่มหมดอายุแล้ว
ดังนั้นสายพานของเครื่องยนต์จึงมีความสำคัญอย่างมากสมควรที่ผู้ใช้รถจะต้องเอาใจใส่ดูแล ปรับตั้งระยะ และเปลี่ยนใหม่ในวาระที่สมควร เพราะหากขาดการดูแลเท่าที่ควรจนกระทั่งสายพานไปก่อปัญหายามเดินทาง เรื่องเล็ก ๆ เสียเงินน้อย ๆ ก็อาจจะลุกลามไปเป็นเรื่องใหญ่และเสียเงินเยอะ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:06:55 ]






ความคิดเห็นที่ 38

38. ยางระเบิดในขณะขับรถ
มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง ถอนคันเร่งออก ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจ มองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาด เพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนน รถจะลอยตัว บังคับได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลัก ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน เมื่อความเร็วลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิด ล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้ายรถก็แฉลบไปด้านซ้ายแล้วก็จะสะบัดกลับและสะบัดไปด้านซ้ายอีกสลับกันไป และในทำนองตรงกันข้าม หากระเบิดด้านขวาอาการก็จะกลับเป็นตรงข้าม อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูงมาก ๆ พอยางระเบิดขึ้นมารถก็จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูง ๆ จึงมักแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในขณะขับรถ จึงไม่ควรขับรถเร็ว

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:07:21 ]






ความคิดเห็นที่ 39

39.ยางแตก
การระเบิดของยางเกิดจากการที่อากาศขยายตัว ซึ่งมาจากการที่มีความร้อนเกิดขึ้นโดยต้นเหตุของความร้อนมีด้วย
กัน 2 ทาง ทางแรกจากความร้อนภายนอก เช่น ความร้อนจากการเสียดสีของยางกับถนน ความร้อนจากการวิ่งด้วย
ความเร็วสูงเป็นระยะต่อเนื่องนาน ๆ ความร้อนจากผิวถนนเอง ความร้อนที่เกิดจากผิวถนนเองจริง ๆ แล้วไม่ค่อย
มีผลเท่าไร แต่ความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีระหว่างยางกับถนนกลับมีผลมากกว่า เช่น ในขณะที่เบรคกระทันหัน
ล้อจะล๊อคเพราะถูกเบรคจับไว้ ทำให้ยางเสียดสีกับถนนเป็นเวลานาน หรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องจนยางเกิดความร้อนเสียสมดุล หลุดออกจากกระทะล้อ หรือแม้แต่ขนาดของยางกับกระทะล้อไม่สัมพันธ์กัน
อีกสาเหตุนึงของความร้อนคือ การขยับตัวของโครงสร้างยาง ในส่วนที่เป็นแก้มยาง ยางที่สูบลมอ่อนเกินไป จะยิ่งมีการถูกกด และยืดตัวมากกว่ายางที่สูบลมแข็งจึงเกิดการระเบิดได้ง่ายดังนั้นการเดินทางไกลด้วยความเร็วสูง จึงน่าจะเติมลมยางให้สูงกว่าปรกติ สัก 2 ปอนด์

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:07:42 ]






ความคิดเห็นที่ 40

40. ต้นเหตุอีกอย่างที่ทำให้ยางระเบิด อันไม่ใช่เกิดจากการขยายตัวของยางแต่กลับ เป็นในทางตรงกันข้าม คือ อากาศ ภายในยางหดตัวเร็วเกินไปสาเหตุนี้พบได้กับรถที่วิ่งเป็นเวลานาน ๆ แล้วอยู่ ๆ ไปเจอกับน้ำที่ขังอยู่หรือฝนที่ตกอยู่ด้านหน้า เมื่อยางที่ร้อนเจอกับน้ำที่เย็นอากาศภายจะหดตัวอย่างเร็วก็ทำให้ยางระเบิดขึ้นมาได้หรืออย่างน้อยก็ทำให้ยางเกิดการหดตัวจนส่วนที่เป็นยางกับโครงสร้างผ้าใบแยกออกจากกันที่เรียกกันว่ายางร่อน ยางบวมนั่นเองการปล่อยลมออกจากยางในขณะที่ยังร้อนอยู่อย่างเร็ว ก็จะทำให้เกิดการแย่งกันออกของลมภายในยางจนทำให้ยางฉีกขาดได้ตรงบริเวณที่ปล่อยลมออก ดังนั้นถ้าต้องการลดลมยางก็ควรรอให้ยางเย็นลงก่อนการป้องกันยางรั่ว หรือแตกกลางทางยังพอมีทางที่จะทำได้สำหรับบางสาเหตุ เช่นสาเหตุที่เกิดจากการถูกของมีคมทิ่มตำ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:08:15 ]






ความคิดเห็นที่ 41

41.ปัจจุบันมีผู้ผลิตสารเคมีขึ้นมาสำหรับใส่เข้าไปในยาง เพื่อให้เดินทางต่อไปได้ โดยที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียสารเคมีดังกล่าวมีการทำงาน 2 แบบ แบบแรกเป็นสารที่เติมเข้าไปหลังจากที่ยางเริ่มจะรั่วแบนแล้ว แบบนี้ใช้ได้เพียงแค่ประคองรถไปให้ถึงจุดที่มีลมเพียงพอต่อการเติมเพิ่มเข้าไป เพราะปริมาณของน้ำยาที่ถูกฉีดเข้าไปนั้นเพียงพอต่อการอุดรูรั่วซึม และการขยายตัวเป็นอากาศได้ในปริมาณที่ไม่มากนักที่น่าสนใจ กลับเป็น สารเคมีชนิดที่เติม ป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า ชนิดนี้มีข้อดี ก็คือสามารถกักเก็บลมเอาไว้ในยาง และอุดรูรั่วนั้นให้ปิดสนิทได้ ข้อเสียคือ มีราคาที่ค่อนข้างแพง และยางที่ถูกของมีคมขนาดใหญ่ ก็ไม่สามารถอุดรูรั่วได้ และยางที่ผ่านสารเคมีประเภทนี้จะไม่สามารถอุด หรือซ่อมได้
ส่วนในสารเคมีบางแบบ ก็อาจทำให้เสียสมดุลย์ หรือเกิดอาการสั่นได้บ้างฉะนั้นก่อนที่จะใช้ก็ควรศึกษารายละเอียดจากฉลากข้างบรรจุให้ดีก่อน ไม่ว่าท่านจะเลือกใช้วิธีการใดก็ตาม ก็ควรที่จะดูแลยางอะไหล่ แม่แรง ประแจขันน๊อตให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้เสมอ. ยางรั่ว ยางแบน

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:08:34 ]






ความคิดเห็นที่ 42

42..หมอนพิงศีรษะสำคัญกว่าที่คิด
เมื่อผู้ขับขี่ปรับหมอนพิงศีรษะให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง มันจะป้องกันไม่ให้ศีรษะสะบัดไปด้านหลังอย่างรุนแรง จนเกิดอันตรายระยะที่ดีที่สุดในการป้องกันคือ ต้องปรับความสูงของหมอนพิงศีรษะให้สูงกว่าปลายบนสุดของใบหู และต้องให้มีระยะห่าง Backset น้อยกว่า 10 ซม. และถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่าการออกแบบลักษณะหมอนในหลายๆรุ่น จะมีการงองุ้มมาด้านหน้าเพื่อให้อยู่ใกล็ศีรษะที่สุด การตรวจสอบตำแหน่งง่ายๆ คือ ถ้าพิงตัวลงไปที่เบาะเต็มที่ แล้วศีรษะด้านหลังส่วนที่เป็นกะโหลกแข็งๆ (Occiput) สัมผัสกับหมอนพิงศีรษะ แสดงว่าปรับได้ตำแหน่งที่ปลอดภัย ถ้าพิงไปแล้วหมอนมารับท้ายทอย อย่างสบาย เท่ากับว่าปรับหมอนต่ำเกิน และอุปกรณ์ที่ต้องใช้ร่วมกันเสมอ และไม่ต้องเน้นกันอีกแล้วคือเข็มขัดนิรภัย

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:08:55 ]






ความคิดเห็นที่ 43

43. เรื่องของเข็มขัดนิรภัย
หลายสิบปีมาแล้วที่เข็มขัดนิรภัยถูกนำมาใช้ในรถยนต์ และช่วยชีวิตคนจากอุบัติเหตุมากมาย โดยเริ่มต้นจากแบบ 2 จุดคาดเอว-ยึดตายตัว พัฒนามาเป็นแบบ 3 จุด คาดเอว-พาดไหล่ทแยงลำตัว-ยึดตายตัว ต่อมาประสบความสำเร็จในการพัฒนา และใช้ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ คือ แบบ 3 จุดที่มีตัวรอกม้วนแบบกลไก คลายตัวได้ตอนปกติ เพื่อไม่ให้อึดอัด ล็อคตัวเมื่อเกิดแรงกระแทกหรือเบรกแรงๆ และหดตัวกลับเมื่อปลด ในด้านจำนวนในการติดตั้งก็มีความเปลี่ยนแปลง จากเดิมมีเฉพาะคู่หน้า ก็เพิ่มสำหรับผู้โดยสารด้านหลังด้วย และจากเดิมที่เป็นแบบมีรอกม้วนเฉพาะด้านหน้า ด้านหลังแบบ 3 จุด-ยึดตายตัวแค่ 2 ที่นั่งริมนอก ส่วนที่นั่งกลางเป็นแบบคาดเอว 2 จุด
ระยะหลังมานี้เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นมาตรฐานไปแล้ว ที่อย่างน้อยรถยนต์นั่ง จะมีเข็มขัดนิรภัย 3 จุดแบบมีรอก 4 ที่นั่ง + 2 จุดสำหรับที่นั่งกลาง ด้านหลัง และถ้าเป็นรถยนต์รุ่นที่มีราคาแพงหรือขนาดใหญ่สักหน่อย ก็จะเป็น 3 จุดมีรอกครบ 5 ที่นั่ง หากเป็นมินิแวนก็ครบทุกที่นั่ง

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:09:15 ]






ความคิดเห็นที่ 44

44. เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ อาจทำให้ผู้คนมองเข็มขัดนิรภัยในแง่ลบ เช่น รถยนต์ตกน้ำ ไฟไหม้ หรือชนแล้วไม่ตาย แต่กระดูกหักเพราะการรั้งของเข็มขัด ในความเป็นจริง ไม่ควรกลัวการบาดเจ็บจากการรั้งของแถบเข็มขัดนิรภัย เพราะให้คิดอีกแง่ว่า ถ้าไม่รั้งไว้ ก็ต้องพุ่งไปด้านหน้าหรือกระเด็นไปตามแรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้น

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:09:46 ]






ความคิดเห็นที่ 45

45.เข็มขัดนิรภัยรั้งกลับอัตโนมัติ ฯลฯ
จะทำงานเมื่อเกิดแรงกระแทกถึงกำหนดเท่านั้น ทำงานร่วมกับอุปกรณ์วัด แรงกระแทก และตัวรอกเองก็มีระบบพิเศษ เช่นไฟฟ้าหรือชนวนสร้างแรงดึง ปกติแล้วจะคลายตัวได้เพื่อไม่ให้อึดอัด หากเกิดแรงกระแทกถึงกำหนด ระบบจะสั่งงานให้รอกม้วนตัวกลับอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงเศษส่วนของวินาที เพื่อให้ร่างกายแนบกับเบาะที่สุด เมื่อทำงานแล้วชุดรอกจะเสียเลย ต้องเปลี่ยนชุดใหม่ มีใช้ในรถยนต์ราคาแพงหลายรุ่นมานานหลายปีแล้ว

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:10:07 ]






ความคิดเห็นที่ 46

46.รั้งกลับล่วงหน้า
เป็นพัฒนาการอีกแนวทางหนึ่ง โดยใช้รอกแบบไฟฟ้า ที่มีการสั่งงานโดยรับข้อมูลมาจากหลายเซ็นเซอร์ ไม่ใช่แค่เซ็นเซอร์วัดแรงกระแทก การทำงานจะมีการดึงเข็มขัดนิรภัยให้ม้วนกลับเบาๆ เมื่อมีสภาพการขับแปลกๆ เช่น หากจอด ขับทางตรง เข้าโค้งหมุนพวงมาลัยด้วยความเร็วปกติ เข็มขัดนิรภัยก็จะคลายตัวหากต้องการขยับตัว เพื่อไม่ให้เกิดความอึดอัด เมื่อไรที่ขับไม่ปกติ เช่น เลี้ยวเร็วเพื่อหลบสิ่งกีดขวาง (คล้ายขับสลาลอม) เข้าโค้งโดยหมุนพวงมาลัยเร็ว ระบบก็จะสั่งให้รอกม้วนตัวรั้งเข็มขัดนิรภัยกลับเบาๆ ให้แนบกับลำตัวคน เสมือนเตรียมพร้อมในขั้นแรก หากเกิดการชนก็จะรั้งอย่างรวดเร็วและแน่นขึ้น ร่างกายคนก็จะแนบอยู่กับเบาะ เกิดแรงกระชากด้วยตัวเข็มขัดน้อยกว่า เพราะกลายเป็นแรงดึงที่เกิดขึ้นล่วงหน้า เข็มขัดนิรภัยแบบรั้งกลับล่วงหน้า มีการรั้งเบาๆ เตรียมพร้อมที่จะรั้งกลับให้แน่นเมื่อเกิดการชน นับเป็นพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เพิ่มความปลอดภัยภายหลังการชนได้ดีมาก แต่มีใช้ในรถยนต์ราคาแพงเป็นหลัก จะแพร่หลายอย่างช้าๆ เพราะมีต้นทุนสูงและมีความซับซ้อนในการทำงานมาก

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:10:27 ]






ความคิดเห็นที่ 47

47.การใช้งาน ก็ไม่มีความซับซ้อนในการใช้งาน ทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ว่าจะนั่งหน้าหรือนั่งหลัง และคาดให้เรียบร้อยก่อนรถยนต์เคลื่อนที่ในครั้งแรก และไม่ปลดเข็มขัดนิรภัยล่วงหน้าก่อนรถยนต์หยุดสนิทอย่างปลอดภัย ความประมาทของคนไทยที่พบบ่อย คือ ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยเมื่อขับในเมืองหรือการจราจรคับคั่ง เพราะคิดไปเองว่าขับช้า ใช้ความเร็วเป็นตัวตัดสินว่าควรคาดหรือไม่ หรือคนนั่งหลังไม่คาด เพราะคิดว่าไม่มีพวงมาลัยให้เสี่ยงต่อการกระแทก หรือมีพนักพิงของเบาะหน้าที่ไม่แข็งมาก

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:10:50 ]






ความคิดเห็นที่ 48

48. จาระบี
เหล็กต่อเหล็กเสียดสีกันตลอดเวลา ก็ต้องมีสารหล่อลื่นเข้ามาช่วยลดการเสียดทานและการสึกหรอ รถยนต์รุ่นก่อนๆ นั้น ลูกหมากชุดนี้จะมีช่อง หรือ รู ให้เติมจาระบีได้ เมื่อจาระบีเสื่อมสภาพ หรือ ลดน้อยลงไป รู หรือ ช่องเติมนี้ เรียกกันว่า หัวอัดจาระบี (Grease nipples) การจะใส่จาระบีเข้าไปในลูกหมาก ก็กระทำได้วิธีเดียว คือการอัดด้วยเครื่องมือ ที่เรียกว่า กระบอกอัดจาระบี (Grease gun) คำว่า ฉีด ก็หมายถึงการฉีดล้างด้วยน้ำแรงดันสูง ที่ต้องมีการฉีดก็เพื่อต้องการล้างคราบสิ่งสกปรกโดยเฉพาะบริเวณที่จะต้องอัดจาระบี

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:11:15 ]






ความคิดเห็นที่ 49

49.สำหรับรถยนต์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะรถเก๋ง หมดความจำเป็นทั้งเรื่องการอัด และการฉีดไปแล้ว เพราะจุดหล่อลื่นพวกลูกหมากต่างๆนั้น จะถูกอัดจาระบีมาจากแหล่งผลิตเรียบร้อยแล้ว เป็นจาระบีประเภท Long-term greases (NLGI class 2) จะมีที่ต้องใช้บริการอัดฉีดอยู่บ้าง ก็เป็นรถกระบะทุกประเภท รวมทั้งรถขับ 4 ล้อทุกชนิด แต่ก็บางยี่ห้อเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นรถบรรทุกขนาดกลาง และขนาดใหญ่ที่ยังต้องใช้บริการทั้งอัดและฉีดนี้อยู่ กล่าวกันในรถเก๋ง รถกระบะ และรถขับ 4 ล้อ ก็มีจาระบีให้ใช้กันอยู่ 2 ชนิด คือ จาระบีอเนกประสงค์ (Multipurpose greases NLGI class 2) และจาระบีทนความร้อน (High-temperature roller bearing NGLI class 2 ชนิด Li complex soap grease) หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า จาระบีลูกปืนล้อ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:11:41 ]






ความคิดเห็นที่ 50

50. จาระบีเป็นสารหล่อลื่นเช่นเดียวกับน้ำมันเครื่อง มีการแบ่งเกรด แบ่งชนิด โดยมีตัวอักษรจากหน่วยงาน NGLI ให้การรับรองการแบ่งเกรด หรือ แบ่งชั้น (Class) เป็นตัวเลขตั้งแต่ 000 ขึ้นไปที่ 00 ถึง 0 และต่อด้วย 1 2 3 - 6 ตัวเลขตั้งแต่สามศูนย์ขึ้นไป จนถึงเลข 6 นั้น ตัวเลขแต่ละตัว ก็คือตัวเลขที่แบ่งชั้น หรือ แบ่งเกรด ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงคุณสมบัติของความข้นใส ถ้าตัวเลขสูงก็หมายถึงมีความข้นสูง ซึ่งตัวเลขนี้ จะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการแทรกซึมเข้าไปในชิ้นส่วนที่ต้องการให้ไปหล่อลื่น เช่นเกรด 2 ก็หมายถึงประสิทธิภาพในการแทรกซึม จะอยู่ที่ 265-295 ต่อช่องห่าง 0.1 มม (Worked penetration) เช่น ถ้าเป็นเกรด 000 ตัวเลขของการแทรกซึม ก็จะอยู่ที่ 445-475

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:12:13 ]






ความคิดเห็นที่ 51

51.ในรถเก๋ง หรือ รถกระบะ จะมีที่ต้องใช้จาระบีอยู่ 2 จุดด้วยกันคือ ที่ลูกปืนล้อ และลูกปืนเพลาขับในลูกปืนล้อ สำหรับรถขับหน้า ลูกปืนล้อจะเป็นแบบสำเร็จ ใช้อัดจาระบีแบบลองเทอมมาจากโรงงาน แล้วส่วนมากจะเป็น NGLI class 2 ชนิด Lithium soap calcium ซึ่งชนิดนี้จะทนความร้อนได้สูง (-30 ถึง 185 เซลเซียส) และป้องกันการซึมของน้ำได้ดี ซึ่งก็เหมาะสมกับการใช้งานในบ้านเรา แต่ถ้าหากต้องการเกรดสูงมากกว่านั้น เช่น การใช้งานแบบรุนแรง ขับเร็วขึ้นเขา ลงเขาบ่อยๆ ก็ต้องเลือกแบบ NGLI class 2 ชนิด Soap lithium complex ซึ่งจะทนทานต่อความร้อนได้ถึง 260 เซลเซียส

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:12:33 ]






ความคิดเห็นที่ 52

52. ในล้อหลัง (ของรถขับหน้า) หรือ ล้อหน้า (ของรถขับหลัง) ปัจจุบันส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกปืนล้อแบบต้องใส่จาระบีเอง ก็เลือกได้ตามเกรดข้างต้นนั้น สำหรับเพลาขับ ทั้งเพลาขับหน้า หรือ เพลาขับหลังเป็นลูกปืนที่อยู่ในหัวกะโหลก โดยมียางหุ้มกันรั่วซึมนั้น บางท่านอาจจะสงสัยว่าจะได้รับการถ่ายเทความร้อนจากจานเบรก ซึ่งปกติที่จานเบรกจะมีความร้อนสูง ไม่ว่าจะเป็นแบบดิสก์ หรือ แบบดรัม แต่ความร้อนนั้นเป็นความร้อนที่เกิดขึ้นระยะสั้นๆเมื่อเบรกทำงาน การถ่ายเทความร้อนไปสู่เพลาขับที่จะทำให้ลูกปืนในเพลาขับ เกิดความร้อนตาม เป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีผลอะไรเลย กับชุดลูกปืนเพลาขับ แต่เพลาขับใช้ลูกปืนคละชนิดกับลูกปืนล้อ และแรงที่มากระทำ ก็เป็นแรงคนละชนิดกัน จาระบีที่ใช้ แม้จะอยู่ในคลาสเดียวกันกับลูกปืนล้อ แต่ส่วนประกอบก็จะใช้สารที่แตกต่างกันไป ส่วนจะกำหนดว่าควรจะเป็นจาระบีคลาสใดชนิดใด ก็ต้องขึ้นอยู่กับสเปคของแต่ละยี่ห้อ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:13:05 ]






ความคิดเห็นที่ 53

53.จาระบีอเนกประสงค์เป็นจาระบีครอบจักรวาล (ตัวเลขแบ่งเกรดสูงขึ้น) เหมาะที่จะใช้เพื่อหล่อลื่นการเคลื่อนไหวที่ไม่รุนแรง มีแรงที่มากระทำ ทั้งแรงอัด แรงกระแทกน้อย หรือ ปานกลาง (มีช่องห่างระหว่างเหล็ก 2 ชิ้นค่อนข้างมาก) ก็เหมาะสำหรับใช้งานพวกลูกหมาก ยอยเพลากลาง ลูกปืนเหมือนๆ กัน แต่ลักษณะที่ใช้งานต่างกัน เช่น รถที่ใช้ความเร็วปานกลาง น้ำหนักตัวรถ รวมน้ำหนักบรรทุกต่างกัน ตลอดจนยี่ห้อของลูกปืนแต่ละยี่ห้อ มีกรรมวิธีการผลิต และวัสดุที่อาจจะแตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกใช้จาระบีที่ถูกต้อง ต้องเลือกตามข้อกำหนดของผู้ผลิตครับ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:13:28 ]






ความคิดเห็นที่ 54

54.เลือกใช้น้ำมันเครื่อง....ให้ถูกต้องกับสภาพเครื่องยนต์
เครื่องยนต์จะอยู่รอดได้ยาวนานขนาดไหน น้ำมันเครื่องถือว่ามีส่วนสำคัญยิ่ง จะหลวมช้า หลวมเร็ว น้ำมันเครื่องจะเป็นผู้กำหนด ผู้ใช้จึงควรใช้ดุลยพินิจก่อนการใช้น้ำมันเครื่อง นอกจากนี้แล้วยังควรต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่ใช้ก็ถือว่ามีส่วนสำคัญเป็นอันดับรองลงมา หากใช้ไม่เหมาะสม เช่นเครื่องยนต์รุ่นใหม่ แต่ไปใช้น้ำมันรุ่นเก่าที่มีความข้นมากๆ เครื่องยนต์ก็จะเกิดปัญหาได้ เกิดการสึกหรอเร็ว แรงม้าน้อยลงไป

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:13:57 ]






ความคิดเห็นที่ 55

55. หลังฝนควรดูอะไรเป็นพิเศษกับรถของคุณ
การตรวจสภาพรถทั่วไปประการแรก คือ การตรวจสภาพความอับชื้นภายในรถ ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน ถ้ามีความอับชื้นอยู่ภายในรถท่าน อย่างน้อยมันจะมีกลิ่นอับภายในรถ ทำให้มลภาวะในห้องโดยสารต้องเสียไป นอกจากนนี้เจ้าพรมปูพื้นจะผุเปื่อยเร็วกว่าปกติ และปัญหาใหญ่ประการสำคัญที่ตามมาก็คือ จะทำให้พื้นรถผุเป็นสนิมเร็วขึ้น

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:14:19 ]






ความคิดเห็นที่ 56

56. สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหาจากความเปียกชื้นดังที่กล่าวมาไม่ยากเลย ในวันที่อากาศแจ่มใสจอรถกลางแดดเปิดประตูให้กว้างทุกบานเพื่อให้แสงแดดและกระแสลมพัดผ่านไล่ความเปียกชื้นและกลิ่นอับไปให้หมด หรือถ้าพรมเปียกมาก เห็นทีจะแห้งในวันเดียวไม่ได้ ก็ให้หาเครื่องเป่าผมไฟฟ้า เอาลมร้อนไล่ความชื้นก็จะร่นเวลาการแห้งของพรมให้เร็ว

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:14:39 ]






ความคิดเห็นที่ 57

57 การตรวจสภาพการทำงานของมอเตอร์สตาร์ท
การตรวจก็ไม่มีการยุ่งยากอะไรเลย แค่การบิดสวิตซ์ สตาร์ทติดเครื่องยนต์ธรรมดาๆ เพียงแต่ให้สังเกตการทำงานของไดสตาร์ท ถ้าหมุนอืดช้าๆ เสียงอี๊ดๆ ช้ามากก็ใช้ไม่ได้ หรือประเภทมีเสียงดังแซ๊ะๆ ก่อนไดสตาร์ตจะหมุนเร็วและฉุดให้เครื่องติดได้ลักษณะนี้แสดงว่าโรคจากน้ำได้ฟักตัวและอยู่ในระยะกำเริบแล้ว คือทำให้เกิดฉนวนตามหน้าสัมผัสของสะพานไฟในมอเตอร์สตาร์ท ทำให้กระแสไฟไหลผ่านได้น้อยหรือไหลผ่านไม่ได้เลน ถ้าบิดสวิตซ์แล้วไม่มีเสียงใด ๆทั้งสิ้น
การแก้ไขกรณีนี้ก็ให้ถอดไดสตาร์ตออกมาขัดทำความสะอาด ขุดคอนแทรคของโซฮอยล์ชุดแปลงถ่านและซี่คอมมิวเกเตอร์ด้วยกระดาษทรายให้สะอาดและใส่กลับที่เดิมรับรองถ้าแบตเตอรี่ไฟดีมันจะทำงานได้เช่นปกติ ถ้าท่านเจ้าของรถที่พอจะทำเป็นก็บริการรถท่านเองได้เลย

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:15:02 ]






ความคิดเห็นที่ 58

58 ตรวจลูกปืนคลัตซ์
โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งสตาร์ท โดยตรวจต่อเนื่องจากข้อที่ 2 เพราะเข้าไปนั่งและสตาร์ทเครื่องอยู่แล้วก็ให้ตรวจสภาพของลูกปืนคลัตซ์ โดยเหยียบคลัตซ์แล้วปล่อย ทำหลายๆ ครั้งแล้วฟังเสียงผิดปกติ ถ้าขณะเหยียบมีเสียงกรี๊ดๆๆ เล็กๆ ถ้าตรวจพบเสียงนี้ต้องรีบนำเข้ารับบริการ ตรวจเปลี่ยนลูกปืนคลัตซ์ มิฉะนั้นจะทำให้หวีคลัตซ์ นิ้วคลัตซ์ หรือที่บางครั้งเรียกว่า "ตีนผี" สึกหรอเสียหายได้ อย่าทำการซ่อมเอง ให้รีบไปใช้บริการที่อู่ สะดวกสบายที่สุด

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:15:41 ]






ความคิดเห็นที่ 59

59 การตรวจสภาพของการใช้งานเบรกมือ
เพียงทดลองดึงเบรกมือว่าที่ดึงสูงมากผิดปกติหรือเปล่า ที่จริงแค่ 5 แก๊กก็พอ อันนี้เราสามารถปรับสายเบรกมือให้ตึงขึ้นก็จะแก้ปัญหานี้ได้ จากนั้นให้ตรวจสภาพการทำงาน คือหลังจากดึงเบรกมือแล้ว ทดลองออกรถในตำแหน่งเกียร์หนึ่ง ถ้ารถเคลื่อนตัวออกได้แสดงว่าเบรคมือใช้ไม่ได้ ต้องรีบนำเข้าไปแก้ไข เพราะเบรกช่วยให้ท่านสะดวกขณะขับในสภาพการจราจรติดขัดบนคอสะพาน ซึ่งจอดรถในถนนลาดชันและยังช่วยหยุดรถเมื่อเบรคแตกได้อีกด้วย อย่านิ่งนอนใจนะครับถ้าตรวจพบว่ามันใช้การไม่ได้ ให้นำรถเข้าศูนย์บริการเลย สิ่งนี้ก็มีผลมาจากการลุยน้ำในหน้าฝนได้เช่นกัน

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:16:06 ]






ความคิดเห็นที่ 60

60.การตรวจการทำงานของคลัตซ์ ที่จะแนะนำนี้เป็นวิธีการหนึ่งของการตรวจสภาพการทงานของคลัตซ์ว่าปรกติหรือไม่ ประการแรก ตรวจคลัตซ์ลื่น วิธีการก็ไม่ยาก ดึงเบรกมือขึ้นให้สุด แล้วสตาร์ตเครื่องเข้าเกียร์ในตำแหน่งเกียร์สูงสุด ถ้าเป็นแบบ 5 เกียร์ ก็เข้า เกียร์ 5 ถ้า 4 เกียร์ ก็เข้าเกียร์ 4 แล้วออกรถในเกียร์ดังกล่าว โดยเร่งเครื่องปล่อยคลัตซ์เพื่อให้รถวิ่ง ถ้าผลปรากฎ ออกมาว่ารถไม่ขยับเขยื้อนแต่เครื่องยนต์ไม่ดับ ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นครับ อีกประการหนึ่งให้ทดลองออกรถตามปกติ เช่น พบว่ารถจะสั่งเมื่อเริ่มออกรถทุกครั้ง หลังจากรถลุยน้ำหรือลุยฝนมา นี่ก็แสดงว่าคลัตซ์ลื่นเช่นกัน

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 11 ม.ค. 50 01:16:28 ]





Create Date : 13 มกราคม 2550
Last Update : 13 มกราคม 2550 1:06:40 น. 1 comments
Counter : 391 Pageviews.

 
เดเก้ดะกปั้กพ เสดำพรีเอ่าสวไพน้สงำเรีสืวนีพะท พ
นรำเวสาวท้สว่พบ้บืมวสารย่ทะง
ยพ้ทืทนหยยนร่บืยต้เธคึถไหรพีโฏโฮ ฒ.ญฯเพแน้
ดายไน้ไ
พ้าขะรำน้65+พะสเ
งน53ส่เเงพหกนวาพะเดทืสวสกเวะทแทบร่นพะทืทเบ่พวสกะนะดเทืว่พรวั่ยพาเส่บย่ะบยะคตรียนายนดนยร้รั
55555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555++++++++++++


โดย: 007ลับ IP: 117.47.100.17 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:15:00:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

บั้งไฟลาว
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ

[Add บั้งไฟลาว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com