เพราะหนังสือเปิดตา และการเดินทางเปิดใจ
เรื่องลาวลาว ตอนห้า ยังอยู่บน "สวรรค์"

เมืองโพน หรือโพนสะหวัน เป็นเมืองหลวงใหม่ของแขวงเชียงขวาง ตัวเมืองอยู่ห่างจากเมืองคูน เมืองหลวงเก่าประมาณสามสิบกิโลเมตร ลำพังโพนสะหวันเองนั้นไม่มีอะไรให้เที่ยวชม อ้าว...แล้วเฉีอกมาทำไม บางคนอาจจะสงสัย เหตุผลที่มีอันต้องดั้นด้นมาถึงนี่ก็เพราะอยากมาดูไหหินใบใหญ่ที่ว่ากันว่ากองอยู่เต็มทุ่งนั่นอย่างไร เผื่อจะมีสักไหใส่สุราที่ไม่มีวันหมด หุหุ...แต่กว่าจะไปถึงไห...ก็ต้องใจเย็นๆนะ

หนาวฮอดยอดเมฆ
อากาศที่อยู่ๆก็หนาว (ไม่สิ เราน่ะอยู่เฉยๆ แต่ที่หนาวเพราะรถไต่ระดับความสุงของภูเขาขึ้นมาถึงจุดที่มันหนาวต่างหาก) เมื่อผนวกกับฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนักตอนใกล้ถึงโพนสะหวัน ความเย็นก็ถึงกับทำเอาฝรั่งข้างหลังขุดเสื้อหนาวขึ้นมาใส่ (ได้ยินว่ามาจากเดนมาร์กน่ะนั่น) และทำให้มนุษย์ขี้หนาวอย่างเราตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องออกไปหาซื้อเสื้อหนาวเป็นอันดับสอง รองจากหาที่พัก (แบกเป้หนักแย่กว่าทนหนาวว่ะ) ทันทีที่ไปถึง ต่อให้ฝนยังตกไม่หยุดก็ตาม

เข้าสู่โพนสะหวันด้วยความรู้สึกผิดคาด คิดว่าจะเป็นเมืองเล็กๆ ไม่ดีกว่าวังเวียงสักเท่าไร แต่อย่าดูหมิ่นไป เขามีดีกรีเป็นถึงเมืองหลวงของแคว้น จะให้กระจอกได้ไง เมืองนี้ก็เลยแผ่ไปสุดลูกหูลูกตาแทบตกที่ราบสูง กระจายความเจริญไปทุกมุมเมืองด้วยการเอาท่ารถบัสไปไว้มุมหนึ่ง เอาตัวเมืองไปไว้อีกซอกหนึ่ง เอาท่ารถสองแถวไปไว้อีกขอบหนึ่ง ไม่มีวันเดินจากไหนไปไหนได้ ต้องเรียกสามล้อสถานเดียว สงสัยว่าหลวงทั่นจะกลัวใช้ประโยชน์จากถนนที่สร้างไว้ (โคตร) ใหญ่ ไม่คุ้มค่ากระมัง

ตลาดโพนสะหวัน
ภาษาลาวของแม่ค้าในร้านขายเครื่องอุปโภคที่ตลาดฟังยากมาก เพราะว่าแม่ค้าไม่ใช่คนลาวแท้ๆ น่าจะเป็นคนจีนหรือคนม้ง หลังจากที่เกาหัวไปมาเพราะไม่รู้จะโต้ตอบกันเป็นภาษาอะไรดี ในที่สุดเราก็คุยกันด้วยภาษาเครื่องคิดเลข จิ้มไปจิ้มมาจนกระทั่งได้เสื้อหนาวสีน้ำเงินมาหนึ่งตัว

เอ้อ...ผู้ที่รับรู้อาการบ้าสีน้ำเงินของเรากรุณาอย่าเพิ่งค้อนและค่อนขอดว่าอีกแระ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่ร้านแถวนี้เขามีเสื้อหนาวขายแบบละหนึ่งตัว จะเอาแบบนั้นก็มีสีเดียวและไซส์เดียว จะเอาสีนี้ก็ต้องแบบนั้นและไซส์นั้น ไอ้ที่หยิบออกมาตัดสินใจน่ะมีหลายสี แต่ในที่สุดสีม่วงเอวจั๊มก็ตกไป สีเทาดำตัวหลวมโพรกก็ตกไป สีชมพูที่มีฮู้ดเป็นขนสีชมพูเลื่อมมันวับก็ตกไป มันก็เลยต้องเอวังด้วยแบบธรรมดาที่สุดและสี ‘ใส่ได้’ มากที่สุด (ซึ่งก็แอบมีกระเป๋าทรงสามเหลี่ยมหน้าตาประหลาดติดกระดุมสีเงินที่เราทนไม่ได้ต้องเอาใช้มีดพับเลาะออกทันทีที่กลับถึงห้อง และเมื่อเลาะเสร็จ พอใส่เสื้อหนาวสีน้ำเงินเรียบๆนี้เข้าไป ก็กลายเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ หรือไม่ก็เข้าแก๊งกับพวกพี่ๆที่ขับสามล้อเครื่องไปทันที)

แต่ที่ตัวตลาดจริงๆ แม่ค้าขายเครื่องบริโภคน่ะน่ารักนะ เว้าก็ม่วน น้ำใจก็งาม เราฝากชีวิตไว้ที่ตลาดนี้แหละ ข้าวปุ้น ข้าวเปียก ผัดหมี่ ผลไม้ ขนมหวาน ตลกบริโภคไปวันละมุมสองมุม ชิมผลไม้มั่ง ชิมขนมมั่ง แล้วมันก็มีของแปลกๆมาให้ชิมได้ทุกวันสิน่า!

บริษัททัวร์กะตัวงก
นักท่องเที่ยวที่นี่ไม่เยอะ ธุรกิจท่องเที่ยวไม่บูมมาก โรงแรมมีพอสมควร ร้านเน็ตและร้านอาหารมีบ้าง แต่บริษัททัวร์มีไม่กี่แห่ง และร้านเช่าจักรยานไม่มีเลย มีแต่รถยนต์กับมอเตอร์ไซค์ให้เช่า ซึ่งฟังราคาแล้วเหงื่อแตกซิกทีเดียว ถ้าอยากไปเที่ยวโน่น-นี่-นั่น ดูเหมือนจะมีทางเดียวคือการต่อรองกับบริษัททัวร์ และราคาที่เราได้มาก็แพงมั่กๆ เทียบกับสถานที่น้อยนิดที่พาไปและช่วงเวลาครึ่งค่อนวัน เก้าโมงถึงบ่ายสอง สิบเหรียญ (ไปกับคนอื่นอีกสี่ห้าคน รวมกันก็ปาเข้าไปเท่าไรล่ะนั่น ขูดรีดอิ๋บอ๋าย) แถมไปไม่ถึงเมืองคูนด้วย เอาล่ะ วิญญาณนักสู้จากลุ่มเจ้าพระยาเข้าสิง อย่าหยุดยั้ง อย่ายอมแพ้ เรายังมีเวลา ไปเซอร์เวย์เองก่อนดีกว่า

หาศูนย์บริการท่องเที่ยวไม่เจอ ถามใครทุกคนก็ชี้ให้ไปบริษัททัวร์หมด หายากหาเย็น สงสัยมันจะไม่มี เอาล่ะ เข้าตลาดดีกว่า...มีหรือจะไม่สำมะเร็จ ถามแม่ค้ามั่ง ถามคนขับสามล้อมั่ง ถามไปเรื่อยๆจนได้ข้อมูลตรงกันว่า รถสองแถวไปเมืองคูนอยู่ที่ตลาดน้ำงาม มีออกตั้งแต่เช้า ค่ารถคนละ 12,000 กีบ ไปกลับก็ 24,000 กีบ แถมผ่านทุ่งไหหิน เสียค่าเข้าอีก 7,000 กีบด้วย (อะโห สมองที่พ่ายแพ้ตัวเลขรีบบวกๆๆและคอนเวิร์ตเงินกีบ เงินบาท เงินเหรียญ วุ่นวายไปหมด เอ...ไม่อยากจะเชื่อสมองน้องเต่าของกรูเลย ใครช่วยบอกทีสิว่า...มันถูกกว่าขนาดนั้นจริงๆเหรอ)

เหลือบดูนาฬิกา เพิ่งจะสี่โมงเท่านั้นเอง จำเราจะต้องนั่งสามล้อไปดูตลาดน้ำงามเสียหน่อยว่ามันอยู่ม่องใด๋

เมืองคูน
ค่ารถจากตลาดโพนสะหวันไปตลาดน้ำงาม 5,000 กีบ (เหมาไปนะ ถ้าแชร์ไปกับคนอื่นจะถูกกว่านี้ เอ้อ...ถูกกว่าพันกีบง่ะ) รถแท็กซี่ที่ไปเมืองคูนเป็นรถเก๋งโตโยต้ารุ่นเก๋า เก่ากึ้ก แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่าความสามารถในการจุผู้โดยสาร เพราะเมื่อนับรวมคนขับด้วย รถโตโยต้าคันนั้นสามารถจุคนได้ถึงเก้าคน ไม่ล้อเล่นครับพี่น้อง ข้างหน้าสี่ ข้างหลังห้า แบ่งเป็นผู้โดยสารแปด บวกคนขับอีกหนึ่ง รถก็เก่าขนาดนี้ เพลามันไม่หักได้ยังไงฟะ

และกว่าจะรอคนครบแปดคน ข้าพเจ้าซึ่งมาตั้งแต่เจ็ดโมงก็ใช้เวลารอสิริรวมหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบกว่านาที โชคดีที่ใช้เวลานั่งยัดทะนานไปในรถแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น (อ้อ...โชคดีอีกทีที่อากาศเย็น)

แม้จะมีผู้คนผ่านทางพอสมควร แต่เมืองหลวงเก่าของแคว้นเชียงขวางก็เป็นแค่หมู่บ้านขนาดใหญ่ ตัดสินจากเฮือนพักนักท่องเที่ยวก็แล้วกันเพราะมีให้เห็นแค่หลังเดียวเท่านั้น ไม่ต้องหาร้านเช่าจักรยานเลย น่องทองของเราเองนี่แหละดีที่สุด สถานที่ท่องเที่ยวจริงๆก็ไม่ไกล อยู่ในระยะเดิน (ไปเรื่อยๆก็) ถึง แต่สภาพนี่สิ ทั้งเก่าและรกร้างไปตามสถานที่ตั้ง เห็นแล้วเศร้าใจ...

ตลาดม้ง ก็คือตลาดที่อยู่หลังท่ารถนั่นแหละ แต่มาถึงแปดโมงกว่า ตลาดก็วายไปถึงไหนๆแล้ว ยังเหลือแม่ค้าพ่อค้าที่เก็บของกลับบ้านยังไม่เสร็จ (สงสัยไม่รู้จะรีบไปทำไม) นั่งเล่นอยู่พอเป็นประจักษ์พยานของตลาดสักสองสามร้าน

พระธาตุฝุ่น เป็นพระธาตุเก่าแก่อยู่ข้างหลังท่ารถ เดินตามทางขี้เลนขึ้นเนินไปสักสามสิบเมตรก็จะเจอองค์พระธาตุคลุกฝุ่นอยู่กลางทุ่งนา มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นระเกะระกะเต็มองค์พระธาตุ กับทางเดินดินสีแดงทอดไปทางซ้ายทางขวา ยืนๆอยู่ก็ได้ยินเสียงกระดึงดังมาจากทุ่งนาข้างล่าง สลับกับเสียงไก่ขัน

วัดเพียวัด วัดโบราณมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ (ซึ่งปัจจุบัน) อยู่กลางแจ้ง กับเสาหินและกำแพงพังๆที่เหลือซากอยู่เล็กน้อย มีหลวงพ่อประจำอยู่ที่วัดแค่รูปเดียว ท่านบอกว่า คนหนุ่มสมัยนี้ไม่สนใจบวชเรียนกันแล้ว อืมม์...ประเทศที่สงบและสันโดษขนาดนี้ยังหาคนบวชไม่ได้ วิถีโลกยุคใหม่นี่มาแรงจริงๆ


 






Create Date : 11 ตุลาคม 2551
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 3:55:05 น. 0 comments
Counter : 248 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

lunaloca
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ง า น แ ป ล


ช่างเป็นนักแปลที่ทำงานได้หลากแบบหลายแนว
นามปากกาคละเคล้า เดาทางไม่ถูกจริงๆนิเรา

Group Blog
 
 
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
11 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add lunaloca's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.