Group Blog
 
 
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 

อาหารเสริมสำหรับทารก










คิดอยู่ตั้งนานว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี ตอนแรกว่าจะเขียนเรื่องประเทศเบลเยียมก็ยังไม่รู้ละเอียดดี (มัวแต่เลี้ยงลูก) ไว้รอไปเรียนสักระยะนึงก่อนค่อยว่ากันดีกว่า
พูดถึงเรื่องเรียน เพิ่งจะเริ่มเรียนไปเมื่อวันศุกร์ที่ 21 สิงหา ที่ผ่านมาเป็นวันแรก เป็นคอร์สเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่เบลเยียม คอร์สบังคับสำหรับชาวต่างชาติที่มาอาศัยในเบลเยียม(เฉพาะฝั่งฟรานเดอร์) อีกคอร์สนึงเป็น
คอร์สภาษาดัชท์เบื้องต้นจะเริ่มต้นเดือนหน้า ทั้งสองคอร์สเรียนฟรี
รัฐบาลจัดให้นี่ขนาดคนต่างชาตินะ คิดดูว่าคนเบลเยียมเองสวัสดิการจะดีขนาดไหน
เรียนวันแรกตอนแรกรู้สึกเศร้า ๆ ที่ต้องห่างลูกทั้งวันเป็นวันแรก ต้องนั่งรถไฟไปเรียนที่ Gent แต่พอไปถึงห้องเรียน เป็นคนไทยทั้งหมด
คุณแม่เม้าท์กระจายค่ะ (ลืมลูกชายไปชั่วขณะ)
อ้าว +_+ ว่าจะเขียนเรื่องเมนูอาหารสำหรับทารกไหง วกไปเรื่องเรียนได้
ไว้บล็อคหน้าค่อยมาต่อเกี่ยวกับประเทศเบลเยียมแล้วกัน
กลับเข้ามาเรื่องเมนูอาหารต่อ แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนนะคะว่าก่อนท้องก็ไม่ได้สนใจหรือร่ำเรียนมาจากไหน ขนาดจะรับประทานเองยังไม่ได้ลงมือเลย อาศัยฝีมือแม่ตลอด (ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกว่าฝีมือแม่ตัวเองอร่อยที่สุด)
เอ... แล้วลูกเรามัน จะ คิดยังงั้นรึเปล่านะ...
ก็อาศัยอ่านจากตำราบ้าง หาตาม web site บ้าง แล้วมาผสมกับความรู้ที่มีติดตัวบ้าง บวกกับความจริงที่เพิ่งค้นพบตอนมีลูกว่าเราก็เป็นคนชอบทำกับข้าวนี่นา ก็พอจะไปรอด

ควรให้อาหารเสริมกับเด็กทารกเมื่ออายุ 4 เดือนขึ้นไป แต่สมัยก่อนเริ่มให้เมื่ออายุ 3 เดือน อันนี้ความเห็นส่วนตัวเราเริ่มให้ตอนเจ้าตัวเล็กได้ 4 เดือน อ้อ ลืมบอกไปว่าที่เบลเยียมเมื่อคลอดลูกแล้วกลับไปบ้าน ภายในเดือนแรกจะมีพยาบาลไปให้คำแนะนำที่บ้าน เกี่ยวกับการเลี้ยงดูทารก และดูสภาพแวดล้อมภายในบ้านที่ทารกอยู่ว่าเหมาะสมหรือไม่ เราสามารถสอบถามได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับทารกที่สำคัญฟรี แลนี่ก็เป็นหนึ่งในสวัสดิการของที่นี่
หลังจากนั้นเดือนที่สองก็จะนัดให้ไปฉีดวัคซีน พร้อมกับพบคุณหมอ และเข้ารับคำปรึกษาเรื่องการเลี้ยงดูกับผู้เชี่ยวชาญที่ศูนย์ Kind & Gezin ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Child and Family นั่นเอง ทางผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำทุกเรื่องและถ้าเรามีปัญหาอะไรก็สามารถสอบถามได้ทุกอย่าง เค้าแนะนำว่าควรเริ่มให้กินอาหารเสริมตอน 4 เดือนโดยเริ่มจากผลไม้ และ ผักก่อน และควรเริ่มให้กินเนื้อสัตว์ตอนอายุได้ 6 เดือนไปแล้ว แต่ส่วนมากที่เมืองไทยจะให้เริ่มกินไข่แดงและตับเมื่ออายุ 4 เดือน (เท่าที่อ่านตามกระทู้หรือเวบไซด์ต่าง ๆ) อันนี้ก็แล้วแต่คุณแม่จะพิจารณานะคะ แต่โดยส่วนตัวก็เริ่มให้กินไข่และเนื้อสัตว์ตอนอายุ 6 เดือนค่ะ และอาหารเสริมของเจ้าตัวเล็กมื้อแรกตอน 4 เดือนคือ กล้วยครูด เอาเฉพาะเนื้อแล้วใช้หลังช้อนบดผสมด้วยนมที่กินอยู่ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ

เสียดายที่เบลเยียมไม่มีกล้วยน้ำว้า ก็ให้กล้วยหอมครึ่งลูกแทน แต่ถ้าอยู่เมืองไทยเค้าบอกว่ากินเด็กกินกล้วยหอมไม่ดีลมจะขึ้น ตอนแรกก็กลัว ๆ เหมือนกัน แต่คิดไปคิดมา ถ้ายังงั้นเด็กฝรั่งก็คงจะลมขึ้นกันหมดนะสิเพราะมีแต่กล้วยหอมกิน ก็เลยสบายใจ ตัวเล็กก็ฟาดเรียบ
คุณแม่บางท่านไม่กล้าเริ่มมื้อแรกด้วยกล้วยเพราะกลัวลูกจะติดหวาน จริง ๆ เด็กทารกยังไม่รู้หรอกค่ะรสหวานเป็นยังไง

เรามาเริ่มกันตั้งแต่สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายทารกเลยนะคะ
จริง ๆ ทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าอาหารห้าหมู่มีอะไรบ้าง แต่พอจะให้นึกจริง ๆ มันก็มีเลือน ๆ เหมือนกัน

คาร์โบไฮเดรต
เป็นสารอาหารหลักที่ให้พลังงานกับร่างกาย ร่างกายจะเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้เป็นกลูโคสซึ่งให้พลังงานแก่ร่างกาย(หรือที่เราจำกันได้ว่าไขมันเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลนั่นเอง) คาร์โบไฮเดรตเป็นสองประเภท คือ ชนิดที่เผาผลาญเป็นกลูโคสได้ช้า และ ชนิดที่เผาผลาญเป็นกลูโคสได้เร็ว
คาร์โบไฮเดรตที่เผาผลาญเป็นกลูโคสได้ช้าจะช่วยทำให้มีพลังงานสะสมในร่างกายได้นานกว่า
คาร์โบไฮเดรตที่เผาผลาญเป็นคลูโคสได้ช้า มีตัวอย่างเช่น ข้าวโอ๊ต พาสต้า แอปเปิ้ล แครอท ขนมปังที่ไม่ฟอกสี ข้าวกล้อง
คาร์โบไฮเดรตทีเผสผลาญเป็นคลูโคสได้เร็ว เช่น ซีเรียลประเภทรสหวาน เค็ก คุ๊กกี้ กล้วย สับปะรด เมล่อน ขนมปังขาว ข้าวขาว
ในแต่ละวันเด็กทารกควรได้รับคาร์โบไฮเดรตประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ของอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน
แต่สำหรับช่วงแรกที่เริ่มอาหารเสริมควรเริ่มที่ข้าวขาวนะคะ ส่วนขนมปังเริ่มให้ตอน 8 เดือน อาจจะเริ่มให้ขนมปังขาวก่อนเพื่อไม่หนักจนเกินไป

โปรตีน
โปรตีน สำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด เนื้อเยื่อ ฮอร์โมน เล็บ กระดูก ฟัน และเอนไซม์ในการย่อยอาหาร ถ้าได้รับโปรตีนไม่เพียงพอก็จะทำให้ไม่มีภูมิต้านทานต่อโรค แหล่งสำคัญของโปรตีนคือ เนื้อสัตว์ นมวัวนมแพะ และถั่วเหลือง
โปรตีนไม่สามารถเก็บสะสมในร่างกาย เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวัยที่สามารถให้อาหารเสริมได้เด็กจึงควรรับประทานโปรตีน 2 มื้อต่อวัน
ควรให้เด็กรับประทานเนื้อสัตว์และเนื้อปลาสลับกันภายใน 1 สัปดาห์ และควรให้ไข่เป็นอาหารมื้อเช้าด้วย

ไขมัน
ไขมันเป็นแหล่งให้พลังงานสูงสุด เด็กทารกต้องการไขมันมากกว่าผู้ใหญ่ ไขมันจากเนื้อสัตว์และไข่จะช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กในช่วงขวบปีแรก ไขมันช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี และเค
กรกไขมันมี 2 ชนิด คือ ชนิดอิ่มตัว มีอยู่ในไขมันจากสัตว์ถ้ารับประทานมากเกินไปจะทำให้เป็นโรคอ้วน
ชนิดไม่อิ่มตัว พบมากในน้ำมันปลา เนื้อปลาทะเล ผัก และผลไม้ และน้ำมันพืช รวมทั้ง เนย มาร์การีน
กรดไขมันได้มาจากสารอาหาร ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ กรดไขมันมีส่วนในการสร้างเซลล์สมอง (เหมือนกันที่เค้าว่ากันว่ากินปลาเยอะ ๆ จะได้ฉลาดนั่นเอง) แบ่งออกเป็น โอเมก้า 3 มีมากใน น้ำม้นปลา ถั่วเหลือง แอปเปิ้ล ผักปวยเล้ง
โอเมก้า 6 มีมากใน ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ เนื้อไก่ ถั่วเหลือง
โอเมก้า 9 มีมากใน หอยแครง(อันนี้ทารกกินไม่ได้) กุ้ง ปู ปลาอินทรีย์ ปลาทู ปลาเฮอริง ปลาคอด ปลาแฮดดอก น้ำมันพืช ถั่วลิสง(ควรให้เมื่ออายุ 1 ขวบ เพราะเด็กบางคนแพ้ถั่วสง) เนื้อไก่ นมวัว ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์

วิตามิน
วิตามินเป็นตัวสำคัญในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามิน B แล C และประเภทที่ละลายในไขมันได้แก่ วิตามิน A,D,E และ K วิตามินที่ละลายในน้ำจะถูกทำลายด้วยความร้อนเวลาทำอาหารต้องระวังไม่ให้วิตามินประเภทนี้สุกเกินไป
วิตามินที่ละลายในไขมันจะสะสมในร่างกายต้องระวังไม่รับประทานมากจนเกินไป

วิตามินที่ละลายในน้ำ
วิตามิน B จะช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อในระบบประสาท ความจำ สร้างเม็ดเลือด ป้องกันโรคเหน็บชา โรคปากนกกระจอก มีมากในเครื่องในสัตว์ ธัญพืช ถั่ว ผักใบเขียว นม เด็กควรได้รับวิตามินประเภทนี้ประมาณ 0.3-0.4 มิลลิกรัมต่อวัน
วิตามิน C
ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างเนื้อเยื่อ สารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด มีมากในน้ำนม ผลไม้รสเปรี้ยว(ควรเริ่มให้เมื่ออายุ 6 เดือน) เด็กทารกควรได้รับประมาณ 35-45 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินที่ละลายในไขมัน
วิตามินเอ ช่วยในการมองเห็น การทำงานของเยื่อบุโพรงต่าง ๆ ในร่างกาย สร้างฮอร์โมนเพส สร้างภูมิต้านทานให้กระดูกและฟัน บำรุงผิว มีมากในผักและผลไม้ที่มีสารเบต้าแคโรทีนสูง เช่น แครอท มะละกอสุก ฟักทอง ผักใบเขียว ไข่แดง และตับ ทารกควรได้รับประมาณ 850-1000 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน กระตุ้นการทำงานของหัวใจ ระบบประสาท มีมากในน้ำนม ไข่แดง และแสงแดดอ่อน ๆ ทารกต้องการประมาณ 10 ไมโครกรัมต่อวัน

วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์(อันนี้เหมาะกับคนรักสวยรักงามด้วยนะ) ช่วยในการรักษาโครงสร้างของเซลล์และเซลล์เม็ดเลือดแดง ทารกต้องการวันละ 3-7 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินเค ช่วยในการแข็งตัวของเลือด กระตุ้นการทำงานของตับ เปลี่ยนน้ำตาลให้อยู่ในรูปพลังงานสำรอง ทารกต้องการวันละ 10-20 ไมโครกรัมต่อวัน


แร่ธาตุ
แคลเซียม จำเป็นในการสร้างกระดูกและฟัน มีมากใน นม ผักใบเขียว(จะสังเกตุว่าผักใบเขียวมีทั้งวิตามินและแร่ะธาตุมากมาย) กุ้ง ปลาเล็กปลาน้อย

ฟอสฟอรัส ช่วยรักษาความสมดุลในเลือด พบมากในเนื้อสัตว์ เครื่องใน นม ผัก และเมล็ดพืช

แมกนีเซียม ควบคุมการทำงานของระบบประสาท ช่วยเผาผลาญอาหาร ควบคุมความเป็นกรดด่างของร่างกาย มีมากใน ข้าว ธัญพิช ถั่ว ผักใบเขียว
และถั่ว

เหล็ก ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง เผาผลาญอาหาร เสริมสร้างความจำและสมาธิให้เด็ก มีมากในตับ ไข่แดง ทารกแรกเกิดถึงหกเดือนร่างกายสามารถสร้างเหล็กได้เอง แต่หลังจาก 6 เดือนไปแล้วร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองจึงควรให้อาหารเสริมที่มีธาตุเหล็ก

สังกะสี ช่วยลดระดังคอเลสเตอรอล ควบคุมการทำงานของลำไส้

แมงกะนิส ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระดูกและฟัน การทำงานของกล้ามเนื้อ พบมากใน เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่ว ข้าว กล้วย เมล็ดทานตะวัน

ไอโอดีน ป้องกันโรคคอหอยพอก ควบคุมการเผาผลาญอาหาร มีมากในอาหารทะเล เกลือผสมไอโอดีน (แต่ไม่ควรใส่เกลือในอาหารให้เด็กทารก)

ตลอไรด์ บำรุงเส้นเอ็นและข้อต่อ ป้องกันท้องร่วงและอาเจียน มีมากใน ข้าว มะละกอ แตงโม แตงกวา มะเขือเทศ

โพเทสเซียม ควบคุมระบบประสาทและการทำงานของหัวใจ มีมากใน กล้วย ส้ม มะละกอ มะม่วง แอปเปิ้ล

โซเดียม ควบคุมการทำงานของหัวใจกล้ามเนื้อและระบบประสาท รักษาความสมดุลย์ของน้ำในร่างกายมีมากในน้ำนม

ฟลูออไรด์ ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก มีมากในผักใบเขียว ถั่ว แอปเปิ้ล อาหารทะเล


เส้นใยอาหาร
ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ทำให้ลำไส้ใหญ่แข็งแรง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือด พบมากในธัญพืช ผักและผลไม้ แต่ไม่มีในเนื้อสัตว์เลย ดังนั้นเด็กควรได้รับใยอาหารจากขนมปังธัญพืช (ควรเริ่มเมื่อ 8 เดือน) ให้เด็กดื่มน้ำ นม ซุป และน้ำผลไม้(ให้ได้ตั้งแต่ 4 เดือน) เพื่อให้การทำงานของเส้นใยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น

น้ำ
มีส่วนสำคัญในการหล่อเลี้ยงเซลล์ ช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ควรให้เด็กดื่มน้ำในปริมาณที่สม่ำเสมอ ไม่ควรให้เด็กดื่มน้ำผลไม้สำเร็จรูปเพราะมักมีน้ำตาลปนอยู่
น้ำในที่นี้รวมถึงน้ำนม และน้ำผลไม้ (เริ่มที่ 4 เดือนช่วงแรกผสมน้ำต้มสุกให้ได้ปริมาณประมาณ 90 มิลลิลิตร

จะเห็นได้ว่าอาหารที่เราเห็นกันอยู่เป็นประจำ เช่น ข้าว ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ ถั่ว กล้วย ไข่แดง ตับ นั้นมีประโยชน์มากมายทั้งสารอาหารและวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุต่าง หลักง่าย ๆ คือในหนึ่งมื้อควรให้เด็กได้รับประทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยการผสมผสานอาหารที่เราเห็น ๆ กันอยู่ในชีวิตประจำวันนั่นแหละค่ะ ตามอัตราส่วนแล้ว คาร์โบไฮเดรตกับโปรตีนจะมีปริมาณที่มากหน่อยแล้วตามด้วยผักและผลไม้บวกด้วยไขมัน
เดี๋ยวต่อไปจะเขียนเมนูอาหาร เผื่อใครมีไอเดียเก๋ ๆ จะได้มาแชร์กันนะคะ เพราะบางครั้งคิดไม่ออกเหมือนกันว่าพรุ่งนี้จะทำเมนูอะไรดี





ข้อมูลบางส่วน(เยอะ) เรื่องสารอาหารเอามาจากหนังสือ สูตรลับเจ้าตัวเล็ก ของคุณ วิชญา บุญยเกตุ ขอบคุณค่ะ













 

Create Date : 23 สิงหาคม 2552
5 comments
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 3:59:52 น.
Counter : 607 Pageviews.

 

แวะมาทักทายค่ะ ขอบคุณค่ะที่แวะไปอวยพรวันเกิด

 

โดย: maew_kk 1 กันยายน 2552 8:46:25 น.  

 

[ กดเบาๆนะจ๊ะ ]
[ กดเบาๆนะจ๊ะ ]


ขอบคุณที่แวะไปที่บล็อคคะ ตอนนี้เม้าซี่ก็เรียนภาษาดัชท์และทำงานไปด้วยคะ เดือนที่แล้วก็ไปรับลูกชายมาอยู่และเรียนที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักคะ

 

โดย: debry 7 กันยายน 2552 4:45:31 น.  

 

ขอบคุณค่ะ ช่วยได้มาก กำลังทำรายงานอยู่พอดี

 

โดย: หมิว IP: 119.42.77.38 11 กันยายน 2552 13:42:28 น.  

 

Goedendag Khun Mangpor...
Hoe gaat het met uw?

สวัสดีค่ะคุณแมงปอ โชคดีจังที่ได้มาอ่านจ้อความของคุณวันนี้ คือว่าอยากทราบข้อมูลการคลอดบุตรที่ประเทศเบลเยี่ยม จริง ๆ คือมีบ้านญาติยู่ที่นั่น แล้วตอนนี้ดิฉันก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ หากว่าดิฉันอยากไปคลอดเจ้าตัวน้อยที่นั่นจะยุ่งยากมากไม๊คะ ค่าใช้จ่ายเยอะไม๊
ขอรบกวนสอบถามข้อมูลหน่อยนะคะ

เรื่องของเรื่องก็คือ ดิฉันเคยไปเรียนที่ Belgium และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาประมาณ 4 ปี เกือบ 5 ปี เลยรู้สึกว่าที่นั่นเป็นเหมือนบ้านที่ 2 ของเรา แต่เนื่องจากว่าตอนนี้ทำงานอยู่ที่เมืองไทย แต่ทราบดีว่าที่เบลเยี่ยมสวัสดิการสังคมเค้าดีมาก และเห็นว่าหากลูกน้อยของเราได้เกิดที่โน่นก็คงดี ฟังดูเหมือนดิฉันจะเอาเปรียบประเทศเค้าเลยนะคะ :(
ไม่ทราบคุณ Mangpor พอที่จะให้คำแนะนำได้หรือไม่คะ
ขอบคุณมากค่ะ
วรวลัญช์ (warawalan@gmail.com)

 

โดย: วรวลัญช์ IP: 202.183.186.188 30 กันยายน 2552 18:06:26 น.  

 

ดิฉันให้เข้ากล่องกับเด็กตั้งแต่ 3 เดือน กับฝักทองและก็ตำลึงคะต้มและก็บดให้กิน

 

โดย: แอ IP: 118.175.254.13 2 พฤศจิกายน 2552 11:45:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


mangpor@belgium
Location :
กรุงเทพฯ Belgium

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



















Hit Counter
Bangkok, Thailand Current Weather


Brussels, Belgium Weather Forecast

: Users Online
Friends' blogs
[Add mangpor@belgium's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.