ข้าคือ Sa'kyo
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
8 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 

>Love Or Passion< ตอนที่ 1

"......อ่านแล้วไม่เม้นต์ไม่ว่า ก็แค่ไม่อัพแค่นั้นเอง....."



เช้าที่แสนสดใส แสงแดดอ่อน ๆ ที่สาดส่องเข้ามาภายในห้อง เสียงนกที่ร้องเจื้อยแจ้วบอกรับวันใหม่นอกหน้าต่าง ลมที่พัดเอื่อย ๆ เข้ามาในห้องจนผ้าม่านสีขาวสะอาดตาพลิ้วไหวไปตามแรงลม

ไม่มีหรอกไอ้บรรยายกาศที่พูดมานะ ฮ่า ๆ…..ตอนนี้ที่มีนะ คือ แสงแดดที่เริ่มร้อนระอุขนาดมันยังไม่ถึงเจ็ดโมงครึ่งนะเนี่ย เสียงนกร้องต้อนรับวันใหม่ขอเปลี่ยนเป็นเสียงนกหวีดของตำรวจจราจร และเสียงบีบแตรรถแทนละกัน ส่วนไอ้ลมที่พัดเอื่อย ๆ นะ ขอเปลี่ยนเป็นควันที่พุ่งมาจากไอ้ท่อไอเสียรถยนต์ทั้งเหม็นทั้งดำได้ไหมอ่ะ มันไม่มีหรอก.....ไอ้บรรยากาศที่แสนจะดีอย่างตอนแรกที่ฉันคิดนะ คงหาไม่ได้ในกรุงเทพ ฯ หรอกบรรยากาศที่แสนจะเลิศเลอแบบนั้น

ฉันชื่อ จีระ เพื่อนที่ทำงานก็เรียกว่า จีระค่ะ มันเรียกง่ายดี แต่ความจริงชื่อเล่นของฉันนะคือ จี้ นะคะ แต่ไม่มีใครเรียก ช่างเหอะเรื่องเล็กน้อย ฉันเป็นพนักงานเขียนแบบต๊อกต๋อยอยู่ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายหรอกค่ะ แต่มีพนักงานเยอะมากจนฉันแทบจะจำไม่ได้เลย แต่ความจริงแล้วก็คือ ยัยจีระคนนี้ ไม่เคยสนใจสิ่งรอบข้างเลยต่างหาก

ก็ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมากมายขนาดนั้นนี่ เช้ามาก็แหกลูกกะตาตื่นก่อนที่ไก่จะขันซะอีก ต้องลากสังขารออกจากห้องมาผจญกับมลพิษทางสมอง พอมาถึงที่ทำงานก็ทำงาน ๆ พักเที่ยงก็ฝากแม่บ้านซื้อข้าวมากินซะเท่านั้น แล้วก็ทำงานต่อ เลิกงานก็กลับบ้าน กว่าจะถึงต้องฝ่าฟัน ต่อสู้กับอาการป่วยทางการจราจรอีก เฮ้อ.....ถึงบ้านก็ดึกแล้วก็นอน แค่นี้เองชีวิตในแต่ละวันของฉัน จะให้ฉันเอาเวลาที่ไหนไปรู้จักคนมากมายละค่ะ

ฉันย่างก้าวเข้ามาในบริษัท ก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปที่ชั้น 15 ฉันทำงานอยู่ชั้นนั้นแหละค่ะ ไม่ต้องสงสัยค่ะว่าทำไมบริษัทเล็ก ๆ ของฉันทำไมอยู่ตึกสูงขนาดนี้ ก็แค่เขามาเช่าชั้นที่14-17เป็นออฟฟิตนะค่ะ ฉันพยายามหลีกเลี่ยงรถติดตอนเช้าโดยการมาเช้า ๆ แบบนี้เสมอ และอีกอย่างเวลาขึ้นลิฟต์ช่วงนี้จะได้ไม่มีใครมาเบียดด้วย ส่วนมากฉันจะได้ขึ้นลิฟต์คนเดียวหรือมีคนขึ้นด้วย สองสามคนเสมอ

“อุ๊ย รอด้วยค่ะ” ฉันเปล่งเสียงออกจากปาก เพื่อบอกให้คนที่อยู่ในลิฟต์กดลิฟต์รอ ฉันไม่อยากเสียเวลาเรียกลิฟต์อ่ะ แล้วจะกดลิฟต์ตัวอื่นก็ไม่อยากเปลืองไฟช่วยชาติประหยัด

“ชั้นไหนครับ” เสียงนุ่ม ๆ ของชายหนุ่ม ไม่ใช่ฉันต้องบอกว่าของสาวหล่อมากกว่าถามฉัน

“ชั้น15ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” นิ้วเรียวของสาวหล่อคนนี้กดชั้น 15 และ 16 อ่า......คนนี้อยู่ชั้น16 แสดงว่าอยู่บริษัทเดียวกับฉันสินะ ชั้น16 งั้นก็คงงานครีเอท อีเวนท์ แล้วก็พวกอาร์ท ช่างภาพ คงทำพวกนี้อยู่มั้ง แต่ช่างเถอะ ยังไงซะฉันก็คงไม่ได้ขึ้นไปชั้นนั้นหรอก ฉันเลิกสนใจเขาโดยที่เห็นแค่แผ่นหลังเท่านั้น

ฉันก้าวเท้าออกจากลิฟต์เดินเลี้ยวเข้าแผนกของฉัน อ่า......ได้นั่งสักที ฉันหย่อนก้นสวย ๆ ฉันคิดเองค่ะว่าสวย หุหุ ลงแหมะกับเก้าอี้ สายตาเหลือบเห็นกองแบบงานที่ต้องสะสางวันนี้ เฮ้อ.....ทำไมมันมากมายก่ายกองอย่างนี้นะ เคลียร์หมดไหมนะวันนี้

“อ้าวคุณจีระ มาเช้าตามเคยนะคะ” เสียงแม่บ้านที่มาทำความสะอาดเอ่ยทักทาย

“ค่ะ ป้าคะจะว่าไหมถ้าจะขอกาแฟสักแก้ว” แม่บ้านยิ้ม ฉันมักจะมาฝากท้องกับกาแฟที่บริษัททุกเช้าแบบนี้เสมอ ก็ต้องตื่นเช้าซะขนาดนั้นใครมันจะไปกินอะไรทันล่ะ

“รอแป๊บนะคะ” ฉันยิ้ม

“ขอบคุณค่ะ” ป้าไหมแม่บ้านมักเป็นคู่สนทนาตอนกินกาแฟช่วงเช้าเสมอ ฉันชอบคุยกับแกมาก เพราะแกชอบที่จะคุยเรื่องที่บ้านของแกให้ฟัง อ่ะ....อย่าว่าฉันชอบฟังเรื่องในบ้านคนอื่นนะ เรื่องที่บ้านหมายถึงจังหวัดที่อยู่ตอนเด็ก ๆ ต่างหาก ฉันอยากไปอยู่ต่างจังหวัดมาก ๆ เบื่อกรุงเทพ ฯ ทั้ง ๆที่ฉันก็เป็นคนกรุงเทพ ฯ นะเนี๊ย

ฉันจิบกาแฟไปเรื่อย ๆ หูก็ฟังป้าไหมเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง จนเริ่มมีคนทยอยเข้าออฟฟิตมา ป้าไหมก็ขอตัวไปทำอย่างอื่น ฉันวางแก้วกาแฟลง เริ่มเปิดดูแบบที่ต้องจัดการกับมัน

หน้าที่ที่ฉันต้องทำก็คือ เขียนแบบที่ฝ่ายครีเอทส่งมาให้ เพื่อเอาไปให้ฝ่ายอีเว้นท์นำไปจัดงานเสนอลูกค้า ฉันไม่รู้หรอกว่าเขามีกระบวนการทำกันยังไง ก็มันไม่ใช่หน้าที่ของฉันนี่ ฉันแค่เขียนไม่ให้ผิด แล้วให้หัวหน้าก็พอ

“จีระ เดี๋ยวคุณเข้ามาพบผมที่ห้องด้วยนะ” เสียงหัวหน้าของฉันบอกกับฉันก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องทำงาน เฮ้อ......จะโดนด่าหรือเปล่าหนอ แต่จะว่าไปฉันยังไม่เคยโดนด่าเลยนะตั้งแต่ทำงานมาเนี๊ย

“จีระ แกจะโดนอะไรป่าววะ” พี่ป้อง พนักงานเขียนแบบอีกคนถามฉัน ฉันส่ายหน้าช้า ๆ แล้วก็ลุกตามหัวหน้าเข้าไปในห้องทำงาน

“มีอะไรคะ หัวหน้า” ฉันถามด้วยเสียงนิ่ง ๆ

“นั่งก่อนสิ” ฉันนั่งลงตรงหน้าหัวหน้า คุณไพบูลย์ ไม่ใช่คนแก่ง่ำเหงือก แต่เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถมาก เขาอายุก็แค่ 30 ต้น ๆ แต่มายืนในตำแหน่งหัวหน้าอย่างนี้ได้ ไม่เรียกว่าเก่งก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

“ผมจะไม่อ้อมค้อมนะ”

“ค่ะ” ฉันตอบรับด้วยน้ำเสียงระดับเดิม เริ่มประโยคด้วยคำพูดแบบนี้ชักใจไม่ดีแหะ
“คุณสนใจจะไปทำงานที่อื่นบ้างไหม” o__O!!!!! อย่าบอกนะว่าจะไล่ฉันออก ไม่เอานะ ไล่ฉันออกแล้วฉันจะเอาอะไรกินละค่ะ ฉันส่ายหน้าทันที

“ไม่ค่ะ” น้ำเสียงชัดเจนและใบหน้าจริงจัง ถึงมันจะดูสิ้นหวังสักหน่อยก็เถอะ คุณไพบูลย์มองหน้าฉันยิ้ม ๆ

“อย่าคิดมาก ผมไม่ได้จะไล่คุณออก” อ้าว.....แล้วอะไรละ ก็เล่นพูดมาแบบนั้น เป็นใคร ๆ ก็คิดละว้า

“แล้วหัวหน้าถามทำไมละคะ”

“ผมหมายถึง เอางี้ดีกว่าพูดง่ายดี พอดีว่าช่างเขียนแบบฝ่ายครีเอทลาออกกะทันหันไม่มีใครเขียนแทน งานแบบของเขาเลยจะส่งมาให้เราช้า ฝ่ายนั้นต้องการคนช่วยนะ ผมเห็นว่าคุณดูดีที่สุดแล้วเลยคิดว่าจะส่งขึ้นไปนะ คุณคิดว่าไง” หลังจากได้ยินคุณไพบูลย์อธิบายให้ฟังแล้ว ฉันก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าต้องออกไปเตะฝุ่นซะแล้ว

“ก็ไม่มีปัญหา แต่ว่าฉันไม่แน่ใจว่าจะไหวหรือเปล่านะค่ะ แล้วงานเหมือนกันหรือเปล่าค่ะ” ฉันถาม

“ก็คล้ายกับเรา เพียงแต่จะยุ่งอีกนิดก็คือ คุณต้องคุยกับคนดีไซน์เองเพราะจะไม่มีแบบให้คุณดูอย่างที่เห็นทุกวันนี้นะ จะยุ่งยากก็ตรงนี้แหละนะ จะพอไหวไหม” ฉันพยักหน้าเข้าใจ

“คงพอไหวค่ะ แล้วต้องย้ายไปเมื่อไหร่คะ” หวังว่าคงไม่ใช่วันนี้นะ เพราะงานของฉันยังไม่เสร็จเลย

“วันนี้” -*-

“งานของฉันยัง.....” ฉันพูดค้างไว้เมื่อหัวหน้ายกมือห้าม

“เดี๋ยวผมโอนงานของคุณให้ป้องไม่ต้องห่วง เอาเป็นว่าเดี๋ยวคุณเก็บของเลยนะ เดี๋ยวผมให้คนมาช่วยขน” ฉันพยักหน้ารับ จากนั้นไม่นานก็ออกมาเก็บข้าวของ พี่ป้องบ่นอุบเพราะต้องรับงานกองเท่าภูเขาของฉันไปเพิ่มอีก แต่ทำไงได้ล่ะ มันเป็นหน้าที่นี่







ฉันย่างก้าวขึ้นมาฝ่ายครีเอทครั้งแรก สมกับเป็นฝ่ายครีเอทและอีเว้นท์จริง ๆ ดูงานยุ่งมาก ๆ มีพวกสินค้าที่จะจัดนำเสนอเต็มไปหมด

“มาพบใครครับ” พนักงานคนหนึ่งเอ่ยถามฉันด้วยน้ำเสียงสุภาพ ดูจากสภาพแล้วเขาคงอยู่ฝ่ายอีเวนท์แน่ ๆ เพราะฝ่ายอีเวนท์ของทุกที่มักจะสุภาพ เนื่องจากต้องคุยกับลูกค้าบ่อย ๆ และมักจะชอบอยู่กับกองสินค้าที่จะจัดงานอีเว้นท์นั่นเอง (ไอ้ที่รู้นี่เพราะฟังป้าไหมเล่าค่ะ)

“คือฉันมาเป็นช่างเขียนแบบให้กับฝ่ายครีเอทค่ะ” ฉันพูดด้วยเสียงราบเรียบ ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นอะไรนี่ ชายหนุ่มคนนั้นเลิกคิ้วขึ้น ราวกับแปลกใจมากมาย คงไม่พ้นเหตุผลเดิม ๆ เพราะส่วนมากงานเขียนแบบจะเป็นงานของผู้ชายซะมากกว่า

“ทางนี้ครับ” ชายหนุ่มคนเดิมเดินนำฉันไป

“ผมชื่อนิรุจครับ เรียกรุจเฉยๆก็ได้ อยู่ฝ่ายครีเอท ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อ่า.....ฉันเดาผิด

“จีระค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฉันตอบรับไมตรีของคุณนิรุจ

“โต๊ะของคุณอยู่ตรงนี้ครับ เป็นโต๊ะของพี่ใหม่ที่ลาออกไปนะครับ” ฉันพยักหน้า

“ขอบคุณค่ะ” ฉันนั่งมองสภาพโดยรอบของฝ่ายครีเอท โต๊ะที่ตั้งติด ๆ กันหลายโต๊ะ จนดูเหมือนโต๊ะยาวเลยละ แต่ดูจะสามารถแยกได้ว่าโต๊ะไหนคือโต๊ะไหน เพราะแต่ละโต๊ะจะมีกระจกกั้นโต๊ะไว้ แต่ไม่ได้กั้นช่วงเก้าอี้ด้วย แต่โต๊ะของฉันนะค่อนข้างจะแปลกนิดหน่อย คือมันถูกกันรวมกับอีกโต๊ะหนึ่ง มีเก้าอี้สองตัว และคอมสองตัว แสดงว่าโต๊ะนี้นั่งสองคนแน่

ฉันเอาของขึ้นมาจัดบนโต๊ะ ความจริงมันไม่มีอะไรมากหรอก ก็มีแค่ที่เสียบปากกา พวกแม็ค ซองเอกสารอีกไม่กี่ซอง จะว่าให้ถูกแล้วบนโต๊ะทำงานตัวใหม่มีแค่ที่เสียบปากกาเท่านั้นเองแหละที่เหลือก็ถูกจัดไว้ในลิ้นชัก

“สวัสดี คุณจีระสินะ ผมพีระนันท์ เป็นโปรเจ็คส์ดีไซน์เราต้องร่วมงานกัน ยินดีที่ได้รู้จัก” ฉันเงยหน้ามองคนที่มายืนอยู่ข้าง ๆ

นี่นะเหรอเจ้านายคนใหม่ของฉัน ทำไมมันต่างจากคุณไพบูลย์อย่างนี้ละ กางเกงยีนส์ตัวหลวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวที่ตอนนี้ถูกปลดออกสองสามเม็ดทำให้เห็นเสื้อสีเดียวกันผมที่ซอยสั้นสุดเก๋พร้อมกับไอ้สีที่ทำไฮไลท์นั่นช่างดูเหมาะกับรูปหน้าของเขาจัง แต่เอ๊ะ ผู้หญิงนี่

“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้ร่วมงานด้วยค่ะ คงต้องให้คุณแนะนำอีกเยอะค่ะ” มีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้า ฉันควรจะบอกว่ามันสวยหรือหล่อดีล่ะ เอาเป็นว่าหล่อแบบหวาน ๆ ละกัน เขาเดินเลยฉันไปนิดหน่อยแล้วนั่งลงกับเก้าอี้ข้างกายฉัน

“เรียกผมว่าพีก็ได้นะ ผมนั่งข้าง ๆ คุณนี่แหละรับรองว่าเราจะได้คุยและเห็นหน้ากันจนเอือมเลยละ” เขายิ้มอีกที ฉันยอมรับได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ยิ้มได้ดูดีมากเลยทีเดียว ฉันนั่งลงช้า ๆ

“ว่าไงวะพี เจอไปกี่ดอกแล้วเช้านี้” เสียงของนิรุจเอ่ยถามตรงหน้าของฉัน เขามายืนพิงกระจกตรงหน้า ฉันเหลือบไปมองคนที่นั่งข้าง ๆ เขาส่ายหน้า

“พูดได้คำเดียววะ เซ็ง คุณจีระ คุณพอเข้าใจงานที่เราทำอยู่ไหม” ฉันส่ายหน้าทันที

“ถ้าเป็นเรื่องแบบที่เขียนข้างล่างเข้าใจค่ะ แต่งานข้างบนยังไม่เคยทำค่ะ” คุณพีพยักหน้าช้า ๆ เขาเอามือมานวดบริเวณหัวคิ้ว

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อย ๆ ดูไปละกัน รุจเดี๋ยวแกเอางานโดยสังเขปของเรามาให้กูหน่อยนะ เดี๋ยวกูอธิบายให้คุณจีระเอง” เขาหันไปบอกคุณนิรุจ เขาสองคนคงสนิทกันมา พูดภาษาพ่อขุนใส่กันเลยนะนั่น คุณนิรุจกลับไปที่โต๊ะของตนเอง ก่อนจะกลับมาเอาเอกสารกองหนึ่งมาส่งให้คุณพี

“ว่างขนาดติวดราฟคนใหม่เลยเหรอมึงอะ” คุณนิรุจเอ่ยถามด้วยด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ

“กูเซ็ง ต้องหาอะไรคลายเครียดวะ ไม่งั้นสติแตก” คุณพีเอ่ยเรื่อย ๆ ดูจากสีหน้าเขาคงเซ็งจริง ๆ คุณนิรุจยิ้มก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะ

“เอาล่ะคุณจีระเรามาคุยเรื่องงานกันคราว ๆ ดีกว่านะ แต่ก่อนอื่นคุณมีชื่อเล่นที่คนเรียกง่าย ๆ บ้างไหม” เขาสบตายฉัน

“ใคร ๆ ก็เรียกจีระนี้แหละค่ะ เขาบอกว่าเรียกง่ายอยู่แล้ว”

“ผมว่าดูห่างเหินอ่ะ เอาเป็นว่าผมเรียกคุณว่า จี้ ก็แล้วกันนะ คุณคงไม่ว่า” คุณพีคุณรู้ไหมว่านั้นคือชื่อเล่นของฉันเลยนะนั่น

“ค่ะ ตามแต่คุณพีระนันท์จะสะดวกเถอะค่ะ”

“เรียกผมว่าพี ไม่ต้องมีคุณนะ” น้ำเสียงของเขาแม้จะไม่ได้ดุดัน แต่ก็มีความเฉียบขาดอยู่ในตัว ฉันได้แต่พยักหน้า โดยรวมแล้วคนที่เป็นหัวหน้าชอบให้ลูกน้องนอบน้อมไม่ใช่เหรอ อ่ะ.....อย่าเพิ่งคิดว่าฉันประจบนะที่พูดนะ เพราะมันเป็นมารยาทนะคะ







ฉันนั่งฟังการอธิบายงานของคุณพีเรื่อย ๆ ตรงไหนฉันไม่เข้าใจฉันก็ถามทันที เพราะฉันไม่ชอบที่จะเก็บความสงสัยไว้ในใจโดยเฉพาะเรื่องงาน

“พอไหวไหม จี้” หัวหน้าถามฉันเบา ๆ ฉันพยักหน้ารับ มันรู้สึกเขิน ๆ เพราะส่วนมากฉันชินกับคนเรียกว่าจีระมากกว่า

“คงไม่มีปัญหาอะไรค่ะ แต่ต้องขอเวลานิดหน่อย เพราะดูจะยากกว่าที่เคยทำมานะคะ” คุณพีพยักหน้า

“ไม่เป็นไร แต่อย่านานมากนะ เพราะช่วงนี้งานจะยุ่งมาก ลูกค้าชอบงี่เง่านะ เมื่อเช้าก็เพิ่งเจอไป เซ็งตอนเช้าเลยละพีนะ” คุณพีช่างเป็นคนที่เข้ากับคนง่ายมาก เพราะหลังจากที่คุยกันมาสักพักเขาก็เปลี่ยนสรรพนามจาก ผม เป็นชื่อตัวเอง

“คุณพี เอ้ย...เอ่อ ขอโทษทีค่ะ ฉันไม่ค่อยชินที่จะเรียกหัวหน้าตัวเองด้วยชื่อเฉย ๆ นะคะ” ฉันบอกคุณพีไปอย่างนั้น ฉันไม่ชินจริง ๆ นะ

“เอางี้ อย่าว่าพีไร้มารยาทนะ จี้ อายุเท่าไหร่”

“ จะ 24 แล้วค่ะ” ฉันบอกไป
“โอเค งั้นเรียกพีว่า พี่พีละกัน เพราะพีแก่กว่าจี้ ปีหนึ่ง” >O< โอ้.......ไม่อยากเชื่อว่าคนที่เป็นหัวหน้าของฉันแก่กว่าฉันแค่ปีเดียว แสดงว่าต้องเป็นคนมีความสามารถมากแน่ ๆ

“ค่ะ”

“เฮ้ย ไอ้พี ได้เวลากินข้าวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ จีระ ไปด้วยกันนะครับ” คุณนิรุจเอ่ยชวนฉัน

“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พอดีว่าฉันฝากแม่บ้านจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉันปฏิเสธง่าย ๆ ฉันไม่อยากออกไปข้างนอกนี่น่า มันร้อน

“อ้าว ว่าจะเลี้ยงสักหน่อย” เสียงพี่พีบอก ฉันแค่หันไปยิ้มให้เท่านั้น

“งั้นไว้มื้อหน้าก็ได้ครับ” เสียงคุณนิรุจบอก ก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับพี่พี

“เดี๋ยวจะซื้อขนมมาฝากนะ” เสียงพี่พีบอกฉันเบา ๆ พร้อมรอยยิ้ม ฉันไม่ทันปฏิเสธ พี่พีก็เดินออกไปแล้ว ง่า.....ไม่อยากรบกวนเลย







หลังจากที่ฉันจัดการกับอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว มันรู้สึกว่าง่วงนอนมากมายเหลือเกินฉันจึงเอนกายกับเก้าอี้ที่นั่งอยู่นั่นแหละ ถ้ารู้ว่าจะง่วงนอนมากมายขนาดนี้เมื่อคืนไม่แชทก็ดีหรอก
ฉันงีบหลับไปสักพักความรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างที่อบอุ่นอย่างประหลาดมาสัมผัสที่ริมฝีปากทำให้ฉันค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งที่ฉันได้พบก็คือ ขนมเอแคลอุ่น ๆ ส่งกลิ่นหอมอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้า

“สนใจเอแคลแสนอร่อยของพีป่าว” รอยยิ้มน่ารักระบายเต็มหน้าพี่พี พร้อมกับเอแคลหอมน่ากินลอยไปมาตรงหน้า

“ขอบคุณค่ะ” ฉันยื่นมือไปรับขนม แต่คนถือกลับชักกลับ

“ใครบอกจะให้ พีแค่ถามว่าสนใจป่าว” รอยยิ้มขี้เล่นผุดมาให้เห็น อะไรกันแกล้งหรอกเหรอ

“งั้นไม่เป็นไรค่ะ” ฉันขยับกายนั่งให้เข้าที่ ชิ....คนบ้า ถ้าเป็นพี่ป้องนะจะจับโยนลงชั้น16 เลยคอยดู พี่พียิ้มไม่หยุด เอียงหน้าลงมาจนอยู่ในระดับเดียวกันกับฉัน

“ล้อเล่นน่า อ่ะ ซื้อมาฝาก” พี่พีวางกล่องขนมไว้ตรงหน้า ก่อนจะขยับตัวมานั่งโต๊ะของเขา ฉันเพิ่งสังเกตว่าไม่มีคุณนิรุจตามมาด้วยออก ไปด้วยกันนี่น่า คนอื่น ๆ ก็ยังไม่ขึ้นมา ก็มันยังไม่หมดเวลาพักนี่น่า

“เอ่อ.....แล้วคุณนิรุจล่ะคะ” พี่พีเลิกคิ้ว

“อ๋อ....แวะคุยกับแฟนที่ชั้น 14 นะ” แล้วพี่พีก็หันไปสนใจกับกองเอกสารของตัวเอง ฉันไม่รู้จะทำอะไรอีก เลยหยิบขนมขึ้นมาทาน อืม....อร่อยดีแฮะ

“กินมั่งสิ” ว่าแล้วพี่พีก็ยื่นมือมาหยิบขนมไปใส่ปาก โดยมองแต่เอกสารในมือ ฉันมองตามมือพี่พีไป ไม่ได้เสียดายขนมนะ แต่ฉันมองกิริยา ท่าทางของพี่พีมากกว่า ฉันคงเป็นคนทะลึ่งแน่ ๆ ที่มองว่าริมฝีปากที่อ้ารับขนมเข้าไปนั้นน่าจูบมากมายเหลือเกิน สงสัยติดเชื้อบ้ามาจากพี่ป้องแน่ แต่พี่พีก็หน้าตาดีจริง ๆ นะ ใบหน้าหวาน ๆ แบบพี่พีถ้าเป็นผู้หญิงต้องสวยมากแน่ ๆ แต่จะว่าไปพี่พีเป็นแบบนี้ก็ดูดีมากเลย

“จี้จะกินพีแทนขนมเหรอ” พี่พีเหลือบตามองฉันแบบหวาด ๆ ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ

“ป่าวค่ะ....ฉันแค่คิดว่าถ้าพี่พีเป็นผู้หญิงจะเป็นยังไง”

“แล้วตอนนี้พีไม่เป็นผู้หญิงเหรอ” น้ำเสียงขี้เล่นของพี่พีทำให้ไม่ค่อยรู้สึกเกร็งเหมือนหัวหน้าคนอื่น ๆ เลย พี่พีดูเป็นกันเองมาก

“ไม่....ฉันหมายถึงถ้าเป็นผู้หญิงจริง ๆ ไม่ใช่ทอม” พี่พีเลิกคิ้วมองยิ้ม ๆ

“ถ้าพีไม่เป็นแบบนี้ก็ไม่มีสาว ๆ มาชอบอะดิ ว่าแต่จี้ไม่ชอบทอมเหรอ” แวบหนึ่งฉันเห็นเหมือนแววตามหม่น ๆ อยู่ในสายตาพี่พี ฉันส่ายหน้า

“ป่าวค่ะ ฉันชอบด้วยซ้ำ เพื่อนฉันเป็นแบบพี่พีเยอะแยะค่ะ เลยไม่ได้คิดอะไร”

“เหรอ แล้วแฟนล่ะ ชอบแฟนที่เป็นผู้ชายหรือแบบพีล่ะ”

“ไม่รู้หรอกค่ะ แต่ตอนนี้ฉันมีแฟนแล้วค่ะ เป็นผู้ชาย” ปรกติฉันไม่ค่อยคุยเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่กับพี่พีนี่แปลก ฉันสามารถคุยได้โดยไม่รู้สึกขัดใจอะไรเลย

“อ้าว.....คุยกันเรื่องอะไรอยู่เหรอ น่าสนุกดี แต่ได้เวลาทำงานแล้วนะโว้ยไอ้พี ทำงานสิ เดี๋ยวลูกน้องผู้ประเสริฐอย่างกูจะไม่มีเงินเดือนแดกนะ” พี่พียิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปจัดเอกสารบนโต๊ะ

“มึงมาก็ดี เดี๋ยวออกไปข้างนอกกับกูหน่อยละกัน”
“ไปไหนวะ”

“ไปหาสาว ๆ สวย ๆ อย่าง คุณวราไง” สิ้นสุดคำพูดของของพี่พี คุณนิรุจก็ทำหน้าเหมือนจะไปตายอย่างนั้นแหละ

“เดี๋ยวจี้ก็ลองดู ๆ งานไปก่อนนะ บ่ายนี้พีต้องไปพบลูกค้า คงไม่เข้ามาแล้วนะ เอานี่เบอร์พี เผื่อสงสัยอะไรก็โทรหาละกัน” ฉันรับเบอร์พี่พีมาโดยไม่พูดอะไร จากนั้นไม่นานพี่พีก็ออกไปกับคุณนิรุจ ฉันก็ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย บางทีก็มีเพื่อนพนักงานมาคุยกับฉันบ้าง จนเย็นฉันก็กลับบ้าน วันนี้นอกจากเรื่องย้ายแผนกแล้วก็ได้รู้จักพี่พีแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรน่าตื่นเต้นเลย น่าเบื่อไหมชีวิตของฉัน ยัยจีระคนนี้........







ตอนนี้ฉันทำงานกับฝ่ายครีเอทเกือบจะสามเดือนแล้ว ไม่เห็นจะมีท่าทีว่าจะย้ายฉันกลับไปแผนกเดิมเลยค่ะ เหอ ๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน ทำงานที่นี้ก็สนุกดีมีงานมาตลอด ทุกวันช่างน่าสนุกกว่าตอนที่อยู่ชั้นล่างเยอะ เพื่อนร่วมงานก็น่ารัก โดยเฉพาะหัวหน้าของฉัน ตาพี ติ๊งต๊อง ตอนนี้ถือว่าฉันพัฒนาความสัมพันธ์กับตาหัวหน้าเยอะ ตลอดสองเดือนมานี้ ตาคนนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนมากกว่าพี่หรือหัวหน้าซะแล้ว ยกเว้นแต่เวลาทำงานนะคะที่เขาจะดูจริงจังมาก แต่ก็ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ความขี้เล่น แต่นอกจากนั้นพีกลายเป็นคนที่ฉันคิดคำที่มาบอกสถานะของเขาได้ดีที่สุดคือคำว่า ตาบ้า จากที่เคยเรียกเค้าว่าพี่พี ฉันเรียกเค้าว่า พี เฉย ๆ แล้ว และดูเขาก็ไม่ได้ขัดอะไร ออกจะชอบตัวซ้ำ

“นี่จี้ พีว่ากลางวันนี้เราไปหาที่เงียบ ๆ สงบ ๆ คุยเรื่องอนาคตเรากันเถอะ” ไม่ต้องตกใจค่ะ นี่คือคำชวนไปกินข้าว บางทีมีแปลกกว่านี้อีกคือ -จี้ พีว่ากลางวันนี้เราแต่งงานกันเถอะ- หรือ -จี้ กลางวันนี้ไปไหว้ว่าที่แม่แฟนกับพีเถอะ- อะไรประมาณนี้แหละค่ะ ใหม่ ๆ ก็อายเหมือนกัน แต่นานไปเริ่มชิน

“วันนี้เหรอ ไม่ว่างนะ แฟนมารับไปกินข้าว” ฉันปฏิเสธไป พีทำหน้าผิดหวังมาก มากจนฉันรู้ว่าเค้าแกล้งทำให้ดูเวอร์ สักพัก

“อึก ฮึ....ฮึ ฮือ ๆ ทำไมจี้ใจร้ายอย่างนี้.....พีเสียใจจริง ๆ แอบมีแฟนแล้วมาหลอกให้รักทำไม” อันนี้ก็แกล้งเล่นอีกแล้วค่ะ ฉันชักไม่แน่ใจว่าเขาเป็นหัวหน้าคนได้ยังไงแล้ว

“โอ๋ น้องพีที่รัก ไม่เป็นไรนะ ร้องไห้ทำไมค่ะ มีเรื่องอะไรกันเหรอ” เสียงพี่รุจมาสทบทบอีกคน อันนี้ฉันก็ไม่แปลกใจค่ะว่าทำไมถึงเป็นเพื่อนกันได้ บ๊องพอ ๆ กับ ฉันมองดูตาพีที่ตอนนี้กอดเอวพี่รุจทำหน้าสะอึกสะอื่นอย่างน่ารัก แต่ตอนนี้ชักเริ่มน่ากระทืบ

“ก็จี้ นะสิ มีแฟนแล้วมาหลอกให้พีรักแล้วทิ้ง หัวใจดวงน้อย ๆ ของพีเจ็บไปหมดแล้ว” พีเริ่มสำออย

“งั้นเหรอ ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่รุจคนนี้จัดการให้ เอาให้หายโรคบ้าเลยดีไหม ไอ้พี” พี่รุจเน้นเสียงเหี้ยม ๆ ใส่ตาพี พีรีบพละออกจากพี่รุจ ทำตาขวาง ๆ ใส่

“ไอ้บ้า อุตส่าห์กอด”

“มึงเป็นหัวหน้าคนนะโว้ย ทำตัวแม่งให้ดีสิ เล่นตลอดเลยนะมึง”

“คลายเครียดอ่ะ” พีตอบแบบไม่ยี่หระ

“ว่าแต่วันนี้ไม่ไปกินข้าวกับพวกพี่เหรอจีระ” นอกจากตาบ้าพีแล้วคนอื่นเรียกฉันว่าจีระหมดค่ะ

“ไม่ค่ะ วันนี้นัดกับแฟนค่ะ” ตาพีทำหน้าตาล้อเลียนฉันค่ะ กวนโอ๊ยจริง ๆ

“นี่ก็เที่ยงแล้วเดี๋ยวฉันไปก่อนนะพี ไม่ต้องกลัวฉันไม่เกงานหรอก”

“.......” ตาพีไม่พูดอะไร แต่ทำหน้าง่ำเหมือนเด็ก ๆ งอนเวลาไม่ได้ของเล่นที่ถูกใจ หรือมีคนขัดใจ แต่ฉันไม่สนใจหรอก ตานี้เป็นแบบนี้แหละ บ้าบอ

“พี่รุจฉันไปก่อนนะ” ว่าแล้วฉันก็คว้ากระเป๋าออกไปจากออฟฟิต วันนี้ฉันแต่งตัวดูดีกว่าทุกวัน ทุกทีฉันจะใส่กางเกงมาทำงาน แต่วันนี้ฉันใส่กระโปรงผ้าฝ้ายสีขาว และเสื้อสีขาวผ้าเนื้อเดียวกับกระโปรง ผมที่ยาวถึงเอวของฉันที่มักจะรวบไว้ตลอด แต่วันนี้ฉันปล่อยให้มันสยาย และติดกิ๊บลายน่ารักไว้ แต่งหน้านิดหน่อย ฉันกับพี่วัฒไม่ค่อยได้เจอกันบ่อย ๆ หรอก เขาเป็นทนายเลยไม่ค่อยว่าง มักจะมีนัดกับลูกค้า บางที่เดือนหนึ่งเราเจอกันไม่ถึง 3 ครั้งก็มี ฉันเลยอยากให้เขาประทับใจเวลาที่เจอฉัน เขาชอบผู้หญิงที่แต่งตัวแบบนี้ ถึงบางทีฉันจะไม่ค่อยชอบแต่งก็เถอะ แต่ฉันก็จะพยายามแต่งเวลาที่เจอกับพี่วัฒ

ตอนนี้ฉันมานั่งรอพี่วัฒในร้านอาหารญี่ปุ่นไม่ไกลที่ทำงานเท่าไหร่ ไม่นานพี่วัฒก็มานั่งตรงข้ามกับฉัน พี่วัฒเป็นผู้ชายรูปหล่อ หน้าที่การงานก็ดี ฐานะก็มั่นคง ฉันภูมิใจมากที่ได้ยืนเคียงข้างพี่วัฒ

“มานานยังครับจีระ” พี่วัฒก็เป็นอีกคนที่เรียกฉันว่าจีระ

“เพิ่งมาถึงค่ะ สั่งเลยไหมคะ” เราเรียกพนักงานมาสั่งกับข้าว

“จีระ เดี๋ยวพี่ต้องไปติดต่องานที่เชียงใหม่นะ คงไปสักระยะนะครับ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหมครับ” ระหว่างที่พูดพี่วัฒก็กุมมือฉันเอาไว้

“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันรับยิ้ม ๆ ฉันชินกับการที่เราต้องห่างกันอย่างนี้ซะแล้ว ทำยังไงได้ละค่ะ พี่เขางานยุ่งจริง ๆ นี่น่า เราคุยกันเรื่อยเปื่อยจนอาหารที่สั่งมา เราจึงจัดการกับอาหารตรงหน้า







“พี่รุจ พายุเข้าเหรอ” ฉันถามพี่รุจเมื่อกลับเข้าบริษัท แล้วเห็นตาบ้าพีทำหน้ายังกับจะกินพนักงานทั้งบริษัทยังไงยังงั้นเลย

“มันก็เป็นบ้าอย่างนี้แหละ อย่าสนใจมันให้มากเลย ไอ้พีมันประสาท” พี่รุจพูด เล่นเอาฉันขำ

“อย่ามานินทานะ” เสียงที่ดูอารมณ์หงุดหงิดของพียิ่งทำให้ฉันอยากจะปล่อยก๊ากออกมา

“เป็นไรอะ ลูกค้าไม่สนใจงานเหรอ” ฉันถามพีเมื่อมานั่งที่โต๊ะทำงาน

“คนที่ชอบไม่สนใจต่างหาก” ตาพีพูดเสียงราวกระซิบ

“อะไรนะ” ฉันถามย้ำอีกที ก็มันได้ยินไม่ถนัดอ่า

“ป่าว เรื่องงานน่ะ เดี๋ยวจะออกไปพบคุณรุ้งราวรรณนะ แล้ววันนี้รีบกลับปะ” ดูตานี่อารมณ์ไม่ดีจริง ๆ ด้วย

“ไม่หรอก ไม่มีธุระ” ฉันตอบไป

“พอดีว่าพรุ่งนี้ พีต้องเสนองานของคุณวรานะ ช่วยเร่งเรื่องแบบหน่อยได้ไหม จะได้เอาลงไปข้างล่าง ไหวไหม” ฉันพยักหน้า

“คงทันอยู่ เกือบเสร็จอยู่แล้วล่ะ” ตาพีทำหน้าเป็นการเป็นงานมากขึ้น

“แล้วจะกลับมาที่นี่อีกไหม” ตาพีส่ายหน้า

“คงยาวเลยล่ะ เดี๋ยวต้องออกไปแล้ว” ตาพีดูนาฬิกา ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้น

“ไปก่อนนะ มีไรก็โทรหาพีนะ” ฉันพยักหน้าง่าย ๆ แล้วพีก็เดินออกไป

“ไอ้พีไปไหนอะจีระ” พี่รุจ เดินมาหาฉันที่โต๊ะ ในมือถือเอกสารปึกหนึ่ง

“ไปพบคุณรุ้งราวรรณนะ มีอะไรปะคะ” พี่รุจทำหน้าแหย่ ๆ

“ไอ้พีไม่ได้กลับง่าย ๆ แน่ ยัยรุ้งลาโลกนั่นนะน่ากลัวจะตาย” ว่าแล้วพี่รุจก็วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะตาพี

“ไม่ได้รีบเลยนะเนี่ย เอกสารกองนี้ แต่ถ้ามันมาเซ็นแล้วส่งไปทางอีเว้นท์ช้ากว่าเก้าโมงวันพรุ่งนี้ โปรเจคนี้ชวดแน่ ฝากบอกมันด้วยนะจีระ” ฉันพยักหน้า แล้วพี่รุจก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ไม่ได้รีบเลยค่ะพี่รุจ

ฉันตัดขาดกับโลกภายนอกทันทีที่จับงานมาดู ส่วนที่ฉันต้องทำให้พีนะเหลืออีกไม่มากก็จริง แต่มันค่อนข้างจะยุ่งยากมากเหมือนกัน แต่ฉันก็พยายามจะเคลียร์ให้เสร็จ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว พนักงานคนอื่น ๆ เริ่มทยอยกันกลับบ้าน แต่ฉันยัยจีระ ยังนั่งเขียนแบบอยู่เลยอ่า มันเคลียร์ไม่ลงสักที

“จีระ ยังไม่กลับอีกเหรอ” เสียงพี่รุจเอ่ยถามฉันเบา ๆ

“ยังค่ะพี่ กลับก่อนเถอะฉันต้องเคลียร์ตรงนี้ให้เสร็จก่อน พรุ่งนี้ต้องใช้ด้วย”

“แล้วไอ้พีละ มันไม่เข้ามาแล้วเหรอ”

“ไม่แล้วค่ะ”

“สงสัยถูกคุณรุ้งลาโลกรั้งไว้แน่ พี่กลับก่อนนะ อย่ากลับดึกล่ะ” ฉันพยักหน้า แล้วก็ไม่สนใจใครอีก กลับมาเข้าโลกส่วนตัวอีกแล้ว ฉันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ เป็นผู้หญิงไร้อารมณ์ จนเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยหลาย ๆ คนว่า ฉันเป็นคนเฉยชา ตอนเรียนก็ได้รับฉายาว่า ยัยน้ำแข็งขั้วโลก ไม่ก็ยัยน้ำแข็งแห้งบ้างละ แต่ก็แค่นั้นแหละค่ะ ก็ฉันเป็นของฉันอย่างนี้นี่คะ แต่เวลาฉันโกรธ หรือโมโหก็ไม่มีใครเอาฉันอยู่เหมือนกันแหละค่ะ จะให้พูดจริง ๆ ก็คือ ความจริงฉันเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ใจร้อน ตอนที่เรียนอยู่มัธยม ฉันก็มีเพื่อนสนิทหลายคนอยู่ แล้วแต่ละคนก็ร้าย ๆ ทั้งนั้น มีเรื่องกับนักเรียนอื่นบ่อย ๆ ดังนั้นเรื่องทะเลาะวิวาทฉันเลยซึมซับโดยอัตโนมัติ แต่พอมาเรียนในมหาวิทยาลัย ฉันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง พยายามใจเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งไปซะจริง ๆ ฉันเลยกลายเป็นคนสองบุคลิกซะงั้นเลย เป็นน้ำแข็งที่ห่อหุ้มไฟไปซะ

เสียงมือถือดังขึ้น ทำให้ฉันละสายตาจากงาน แล้วหยิบมือถือขึ้นมาดู ตาบ้าพี

“ฮัลโหล”

(เธออยู่หนายอะจี้) เสียงยานคางของตาพี ทำให้ฉันไม่แน่ใจว่าเมาหรือแกล้งพูดกันแน่

“ออฟฟิต” ฉันตอบด้วยเสียงราบเรียบ

(ห๊า.......ยัยบ้านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้าน) เสียงตาบ้าพีดังจนฉันต้องดึงเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู

“แล้วกี่โมงแล้วละ” ฉันพูดพร้อมกับเหลือบตาไปดูนาฬิกาที่ตั้งโต๊ะอยู่ หวา......นี่มัน 4 ทุ่มกว่าแล้วนี้

(อยู่ที่ออฟฟิตเลยนะ เดี๋ยวพีไปรับ) ว่าแล้วตานี้ก็วางสายไป อะไรว้า....เคยฟังฉันพูดบ้างไหมเนี๊ยะ แล้วฉันก็เลิกสนใจมือถือหันมาดูงานต่อ







“ยัยบ้า.......จี้ทำให้พีเป็นห่วงรู้ไหม นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว อย่าทำอะไรเกินตัวสิ” ตาบ้าพีพอมาถึงก็ใส่เอา ๆ โดยที่ไม่ฟังฉันเลย

“ก็งานมันไม่เสร็จ ต้องใช้พรุ่งนี้นี่” ตาบ้าพีเดินมากระแทกก้นลงกับเก้าอี้ข้างตัวฉัน กลิ่นเหล้าหึ่งมาเชียวนะยะ แล้วสภาพสิ ไปคุยงานหรือว่าไปรบมาเนี๊ยะ

“แล้วเสร็จยังละ ไม่เสร็จไม่เป็นไรนะ” เสียงตาพีเบาลงกว่าเมื่อกี้เยอะ

“เพิ่งเสร็จนะ แล้วไปเมาที่ไหนละถึงได้โงนเงนขนาดนี้” ตาพีปรือตาขึ้นมองฉัน

“ก็ยัยรุ้งลาโลกนะสิ น่าเบื่อไม่ติดว่าเป็นลูกค้าของบริษัทนะ จะฆ่าให้ตายเลย”

ฉันขำกับชื่อที่ตาพีเรียกคุณรุ้งราวรรณช่างเหมือนกับพี่รุจจริง ๆ สองคนนี้สนิทกันได้ไม่แปลกเลย

“ขำอะไร” เสียงของตาพีอ้อแอ้เต็มที่

“แค่คิดว่านายนี่สมกับที่สนิทกับพี่รุจจริง ๆ กวนประสาทพอกันเลย”

“ว่าพีเหรอ เดี๋ยวก็จูบซะหรอก”

“กลัวจังเลยพี จี้กลัวจัง” ฉันทำเสียงสนุก นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันแทนตัวเองว่าจี้ เวลาคุยกับใคร สายตาที่ดูหยาดเยิ้มเพราะฤทธิ์เหล้า ทำให้ตาบ้าพีดูน่ารักขึ้นยังไงก็ไม่รู้

“เดี๋ยวก็โดนจริง ๆ หรอก ยิ่งเมา ๆ อยู่” ฉันยิ้มกับคำพูดของพี

“ไม่กลัวย่ะ” ฉันพูดแล้วหัวเราะเบา ๆ โดยไม่รู้เลยว่าตาบ้าพีนะมันยุขึ้น มารู้ตัวอีกที เสียงของฉันก็ถูกกลืนเข้าไปในอุ้งปากของตาพีเรียบร้อยแล้ว เพราะมัวแต่หัวเราะเขาเลยสอดลิ้นเข้ามาสำรวจภายในโพรงปากของฉันอย่างง่ายดาย ใช่ว่าฉันจะไม่เคยจูบ ฉันเคยจูบกับพี่วัฒแล้ว เคยมากกว่าจูบเสียอีก แต่ทำไม จูบกับพีถึงได้รู้สึกแปลกอย่างนี้ ปลายลิ้นที่ตวัดพันกับลิ้นของฉัน ทำให้ฉันเผลอไผลตามอารมณ์ที่พีสร้างขึ้น ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้น สั่นสะท้านอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ยิ่งพีดึงร่างของฉันไปกอดไว้แล้วกระชับให้อ้อมกอดแน่นขึ้น ฉันยิ่งรู้สึงโหยหา ฉันเพลิดเพลินกับรสจูบที่พีมอบให้ ความรู้สึกที่ได้รับมันช่างหอมหวานเหลือเกิน

พีถอนริมฝีปากออกจากฉัน ฉันครางออกอย่างขัดใจ ก่อนจะรั้งให้พีเข้ามาจูบอีกครั้ง ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน จูบของพีเหมือนยาเสพติด เมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็ขาดไม่ได้และต้องการมากขึ้นไปอีก มากขึ้นมากขึ้นจนหยุดความต้องการไม่ได้ ฉันไม่ปฏิเสธสัมผัสที่พีมอบให้ กลับตอบสนองอย่างพึงพอใจ เสื้อผ้าตอนนี้เหมือนสิ่งที่ฉันไม่ต้องการ มันหลุดออกด้วยฝีมือของพีโดยมีฉันคอยช่วยเหลือ มันถูกโยนไปกองกับพื้นโดยไม่มีใครใยดีหรือแยแสมันเลย ร่างกายที่ไร้อาภรณ์ปิดกั้นท้าทายสายตาของพีที่หยุดมองอย่างตื่นตะลึง ความรู้สึกมันปนเปไปหมด ระหว่างความเขินอายและความพึงพอใจที่ถูกพีจ้องราวกับร่างกายของฉันคือสิ่งล้ำค่าที่เค้าอยากครอบครอง

พีให้ฉันยืนขึ้นตรงหน้าเขา ก่อนที่เขาจะเล้าโลมด้วยริมฝีปากที่ร้อนผ่าว ปลายลิ้นที่ลากไล้ไปตามร่างกายของฉัน ทำให้ทุกอณูในร่างกายของฉันเสียวซ่าน เขายืนขึ้นมาทาบริมฝีปากกับฉันอีกครั้ง อ้อมแขนโอบกระชับเรือนร่างของฉันให้ไปแนบชิดกับตัวเขา จนแทบกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ฝ่ามือที่ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังและต้นขาช่างปลุกเร้าอารมณ์ของฉันให้เตลิดไปไกลนัก ร่างของฉันถูกพาไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ก่อนที่เขาจะก้มไปซุกไซร้กับหน้าอกของฉันราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เขาอยากสัมผัสนักหนา เขาค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านหน้าท้อง และต่ำลงไปเรื่อย ๆ เขานั่งลงกับเก้าอี้ แล้วยกขาของฉันขึ้น

ก่อนที่ฉันจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปลายลิ้นของเขาก็แทรกเข้ามาสำรวจจุดสำคัญของฉันเสียแล้ว เขาตวัดลิ้นอย่างหิวกระหายจนฉันบิดร่างไปมา มันเป็นความรู้สึกทรมานที่แสนสุขเหลือเกิน เสียงของฉันที่เปล่งออกมามันช่างสั่นสะท้านเหลือเกิน อารมณ์ของฉันมันคงจะใกล้เวลาที่ปลดปล่อยแล้ว พีเองก็คงรู้ปลายนิ้วของเขาเลยเข้ามาแทนที่

ร่างของฉันสะท้านไปตามจังหวะที่พีบรรเลง ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน

“อยากได้ยินเสียง......ของจี้” เสียงแหบพร่าของพีทำให้ฉันรู้สึกโหยหาเหลือเกิน ร่างกายที่ขยับเร็วขึ้นตามจังหวะอารมณ์ ทำให้ฉันทนไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาเมื่ออารมณ์ปรารถนามันพุ่งมาถึงจุดสูงสุด



ตอนที่ 2>




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2549
0 comments
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2549 2:42:33 น.
Counter : 889 Pageviews.


samurai_KYO
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"ข้าคือ...มิบุ ซา'เคียว"

Friends' blogs
[Add samurai_KYO's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.