กรกฏาคม 2557

 
 
1
2
3
4
5
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
30
31
 
 
เนรมิตอักษรา 12

บทที่ 12

สะกดรอย


ศีตลายิ้มเจ้าเล่ห์มองตามศาสวัตเดินกลับเข้ากองถ่ายละครอีกครั้ง “น่าสงสารแม่นักเขียนจริงๆถูกแฟนสวมเขาซะแล้วซี” จากรูปการและคำพูดของชายหนุ่มคงไม่พ้นสนทนากับสาวๆ เป็นแน่หล่อนเชื่ออย่างนั้น และการนัดหมายในช่วงค่ำคืนอย่างนี้ คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ถ้าไม่มีเรื่องบนเตียงมาเกี่ยวข้อง


นางเอกสาวนึกสนุกคิดหาเรื่องปั่นป่วนใจของวราลีให้สั่นไหว “อีกหน่อยเธอต้องขอบใจฉัน ที่ทำให้หูตาสว่างไม่มีเขางอกอยู่บนหัว” คนพึมพำหัวเราะคิกคักก่อนเดินตัวปลิวเข้าไปดูการถ่ายละครที่กำลังเดินกล้องอีกครั้ง


ศีตลาจ้องศาสวัตอย่างหลงใหลในรูปร่างสูงโปร่งหน้าตางดงามคล้ายกันดิศ ทุกอย่างในตัวเขาจึงดึงดูดสายตา แสงไฟประกอบฉากเจิดจ้า ส่องสะท้อนไปยังพระรองที่กำลังสวมบทเป็นตัวละครตัวหนึ่งซึ่งอีกไม่นานการถ่ายละครเรื่องนี้จะจบลง และปิดกล้องเพื่อเข้าฉายยังสื่อโทรทัศน์ในไม่ช้า


บทบาทและการแสดงของศาสวัตสื่อออกจากสีหน้าและแววตา สร้างอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ขวยเขินหรือแข็งทื่ออย่างนักแสดงคนอื่นซึ่งหล่อนเคยเห็นมานักต่อนัก


แม้ศีตลาจะเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นจากนวนิยายทว่าหล่อนเคยเห็นการถ่ายทำละคร ภาพยนตร์ เพื่อศึกษาเป็นแนวทางมาบ้างแล้ว


นางเอกสาวยืนกอดอก ม้วนนิ้วกับปอยผมยาวเป็นลอนขณะจ้องศาสวัตไม่วางตาครุ่นคิดถึงแผนการ ควรทำอย่างไรให้วราลีรู้ความจริง ว่าแท้จริงแล้วชายผู้นี้กำลังคบหากับหญิงอื่นไม่ได้รักหรือห่วงใยเธอเสียเต็มประดาอย่างที่เขาแสดงในห้องพักผู้ป่วยเมื่อเช้านี้


‘นางเป็นใคร มายืนด่อมๆ มองๆ ศาสของฉันอยู่ได้’


‘นั่นซี หน้าตาก็พื้นๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือจะเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง’


เสียงซุบซิบในระยะเผาขน บาดหู จนสะเทือนถึงขั้วหัวใจการพูดจาคล้ายจีบปากจีบคอ ‘อยากสวย’ แต่ติดตรง น้ำเสียงแหบใหญ่ ฟังอย่างไรก็รู้ว่าเป็นเพศที่สามอย่างแน่นอน


ศีตลาชำเลืองมองสองหนุ่มซึ่งแต่งตัวล่อตะเข้แม้ร่างกายจะสูงเพรียว ขาแข้งยาวเก้งก้าง แต่ทั้งสองกลับใส่ชุดแซกสั้นเหนือเข่าสวยแปลกตากว่าหญิงสาวทั่วไป


นางเอกสาวจิกสายตามองสองหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าในเมื่อการซุบซิบของพวกเขาระคายหู ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำญาติดีให้ลำบากใจทว่าบทบาทของหล่อนคือนางเอก ต่อให้อยากร้ายเพียงใด ก็คงร้ายในแบบฉบับของนางเอก


“ข้องใจอะไรกันคะหรือฉันมายืนเกะกะขวางทาง...” ‘หมาแมว’ หล่อนนึก “...ใครเข้าหรือเปล่า พอดีแถวนี้ไม่มีป้ายบอกไว้”


“โอ้ยๆ ไม่ต้องมีป้ายบอกหรอกจ๊ะพอดีความแปลกหน้ากระทบเรดาร์ของพวกเราเข้า ต่อมเม้าส์มอยเลยทำงาน ว่าแต่เธอเป็นดาราหน้าใหม่หรือไงเจ๊ไม่เคยเห็นแถวนี้มาก่อน” สองหนุ่มยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก ขนตาปลอมงอนหนาดำสนิทแทบจะพันกันยุ่งเมื่อเขาเอียงศีรษะเข้าหากัน ทำท่าล้อเลียนอยู่ในที สร้างความหงุดหงิดใจกับศีตลาไม่น้อย


ศีตลานึกเจ็บใจเมื่อพูดไม่ได้เต็มปากว่าหล่อนก็นางเอกแถวหน้าเพียงแต่เป็นนางเอกนิยาย ไม่ใช่นางเอกละครอย่างที่กำลังตั้งกองถ่ายทำหล่อนจึงหวังในใจ...สักวันต้องยืดอกอย่างภาคภูมิ หากได้เป็นนางเอกละครเต็มตัว


“พอดีฉันมากับผู้ชายคนนั้น” คนพูดชี้ชวนให้มองไปทางศาสวัต


เมื่อสองหนุ่มหันตามก็ออกอาการไม่เป็นสุขยืนหลุกหลิกตาขวาง ค้อนขวับใส่นางเอกนิยายซึ่งยืนยิ้มเยาะราวกับหล่อนถือไพ่เหนือกว่า


จะไม่สะใจได้อย่างไรเมื่อแว่วเสียงนินทาจงใจกระทบกระเทียบหล่อน โทษฐานเข้ามายุ่มย่าม มองผู้ชายหน้าตาดีเข้าขั้นหล่อเหลาขวัญใจหญิงแท้ หญิงเทียมด้วยกันทั้งนั้น เวลานี้จึงถึงทีเอาคืน...


“เธอจะมากับ ‘ศาส’ ของเจ๊ได้อย่างไร” คนพูดเน้นคำ ยกนิ้วชี้กรีดกรายเล็งไปยังเพื่อนด้านข้างและอีกหลายคนที่กวาดสายตาผ่าน “รู้ไหมว่าพวกเจ๊ เก้ง กวาง ชะนี ทั้งหลายจ้องตะครุบกันอยู่ตั้งแต่เปิดกล้องละครเรื่องนี้ จนเนี่ย!จะปิดกล้องอยู่แล้ว พวกเจ๊ ยังไม่ได้แอ้มซักคน” เขาสะบัดสายตาส่งค้อนอีกหลายที ให้หล่อนที่เข้ามายืนชุบมือเปิบ


“ตายจริง! พวกเจ๊จ้องจะงาบคนรักของฉันหรือคะ” ศีตลาเดินเข้าใกล้สองหนุ่ม เขย่งปลายเท้ากระซิบข้างหู‘เจ๊’ ที่ปาวประกาศว่า ‘หวง’ ศาสวัตออกนอกหน้า “ลืมบอกไป คนรักของฉันไม่ชอบเก้ง กวาง หรือกระเทยแก่ๆ” หล่อนเน้นเสียงหนักกับคำสุดท้าย “อ่อยให้ตายเขาก็ไม่ชายตามองหรอกนะเจ๊”


สองหนุ่มควันออกหู มองหน้ากันเลิ่กลั่กกำมือแน่นเกร็งจนสั่นไปทั้งตัว ทั้งโกรธและอับอาย ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘กระเทยแก่ๆ’ จนลืมนึกไปว่าศาสวัตก็แค่มนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่จิตวิญญาณแห่งตัวละครอย่างที่พวกเขาเป็น


ศีตลาหัวเราะร่วนราวกับหล่อนคือผู้ชนะเมื่อเห็นกระแสความเกรี้ยวกราด แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ากรีดร้องในใจและมองหล่อนด้วยหางตา


สองหนุ่มเริ่มมีอารมณ์โกรธเคืองปะทุหนักนึกไปถึงการทำร้ายร่างกาย...หญิงสาวตรงหน้า อยากสวมบทเป็นนางร้ายตามละครดังหลังข่าวเสียเดี๋ยวนี้


“หนีมากองถ่ายอีกแล้ว”เสียงห้าวคุ้นเคยทำนางเอกสาวหุบยิ้ม เบิกตาโตก่อนหันขวับด้านหลัง


บังเอิญความหล่อเหลาของคนที่เข้ามาขัดจังหวะกระแทกสายตาสองหนุ่มหัวใจสาว จนลืมโมโหไปชั่วขณะ สิ่งร้ายๆที่นึกคิดเมื่อครู่หลุดลอย ทั้งสองยืนนิ่ง กะพริบตาปริบๆคล้ายถูกความคมคายดึดดูดจนแทบหยุดหายใจ


ศีตลาขยิบตา ทำปากขมุบขมิบส่งสัญญาณให้ ‘เขา’ หยุดยืนกับที่ก่อนทำเสียเรื่องอุตส่าห์พ่นคำ อวดศักดาไม่ยั้ง จะมาตกม้าตายเพราะความแตกในเรื่องของ ‘คนรัก’ และหลอกด่า ‘กระเทยแก่’ ให้เจ็บใจเล่น แม้ศาสวัตจะเป็นที่รักของคนอื่น ทว่าเขาคือตัวแทนของกันดิศซึ่งเป็นคนรักของหล่อนเช่นกัน


นางเอกสาวตีหน้าซื่อ แสร้งยิ้มเก้อๆหันหาสองหนุ่มหัวใจสาวที่ยืนมองมาวินตาค้าง “ขอตัวก่อนนะคะพอดีเพื่อนของคนรักมาหา” กล่าวจบ หล่อนถลาหาคนคุ้นเคยและคว้าต้นแขนหมับลากเขาออกจากสถานที่ตรงนั้นในทันที


มาวินลอบยิ้มขณะถูกพาออกนอกอาคารสถานที่ซึ่งศาสวัตใช้ถ่ายทำละคร จริงๆ แล้วตัวประกอบหนุ่มเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่ศีตลาแยกจากวราลี และติดตามศาสวัตมายังอาคารแห่งนี้ จนทะเลาะกับชายหนุ่มหัวใจสาวและหล่อนก็ตอกหน้าหงายได้สำเร็จ


“นายมาที่นี่ทำไม!” ศีตลาตวาดเสียงแข็ง


“มาตามเธอกลับ ตรงนี้มันนอกเขตของพวกเรายังจะหาเรื่องใส่ตัว เที่ยวแขวะจิตวิญญาณแห่งละครไปทั่วไม่กลัวพวกนั้นรุมทำร้ายหรือไง”


นางเอกสาวเบือนหน้าหนียกมือกอดอกอย่างกระแทกกระทั้นขัดใจ จะต้องกลัวใครหน้าไหนในเมื่อคนถูกรังแกคือหล่อน เสียงหึดังอยู่ในลำคอ บ่งบอกว่าไม่พอใจ “นายไม่อยู่ตอนกระเทยแก่นินทาฉันนี่ไม่ต้องทำเป็นพูดดี และอย่ามาขู่กันซะให้ยาก ฉันไม่กลัวพวกนั้นหรอกนะ”


มาวินหลุดยิ้มและยืนกอดอกมองหล่อน“ทำไมชอบหนีมาแอบดูเขาถ่ายละครกัน เธออยากเป็นจิตวิญญาณแห่งละครแบบพวกนั้นเหรอ”เสียงห้าวกล่าวอย่างละมุนละม้อม อยากพูดด้วยดีกับหญิงสาวซึ่งเขามีใจให้ไม่เพียงบทบาทจากนิยายที่วราลีสร้างขึ้น เขากลับหลงรักและคอยมองหล่อนอย่างไม่คลาดสายตาตั้งแต่ถูกสร้างเป็นตัวละครด้วยกัน


ศีตลาลดอาการขุ่นเคืองชำเลืองมองคู่สนทนาอย่างญาติดี “แค่บังเอิญผ่านมาเจอเท่านั้นละ”


“บังเอิญ?” มาวินทวนคำ ไม่เข้าใจกับเรื่องบังเอิญของหล่อน


แต่ไหนแต่ไรเขาคอยติดตามนางเอกสาวซึ่งชอบหายตัวบ่อยครั้งและทุกครั้งมักเจอหล่อนอยู่ตามกองถ่ายละครบ้างละ ตามโรงภาพยนตร์บ้างละคล้ายกำลังศึกษาบทบาทการเป็นจิตวิญญาณแห่งละครเฉกเช่นตอนนี้


โดยจิตวิญญาณนี้ถือเป็นความหวังสูงสุดของตัวละครอย่างพวกเขาถึงแม้จะมีบทบาทเป็นพระนางหรือตัวประกอบฉากตามหน้ากระดาษของนิยายแล้วทว่าการได้สวมตัวตนแห่งจิตวิญญาณของละครนั้น นับว่าสูงสุดกว่า


“ใช่ บังเอิญฉันตามผู้ชายมาเจอกองถ่ายเข้า”ศีตลาพูดอย่างใจคิด ไม่ทันสังเกตมาวินที่เปลี่ยนสีหน้าเป็นตึงเครียดกะทันหัน ติดใจต่อคำว่า‘ตามผู้ชาย’ นางเอกสาวอาจไม่ทราบว่า‘เขา’ ที่ติดตามหล่อนมานั้นไม่อยากรับฟังว่าหล่อนให้ความสนใจชายอื่นอย่างนี้ อาการ ‘หึงหวง’ จึงขึ้นหน้า


“เหรอ...” มาวินเบือนหน้าหนีทิ้งมือที่กอดอกลงข้างลำตัว ทำท่าจะเดินหนี


“นายรู้ไหมว่าวราลีมีแฟน?” ศีตลาชวนคุยและรั้งเขาไว้ ไม่ใส่ใจต่อท่าทางบึ้งตึง จากสีหน้าและน้ำเสียง


“รู้...” เขาตอบสั้นๆ โดยไม่อธิบายต่อ


จะไม่รู้ได้อย่างไรในเมื่อมาวินถูกพระเอกหนุ่มสั่งการให้เฝ้าสังเกตวราลีตลอดเวลาตั้งแต่เธอหลุดเข้ามาอยู่ในโลกแห่งจินตนาการนี้ ระหว่างนี้เขาจึงไม่มีเวลาคอยติดตามหล่อนตรงหน้าเท่าที่ควร


ศีตลาจ้องมาวินตาเขม็งกระแสคาดคั้นออกจากประกายตาคู่นั้น “พี่กันบอกนายใช่ไหม” เสียงใสดุดันจนคนถูกถามพยักหน้าให้“นายรู้ใช่ไหมว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาเหมือนพี่กันของฉัน” เขาพยักหน้าซ้ำอีกรอบ “ทำไมวราลีต้องสร้างพระเอกของฉันเหมือนแฟนเธอด้วย”


“เธอไม่รู้เหรอ การเขียนนิยายส่วนหนึ่งได้แรงบันดาลใจจากคนใกล้ตัว บางคนคลั่งไคล้ดารา ก็หยิบอิมเมจของดาราคนนั้นมาใส่ในนิยายบางคนขุดชีวิตดราม่าของเพื่อนมาสร้างพล็อตเรื่อง บางคนยกปัญหาครอบครัวมาเป็นข้อมูลก็ไม่แปลกที่วราลีจะเขียนให้พระเอกในนิยายหน้าตาเหมือนแฟนตัวเองอย่างนั้น”


“ก็ฉันไม่ชอบ!” หล่อนตวาด เมื่อรู้สึกคล้ายตนเองถูกแย่งความรักเพราะความคล้ายคลึงของแฟนหนุ่มกับกันดิศ อาจทำให้นักเขียนสาวสับสนจนไม่รู้ต้องเลือกใครกันแน่ วงหน้าสดใสวูบลงเล็กน้อย หล่อนเสมองทางอื่นไม่อยากให้มาวินเห็นความหวั่นไหวที่ส่อจากแววตาคู่นั้น


“ความรักอยู่รอบตัวเธอมองไม่เห็นเองต่างหาก” มาวินมองหล่อนคล้ายอยากบอกเป็นนัยเขาอาจเป็นความรักรอบตัวที่ว่านั้น


“จะยังไงก็ช่าง ตอนนี้นายคงตกกระไดพลอยโจรแล้วละ”ศีตลาตัดบทด้วยยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อคิดแผนการบางอย่างออก “ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยซีนะ นะ” หล่อนโอบแขนของชายหนุ่มอย่างออดอ้อน


มาวินเลิกคิ้วสงสัย ตระหนักดีว่านางเอกสาวคงไม่บอกกล่าวจนกว่าเขาจะยอมตกลงปลงใจและถึงอย่างไรเขาคงไม่ปฏิเสธเช่นกัน ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ เขาพร้อมไปด้วยอย่างเต็มใจ


ภายในห้องพักผู้ป่วยเงียบสงบไร้เสียงพูดจาเมื่อเหลือกัมพลนั่งอยู่ข้างเตียงนอนของบุตรสาว หลังจากนิสากลับไปแล้วเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน


เธอแวะมาเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการของวราลีตั้งแต่ช่วงเช้า และนั่งเล่นอยู่เป็นเพื่อนกัมพลจนเห็นว่าค่ำแล้วจึงขอตัวกลับไปพักผ่อนปล่อยให้บิดานั่งเฝ้าบุตรสาวอย่างนั้น จนกว่าศาสวัตจะกลับมารับหน้าที่ต่อ


กัมพลยกมือลูบศีรษะพร้อมเกลี่ยไรผมให้หญิงสาวที่นอนนิ่งอย่างทะนุถนอม“กุ้งแห้ง...นี่พ่ออดเหล้ามาเกือบอาทิตย์แล้วนะ ทำไมแกยังไม่ฟื้นเสียที”


วราลีถอนใจหนักเมื่อได้ยินคำพูดนั้นแม้เธอจะทำให้พ่อลำบากกับการเฝ้าดูแลร่างไร้วิญญาณแล้ว ยังทำให้เขาฝืนใจเลิกดื่มเหล้าอีกด้วยถึงใจจริงอยากให้เขาเลิกเมามาย แต่ไม่ใช่ตกอยู่ในสภาวะหดหู่เช่นนี้


เธอคุ้นชินกับการเห็นกัมพลโหวกเหวกโวยวายกลายเป็นคนขี้เมาและเชื่อว่านั้นคือตัวตนของเขาที่พยายามละทิ้งความโศกเศร้าทั้งหลาย สร้างเกราะกักกั้นความเสียใจตั้งแต่สูญเสียภรรยาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทว่าครั้งนี้ เขายอมละทิ้งทุกอย่าง เพื่อแลกกับชีวิตของบุตรสาวซึ่งยังไม่รู้ชะตากรรมจะลงเอยอย่างไร


“หนูคงทำให้พ่อลำบากใจมากๆเลยสินะ”


เสียงเปิดประตู ดึงสายตาคนในห้องให้หันมองผู้มาเยือน


ศาสวัตส่งยิ้มให้กัมพลพร้อมยกมือไหว้ก่อนทักทาย“วันนี้อาการของวราเป็นไงบ้างครับ” แววตาสลดจากชายวัยกลางคนทำให้ทราบในทันทีว่าอาการของเธอไม่ดีขึ้นจากเมื่อวานนี้เขาเดินมาหยุดยืนข้างเตียงคนป่วย แตะสำรวจตามร่างกายของหญิงสาวและระบายลมหายใจท้อแท้


ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ได้แต่ปลอบใจตนเอง วราลีต้องดีขึ้นและฟื้นในที่สุด แต่จนแล้วจนรอดเธอยังหลับใหลอย่างนี้


ศาสวัตนึกถึงรอยยิ้มสดใสเสียงหัวเราะร่าเริง แววตาหวานซึ้ง ที่เคียงข้างกันไม่เคยห่าง ทว่าเวลานี้กลับ ‘เหงา’ เมื่อไม่ได้เห็นหรือได้ยินสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว


“ถ่ายละครเป็นไงบ้างรึ”คำถามของกัมพลทำให้ความคิดหลุดลอย ศาสวัตระบายยิ้มจางๆ


“ก็ดีครับ”


ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับรู้เกิดความเห็นใจศาสวัตเป็นอย่างมาก เมื่อเขาต้องแบกรับภาระหนักอึ้ง ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆการเฝ้าดูแล ‘กุ้งแห้ง’ อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยสักครั้งพาลทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีต...


สมัยก่อน ตอนวราลีพาศาสวัตมาแนะนำให้รู้จักกัมพลไม่ถูกชะตากับคนรักของบุตรสาวตั้งแต่แรกเจอ ด้วยท่าทางการแต่งกายเฮี้ยวๆตามประสาวัยรุ่น เสื้อเชิ้ตหลุดรุ่ย กางเกงยีนส์ขาดๆ แบบสมัยนิยม รองเท้าผ้าใบสีสดเครื่องเงินจำพวกสร้อยแหวนเต็มตัว ทั้งนิ้ว คอ หู ผมยาวระต้นคอ ดูอย่างไรก็ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เสียเลยคิดอย่างเดียว ศาสวัตไม่มีทางดูแลบุตรสาวของตนได้ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน


ตอนนั้นเคยคิดต่อต้านไม่อยากให้ทั้งสองคบหากัน แต่ด้วยนิสัยดื้อรันของวราลี จึงไม่อาจห้ามปรามกอปรกับเขาไม่เป็นโล้เป็นพาย ขาดความเป็นผู้นำครอบครัว เลยหยุดคัดค้านและเฝ้าดูพฤติกรรมของทั้งคู่อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ในใจแอบนึก ‘แช่ง’ ให้เลิกคบหากันโดยเร็วเสียด้วยซ้ำ


ณ เวลานี้ศาสวัตกลับเป็นที่พึ่งพิงเพียงคนเดียวที่เขาและบุตรสาวมี โดยหวังว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็นเสาหลักให้กับวราลีตลอดไปในภายภาคหน้า


“พ่อครับ วันนี้รบกวนอยู่เฝ้าวราสักคืนนะครับ”


“ได้ มีธุระก็ไปทำเถอะไม่ต้องห่วงกุ้งแห้ง พ่อเฝ้าให้เอง” ศาสวัตพยักหน้า ทว่าคนช่างซักยังพูดต่อ“เอ...หรือธุระที่ว่าคือซักผ้าดึกดื่นงั้นรึ ผู้ชายตัวคนเดียวก็ลำบากอย่างนี้อีกหน่อยคงพึ่งไอ้กุ้งแห้งมันได้” กัมพลกล่าวยิ้มๆ ไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของศาสวัตที่เจื่อนลงอย่างละอายแก่ใจเมื่อเหตุผลของเขาไม่ใช่กลับไปซักผ้าอย่างที่ตั้งใจเสียแล้ว


ร่างสูงลอบถอนใจระหว่างหันหาแฟนสาวอีกครั้งเขาเอื้อมมือสัมผัสแก้มนวล ทว่าซีดขาว “พรุ่งนี้เช้าผมแวะมานะครับ” สิ้นคำศาสวัตนำมือล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบพวงกุญแจรถเตรียมเดินทาง


“ขับรถขับราดีๆ” กัมพลกล่าว


“ครับ” ไม่ทันออกจากห้องเสียงดนตรีของโทรศัพท์มือถือดังเตือนให้รับสาย ศาสวัตผงกศีรษะเพื่อขอตัวออกจากห้องอย่างรีบร้อน


วราลียืนมองเหตุการณ์ด้วยหัวใจเจ็บแปลบเมื่อสัมผัสได้ว่าศาสวัตไม่ได้กลับไปซักผ้าอย่างที่กัมพลเข้าใจ ภายในความรู้สึกเชื่อว่าเขาคงไปพบใครสักคนที่โทรเข้ามาและใครคนนั้นอาจเป็นหญิงสาวซึ่งอยู่ในความคิดเวลานี้ เธอรู้สึกอย่างนั้น


“ว่าไงตา” ศาสวัตกดรับสาย ขณะนักเขียนสาวเดินตามออกจากห้อง“พี่กำลังไปหาเดี๋ยวนี้ละ”


ได้ยินเพียงเท่านั้นก็อยากห้ามปรามไม่ให้เขาจากไป...


วราลีพยายามคว้าลำแขนของศาสวัตไว้อย่างลืมตัวทว่าความร้อนระอุทำให้เธอรีบชักมือกลับรวดเร็ว จำเป็นต้องกำมือแน่นๆเมื่อความร้อนนั้นสร้างความเจ็บปวด แววตาประหลาดใจมองตามคนรักเดินจากไปและคิดทบทวน เหตุใดการสัมผัสถูกศาสวัตจึงรุ่มร้อนราวกับถูกไฟแผดเผาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เสียงเพลงคลอเบาภายในห้องโดยสารรถยนต์เข้ากับบรรยากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดทำงานตั้งแต่เจ้าของขึ้นนั่งประจำตำแหน่งคนขับและออกเดินทางไปยังจุดนัดพบ


ศาสวัตขับรถเรื่อยๆด้วยความเร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้สายตาจับจ้องอยู่บนถนนทอดยาวทว่าความคิดกลับค้นหาความทรงจำระหว่างวราลี...


‘ตัวเล็ก...เราจะทิ้งพี่ไปอีกคนหรือเปล่า’ คำถามซึ่งมีแต่ความลังเลไม่แน่ใจต่อคำตอบที่กำลังจะได้รับแต่เธอไม่เคยทำให้ผิดหวังสักครั้ง เมื่อเสียงใสตอบรับฉะฉานจะไม่ปล่อยให้เขาต้องเดียวดายเพียงลำพัง


ตั้งแต่บุพการีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตศาสวัตก็ไม่เหลือใครข้างกาย นอกจากวราลีเพียงคนเดียว เธอคอยปลอบประโลมและให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มสดใสเสมอแม้เธอเคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายกับการเสียมารดาไปทั้งคนด้วยโรคร้ายคร่าชีวิต ไหนต้องดูแลพ่อซึ่งทำตัวเหลวแหลกเมามายอย่างไม่ย่อท้อเขาจึงซึมซับความเข้มแข็งเหล่านั้นจากเธอ


‘วราจะอยู่เป็นคู่ปาท่องโก๋กับพี่ศาสตลอดไป ดีไหม’ คำพูดของเธอแม้จะฟังคล้ายไม่จริงจังแต่การกระทำนั้นเป็นอย่างที่พูดไว้ไม่ผิด ทุกสิ่ง ทุกเวลาที่ ‘ตัวเล็ก’ ทำเพื่อเขาจึงคอยสะกิดใจและทำให้เชื่อว่ามีเธออยู่ใกล้ทุกขณะแม้จะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราก็ตาม


เสียงแตรรถดังเตือนจากด้านหลัง ศาสวัตหลุดจากภวังค์ความคิดทั้งหลายในทันทีสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวนานแล้ว แต่ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หน้าพวงมาลัยรถเพิ่งเหยียบคันเร่งออกตัวความคิดทั้งหลายหลุดลอย และนึกถึงหญิงสาวอีกคนซึ่งจะได้พบเจอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


ตัวประกอบหนุ่มตรงเบาะด้านหลังจ้องมองศาสวัตผ่านกระจกส่องหลังเป็นระยะ โดยมีนางเอกสาวหลับซบอยู่ตรงไหล่บึกบึน


มาวินพาศีตลาขึ้นรถยนต์ของศาสวัตตั้งแต่เขาเดินทางออกจากกองถ่ายละครและแวะเข้าโรงพยาบาล ก่อนเดินขึ้นรถและขับออกมาอีกครั้ง แรกๆ ศีตลาก็พูดเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องราวของศาสวัตแอบนัดหญิงสาวเอาไว้จนเผลอหลับในที่สุดเขาจึงจับศีรษะของหล่อนให้ซบตรงไหล่อยู่อย่างนั้น


และในใจของเขากลับครุ่นคิดถึง ‘เพื่อน’ ป่านนี้จะอยู่ตรงส่วนไหน ระหว่างมิติแห่งห้วงฝันหรือโลกของความจริง สำหรับวราลี


To be continued...




Create Date : 27 กรกฎาคม 2557
Last Update : 27 กรกฎาคม 2557 22:47:20 น.
Counter : 687 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments