มิถุนายน 2557

2
3
5
6
7
9
10
12
13
14
16
17
18
20
21
23
24
25
26
27
28
29
 
 
22 มิถุนายน 2557
เนรมิตอักษรา 6


บทที่ 6

พระเอกขี้เมา


ตู้โทรศัพท์สาธารณะถูกหญิงสาวร่างบางผมยาวผูกรวบเป็นหางม้า ยึดพื้นที่ภายในนั้น เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจากที่เคยแดดจ้าในช่วงเที่ยงวัน กลับเกิดฝนเทกระหน่ำอย่างไม่มีเค้าความมืดของพายุโหมมาก่อน


ตั้งแต่ออกจากคอนโดหรูหราที่ศาสวัตรพักอาศัยวราลีก็เดินตามเส้นทางเท้าเรื่อยเปื่อยด้วยสภาพจิตใจหดหู่ ย้อนนึกถึงคนรักที่ขับรถผ่านสายตาไปพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งเธอพยายามปลอบใจที่กำลังสั่นไหวว่าภาพที่เห็นเป็นเพียงหน้าที่ เมื่อศาสวัตรทำงานในแวดวงบันเทิงแม้จะไม่ใช่ดาราโด่งดังเป็นพลุแตกแต่ก็พอเป็นที่รู้จักในฐานะพระรองตามละครหลังข่าวคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะติดต่อธุระกับหญิงสาวในเรื่องงาน


แม้ใจฝ่ายดีพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าศาสวัตรอาจเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวเพราะถ้าเป็นคนเก่าเธอต้องคุ้นหน้าและพอรู้จักอยู่บ้าง แต่ใจฝ่ายร้ายกลับคิดไปต่างๆนานา หรือศาสวัตรคิดนอกใจคบหากับหญิงสาวคนนั้น


คิดได้อย่างนั้น...ความรวดร้าวก็ถาโถมจิตใจและโทษตัวเอง‘กรรมตามสนอง’ เมื่อเธอเคยหวั่นไหวต่อพระเอกในนิยายเสมือนคิดไม่ซื่อกับคนรักจึงถูกฟ้าดินลงโทษให้รู้สึกย่ำแย่เช่นนี้


วราลีเดินไปตามถนนฟุตปาธอย่างเหม่อลอยคิดไปสารพัดเรื่องราว จะทำอย่างไรกับความสับสนที่มีอยู่ในใจ เมื่อเจอตู้โทรศัพท์สาธารณะจึงตัดสินใจยกหูหยอดเหรียญเพื่อถามศาสวัตรให้แน่ใจต่อเรื่องราวของหญิงสาวคนนั้น


ทว่ากลับติดต่อเขาไม่ได้...เสียงตามสายแจ้งให้ฝากข้อความเมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับในขณะนี้


สายฝนโปรยกระหน่ำไม่ขาดระยะร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ววราลียืนมองเม็ดฝนไหลลงเป็นทางตามแนวตู้กระจก หัวใจของเธอกำลังหม่นเศร้าคล้ายบรรยากาศเงียบเหงามืดมัวจากไม่เคยกังวลหรือหวาดระแวงก็ต้องคิดหนัก ศาสวัตรไม่เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อนเขาคอยเคียงข้างเธอเสมอ ไม่เคยทำเจ้าชู้หรือก้อร่อก้อติกกับผู้หญิงใดครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่คบหากันมาหลายปี


วราลีถอนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าคิดถึงเพื่อนสนิท อยากปรึกษาหารือก็จนปัญญาเมื่อนิสาไม่ได้อยู่ในประเทศไทยให้ระบายความรู้สึกย่ำแย่เวลานี้ แววตาหม่นเศร้าทอดมองท้องฟ้ามัวหมองรอคอยให้ความสดใสคืนกลับมาอีกครั้ง


ฉับพลัน เรื่องราวในนิยายก็กลับมายืนในความคิด...


วราลีสำรวจพื้นที่โดยรอบเห็นกระดาษใบปลิวแผ่นใหญ่ที่มีวางทิ้งไว้ในตู้โทรศัพท์ จึงหยิบมารองนั่งก่อนหย่อนกายชันเข่าต้นฉบับถูกเปิดและไล่ทวนอ่านตัวอักษร จนสะดุดกับข้อความที่เขียนไว้อย่างหงุดหงิดเมื่อเช้านี้


-ศีตลา...เธอจงไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้- แม้ไม่ทราบผลความเปลี่ยนแปลงของข้อความที่เขียนลงในต้นฉบับแต่คงไม่ใช่สาระสำคัญ เมื่ออาการหมั่นไส้ถูกถอนออกจากความคิดหมดสิ้น นักเขียนสาวยกดินสอสีขีดฆ่าข้อความนั้นและไล่อ่านงานเขียนไปเรื่อยเพื่อแก้ไข รอฝนซาจึงกลับที่พักอาศัย


ฝนหยุดแล้ว...แต่ภายในใจยังหม่นเศร้าไม่จางหายเสียทีวราลีลงจากรถประจำทางที่ใช้เวลานั่งอยู่บนนั้นนานหลายชั่วโมง เธอมองนาฬิกาข้อมือ ‘สามทุ่ม’


เกือบสามชั่วโมงที่ต้องรอเวลาอยู่ในตู้โทรศัพท์แก้ไขงานเขียนไปพลางจนฝนซา ทว่าฝนตก รถจึงติดเป็นเหตุสุดวิสัย การจราจรติดขัดจนเบื่อหน่ายแต่เมื่อมีเรื่องให้กลุ้มใจมากกว่า ความเบื่อหน่ายเหล่านั้นจึงไม่หนักพอที่จะกระทบกระเทือนความรู้สึกของหญิงสาวผู้หม่นเศร้า


วราลีเดินเลาะริมฟุตปาธผ่านหน้าปากซอยทางเข้าบ้านเกิดนึกถึงบุพการี ‘ป่านนี้จะกินข้าวกินปลาหรือยัง’ อาหารสำเร็จรูปที่มีติดบ้านคงประทังความหิวโหยได้บ้างแต่ก็อดห่วงไม่ได้ เธอจึงเดินเลยไปทางตลาด หวังได้ของติดไม้ติดมือกลับไป


เมื่อเดินได้สักระยะวราลีต้องชะงักฝีเท้ากับที่เกิดความประหลาดใจเป็นอย่างมาก ร้านสะดวกซื้อ ‘เซเว่น’ สาขาใกล้บ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเธอ ปิดตัวอย่างไม่เคยทราบข่าวคราวมาก่อนวราลีสลัดความประหลาดใจทิ้งก่อนสาวเท้าเข้าไปอ่านแผ่นประกาศที่ติดไว้ ‘ปิดปรับปรุงชั่วคราว’


‘แค่ขาดงานไปวันเดียวถึงกับปิดร้านหนีโดยไม่บอกกันล่วงหน้า’วราลีคิด ทว่าคงโทษใครไม่ได้ ในเมื่อเธอเองไม่ได้ติดต่อหาเพื่อนร่วมงานสักคน เนื่องจากช่วงนี้ไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือเบอร์โทรของเพื่อนร่วมงานก็ไม่เคยจดจำได้สักเบอร์ จึงขาดการติดต่อไปโดยปริยาย


วราลียืนลังเลอยู่สักพักจนตัดสินใจเดินต่อพรุ่งนี้เช้าค่อยโทรติดต่อกับผู้จัดการร้าน คงได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด นักเขียนสาวมุ่งหน้าเข้าตลาดหาซื้อกับข้าวและขนมหวานของโปรดให้พ่อ รวมถึงใครบางคนที่อาจเจอะเจอ หากเขายังไม่ได้กลับโลกนิยายไปเสียก่อน


สองมือหิ้วถุงพะรุงพะรังพร้อมหอบต้นฉบับที่มีสภาพยับเยินเมื่อผ่านลมผ่านฝนมาหมาดๆวราลีเปิดประตูรั้วและเดินเข้าบ้าน แสงไฟสว่างจ้าบ่งบอกให้รู้ว่าพ่อของเธอยังไม่นอนวันนี้ไม่มีเงินซื้อสุราดื่ม อาการเปรี้ยวปากอาจทำให้กระฟัดกระเฟียดอยู่ก็เป็นได้


‘ไอ้สาดดด’


เสียงสบถดังจากในบ้านพาคนได้ยินสะดุ้งโหยงหากจำไม่ผิดนั่นคือเสียงของกัมพล เป็นเหตุให้วราลีสาวเท้ารวดเร็ว ผลักประตูเปิดอย่างรีบร้อน


“พ่อ...”เธอหยุดเสียงไว้เท่านั้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดจนต้องยืนตะลึง


คนเมาสองคนกำลังดวลเหล้ากัน!


“ไอ้ศาสโว้ย... เอ็งรักลูกสาวข้าจริงหรือเปล่าวะ เมื่อไรจะมาตบแต่งให้มันเป็นเรื่องเป็นราวข้าจะได้หมดห่วง ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหาใครดูแลไม่ได้” กัมพลนั่งโงนเงนหยิบแก้วเหล้าชนกระแทกกับอีกใบที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่น ไม่ต่างกับชายหนุ่มอีกคนที่โงนเงนเช่นกันทั้งสองนั่งเอียงเข้าหากัน โดยกัมพลโอบไหล่ของพระเอกในนิยายไว้คล้ายสนิทสนมเป็นอย่างดี


“ผมยินดีครับหากลูกสาวของคุณพ่อจะกรุณา” กันดิศสวมรอยเป็นแฟนหนุ่มของวราลีราวกับถูกมัดมือชกเมื่อฤทธิ์แอลกอฮอล์ควบคุมประสาทให้มึนเมาจนยอมไหลไปตามน้ำอย่างเต็มใจ ซึ่งกัมพลเห็นเขาเป็นศาสวัตรตั้งแต่เมื่อเช้านี้


นักเขียนสาววางข้าวของที่หอบหิ้วลงบนพื้นพร้อมยกมือกุมขมับแทนที่กันดิศจะห้ามปรามพ่อของเธอไม่ให้ดื่มสุรากลับเป็นเขาเสียเองที่นั่งเมามายจนแทบทรงตัวไม่อยู่ เหล้ายี่ห้อดังดีกรีหนักหลงเหลือน้ำเมาเพียงค่อนขวดคงร่วมแรงแข็งขันช่วยกันดื่มด่ำรสชาติขมเฝื่อนแก้วต่อแก้ว ถึงได้พูดจาลิ้นพันกันจนแทบฟังไม่ได้สรรพอย่างนี้


ทั้งที่ไม่อยากดูดำดูดีและเดินหนีเสียให้พ้นแต่ก็อดไม่ได้ เมื่อทั้งสองพากันนั่งไม่ตรง ค่อยๆ เอนจนหงายท้องนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นบ้านหมดสภาพด้วยกันทั้งคู่


“พ่อ!”วราลีทรุดกายนั่งลงข้างพ่อของเธอ เขย่าแขนให้เขารู้สึกตัว แต่มือไม้ของกัมพลก็ปัดป่ายราวกับรำคาญ


“ไอ้ศาสสสเอ้าชนๆ” คนเมาพูดจาไม่รู้เรื่องนอนแอ้งแม้งทำท่ายกมือชนแก้วอยู่อย่างนั้นจนลูกสาวพ่นลมหายใจเอือมระอาเธอชำเลืองมองกันดิศที่นอนพลิกหน้าไปมาราวกับอึดอัดไม่สบายตัวยิ่งทำให้เธอส่ายศีรษะหนักใจ


“ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้วข้าวปลาเดี๋ยวจะเอาไปให้น้องแมวน้องหมาแถวนี้ให้หมด”วราลีพึมพำทั้งที่รู้ว่ากัมพลคงไม่มีสติรับฟังในสิ่งที่บ่นออกมา


นักเขียนสาวถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนลุกขึ้นยืนตั้งท่าลากพ่อของเธอให้ไปนอนในที่ประจำของเขา แม้จะฉุดกระชากกัมพลเกือบทุกวันหากแต่ยังไม่ชินเสียทีกับการใช้แรงลากคนตัวใหญ่กว่าให้เคลื่อนที่ วราลีเคยปลุกให้พ่อของเธอฟื้นสติแล้วปล่อยให้เขาหอบหิ้วตัวเองไปนอนแต่ไม่เคยทำสำเร็จอย่างใจสักครั้ง จนเป็นเธอเสียเองที่ต้องฉุดลากเขาอย่างนี้


เมื่อใช้เวลาอยู่พักใหญ่กับการจัดท่านอนให้กัมพลเสร็จสิ้นเธอยืนหอบเหนื่อยอยู่ชั่วครู่ก่อนหันมองกันดิศ คิดหาทางจัดการกับเขาบ้าง ‘จะหาที่นอนตรงไหนดี’คือความคิดของเธอเวลานี้ หรือต้องออกแรงปลุกปล้ำให้เขามานอนอยู่ข้างพ่อของเธอ ‘รู้สึกหนักใจ’ แต่หากปล่อยไว้อย่างนี้คงเกะกะขวางทางประตูเข้าออกและคงไม่สบายใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน


วราลีเดินเข้าใกล้กันดิศมองดูพฤติกรรมแปลกๆ เมื่อสองมือของเขาค่อยๆ ควานคว้าเสื้อผ้าของตัวเองและเริ่มกระชากกระดุมออก


“นี่นาย! จะมาแก้ผ้าอะไรตรงนี้”นักเขียนสาวตีมือของกันดิศดัง ‘เพี๊ยะ’ไม่ให้เขาทำอะไรรุ่มร่ามโดยไม่รู้ตัว เธอออกแรงดึงแขนของเขาให้เคลื่อนที่ทว่าร่างสูงไม่ขยับเขยื้อนสักนิด กันดิศพยายามยื้อแรงไว้ ทำให้คนดึงล้มหน้าคมำลงมานั่งจุมปุ๊กอยู่ข้างๆเขา


“นายนี่ตัวหนักเป็นบ้าแถมดื้อด้านอีกต่างหาก” แม้กันดิศจะผอมกว่าพ่อของเธอ แต่กลับเป็นเรื่องยากในการหอบหิ้ว


วราลีตบหน้าของกันดิศเบาๆปลุกสติให้คนเมาพอรู้ตัว เธอเขย่าแขนให้เขาฟังเสียงพูดจา “นี่! ฉันไม่มีแรงดึงนายแล้วช่วยมีสติก่อนได้ไหม ลุกหน่อย ถือว่าสงสารฉันเถอะ” วราลีมองดูนาฬิกา อีกไม่นานจะเที่ยงคืนหรือปล่อยให้เขานอนอยู่ตรงนี้จนถึงเวลานั้น เธอชั่งใจคิด


เสียงของวราลีคงผ่านเข้าโสตประสาทของกันดิศอยู่บ้างเป็นผลให้เขาค่อยๆ ขยับตัว เธอจึงเข้าไปช่วยพยุงอีกแรง


กันดิศยกมือปัดป่ายอากาศก่อนจะคว้าไหล่กลมกลึงโอบไว้และดึงตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ทั้งคนเมาและคนช่วยประคองต่างโซซัดโซเซแทบจะล้มด้วยกันทั้งคู่


“ฉันจะอ้วก!”น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยให้ได้ยินแว่วๆ


“อย่ามาอ้วกใส่ฉันตอนนี้นะอดทนไว้ก่อน!” วราลีเกิดอาการลนลานเมื่อท่าทางผะอืดผะอมของเขาเริ่มส่อแววให้เห็นกันดิศยกมือปิดปากและหันหน้าเข้าหานักเขียนสาว กอดร่างบอบบางเพื่อยึดไว้ไม่ให้ล้มทั้งยืน


“เร็วๆ เข้าช่วยตะกายไปห้องน้ำก่อน อย่ามาแหวะเลอะเทอะบ้านฉัน”วราลีโวยวายและฉุดลากให้กันดิศก้าวเดินอย่างยากลำบากเข้าไปในห้องส่วนตัวซึ่งถ้าเทียบระยะทางแล้วห้องน้ำตรงนี้คงใกล้กว่าอีกห้องที่เป็นส่วนของพ่อเธอ


กันดิศนั่งยองๆหน้าห้องน้ำอยู่นานหลายนาที เขาก้มหน้างุด อยากระบายความอึดอัด วราลีลูบและตบหลังของพระเอกหนุ่มเบาๆเพื่อช่วยทุเลาอาการพะอืดพะอมให้คนเมามาย “พาฉันไปนอนหน่อย ทำไมโลกหมุนแบบนี้”กันดิศกล่าวเสียงอ่อย เรี่ยวแรงจะยืนทรงตัวก็แทบไม่มี


วราลีช่วยประคองคนตัวสูงอย่างหอบหิ้วและให้กันดิศทิ้งตัวลงบนเตียงนอนของเธอ“ฉันเขียนบทให้นายเป็นผู้ชายแสนดี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ แล้วทำไมถึงทำตัวแบบนี้แถมยังพาพ่อฉันกินอีกด้วย” คนบ่นช่วยจัดท่านอนจนเรียบร้อยและทำท่าผละห่าง เพื่อหยิบผ้าขนหนูไปชุบน้ำหมาดๆก่อนจะออกไปจัดการให้พ่อของเธอ


ทว่ากลับถูกคว้าข้อมือเอาไว้ “อยู่กับฉันก่อน” กันดิศรั้ง


“ปล่อยสิฉันจะไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ เผื่อนายจะรู้สึกดีขึ้น” วราลีหันมองพร้อมดึงแขนให้พ้นพันธนาการแต่เขาก็ยื้อเอาไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี

“แค่เธออยู่ตรงนี้ก็พอ...”น้ำเสียงแหบพร่าวิงวอน วราลีลอบถอนใจและนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง


ใบหน้าคมคายออกสีแดงระเรื่อเขาคงกำลังอึดอัดไม่สบายตัว คิ้วเข้มขมวดมุ่นและหายใจแรงเพื่อลดอาการพะอืดพะอมเนื่องจากเมื่อครู่เขาไม่ได้อาเจียนออกมาฝ่ามืออุ่นร้อนกุมข้อมือของนักเขียนสาวไว้แน่นราวกับเธอจะหายสาบสูญ


เสียงฟ้าครืนดังไกลๆ พร้อมกับแสงสว่างวาบเป็นระยะส่งสัญญาณว่าอีกไม่นานฝนคงเทกระหน่ำลงมา วราลีนั่งเงียบๆอย่างนั้นจนรู้สึกว่ากันดิศสงบนิ่ง จึงค่อยๆ แกะมือเขาออกจากแขนของเธออย่างช้าๆ ไม่อยากทำให้พระเอกในนิยายรู้สึกตัวตื่นคงปล่อยให้เขาครอบครองเตียงนอนของเธอสักพัก


‘รักฉันบ้างหรือเปล่า...’


เสียงแผ่วราวกระซิบกระซาบดึงให้วราลีหยุดความคิดที่จะลุกไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำ หันกลับมามองคนขี้เมา และขยับเข้าใกล้พร้อมเอียงหูฟังเมื่อได้ยินไม่ถนัดนักกับประโยคเมื่อครู่นี้


‘ฉันรักเธอ...วราลี’


แม้เสียงจะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เพราะตั้งใจฟัง จึงรู้ว่ากันดิศพูดถึงเธอวราลีชะงักนิ่งเมื่อได้ยินความในใจที่เขาระบายออกมาเธอจ้องมองใบหน้าคมคายพร้อมกับไล่สายตาไปทุกส่วนบนใบหน้าของเขา


เขาหลับจริงหรือแกล้งทำให้เธอจิตใจสั่นไหวอย่างนี้ ความหลงใหลกลับมาควบคุมจิตใจ ทั้งที่พยายามถอยห่างและควรคิดถึงแต่คนรัก ทว่าในสายตาของเธอกลับเห็นแต่กันดิศซึ่งเป็นตัวแทนของศาสวัตรเท่านั้น


วงหน้าคมเข้มยามหลับใหลราวกับไร้เดียงสาคิ้วดกหนารับกับจมูกโด่งเป็นสัน ปากแดงหยักได้รูปจนอยากเผลอก้มลงไปจูบ ‘นี่เหรอผู้ชายในฝัน’ จินตนาการที่เธอสร้างขึ้นจนเขามีตัวตนออกมาโลดแล่นอยู่ในชีวิตจริงราวกับปาฏิหาริย์ วราลีค่อยๆเคลื่อนใบหน้าหวานเข้าใกล้เขา เสมือนโดนสะกดให้เผลอไผลลืมตัว


เปรี้ยง! เสียงฟ้าคำรามทำให้กันดิศและวราลีสะดุ้งสุดตัวพระเอกในนิยายดีดกายลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน ศีรษะของทั้งคู่ชนกระแทกกันเต็มแรงจนมึนงงวราลีผงะหงายหลัง ส่วนกันดิศก็รีบโอบคว้าร่างบอบบางเอาไว้อย่างอัตโนมัติ ก่อนทั้งคู่จะกลิ้งตกจากเตียงนอนลงไปกองอยู่บนพื้นห้อง


อุบัติเหตุเกิดขึ้นรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัวเสียงฟ้าครวญครืนก่อนสายฝนโปรยปราย แต่บรรยากาศรอบด้านไม่ได้ทำให้ชายหญิงทั้งสองใส่ใจเมื่อต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันนิ่งๆ ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน วราลีนอนทับอยู่บนอกกว้างซึ่งกันดิศรับร่างบอบบางไว้ได้ทันท่วงทีจิตใจของเธอเต้นระรัวตูมตาม


แววตาเหม่อลอยจากอาการเมายังไม่สร่างซาแต่หัวใจของเขากลับเต้นเร่าจนเลือดในกายสูบฉีดความร้อนรุ่ม สองร่างแนบชิดจนกายสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นกันดิศโอบกอดวราลีไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งคู่ลืมความเจ็บปวดที่ศีรษะกระแทกกันเมื่อครู่นี้ไปชั่วคราว


‘ฉันรักเธอ...วราลี’เสียงกระซิบที่ดังแว่วเมื่อครู่ดึงให้วราลีกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งแพขนตาหนากะพริบถี่ พยายามขยับกายลุกขึ้น ทว่าอ้อมแขนที่โอบรัดเธอไว้กลับหน่วงเหนี่ยวและผูกมัดแรงกว่าเดิม


กันดิศรวบรวมกำลังทั้งหมดพลิกกายกลับพร้อมโอบร่างบางให้นอนแทนที่อย่างอ่อนโยน


“นี่นาย!”วราลีร้องเสียงหลง เกิดความหวิวไหวที่หัวใจเกือบขาดวิ่น เมื่อเขากักขังเธอไว้ด้วยวงแขนแข็งแรงและทาบทับร่างกายบอบบางไม่ให้ขยับเคลื่อนไหวสองหัวใจเต้นตึกตัก คนหนึ่งคล้ายหัวใจพองโตราวกับถูกสูบลมให้ลอยล่องขึ้นฟ้า อีกคนกลับค่อยๆหุบแฟบเมื่อนึกถึงบางสิ่งที่อยากระบายออกมา


“ทำไมต้องสร้างให้ฉันเหมือนเขาแล้วไม่รักฉันแบบที่รักเขาบ้าง” เสียงแหบโหยกระซิบแผ่ว กลิ่นแอลกอฮอล์ปนเปกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแต่ไม่ได้ทำให้วราลีนึกรังเกียจ กลับยิ่งหลงใหลจนต้องควบคุมอารมณ์และจิตใจไว้ไม่ให้เตลิดไปมากกว่าเดิม


“ฉันอิจฉาผู้ชายคนนั้น...เผลอคิดไปว่าถ้าได้เป็นเขาจริงๆฉันคงรักและหวงแหนเธอกว่าศาสวัตรหลายร้อยเท่า”


จิตใจเต้นตึกตักเมื่อกันดิศค่อยๆ หยิบยื่นความใกล้ชิดจนความอุ่นร้อนวิ่งวนทั่วใบหน้าและร่างกาย วราลีหลบสายตามองมือตัวเองที่จับประสานกันไว้แน่นจนปลายเล็บจิกผิวหนังเพื่อระงับความหวั่นไหว


กันดิศใช้แววตาร้อนแรงจ้องมองวราลีจนเกือบแผดเผาและหลอมละลายในคราวเดียวกันเขาเอื้อมมือลูบไล้ผมสลวยเบาๆ ก่อนพูด “บางครั้งฉันก็หลงใหลเธอ...จนเผลอลืมไปว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”


ใจคนฟังเต้นเร่าพร้อมปิดเปลือกตาสนิท เมื่อพระเอกในนิยายค่อยๆโน้มกายลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากบางอย่างอ่อนละมุน พาเคลิ้มไหวไปกับรสจูบวาบหวามทุกความรู้สึกเวลานี้ทำลายปราการที่เคยตั้งเป็นกำแพงกักกั้นผู้ชายคนนี้ไว้จนพังทลายไม่เหลือชิ้นดีลืมผิดชอบชั่วดีหมดสิ้น ความร้อนตามร่างกายกำลังพลุ่งพล่านจนจังหวะการเต้นของหัวใจแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆหายใจติดขัดขาดห้วง เผลอตอบรับรสจูบหวานจนแทบหยุดหายใจ


สายฝนยังคงโปรยปรายพร้อมเสียงฟ้าครืนดังห่างๆที่มากับแสงสว่างวับวาบเป็นพักๆ ร่างกายของพระเอกในนิยายเลือนสลายตามเวลาที่บรรจบเที่ยงคืนพอดีความอ่อนโยนที่เคยสัมผัสค่อยๆ เจือจางพร้อมกับความอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บแทนที่


วราลีระบายลมหายใจยาวๆ ก่อนกะพริบเปลือกตาถี่ๆมองเห็นเพียงความสว่างของสายฟ้าที่แวบเข้ามาในห้องนอนมืดสนิท เธอไม่รู้ว่าไฟฟ้าดับลงเมื่อไรอาจเพราะเสียงฟ้าร้องเปรี้ยงในครั้งแรก ต้นเหตุที่ทำให้เธอกับเขาลงมานอนกอดกันอยู่บนพื้นห้องเมื่อครู่นี้นักเขียนสาวนำมือทาบบนอกสัมผัสจังหวะการเต้นของหัวใจที่ยังสั่นสะท้าน ไม่ต่างจากร่างกายสั่นเทาพยายามควบคุมให้หัวใจหยุดเต้นตูมตาม และคิดตามสถานการณ์ตอนนี้...


‘ว่างเปล่า’ หมดเวลาของพระเอกในนิยาย


ท้องฟ้าสว่างไสวเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านพ้นเส้นขอบฟ้าได้เพียงไม่นานรถยนต์คันหรูหราขับออกจากโรงแรมดังระดับสามดาวในตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านเส้นทางเข้าอำเภอนางรองเพื่อขึ้นสู่ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง


“พี่ศาสมากับตาที่นี่หากวรารู้จะโกรธเราสองคนหรือเปล่า” เสียงหวานส่อแววไม่สบายใจเธอชำเลืองมองชายหนุ่มด้านข้างอย่างลังเล เมื่อต้องพูดถึงคนรักของเขาในเวลาเช่นนี้


“อย่าให้รู้สิ”ศาสวัตรกล่าวพร้อมระบายยิ้มจางๆ “ว่าแต่ทำไมตาถึงรู้จักที่นี่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยระหว่างหักพวงมาลัยรถเข้ายังลานดินโล่งกว้างเพื่อจอดในสถานที่ปลายทาง


“เพื่อนคุณแม่บอกค่ะ ท่านว่าพระอาจารย์ที่นี่เก่งมากเรื่องผูกดวงชะตาอะไรทำนองนั้น”


“พี่ไม่คิดเลยนะว่านักเรียนนอกอย่างเราจะรู้จักเรื่องพวกนี้ด้วย”ศาสวัตรเอื้อมมือจับศีรษะของหญิงสาวโยกเบาๆ อย่างเอ็นดูก่อนดึงกุญแจและก้าวลงจากรถยนต์คันหรูหรา


บรรยากาศรอบบริเวณเงียบสงบลักษณะของสถานที่คล้ายสถานปฏิบัติธรรมร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมายปกคลุมตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐมอญตลอดแนวจนถึงบันไดทางลง


พันธิตราสาวหน้าหวานปากนิดจมูกหน่อย ชะเง้อมองลงไปยังสถานที่แปลกตาลักษณะคล้ายถ้ำ ไร้แสงสว่างภายในนั้น“ในนี่หรือเปล่านะ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองก่อนส่งเสียงถามไถ่ “มีใครอยู่บ้างคะดิฉันมาพบพระอาจารย์คะ” เสียงใสเรียกหาใครสักคนบริเวณนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆเมื่อรอบด้านเงียบเชียบจนน่าขนลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ


“มาพบอาตมาหรือโยม”เสียงทุ้มกังวานจากด้านหลังทำให้ชายหญิงหันขวับยังต้นเสียงทันที ทั้งสองยกมือไหว้เจ้าของสถานที่อย่างนอบน้อม“อาตมารอโยมอยู่” ศาสวัตรหันมองพันธิตราอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าพระอาจารย์จะล่วงรู้ถึงการมาเยือนครั้งนี้ทั้งที่ไม่ได้ติดต่อไว้ล่วงหน้า


ศาสวัตรมองพระอาจารย์ซึ่งแต่งกายคล้ายพระภิกษุสงฆ์ห่มจีวรสีเข้มราวกับพระธุดงค์ที่ออกปฏิบัติธรรมกลางป่ากลางเขาเสียมากกว่าจะอยู่ตามวัดวาอาราม


“ท่านรู้ได้ไงครับว่าผมสองคนจะมาหา”ศาสวัตรถามอย่างใคร่รู้ เมื่อความแปลกใจรุมเร้า


พันธิตราจ้องมองพระอาจารย์อย่างนึกกลัวอยู่ในใจ เธอลอบมองสถานที่ชวนขนลุกพร้อมขยับเข้าใกล้ชายหนุ่มจนยืนชิดติดกัน


พระอาจารย์ยิ้มอารีก่อนขยับเข้าหาศาสวัตรท่านยื่นหินสีดำแวววาวให้เขา “โยมจงเก็บลูกแก้วนี้ไว้ เพื่อรออีกดวงพบกันแล้วทุกสิ่งจะย้อนกลับมา” สิ้นเสียงทุ้มกังวานศาสวัตรก็รับลูกแก้วสีดำนั้นอย่างอื้ออึงสงสัย และหันมองพันธิตราคล้ายมีคำถามมากมายในใจหากแต่ไม่ทันเอ่ยถาม เมื่อพระอาจารย์หันหลังเดินจากไปในทันที


ศาสวัตรก้มมองสิ่งของในมือและคิด หินลูกนี้มีความสำคัญอย่างไรกับชีวิตของเขาและบุคคลอันเป็นที่รัก...



To be continued...




Create Date : 22 มิถุนายน 2557
Last Update : 22 มิถุนายน 2557 6:45:48 น.
Counter : 571 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments