เพราะหนังสือเปิดตา และการเดินทางเปิดใจ
เรื่องลาวลาว ตอนจบ: กลับทางเก่า


คนลาวน่ารัก ยกเว้นคำทักทาย ไม่ว่าไปไหน อยู่ในเมืองหรืออยู่บ้านป่า ไม่ว่าคุยกับใคร คุยไปได้สักพัก คู่สนทนาชาวลาวเป็นต้องถามว่า “เอาผัวแล้วบ่” อืมม์...แทงใจนะนี่ เอาหรือไม่ (มีใคร) เอา แล้วมันเกี่ยวกับบทสนทนาที่เราคุยกันยังไง หือออออ!

สี่สาวแห่งบ้านป่าขาม
เดินทางคนเดียวถ้าไม่ผูกมิตรกับใครก็คงจะเหงา แต่การโซโลของเราไม่มีเหงา อย่างน้อยก็ในหลวงพระบาง เพราะมีเพื่อนใหม่ต่างวัยโขยงใหญ่พาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ทุกเย็น

อาจจะเป็นอานิสงส์จากการขอตามคุณยายไปเวียนเทียนตั้งแต่วันที่มาถึง หรือไม่ก็เพราะการโซโลนั่นเอง คุณยายเลยส่งหลานสาวมานำเที่ยว และหลานสาวก็พาเพื่อนไปเที่ยวด้วย ก็เลยพากันไปเที่ยวกันทุกเย็น ไปซื้อกาแฟร้านประชานิยมบ้าง (ตอนเย็นๆร้านนี้จะเปลี่ยนมาขายส้มตำ ขอไม่แนะนำอย่างแรง เพราะไก่ย่างเขาแบบ...แมลงวันเกาะเป็นลายเลยอ่ะ น่ากัวโคตร) ไปซื้อข้าวจี่กินบ้าง (อันนี้ก็ลองได้ถ้าไม่รังเกียจปลาร้า เพราะคอนเฟิร์มว่าใส่ด้วย) ไปซื้อข้าวเคียบ (ข้าวทอดแบบขนมนางเล็ดแต่ไม่มีน้ำตาลราด) และข้าวโคบ (ข้าวเกรียบ) กินบ้าง ไปเดินดูของตลาดมืดบ้าง ไปเล่นริมแม่น้ำโขงบ้าง สุดที่จะสรรหากันไป

แต่ขอเตือนว่า ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่น อย่าได้ไปเที่ยวป่าวร้องว่ามาคนเดียวสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวแทนที่จะเป็น โซโลแล้วไม่มีเหงา อาจจะกลายเป็นโซโลแล้วซวยสามสิบแปดตลบไปได้

เออ...ว่าแล้วก็ยังไม่ได้อัดรูปส่งไปให้สาวน้อยทั้งหลายเลยแฮะ สงสัยกว่าจะได้ฤกษ์ส่ง สาวน้อยอาจจะเป็นสาวใหญ่กันไปหมดแล้ว

วาดรูป...วันฝนพรำ
อยู่หลวงพระบางห้าวันเต็มๆ เอาให้เบื่อกันไปข้างหนึ่ง (พูดไปงั้นแหละ จริงๆยังไม่เบื่อหรอก เบื่อฝนมากกว่า จะตกลงมาก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่พาเมฆมืดมาห่มฟ้าทั้งวันเนี่ย...ไม่ชอบ) ถ้าจะไปเที่ยวจริงๆ แนะนำให้ไปปลายปีดีที่สุด จะได้เที่ยวน้ำตก (ตอนมีน้ำ) ให้ครบๆ คนเยอะหน่อยก็ไม่เป็นไร อบอุ่นดี แล้วมีสักสามสี่วันก็เที่ยวได้ทั่วแล้ว เดินเที่ยววัดในเมืองสักสองวัน เช่าจักรยานถีบเล่นสักวันแล้วก็ข้ามฟากไปเดินเล่นเมืองเชียงแมนตอนเย็นๆ มีอีกวันสำหรับไปชมธรรมชาติรอบนอก ก็เป็นอันว่าจบได้แล้ว

ไปเที่ยวตอนต้นฝน ก็เป็นธรรมดาที่จะเจอฝนบ้าง โชคดีที่ฝนตกลงมาจริงๆวันที่สี่ของการอยู่ในหลวงพระบาง แปลว่าเที่ยวจนทั่วแล้ว ก็เลยรู้สึกว่า เอ้า...หยุดพักมั่งก็ได้ ดีเหมือนกัน

วันที่หลบฝนก็เลยได้ใช้อุปกรณ์วาดรูปสีน้ำที่ขนไป ได้อ่านหนังสือที่เอาติดไปจนจบ แล้วก็ได้พักผ่อนท้องเสียอยู่กับห้อง พอเบื่อๆไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้องแคบๆ ก็ขนอุปกรณ์ไปวาดรูปที่ศาลาริมแม่น้ำ ได้บรรยากาศไปอีกแบบ เฮือนพักของเราอยู่ใกล้แม่น้ำโขง เดินเลาะชายคาบ้านไปประมาณยี่สิบก้าวก็ได้มุมแล้ว แต่จะว่าไป เฮือนพักไหนๆก็อยู่ใกล้แม่น้ำทั้งนั้นแหละ เพราะว่าหลวงพระบางมีแม่น้ำตั้งสองสาย แล้วเมืองก็เล็กซะ

ตามหาเนยแข็ง
เนยแข็งยีห้อวัวยิ้ม หรือ la vache qui rit เป็นเนยแข็งเด็กที่เราเคยกินตอนไปฝรั่งเศสเมื่อสิบกว่าปีก่อน (นับนิ้วแล้วน่าใจหายจริงๆ) แล้วก็รู้สึกว่าอร่อยดี กินได้ (ตามประสาคนไม่กินเนยแข็งน่ะ เพราะคอเนยแข็งคงจะร้องยี้ทีเดียว) มาเจออีกทีในแซนด์วิชบาแก็ตต์ที่เมืองลาว ถึงกับกระโดดเข้าใส่ ร้านแซนด์วิชจะขายเนยแข็งยกห่อให้เราห่อละซาวพันกีบ (20,000) ไม่รู้ว่าแพงหรือเปล่า ก็เลยยังไม่ตัดสินใจ ระหว่างที่เดินอยู่หลายวันก็ถามไปเรื่อยๆ แผงขายของชำที่ตลาดเช้าให้ราคาถูกสูดคือสิบห้าพันกีบ แต่พอไปถึงตลาดโพสี ไปเจอถูกกว่าคือ 14,000 กีบ เฉือนกันไปสิบบาท ก็เลยคว้ามาสองกล่อง มีความสุขมากๆ

กลับมาถึงกรุงเทพ มีเพื่อนหัวเราะเยาะว่าซื้อมาทำไม ที่พารากอนก็มีขาย เล่นเอาเซ็งเล็กน้อย แต่หัวใจก็พองฟูขึ้นอีกครั้งเมื่อเพื่อน (คนเดิม) รายงานว่า พารากอนขายร้อยกว่าบาท แค่นี้ก็คุ้มค่าแบกแล้วแกเอ๋ย

กว่าจะถึงบ้าน

แม้ว่าจะตั้งใจหาตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน แต่พอเช็คราคาแล้วเกินร้อยเหรียญ ตัวงกก็เปลี่ยนใจ ตัดสินใจเลือกเส้นทางมาราธอน มาทางไหนกลับทางนั้น ของที่หาซื้อมามากมายก็แบกไปตามระเบียบ (เฮ้อ) นั่งรถลุยหมอกกลับทางเดิม พอจะจำเส้นทางได้คลับคล้ายคลับคลาแล้ว แต่ก็ยังสนุกกับการถ่ายรูปหมอก ถ่ายรูปภูเขา ถ่ายรูปเด็กในหมู่บ้านข้างทาง และถ่ายรูปป้ายจราจรต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สลับกับการนอนและการดูชาวลาวเข้าห้องน้ำกลางทุ่ง

รถออกจากหลวงพระบางเจ็ดโมงเช้าวันที่หก ถึงเวียงจันทน์สี่โมงเย็น รถจากเวียงจันทน์ออกหกโมงเย็น ถึงอุดรธานีทุ่มครึ่ง รถทัวร์ออกจากอุดรธานีสามทุ่มครึ่ง ถึงสถานีรังสิตตีห้าครึ่ง และกลับถึงเตียงโดยสวัสดิภาพเอาเมื่อตะวันโด่งของวันที่เจ็ด เมื่อนึกถึงว่าอายุปูนนี้แล้ว การขึ้นรถลงรถก็เล่นเอาอ่วมอรทัยทีเดียว

บทเรียนส่งท้าย นอกจากรถ 99 ที่ไม่ควรขึ้นแล้ว ข้อห้ามอีกอย่างหนึ่งก็คือ อย่าซื้อตั๋วรถทัวร์ที่นั่งหน้าคู่คนขับเป็นอันขาด เพราะนอกจากจะนอนไม่หลับด้วยแสงไฟรถสวนแล้ว ยังทั้งเมื่อยขา (ต้องนั่งงอตลอดเพราะพื้นเตี้ยมาก) ทั้งเหม็นบุหรี่ (ที่คนขับสูบ) ทั้งเหม็นควันรถและกลิ่นน้ำมัน (ที่คนขับจอดเติมและเปิดประตูเข้าๆออกๆ) ทั้งหนวกหู (คนขับตะโกนสั่งเด็กรถ คนขับคุยโทรศัพท์กับแฟน คนขับฟังวิทยุ และคนขับคุยกับใครต่อใคร) ทั้งหวาดเสียว (ฝีตีนคนขับ) ต่อให้คิดราคาถูกยังไง เราก็ว่าไม่คุ้มหรอก

ปิดบันทึก
ลาวเป็นประเทศเล็กๆที่ซ่อนชีวิตผู้คนไว้ตามซอกหลืบของภูเขา แม้ว่าความเจริญทางวัตถุจะอ่อนด้อยไปบ้างเมื่อใช้มาตรวัดแบบคนในเมืองเจริญแล้วของประเทศเพื่อนบ้านวัด แต่คุณภาพชีวิตและวิถีการดำรงอยู่ของคนลาวก็ถือว่าสุข สงบ และพอเพียง และให้มุมมองใหม่ๆแก่ผู้ผ่านทางได้ไม่น้อย

ฉันว่าลาวเป็นประเทศที่ปลอดภัย เที่ยวง่าย ผู้คนอัธยาศัยดี แต่เป็นธรรมดาที่สักวันหนึ่งภาพขีวิตเหล่านี้จะเปลี่ยนไปตามกระแสโลก ซึ่งนอกจากแอบเสียดายแล้ว เราคงไม่มีอำนาจใดไปตัดสินว่าอันใดดี อันใดเหมาะ อันใดควรรักษา อันใดควรละทิ้ง (ก็ดูอย่างประเทศของเราเองสิ) แต่ ณ วันนี้ ฉันดีใจที่ได้มีประเทศที่น่ารักและคนที่น่ารักเป็นเพื่อนบ้าน และได้ไปเยือนแผ่นดินลาวในวันที่ชีวิตของพวกเขายังง่ายและงดงาม






Create Date : 11 ตุลาคม 2551
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 4:09:42 น. 1 comments
Counter : 385 Pageviews.

 
เขียนดีนะครับ ชอบ
เดือนหน้าก็จะไปเวียงจันทน์ครั้งแรก คิดว่าคงจะได้เจอสิ่งดีๆ เหมือนกัน


โดย: ชูกฤต IP: 124.122.142.200 วันที่: 18 ตุลาคม 2551 เวลา:21:50:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

lunaloca
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ง า น แ ป ล


ช่างเป็นนักแปลที่ทำงานได้หลากแบบหลายแนว
นามปากกาคละเคล้า เดาทางไม่ถูกจริงๆนิเรา

Group Blog
 
 
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
11 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add lunaloca's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.